ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 710 การรวมตัว

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 710 การรวมตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 710 การรวมตัว

เงาของถวนจื่อหายวับไปทันตา!

และในชั่วพริบตา พลังที่พุ่งมาใส่ฉู่หลิวเยว่ ก็เหมือนจะถูกหยุดโดยมือใหญ่ที่มองไม่เห็น พลันถูกดูดกลืนกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว!

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองห้วงอากาศที่ว่างเปล่าและค่ายกลระยิบระยับบางๆ ตรงหน้าด้วยความงุนงง

นี่มัน…เกิดอันใดขึ้น?

นอกจากถวนจื่อจะหลุดหายเข้าไปแล้ว แม้แต่พลังที่กระจายออกไปครึ่งหนึ่ง ก็ยังสามารถกลับถูกดูดกลับคืนไปได้ด้วยหรือ?

ฉู่หลิวเยว่หลุบตามองแล้วพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะมั่นใจว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่นั้น…เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!

นั่นหมายความว่าถวนจื่อสามารถ…บุกเข้าไปข้างในได้อย่างปลอดภัยสินะ?

นางเห็นเต็มสองตาว่าตอนที่ถวนจื่อทะลวงเข้าไปนั้น มันไม่ได้ถูกคุกคามหรือได้รับอันตรายเลย

เหมือนกับ…เหมือนกับว่ามันสามารถเข้าออกไปอย่างอิสระอย่างนั้นแหละ

เสมือนกับการก้าวเข้าไปสู้อีกโลกหนึ่ง ที่ซึ่งไร้การต่อต้านอย่างใดอย่างนั้น

แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนี่ ฉู่หลิวเยว่ยังคงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังบนค่ายกลนั่น!

แล้วเหตุใดถวนจื่อถึง…

ขณะเดียวกัน จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงพลังที่วนเวียนอยู่รอบตัว

นางขมวดคิ้วแล้วเตรียมโต้กลับ!

ทว่าในขณะที่กำลังจะลง นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ พลันหันศีรษะไปมอง

บริเวณใจกลางผืนป่านั่น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่

ชายผู้นั้นตัวสูง ไหล่กว้างยืนตัวตรง และสวมชุดผ้ากระสอบเนื้อหยาบเหมือนกับพี่เหลยสี่

เขาดูอายุราวๆ สามสิบปี และมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา เฉกเช่นประเภทที่ไม่ได้สะดุดตาคนทั่วไป

ขณะเดียวกัน เขาเองก็กำลังจ้องมองฉู่หลิวเยว่อยู่

หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขากำลังมองจุดที่ถวนจื่อหายเข้าไปด้านหน้านาง

ดวงตาเรียวรีและลึกซึ้งคู่นั้นเปรียบเสมือนบ่อน้ำลึกที่สงบนิ่ง

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกๆ ในใจ

แววตาของชายคนนั้น ช่างดูคุ้นเคยนัก…

คนผู้นี้คงจะเป็น “พี่ใหญ่” หรือหัวหน้า ที่พี่เหลยสี่กล่าวถึง?

และเพียงแค่ชายคนนั้นสะบัดแขนเสื้อ ร่างของฉู่หลิวเยว่ก็ลอยขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ พลันเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาภายในพริบตา และยืนห่างจากเขาเพียงสามเก้า

หลังจากนั้น พลังดังกล่าวก็เงียบหายไป

สองร่างยืนเผชิญหน้ากัน

หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้าน

ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ไม่ได้น้อยไปกว่าพี่เหลยสี่เลย และอาจสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ!

ตัวตนของคนสองคนนี้คืออันใดกันแน่ ถึงได้ทะเยอทะยานมุทะลุเข้ามาในแดนภังคะที่แสนอันตรายแห่งนี้ เพียงเพื่อปกป้องไก่ฟ้าเก้าสีตัวเดียว?

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากสีปีกของไก่ฟ้าเก้าสีที่นางเห็นเมื่อครู่ ก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีพลังมหาศาล จนคนสองคนนี้แทบไม่จำเป็นต้องปกป้องมันด้วยซ้ำ!

แม้ว่าขณะที่กำลังทะลวงขั้นพลังปราณเพื่อเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น จำเป็นจะต้องไปรับการการันตีเรื่องความปลอดภัยที่มากพอ แต่เพียงแค่ไก่ฟ้าเก้าสีส่งเสียงเรียก สัตว์อสูรมากมายก็พร้อมออกมาปกป้องมัน!

เช่นนั้นแล้วจักต้องการมนุษย์สองคนนี้ไปเหตุใด?

ถึงแม้พลังปราณของสองคนนี้จะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ดูจากรูปการณ์แล้ว สองคนนี้ต้องไม่ใช่ผู้ถือครองไก่ฟ้าตัวนั้นแน่ๆ

ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมมองของไก่ฟ้าเก้าสี หรือสองคนนี้ ล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดทั้งสิ้น

ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ ชายที่อยู่ตรงข้ามก็มองสำรวจนางอย่างใจเย็น

“เพียงพอนโลหิตนั่นคือสัตว์อสูรของเจ้าหรือ?”

เขาเอ่ยปากถาม ด้วยย้ำเสียงที่สงบนิ่งทว่าแหบแห้งอยู่หน่อยๆ

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

เรื่องแบบนี้ยังต้องถามอีกหรือ?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเรียวยาวของชายคนนั้นก็หรี่ลง แววตาของเขามืดมนราวมีกระแสน้ำอันมืดดำไหลเวียนอยู่

ในใจฉู่หลิวเยว่เริ่มรู้สึกแปลกๆ

เหมือนชายผู้นี้…กำลังจ้องหน้านางอยู่เลย?

ติดใจอันใดเรื่องหน้าตาของนางหรือ?

แต่สำหรับคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้หวั่นไหวกับรูปร่างหน้าตาของตนแน่นอน

ทว่าเหมือนเขากำลังมาหาใครสักคน ผ่านดวงตาของนาง

“สัตว์อสูรของเจ้าน่าสนใจดีนะ” จู่ๆ เขาก็หัวเราะ พลันเอ่ยปาก

พักหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจที่เขาต้องการจะสื่อ สุดท้ายนางจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา

“ท่านต้องการถามอันใด โปรดเอ่ยออกมาตรงๆ”

ชายคนนั้นเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้

ก่อนจะยกมือขึ้น

ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง

ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้นางจะรู้ว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งจนสามารถฆ่านางได้ด้วยมือข้างเดียว แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงภัยคุกคาม หรือความอึดอัดใจจากอีกฝ่ายเลย

เหมือนกับว่านาง…แน่ใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายกัน

นางเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ และปกติแล้ว นางไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับคนแปลกหน้า ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน

ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเขา พลันมีแสงสีขาวแวบเข้ามาในหัว!

เดี๋ยว เดี๋ยวกัน!

หรือว่านายคนนี้จะเป็น…

“ค่ายกลนี้ ถึงจะเป็นเราสองคน ก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี”

ชายที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้นมากะทันหัน พร้อมมือข้างหนึ่งที่ผ่านใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ไป แล้วชี้ไปยังสิ่งที่อยู่ข้างหลังนาง

เปรี้ยง!

มีบางอย่างปะทะกันจนเกิดเสียงดังกึกก้อง!

ฉู่หลิวเยว่เก็บงำความสงสัยในใจไว้แล้วหันไปมองอย่างไว

และเห็นพี่เหลยสี่กำลังหยุดการโจมตีของซั่งกวนหว่านอีกครั้ง!

ทั้งสองคนต่อสู้กันแบบประชิดตัว! ราวตาต่อตาฟันต่อฟัน!

ซั่งกวนหว่านเป็นคนเปิดฉากก่อน แต่พลังของพี่เหลยสี่แข็งแกร่งกว่า ทำให้ฝีมือของทั้งสองนั้นแทบจะเรียกได้ว่าสูสี

แต่แน่นอนว่าร่างกายของซั่งกวนหว่านนั้นไม่ได้ดีเท่าคนอื่น ซึ่งในไม่ช้านางก็เสียเปรียบและพ่ายแพ้ให้กับพี่เหลยสี่

หากไร้ซึ่งโล่สีดำนั่น นางคงแพ้ไปตั้งนานแล้ว

และเมื่อเห็นว่าตนกำลังจะไม่รอด ซั่งกวนหว่านก็รีบหันศีรษะมอง แล้วร้องขอความช่วยเหลือจากมู่ชิงเห่อ และผู้อาวุโสชิวซี

“รองแม่ทัพมู่! ผู้อาวุโสชิวซี! พวกเจ้าจักนิ่งดูดายอยู่ไย? รีบมาช่วยข้าเดี๋ยวนี้!”

ผู้อาวุโสชิวซีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไป

ทว่าก้าวเท้าออกไปได้แค่หนึ่งก้าว ก็มีเส้นแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา!

พร้อมบางอย่างที่จรดอยู่ตรงปลายจมูก!

เกิดความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้ ส่งผลให้ผู้อาวุโสชิวซีถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว!

พรึบ!

เขาก้มหน้ามองลงไป ก่อนจะเห็นท่อนเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือ ปักอยู่ที่พื้นตรงหน้าเท้าของเขา!

หากก้าวพราด เท้าของเขาคงได้ถึงบดขยี้แน่ๆ!

ผู้อาวุโสชิวซีหวาดกลัวจนเหงื่อท่วมตัวไปหมด

เพียงแค่เศษเหล็กที่ถูกทิ้งลงมา ยังมีพลังมหาศาลขนาดนั้น ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้…เรียกได้ว่าน่าสยดสยองยิ่งนัก!

ที่ด้านหลังผู้อาวุโสชิวซี เจียงอวี่เฉิงนั่งมองภาพนั้นเงียบๆ

เขานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อปรับลมปราณของตัวเอง เขาอดทนรอให้อาการปวดแสบเฉียบพลันในช่องท้องลดลง จากนั้นจึงรักษาอาการบาดเจ็บบนร่างกาย และในที่สุด เขาก็ปรับพลังปราณดั้งเดิมในร่างกายได้อย่างราบรื่น และฟื้นฟูความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งกลับคืนมาได้

แต่พอเห็นซั่งกวนหว่านโผล่เข้ามา เขากลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงออก

และในขณะที่กำลังจะตามผู้อาวุโสชิวซีไป ฝ่ายนั้นดักทางเช่นนี้เสียก่อน!

เจียงอวี่เฉิงยืนขึ้น พลางมองไปยังชายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วค่อยๆ ขมวดคิ้ว

มีเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์เทียนลิ่ง ที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้!

หรือคนๆ นี้จะเป็น…

“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง”!

มีเสียงดังมาจากภายในค่ายกล!

คลื่นแสงสีสันเส้นสุดท้ายที่อยู่ด้านบนจางลงอย่างรวดเร็ว!

ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ในที่สุดค่ายกลขนาดใหญ่ก็โปร่งใสอย่างสมบูรณ์!

ต้นสนฉัตรขนาดใหญ่และแข็งแรงตั้งตระหง่านเสมือนที่กำบัง

โดยมีไก่ฟ้าเก้าสีที่เปล่งประกาย สวยงาม และสูงส่งอย่างไม่มีใครเทียบได้ยืนเกาะอยู่บนนั้น!

รัศมีของมันเรืองรองราวกับแสงสว่างบนท้องนภา ทั้งหรูหรา และดูอลังการมาก!

บนตัวของมันมีแผลเป็นสีดำไหม้เกรียม ซึ่งกำลังซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว! อีกทั้งลมปราณในร่างกายก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน!

เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่า มันได้ทะลวงผ่านจนกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว!

ทว่าทันใดนั้น ไก่ฟ้าเก้าสีก็ค่อยๆ หันมามองฉู่หลิวเยว่

และเหมือนมีสัญชาตญาณบางอย่างบอกให้นางเงยหน้า

ดวงตาทั้งสี่ดวงสอดประสาน

ฉู่หลิวเยว่พลันใจเต้นรัวขึ้นมาทันที!

แล้วตะโกนร้องออกไปสุดเสียง!

“เก้าจิ๋ว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด