ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 199 แพ้ชนะ [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 199 แพ้ชนะ [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 199 แพ้ชนะ [รีไรท์]

เสียงกระดูกหักดังลั่นกระทบหูผู้คนเป็นจำนวนมาก!

เหลยหมิงเวยส่งเสียงครวญคราง หน้าขาวซีดด้วยความเจ็บปวด!

เขามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความโมโหระคนตกใจ

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

เขาเอื้อมมืออีกข้างไปที่คอฉู่หลิวเยว่! ราวกับจะบิดคอเรียวหักให้จงได้!

ฉู่หลิวเยว่ไม่สู้กลับ นางหดมือกลับไปในทันที! เลี่ยงการโต้กลับของเหลยหมิงเวยอย่างหวุดหวิด!

ทั้งสองประลองกันอยู่หนึ่งชั่วยามก็แยกกันหลังจากนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนแปลกใจก็คือแท้จริงแล้วคนที่ได้รับบาดเจ็บกลับเป็นเหลยหมิงเวย

ยามที่เห็นมือของเขาห้อยลงมาด้วยท่าประหลาด ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน!

ต่อจากนั้นเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมเป็นแถบๆ!

“ข้าไม่ได้ดูผิดไปกระมัง? เหลยหมิงเวยได้รับบาดเจ็บเนี่ยนะ? ฉู่หลิวเยว่กลับอยู่รอดปลอดภัย?”

“เหลยหมิงเวยเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ พละกำลังเนื้อหนังมังสาก็แกร่งกล้าจนถึงขีดสุด แต่ทำไมถึงถูกฉู่หลิวเยว่หักมือได้ง่ายๆปานนั้นเล่า?”

“สวรรค์…เมื่อกี้ข้ายังไม่ทันดูการเคลื่อนไหวฉู่หลิวเยว่ให้ชัดๆเลย! พวกเจ้าเห็นชัดไหม?”

“….ฝีมือเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ยังถ่อมตนบอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งอีกหรือ?!”

ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เดิมทียังคิดว่านี่คือผลสรุปของการประลองนั้นแน่นอนแล้ว ทว่าบัดนี้เห็นแล้วว่าเป็นไปอย่างคลุมเครือ

พละกำลังของฉู่หลิวเยว่แกร่งกล้ากว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มาก!

คำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าแบบใดต่างลอยเข้ามาถึงหูทำให้เหลยหมิงเวยอับอายอย่างไร้ที่เปรียบ

นี่เป็นการประลองแรกที่มีความหมายยิ่ง หากเขาพ่ายแพ้ ทั้งยังแพ้ให้แก่ฉู่หลิวเยว่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต่ำกว่าเขาหลายขั้น เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะถูกผู้คนดูถูกเหยียดหยามสักเพียงใด

อีกทั้งเขาต้องกลายเป็นตราบาปของสำนัก! แล้วยังจะร่ำเรียนต่อไปได้เยี่ยงไร?

เขาจะต้องชนะ!

เมื่อคิดถึงได้เช่นนี้ เหลยหมิงเวยก็รวบรวมพลังภายในทั้งหมดและคิดจะโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มี!

ฝ่ามือของเขามีพลังสีน้ำเงินรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นไม่นานก็กลายร่างเป็นรูปกระบี่!

ความแตกต่างที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สามารถดึงพลังภายในออกมาสร้างความแข็งแกร่งในการโจมตีได้

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะต้องใช้วิธีนี้มาต่อกลอนกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่ง!

ทว่าในยามนี้ เหลยหมิงเวยควบคุมสิ่งเหล่านี้ไม่อยู่แล้ว

มีเพียงความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในหัวของเขาคือ…ชัยชนะ!

มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจับกระบี่แน่น พลังภายในอันทรงพลังถ่ายเทไปในกระบี่ไม่ขาดสาย แผ่ไอกระบี่อย่างน่าทึ่ง!

ครู่ต่อมา เขาก็แทงกระบี่ออกไปด้วยความดุดัน!

“กระบี่นิลกาฬ!”

หวึ่ง!

ยามกระบี่ตวัดลงมา บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มกดดันขึ้นมาทันใด พลังอันบ้าระห่ำแตกซ่านไปบนตัวกระบี่จนเกิดเสียงหูอื้อดังหวึ่ง!

ฉู่หลิวเยว่เจ็บเข้าไปในหู พลังภายในตัวนางราวกับแข็งตัวโดยพลัน!

ความหวาดหวั่นที่แสนสะพรึงเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จนความเร็วของนางลดฮวบ!

แรงกดดันของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แก่กล้าอะไรเช่นนี้!

สายตานางมองไปยังกระบี่นิลกาฬที่ตวัดลงมา!

แม้จะมีระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง แต่ระยะห่างจากจุดนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เลยสักนิด!

นางมองไปรอบๆ ด้วยความรวดเร็ว จิตใจปั่นป่วน

นางสามารถอาศัยความได้เปรียบจากท่าร่างได้เพียงชั่วประเดี๋ยว แต่นี่ก็เป็นเพียงการเล่นอุบายเท่านั้น

ตอนนี้เหลยหมิงเวยได้โต้ตอบมาแล้ว เขาต้องสู้อย่างสุดกำลังของเขา

หากยืดเยื้อต่อไป พลังของนางคงมลายหายไปแน่!

ดังนั้น…จำต้องสู้ด้วยความเร็ว!

เมื่อคิดดังนี้ นางก็เร่งโคจรพลังภายในทันที!

เมื่อพลังถ่ายเทลงมาถึงแขนขาของนาง ในที่สุดแรงกดดันบนตัวก็ลดลงไปบ้างแล้ว

ฉวยโอกาสในช่วงเวลานี้ถอยไป!

“คิดจะหนี? ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!

เมื่อเหลยหมิงเวยเห็นฉู่หลิวเยว่ถอยไปด้วยความรวดเร็ว เขาก็เข้าใจความคิดของนางได้ในทันที ตะคอกในบัดดล!

“ไป!”

ทันใดนั้นกระบี่นิลกาฬก็ฟาดลงมา! ฟันลงบนพื้นด้วยพลังอันหนักหน่วง!

แกร๊ง!

คมดาบของกระบี่ฟันลงบนพื้นศิลาหยกขาวอย่างแรงจนเกิดเสียงเข็ดฟัน!

ครู่ต่อมา จู่ๆ ไอกระบี่กลุ่มสีน้ำเงินก็พุ่งออกมาจากตัวกระบี่อย่างฉับพลัน ดุจอสนีบาตเคลื่อนตัวพุ่งเข้าหาฉู่หลิวเยว่ไปตามพื้น!

ทุกคนเห็นเพียงลำแสงสีน้ำเงินแวบผ่านบนพื้นสีขาวไปถึงใต้ฝ่าเท้าฉู่หลิวเยว่ในทันใด

ไม่ว่าฉู่หลิวเยว่จะเร็วสักเพียงใด ทว่าในขณะนี้ได้รับพลังยับยั้ง การปะทะคราวนี้นางยังช้ากว่าเหลยหมิงเวย!

ระหว่างที่มองไปก็พบว่าไอกระบี่สีน้ำเงินเกือบจะไปถึงฝ่าเท้าฉู่หลิวเยว่แล้ว!

พวกเขาทั้งหมดต่างก็เบิกตาโพลง จ้องมองไปที่ฉากนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย!

นี่คือการโจมตีด้วยพลังกดขี่ของเหลยหมิงเวยในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ เกรงว่าฉู่หลิวเยว่จะหลบไม่ได้แล้ว!

ฉู่หลิวเยว่ถอยหลังออกไป ไอกระบี่ก็ปรี่ประชิดไปตลอดทาง!

ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง หันกลับไปมองปราดหนึ่ง

นี่มาถึงขอบลานประลองแล้ว!

หากยังถอยหลังต่อไป นางคงต้องตกจากลานประลองแน่!

ตามกฎกติกาแล้ว ทันทีที่ออกจากลานประลองถือว่าแพ้!

ฉู่หลิวเยว่กระดกปลายเท้าแล้วพุ่งไปอีกฝั่งอย่างบ้าระห่ำ!

อย่างไรก็ตาม หลังจากนางพุ่งอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง ไอกระบี่สีน้ำเงินก็ราวกับมีสัญชาตญาณเป็นของตัวเองโดยเปลี่ยนทิศตามนางไปด้วย!

ไล่ล่าต่อไป

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กู้หมิงเฟิงที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ขมวดคิ้วในท้ายที่สุด :

“เหลยหมิงเวยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ไม่เพียงแต่สามารถดึงพลังออกมาได้ภายในระยะหนึ่ง แต่ยังสามารถควบคุมการโจมตีได้อย่างอิสระ ดูเหมือนว่าบัดนี้เขาได้ฝึกปราณวิชามาถึงระดับกลางของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แล้ว ลานประลองที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้น่าจะอยู่ในขอบเขตความสามารถในการโจมตีของเขา”

เริ่มตั้งแต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ระดับการฝึกปราณของผู้ฝึกยุทธ์แต่ละขั้นจะเริ่มแบ่งออกเป็นระดับเริ่มต้น ระดับกลาง และระดับสูง!

เหลยหมิงเวยบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เมื่อปีก่อน ตอนนี้วันเวลาผ่านไปแล้วหนึ่งปี เขาก็ได้บรรลุระดับกลางขั้นสี่ได้สำเร็จ!

เมื่อประมือกับฉู่หลิวเยว่ แน่นอนว่าย่อมมีข้อได้เปรียบสูงกว่าเป็นธรรมดา!

เฉินหู่ตะลึงงัน:

“อะไรกันนี่? เช่นนั้นฉู่หลิวเยว่จะทำอย่างไร? เมื่อกี้เพิ่งเห็นว่าฉู่หลิวเยว่เคลื่อนไหวเร็วมากมิใช่หรือ? หรือจะหลบไม่ได้จริงๆ?”

กู้หมิงเฟิงนิ่งเงียบ

“ยากเหลือเกิน เว้นเสียแต่ว่านางจะออกจากลานประลองนี้เพื่อหลีกหนีจากการควบคุมเหลยหมิงเวย”

หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับแพ้แล้ว

มู่หงอวี๋กล่าวด้วยความเคียดแค้น :

“เจ้าเหลยหมิงเวยนี่สับปลับเสียจริง! ประจันหน้าแล้วรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ฉู่หลิวเยว่ ไม่คิดว่ายังจะใช้ลูกไม้เช่นนี้!”

แม้ปากจะด่าไปเช่นนี้ แต่มู่หงอวี๋ก็รู้อยู่แก่ใจว่าบนลานประลองมักโหดร้ายป่าเถื่อน

ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ ไม่ต้องพูดถึงว่านี่คือข้อได้เปรียบของเหลยหมิงเวย เขาทำลงไปย่อมมีเหตุผล

กล่าวได้ว่ายากเกินไปจริงๆ ที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งจะสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่

คนของสำนักไท่เหยี่ยนเห็นฉู่หลิวเยว่ถูกไอกระบี่บีบให้ล่าถอยเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แท้จริงแล้วหมิงเวยสำแดงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองนี่เอง ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้อ่อนด้อยเกินไป! อีกไม่นานฉู่หลิวเยว่นั่นจะต้องหมดเรี่ยวแรงและพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ!”

“น่าเสียดายที่ศิษย์พี่เหลยโดนนางหักข้อมือไปข้างหนึ่ง! ถ้ารู้แต่แรกว่าฉู่หลิวเยว่นี่อำมหิตเช่นนี้ รุ่นพี่เหลยคงจัดการนางตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว!”

“ตอนนี้ก็ไม่นับว่าสายเกินไป ตราบใดที่ชนะก็ถือว่าใช้ได้แล้ว! จะกล่าวคือ หมิงเวยเป็นคนหุนหันพลันแล่น! ยามนี้กลับถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตัวเล็กร่างน้อยหักข้อมือ เขาจะย่อมเอาคืนเป็นแน่! เหอะ! เกรงว่าต่อไปฉู่หลิวเยว่นั่นคงน่าสังเวช… ”

บนลานประลอง เหลยหมิงเวยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ได้แต่หลบหนี

“หลบต่อไปยังจะช่วยอันใดได้? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะหลบได้ไปตลอด! การประลองครั้งนี้เจ้าจะต้องแพ้แน่!”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็หยุดในทันใด นางเงยหน้ามองไปทางเหลยหมิงเวย!

มุมปากนางยิ้มด้วยรอยยิ้มอันแปลกประหลาด

“อ้อ? อย่างนั้นข้าไม่หลบก็ได้!”

พูดจบนางก็ยกมือขึ้นโดยพลัน!

แสงเย็นเฉียบแวววับอยู่ในมือนาง!

ที่แท้มันคือกริชอันแสนคมกริบ!

ในเวลาต่อมา นางก็เงื้อข้อมือขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เขวี้ยงกริชในมืออย่างไว!

ทุกคนเห็นเพียงลำแสงที่แวววับลอยจากกลางอากาศ! เหาะพุ่งไปยังไอกระบี่สีน้ำเงินที่กำลังจะเข้าประชิดตัวฉู่หลิวเยว่!

แกร๊ง!

กริชห่อหุ้มไปด้วยพลังดุดัน ร่วงลงสู่พื้นในทันใด! มันแทงเข้าไปบนไอกระบี่อย่างดุร้าย!

“ระเบิดมัน!”

ตู้ม!

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ไอกระบี่สีน้ำเงินก็ระเบิดขึ้นมาทันใด!

หล่นลงมาราวกับมีเปลวไฟสีน้ำเงินนับพันในชั่วพริบตา ไอกระบี่สำแดงพลังปราณมอดดับไป!

เหลยหมิงเวยที่ถูกแว้งกัดสั่นสะท้านไปทั้งกาย กระอักเลือดออกมาทันที! สีหน้าขาวซีดราวกับผีสาง!

ผู้คนตกตะลึงไปกับเหตุการณ์นี้ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง!

…ฉู่หลิวเยว่เลือกที่จะประมือกับเหลยหมิงเวยซึ่งๆหน้าจริงๆ และยังครองตำแหน่งได้เปรียบอีกด้วยหรือนี่!?

กริชสั้นๆ นั้นเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ ซัดเหลยหมิงเวยจนพินาศด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!

ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ยั้งมือ นางปรี่เข้าหาเหลยหมิงเวยด้วยความรวดเร็ว! พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าเขา!

ทันทีต่อจากนั้นนางก็ยกขายาวขึ้นแล้วเตะไปที่หน้าเหลยหมิงเวยอย่างเหี้ยมโหด!

ร่างกำยำทั้งใหญ่และหนักของเหลยหมิงเวยปลิวออกไปในชั่วพริบตา! จากนั้นก็หล่นลงพื้นอย่างหนักหน่วง! เกิดเสียงทรมาน!

หน้าตาของเขาขาวซีดยิ่งกว่า ปากกระอักเลือดอยู่หลายหน ถลึงตาโตมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความไม่พอใจและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

เขากระตุกมุมปากเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่พอพยายามอยู่พักหนึ่งก็ปิดตาเป็นลมล้มพับไปเลย

ไม่ว่าพละกำลังในร่างกายเขาจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่สมองกลับเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด

ทันทีที่ฉู่หลิวเยว่ถีบไปบนศีรษะเขาโดยตรง ย่อมเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตแน่นอน!

นางเงยหน้าขึ้นมองผู้ตัดสิน

มุมปากเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตากลับฉายแววไอสังหารจนทำคนอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้ามองไปตรงๆ!

“ยามนี้ จะตัดสินแพ้ชนะได้หรือยัง?”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *