ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 475 อวดอ้างบารมี [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 475 อวดอ้างบารมี [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 475 อวดอ้างบารมี [รีไรท์]

“จะให้ข้าจ่ายก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าข้าเองก็สมควรที่จะได้รู้สถานะของเจ้าก่อนมิใช่หรือ?”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างใจเย็น

เห็นฉู่หลิวเยว่มีท่าทีเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นก็คิดว่านางหวาดกลัว จึงยิ่งแสดงท่าทีจองหองยิ่งกว่าเก่า

“ข้าเป็นศิษย์จากสำนักแปดวิถี นามว่าอู่จ้าว!”

ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง

แปดวิถี… เป็นเพียงสำนักชั้นปลายแถวในเมืองซีหลิงเท่านั้น

คิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนี้แม้แต่คนอย่างพวกเขาก็กล้ามาคุยโวโอ้อวดที่จัตุรัสผิงเหลียงด้วย

“ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้าชื่ออันใด ข้าถามว่า… เจ้าถือสิทธิ์อันใดมาเอาเงินข้า? ฟังดูแล้ว เจ้าเองก็ดูหาใช่ขุนนางในราชสำนักไม่?”

อู่จ้าวตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเข้าใจความหมายของฉู่หลิวเยว่

เขากำหมัดแน่น ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

เมื่ออยู่ภายใต้รูปร่างที่กำยำของเขา ยิ่งขับให้ฉู่หลิวเยว่ดูบอบบางมากกว่าเก่า

“ถือสิทธิ์อันใด? แน่นอนว่ากำปั้นของข้าอย่างใดเล่า! วันนี้หากเจ้าไม่จ่ายเงินมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่!”

นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าจะรีดไถเงินกันจริงๆ

ค่ายกลเคลื่อนย้ายมากมายในจัตุรัสผิงเหลียง ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การครอบครองของราชวงศ์เทียนลิ่ง

ในสถานการณ์ปกติ เพียงแค่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ ค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านี้ล้วนเอื้ออำนวยให้แก่เหล่าผู้ฝึกตนได้ใช้

ทว่าการป้องกันค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านี้ ย่อมผลาญกำลังทรัพย์มหาศาล ดังนั้นโดยปกติแล้วจึงมีการเก็บค่าดูแลป้องกันในลักษณะเฉพาะ

อย่างใดก็ตาม ถึงแม้ว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นางใช้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ตามปกติแล้ว หากมาสิบคนก็ยังสามารถเก็บผนึกศิลาขาวคนละอันได้

อู่จ้าวผู้นี้เปิดปากเรียกถึงสิบอัน ดูอย่างใดก็มีเจตนาคิดรีดไถ!

ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าผู้ที่รับผิดชอบในการป้องกันค่ายกลเคลื่อนย้ายคือทหารม้าทมิฬ แต่โดยปกติพวกเขาเพียงแค่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองเท่านั้น ส่วนเรื่องการเก็บภาษี ส่วนมากจะมอบให้สำนักต่างๆ ในเมืองซีหลิงจัดการ

คนจากสำนักเหล่านี้ยามใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมักได้รับสิทธิ์พิเศษ อีกทั้งยังเก็งกำไร ช่างเป็นความสมัครสมานสามัคคีในสำนัก

ดังนั้น ถึงแม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะมีทหารม้าทมิฬออกลาดตระเวนอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อดูตอนอู่จ้าวเข้ามาหาเรื่องฉู่หลิวเยว่แล้วนั้น กลับไร้ซึ่งคนเข้ามาขัดขวาง

โดยปกติแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ถึงขั้นคร่าชีวิตใคร พวกเขาล้วนมิใส่ใจอันใดทั้งสิ้น

เจี่ยนเฟิงฉือเองสองมือกอดอก เฝ้าดูคนทั้งสองฝ่ายโต้ตอบกันพลางอมยิ้ม

อู่จ้าวผู้นี้เป็นเพียงนักรบระดับห้าขั้นแรก ถ้าหากว่าเขาลงมือ นั่นย่อมมิใช่ปัญหา

แต่ว่า… ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่อยากให้เขาสอดมือเข้าไปยุ่งเท่าไรนัก

เขาเองก็อยากดูอยู่พอดี หลังจากมาถึงเมืองซีหลิงแห่งนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่คิดจะจัดการปัญหาเหล่านี้เช่นไร!

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น

เจี่ยนเฟิงฉือสามารถช่วยนางได้ครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถช่วยครั้งที่สอง ครั้งที่สาม หรือครั้งอื่นๆ ได้!

อีกอย่าง กฎของซีหลิงนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ

ถ้าหากนางไม่มีปัญญาแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตนเอง เช่นนั้นนางก็มิแคล้วถูกเรียกว่าผู้อ่อนแอในสายตาผู้อื่น!

“ถ้าหากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” ฉู่หลิวเยว่ถามกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

อู่จ้าวฉีกยิ้มเย็นเยียบ

“แม่นาง ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งเคยมาซีหลิงครั้งแรกสินะ มีกฎบางข้อที่เจ้ายังไม่เข้าใจ! ข้าแนะนำให้เจ้าจ่ายเงินเสียแต่โดยดีเถิด หาไม่แล้ว… หากใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ต้องเสียโฉม คงน่าเสียดายแย่…”

“ข้าบอกว่า…ไม่”

ฉู่หลิวเยว่พูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

รอยยิ้มบนหน้าอู่จ้าวหายไปในพริบตา เผยให้เห็นใบหน้าอัปลักษณ์ฉายแววโหดเหี้ยม

“ไม่อยากจ่ายก็ย่อมได้ แต่ต้องเอาชนะข้าให้ได้ก่อน!”

สิ้นคำ เขาก้มลงมองฉู่หลิวเยว่อีกครั้งหนึ่ง ไอลมปราณพวยพุ่งไปทั่วร่างกาย จนแทบจะปกคลุมทั่วร่างฉู่หลิวเยว่

ฉู่หลิวเยว่ผงกหัวรับคำ คลี่ยิ้มบางเบา

“ตกลง!”

สิ้นประโยค รอบข้างพลันเงียบลงในบัดดล

อู่จ้าวย่นหัวคิ้วเข้าหากัน

“เจ้าว่าอันใดนะ?”

ฉู่หลิวเยว่ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ข้าพูดว่า…ตกลง!”

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางไม่มีผนึกศิลาขาวไว้กับตัวเลย ต่อให้มี นางก็ไม่สามารถใช้มันอย่างสิ้นเปลืองในที่แห่งนี้แน่!

อู่จ้าวหัวเราะด้วยความโมโหถึงขีดสุด

“ดี! ดี! ดี! เจ้าเป็นคนพูดเองนะ อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”

ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองรอบทิศ ก่อนจะบุ้ยคางไปทางลานโล่งที่อยู่ด้านข้าง

“ไปที่นั่นแล้วกัน!”

พูดจบ เขาก็รุดหน้านำขึ้นไปก่อน

ฝูงชนมองหน้ากันตาปริบๆ

“นางคงมิได้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?! คิดจะท้าประลองกับอู่จ้าวจริงหรือ!?”

“แม้ว่าสำนักแปดวิถีที่อู่จ้าวสังกัดอยู่จะเป็นเพียงสำนักระดับล่าง แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นนักรบระดับห้าขั้นแรกเชียวนะ! สตรีนางนั้นเป็นเพียงนักรบระดับสาม นี่มิใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ?”

“ใครจะรู้เล่าว่านางคิดอันใดอยู่… หรือเพราะว่านางมากับเจี่ยนเฟิงฉือ เป็นไปได้ว่าคงคิดว่าอู่จ้าวไม่กล้าลงมือถึงตาย?”

“แต่ไหนแต่ไรมา จัตุรัสผิงเหลียงมีธรรมเนียม เพียงแค่สู้ตัวต่อตัว ใครหน้าไหนก็ห้ามสอดมือเข้ามาแทรก แม้เจี่ยนเฟิงฉือจะแข็งแกร่งและมีสถานะสูงส่ง แต่ย่อมต้องรู้ว่า หากเขาลงมือช่วยกลางทาง จากนี้ไปสตรีนางนั้นคงมิมีทางลืมตาอ้าปากในเมืองซีหลิงเป็นแน่!”

“ตอนนี้ข้าหวังแค่ว่าเจ้าคนถ่อยอู่จ้าวนั่น จะไม่ทำให้ใบหน้างดงามนั้นเสียโฉม ซีหลิงน่ะไม่มีโฉมงามสะคราญตาเช่นนี้มาเยือนนานมากแล้ว…”

เสียงติฉินนินทาจากรอบข้างเหล่านั้น ฉู่หลิวเยว่มิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย นางยืนนิ่งอยู่บนลานว่างเมื่อเดินมาถึง สายตามองไปยังอู่จ้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ฉู่หลิวเยว่จากแคว้นเย่าเฉิน ขอท้าประลอง!”

อู่จ้าวขยับหัวไหล่และหลัง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังฉู่หลิวเยว่

“อู่จ้าว สำนักแปดวิถี รับคำท้า!”

สิ้นเสียง เขาเริ่มการเคลื่อนไหว ประเดิมด้วยการพุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับฉู่หลิวเยว่

ถึงแม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่บึกบึน ทว่าการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วก็สูงมากเช่นกัน! ราวกับภูเขาขนาดย่อมเคลื่อนที่ได้!

ในชั่วพริบตา ก็มาปรากฏอยู่ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่แล้ว!

เขาเพียงแค่ออกหมัดตรงธรรมดาแสนเรียบง่าย ก่อนต่อยออกไปอย่างไร้ความปรานี!

ในสายตาของเขาแล้ว ต่อกรกับนักรบระดับสามที่บอบบางเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้เขาใช้วรยุทธ!

หมัดเดียวก็เพียงพอ!

จอนผมข้างหูของฉู่หลิวเยว่ขยับไหวไปตามลม!

กำปั้นที่แสนจองหองนั้นพาลมพัดเสียจนเสื้อผ้าของนางโบกสะบัดไปตามแรงลม

แรงกดดันมหาศาลโถมเข้ามา!

สายตาที่จับจ้องไปยังยามกำปั้นขนาดเกือบเท่าใบหน้าของฉู่หลิวเยว่กำลังจะต่อยลงมา ทำเอาผู้คนส่ายศีรษะด้วยความเสียใจ

สตรีผู้นั้นช่างทำให้คนกลัวเสียจริง ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่คิดหลบ?

ท่าทีก่อนหน้านี้ ท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เดิมทีคงเป็นเพียงการแสร้งทำให้ดูแข็งแกร่งเท่านั้น…

ตอนนี้แหละ!

ฉู่หลิวเยว่ก้าวเท้าคลำทาง ยืดหยุ่นรอบเอว ก่อนจะโค้งเอวไปข้างหลัง! หลีกเลี่ยงกำปั้นนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด!

ทันใดนั้น นางก็ยกมือขวาขึ้น ยื่นตรงเข้าไปกักข้อมือของอู่จ้าวเอาไว้!

อู่จ้าวตะลึงไปชั่วขณะ!

เมื่อครู่สตรีผู้นี้เบี่ยงตัวหลบได้อย่างใด?

ไม่รอให้เขาคิดต่อ ทันใดนั้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงปราดหนึ่งที่ข้อมือก็แล่นขึ้นมา!

ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับงอนิ้วเข้าข้างใน จากนั้นก็กระแทกข้อมือของเขาขึ้นอย่างแรง!

นางยกขาเตะเข้าไปที่ข้อศอกของอู่จ้าวแทบจะในเวลาเดียวกัน!

ความเจ็บปวดถึงขีดสุดจนแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกชาแล่นขึ้นมา ทำให้กำลังแขนของอู่จ้าวลดฮวบฉับพลัน!

แขนของเขาอ่อนกำลังลงในพริบตา!

ในใจเขาตกใจระคนโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ใช้มืออีกข้างยื่นออกไปทันที หมายจะคว้าตัวฉู่หลิวเยว่!

ทว่าฉู่หลิวเยว่สบโอกาสใช้ขาคู่นั้นตรึงแขนของอู่จ้าวเอาไว้ จากนั้นก็บิดตัว!

ทั่วทั้งร่างพลิกตัวกลางอากาศ!

แขนของอู่จ้าวถูกตรึงไว้ แทบจะหักอยู่รอมร่อ

จากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ร่อนลงพื้นอย่างอ่อนช้อย ส่วนอู่จ้าวกลับติดร่างแหร่วงลงสู้พื้น!

ปึง!

ร่างกายกระแทกร่วงลงพื้นอย่างหนักหน่วง ส่งเสียงออกมาอย่างโมโห!

“เจ้า…”

อู่จ้าวขบกรามแน่น ทำท่าจะลุกขึ้นมาตอบโต้ ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับใช้โอกาสนี้ออกแรงกระทืบบนอกอู่จ้าวอย่างไม่ปรานี!

ยามขายาวแสนเรียวบางเหยียดตรง ดูงดงามอย่างถึงที่สุด ทว่ากลับอัดแน่นไปด้วยพลังกายที่น่าอัศจรรย์!

เมื่อกระทืบเท้าลงไป…

กร๊อบ!

หน้าอกของอู่จ้าวยุบลงเป็นโพรงกลวงลึกอย่างเห็นได้ชัด!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *