ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 795 พบเจอ

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 795 พบเจอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 795 พบเจอ

ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัวเบาๆ

“ข้าได้มันมาเมื่อตอนที่ข้าเจอเจ้าอินทรีสามตา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันคืออันใดกันแน่”

นางเคยถามอินทรีสามตา แต่ดูเหมือนมันจะไม่อยากพูดอันใดมาก และบอกเพียงแค่ว่ามันเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์

คำตอบที่คลุมเครือเช่นนี้ ต่อให้พูดก็ไม่ต่างกับไม่ได้พูดอันใดเลย

ตอนนั้นฉู่หลิวเยว่รู้ว่าอย่างใด นางก็ถามอันใดที่เกี่ยวกับมันไม่ได้ และทำได้เพียงพับเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบๆ

และเมื่อเวลาผ่านไป นางยังพบอีกว่าสิ่งนี้มันดูลึกลับเกินกว่าที่นางเคยคาดคิดไว้มาก่อนด้วย

ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกของไท่ซวีเฟิ่งหลง หรือเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์แฝดทั้งสองเมล็ดนี้ มันกลับสามารถกลืนกินสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสะกดพลังของพวกมันได้โดยสิ้นเชิง . .

เรียกได้ว่าสยองจนขนหัวลุก!

องค์ไท่จู่อดไม่ได้ที่จะพูดว่า

“หากบอกว่าโชคชะตาของเจ้านั้น เหนือกว่าสวรรค์ลิขิตก็คงไม่เกินจริง!”

เริ่มด้วยเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำนั้น จากนั้นตามมาด้วยไข่มุกธารา และสุดท้ายยังมีหม้อต้มโปร่งใสอีก…

แม้แต่โล่สีดำนั้นก็ยังลึกล้ำเกินกว่าจะหยั่งถึง

แม้แต่กระบี่หลงหยวนเอง ก็ยังสู้ไม่ได้เมื่อเผชิญหน้าสิ่งล้ำค่าเหล่านี้

หากแม้นำเจ้าสิ่งเหล่านี้ออกมาสักอันโดยไม่ระวัง เกรงว่าอาจจะทำให้ผู้คนต่างพยายามที่จะเสาะหามันอย่างบ้าคลั่งแน่ๆ

แต่ฉู่หลิวเยว่คือผู้ที่ได้ครอบครองพวกมัน!

บนโลกนี้ไม่ได้ขาดแคลนผู้มีพรสวรรค์เลย แต่คนที่ค่อยๆ เติบโตจากพรสวรรค์จนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้นั้นกลับมีน้อยมาก

การที่จะได้เป็นหนึ่งในนั้น พรสวรรค์และความพยายามเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ…โชคชะตา!

แต่ฉู่หลิวเยว่กลับล้วนได้เปรียบในทุกทาง!

โอกาสจากฟ้าลิขิตเช่นนี้ คนทั่วไปอาจไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสมันเลยสักครั้ง แต่นางกลับได้พบเจอมันมาโดยตลอด

หากแม้แต่นางยังไม่สามารถเป็นยอดผู้แข็งแกร่งได้ล่ะก็ เช่นนั้นหลักแห่งสวรรค์คงจะไม่มีแล้วล่ะ

มุมปากฉู่หลิวเยว่ยกขึ้นเล็กน้อย

“อันที่จริงข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะทรงพลังได้ขนาดนี้”

แต่ท้ายที่สุดแล้วก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้สักที

ในที่สุด นางก็โล่งใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอกเสียที พลางค่อยๆ ถอนหายใจออกมายาวๆ และมองไปรอบๆ

พื้นที่นั้นเริ่มมีรอยแตกเล็กน้อย!

แถมในชั้นช่องแสงสีเขียวจางๆ นั้น ก็ยังปรากฏรอยร้าวนั้นอีกด้วย!

เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกนางเก็บไป เช่นนั้นอาณาเขตเซียนเทพที่ถูกสร้างขึ้นมา ก็ย่อมสลายหายไปตามธรรมชาติ

ในไม่ช้า ภาพเหล่านั้นได้กลายเป็นเส้นแสงและจางหายไป ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาทีละนิด

ความรู้สึกกดดันบนร่างของฉู่หลิวเยว่ ก็ค่อยๆ ลดลงเช่นกัน

นางมองไปที่หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ด้วยสีหน้าที่จริงจังอีกครั้ง

แต่ในตอนนี้นางยังออกไปไม่ได้

เพราะนางยังไม่ได้จัดการเรื่องโครงกระดูกของไท่ซวีเฟิ่งหลงเลย!

ในเมื่อมีทุกอย่างพร้อมแล้ว เหตุใดไม่ช่วยอินทรีสามตาคืนร่างที่นี่ไปเลยเล่า!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ได้กล่าวว่า

“องค์ไท่จู่ ข้ารบกวนท่านช่วยข้าสร้างค่ายกลก่อนได้หรือไม่?”

องค์ไท่จู่รู้ว่านางคิดจะทำอันใด เขาจึงลงมือทันทีโดยที่ไม่พูดอันใดสักคำ

พลันค่ายกลโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว!

ด้านบนสามารถมองเห็นสายฟ้าสีเงินได้อย่างเลือนราง

ในปีนั้นองค์ไท่จู่ไม่รู้ว่าตนสั่งสมทัณฑ์สวรรค์ไปตั้งเท่าไรแล้ว ดังนั้นพลังส่วนหนึ่งของทัณฑ์สวรรค์จึงได้ประสานเข้ากับพลังของตัวเขาเอง

เมื่อห้วงมิตินั้นได้แผ่ขยายออกไปแล้ว ภายในใจของฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกวางใจ

นางโยนหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ออกไป และมันก็กลับคืนสู่ขนาดปกติอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ก่อนจะร่วงลงบนพื้นอย่างเงียบๆ

“ถวนจื่อ”

ก่อนอื่นนางเลือกที่จะเรียกถวนจื่อกลับมา

ถวนจื่อหดตัวเล็กลงและกลับไปอยู่บนไหล่ของฉู่หลิวเยว่ แล้วพิงไหล่ของนางอย่างน่าเวทนา

ปีกข้างหนึ่งของเจ้าถวนจื่อหุบลง เลือดไหลหยดลงบนพื้น พลางมองดูเห็นบาดแผลนั้นด้วยความตกใจ

เมื่อครั้นที่ถวนจื่อยังอยู่ในร่างเพียงพอนโลหิต ท่าทางมันดูจะแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้ว่ามันจะได้รับบาดเจ็บ แต่น้อยครั้งนักที่มันจะได้รับบาดแผลเช่นนี้

เจ้าถวนจื่อมันเพิ่งกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน แต่กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นมันเพียบแวบแรกก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก

นางทำความสะอาดแผลให้อย่างระมัดระวัง นำยาออกมาประกบแล้วพันแผลให้เรียบร้อย จากนั้นนางก็ได้แกล้งทำเป็นโกรธและกล่าวว่า

“ทีนี้ได้บทเรียนแล้วหรือยัง? คราวหน้าก็ลองดูสิว่าเจ้ายังจะกล้าขัดขืนไม่ฟังคำข้าอีกหรือไม่!”

ถวนจื่อส่งเสียงครวญครางอย่างอ่อนแรง และดวงตาอันงดงามคู่หนึ่งจ้องมองนางด้วยสายตาที่น่าสงสารจับใจ

ณ เวลานั้นมันช่างอันตรายเหลือเกิน แต่มันกลับหนีรอดมาได้อย่างใดกันนะ?

แม้ว่าฉู่หลิวเยว่มีโอกาสที่ได้รับบาดเจ็บน้อยมาก แต่เจ้าถวนจื่อก็ยังยืนกรานที่จะอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องนางโดยไม่ลังเลเลย

การรอคอยอันแสนนานนี้ จนในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง มันจะยอมให้นางต้องเสี่ยงเผชิญกับความอันตรายได้อย่างใดกันล่ะ?

ในตอนแรก…นางต้องการที่จะปล่อยมันไปเพียงเพื่อรักษาชีวิตของมันเอาไว้ แต่ผลที่ได้ . . .

เมื่อเห็นแววตาอันน่าสงสารของถวนจื่อเช่นนี้แล้ว กระทั่งในใจฉู่หลิวเยว่ก็ได้อ่อนลง

“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะไม่ดุเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”

ได้ยินเช่นนั้น ถวนจื่อก็พยักหน้ารับ

เกิดแสงสว่างวาบบนเรือนร่างของถวนจื่อ ก่อนที่มันจะค่อยๆ กลืนหายกลับเข้าไปในร่างของฉู่หลิวเยว่ และเริ่มพักฟื้นร่างกาย

อันที่จริง อสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองได้เป็นอย่างดี และอาการบาดเจ็บเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถฟื้นตัวเป็นสมบูรณ์

ฉู่หลิวเยว่หายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์

จู่ๆ มีภาพมายาขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง!

พรึบ…

สยายปีกออกมา! พลังอันน่าทึ่งนี้!

นั่นมันอินทรีสามตา!

เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ภาพมายาของมันในต้อนนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของมัน

“เจ้าคงจะพร้อมแล้วสินะ?”

ในที่สุด สายตาอันเฉยเมยของเจ้าอินทรีสามตาก็ได้เปล่งประกายความตื่นเต้นออกมา

แม้จะเย็นชาและเงียบขรึมเพียงใด ณ เวลานี้ อย่างใดมันก็ไม่อาจหลีกหนีคลื่นที่สั่นระรัวอยู่ภายในใจได้เลย

มันถูกสะกดมานานนับพันปี ทนทุกข์ทรมานอยู่ในหม้อต้มเทวศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ็บปวดทุกคืนวัน และแทบจะไม่มีไร้ซึ่งวิธีเยียวยาความเจ็บปวดในใจ

มันจินตนาการถึงภาพการคืนร่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวมันเองไม่ได้คาดหวังอันใดมากนัก และเพียงแค่มองว่ามันเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้นเอง

ผู้ใดในโลกที่สามารถทำเรื่องนี้ได้ล้วนเป็นบุคคลระดับสูงทั้งนั้น

มันเป็นไปได้อย่างใดกันที่จะพึ่งพาฉู่หลิวเยว่แต่เพียงผู้เดียว?

แต่มันคิดไม่ถึงว่า วันนี้จะมาถึงแล้วจริงๆ และมาเร็วกว่าที่คิดไว้ด้วย!

ฉู่หลิวเยว่กล่าวถาม

“ข้าพร้อมแล้ว เจ้าล่ะ?”

อินทรีสามตาพยักหน้าเบาๆ

ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย

“เช่นนั้น ข้าจะเริ่มล่ะนะ”

เมื่อฉู่หลิวเยว่นำเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ใส่ลงไปยังหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดอาณาเขตเซียนเทพได้พังทลายลงมา ป่าหมอกมายาด้านนอกก็คืนสู่ความสงบสุขเช่นกัน

ในป่าอันเงียบสงบ มีสายลมโชยพัดมา

ฉินอีที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่นั้น เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ เขาก็ลืมตาขึ้นมาทันที!

ในแววตาอันเฉียบคมนั้นได้เปล่งประกายแสงขึ้นอย่างรวดเร็ว!

ดูเหมือนเมื่อสักครู่นี้จะมีการเคลื่อนไหวของอันใดบางอย่าง…

เขาวางกลไกดักไว้ในป่าอย่างแน่นหนา และมันสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงภายในป่าหมอกมายาได้

แต่หลังจากเขานิ่งจับสัมผัสอยู่พักหนึ่ง กลับไม่พบอันใด

ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้มันคงเป็นเพียงภาพลวงตากระมัง…

ฉินอีขมวดคิ้วและลุกขึ้นยืน

คนรอบข้างหลายคนหันมามอง

พี่เหลยสี่ถามว่า

“พี่ใหญ่ เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

ฉินอีส่ายหัวเบาๆ

“ไม่มีอันใด เดี๋ยวข้าจะลองไปดูด้านหน้า”

พูดแล้วเขาเดินไปยังต้นแม่ต้นนั้น

สภาพแวดล้อมโดยรอบต้นแม่เงียบสงบและไร้การเปลี่ยนแปลง

แต่คิ้วของฉินอีกลับขมวดแน่นยิ่งขึ้น

คนอย่างเขาไม่น่าจะเห็นภาพหลอนได้…

กรรร์!

ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังมาจากด้านบน!

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างพร้อมเพรียงกันและเห็นร่างแข็งแรงกำยำบินมาอย่างรวดเร็ว!

พี่เหลยสี่อุทานด้วยความตกใจ:

“นั่นมันอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งเสียงร้องคำรามเมื่อก่อนหน้านี้!”

ฉินอีหรี่ตามอง

หรือว่าการเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นจากมัน?

ภายในพื้นที่สลัวอึมครึม ปรากฏร่างสีดำร่างหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว!

ในไม่ช้า หรงซิวก็ได้เห็นร่างที่แสนจะคุ้นเคยเบื้องล่าง

แต่ดูๆ แล้ว ดูเหมือนนางจะยังไม่เป็นอันใด…

และเหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะรู้ตัว พลันเงยหน้าขึ้นมองในทันใด

เมื่อสองสายตาได้ประสาน ต่างมองเข้าไปในแววตาของกันและกัน

ทันใดนั้นหัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็สั่นระรัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด