ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 312 จัดงานแต่ง [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 312 จัดงานแต่ง [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 312 จัดงานแต่ง [รีไรท์]

เมื่อสิ้นเสียงลงบรรยากาศรอบๆ ก็เงียบสงัดทันที

แม้แต่ซุนจ้งเหยียนก็อดที่จะมองไปยังหรงซิวไม่ได้

เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจจริงๆ

สถานการณ์ตอนนั้น แม้แต่ท่านผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นก็ยังถูกกันเอาไว้ แต่หรงซิวกลับเข้าไปอย่างง่ายดาย และขึ้นไปยังชั้นที่หกได้อย่างราบรื่นด้วย!

ต้องเข้าใจว่าซุนจ้งเหยียนนั้นมากสุดก็มีพลังถึงแค่ระดับห้าเท่านั้น

จักรพรรดินีจ้องหรงซิวเอาไว้ และมีการคาดเดามากมายผลุดขึ้นมาในหัว

ตั้งแต่ที่หรงซิวกลับมา ก็อยู่สันโดษมาตลอด นอกจากรักษาอาการป่วยแล้วก็เหมือนว่าจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เท่าใดนัก ดูแล้วเหมือนคนที่ไม่มีความปรารถนา และมีความต้องสิ่งใดอยู่ อ่อนโยนและเงียบสงบ

แต่ในใจของนางกลับรู้สึกว่ามีอันใดที่ผิดปกติอยู่ตลอดเวลา

นางก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าเป็นปัญหาในจุดใด เพียงแต่ในใจรู้สึกตลอดเวลาว่า หรงซิวไม่ได้เป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยอย่างที่เห็น

ถ้าเขาเป็นคนที่ร่างกายป่วยอ่อนแอจริงๆ ถ้าอย่างงั้นเขาจะเข้าไปในหอคอยจิ่วโยวได้อย่างใด และเขายังสมารถขึ้นไปถึงชั้นที่หก!

สายตาไม่น้อยตกมาอยู่บนตัวของหรงซิว และสายตานั้นก็เต็มไปด้วยความระแวง

แววตาของหรงซิวนิ่งเฉย ก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา

เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ส่งไปถึงหางตา

“ที่ข้าขึ้นไปถึงชั้นที่หกได้นั้นก็เพราะว่าท่านแม่ของข้าเคยขึ้นไปแล้ว”

จักรพรรดิจยาเหวินแสดงสีหน้าตกตะลึง

“เจ้าพูดอันใดออกมา!”

หรงซิวหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากอ้อมอก นั่นคือหยกรูปวงแหวนที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ

มันมีสีเขียวมรกตเหมือนใบที่เพิ่งแตกหน่อในต้นฤดูใบไม้ผลิ ดูใสสะอาด และบนหยกใบนั้นก็มีลวดลายแกะสลับอยู่บนนั้นด้วย

ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองไป เห็นว่าบนนั้นจะมีลวดลายดอกท้ออยู่บนนั้น?

เห็นได้ชัดว่านี่คือจี้หยกที่แกะสลักจากหยกเนื้อดี แต่นอกเหนือจากนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันใดเป็นพิเศษนัก

จากนั้น เมื่อจักรพรรดิจยาเหวินเห็นหยกใบนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนทันที

เขารีบเดินเข้าไป ดูเหมือนว่าอยากจะดูหยกใบนั้นให้ละเอียด แต่เพิ่งจะยื่นมือไปได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็หยุดชะงักทันที ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนั้นบนใบหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินมาก่อน มีทั้งความสับสน งุนงง กังวล และเสียดาย…

เมื่อเหลือบตามองไปก็เห็นจักรพรรดินีที่ยืนอยู่หลังจักรพรรดิจยาเหวินสีหน้าซีดเซียว เหมือนเห็นสิ่งของน่ากลัวอย่างใดอย่างนั้น

นางตกใจกลัวและคาดเดาได้ถึงที่มาของหยกใบนั้นแล้ว

“เจ้า…เจ้าได้หยกใบนี้มาจากไหน?”

จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยปากถามด้วยเสียงสั่นเครือ

“ชั้นที่หก”

หรงซิวพูดเสียงเบา

“ขณะที่เห็นหอคอยจิ่วกำลังถล่มลงมา ลูกก็นึกขึ้นได้ว่าของสิ่งนี้ยังอยู่ในชั้นที่หกจึงรู้สึกกังวลมาก จึงขึ้นไปอย่างไม่กลัวว่าจะถูกรั้งไว้ ถึงแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังดีที่นำของสิ่งนี้กลับมาในสภาพที่สมบูรณ์แบบได้”

“นี่คือของสิ่งแรกที่เขาให้นางด้วยตัวเอง…ต่อมาหลังจากที่นางออกจากวังไปก็ได้นำไปด้วย ข้า…ข้าได้หาของสิ่งนี้มานานหลายปี นึกไม่ถึงว่า…”

จักรพรรดิจยาเหวินเหมือนถูกอันใดบางอย่างมาห้ามเอาไป และพูดอันใด

ไม่ออกทันที

ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจทันที

นี่คือสิ่งของแทนใจของจักรพรรดิจยาเหวินและจักรพรรดินี ไม่แปลกที่ปฏิกิริยาของจักรพรรดิจยาเหวินจะรุนแรงแบบนั้น

เห็นท่าทางแบบนั้นของเขาแล้ว เขาคงจะรักแม่ขององค์ชายเจ็ดอย่างมาก

ได้ยินว่าตอนนั้นแม่ขององค์ชายเจ็ดเป็นที่โปรดปราณของฝ่าบาทมาก แต่ต่อมาไม่รู้ว่าทะเลาะอันใดกับฝ่าบาท จึงถูกไล่ออกจากวังและไปเป็นอาจารย์ในสำนักเทียนลู่แทน

จนถึงตอนที่นางตายไปก็ยังไม่เคยกลับมาที่วังเลยสักครั้ง

ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ถึงได้ไล่จักรพรรดินีออกจากวัง และเก็บสินสอดทุกอย่างกลับคืนด้วย ดูท่าทางแล้วเหมือนจะไม่ได้หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของจักรพรรดิจยาเหวินเลยสักนิด

ดูจากตอนนี้แล้ว ที่จักรพรรดิจยาเหวินดูเป็นห่วงหรงซิวแบบนั้นก็เพราะแม่ขององค์ชายเจ็ดเช่นกัน

หรงซิวเห็นท่าทางของจักรพรรดิหรงซิวแล้ว บนใบหน้ายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม

เพียงแต่เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นรอยยิ้มนี้ กลับรู้สึกแตกต่างจากคนอื่น

เห็นได้ชัดว่าหรงซิวไม่ได้สนใจการตอบสนองของจักรพรรดิจยาเหวินเลยสักนิด

“ก่อนที่ท่านแม่จะเสียชีวิต ท่านได้บอกกับลูกว่า ท่านนำของสิ่งนี้ไปวางไว้ในชั้นที่หกของหอคอยจิ่วโยว แถมยังกำชับอีกว่า…ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ห้ามบอกเสด็จพ่อด้วย ได้โปรดเด็จพ่อทรงอภัยให้ข้าด้วย”

จักรพรรดิจยาเหวินนิ่งไป

“นางก็ยังคงโกรธข้าอยู่…แต่ถึงอย่างใด เจ้าก็เป็นลูกของนาง การที่ไม่บอกข้าก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว สุดท้ายแล้วของสิ่งนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว ถ้าอย่างงั้นต่อไปนี้เจ้าก็ดูแลมันให้ดีแล้วกัน”

พูดจบ จักรพรรดิจยาเหวินก็ถอนหายใจและดูเหมือนว่าแก่ขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวกลับวังก่อนล่ะ”

เมื่อสิ้นเสียงก็ไม่ได้รอให้ใครพูดอันใดต่อแล้วหันหลังเดินจากไปทันที

ส่วนจักรพรรดินีก็ยังคงนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับจิตใจที่ยุ่งเหยิงไปหมด

ไปแล้วหรือ?

ฝ่าบาทกลับไปง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?

เขาไม่ได้กำลังถามว่าหรงซิวขึ้นไปชั้นที่หกได้อย่างใดหรอกหรือ? แค่หรงซิวเอ่ยถึงหยกใบนั้น เขาก็จะไม่ถามอันใดต่อหน่อยเลยหรือ?

จักรพรรดินีหันกลับไปมองจักรพรรดิจยาเหวินที่เดินกลับไปแล้ว จิตใต้สำนึกก็บอกกับนางว่านางควรจะตามกลับไปได้แล้ว

แต่วันนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น นางจึงไม่สามารถควบคุมแรงกระตุ้นในใจของตัวเองได้

จากนั้นนางจึงเอ่ยปากถามต่อ

“หลีอ๋อง หยกใบนี้เป็นของล้ำค่าของท่านแม่หลีอ๋อง เจ้าอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเพื่อนำมันออกมาแบบนี้ ช่างเป็นคนที่กตัญญู และน่าชื่นชมจริงๆ ว่าแต่…ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าท่านขึ้นไปยังชั้นที่หกได้อย่างใด?”

จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นจากด้านข้าง

จักรพรรดินีหันไปยังก็เห็นว่าคนคนนั้นก็คือเยี่ยจือถิง

เขาขยับพัดที่อยู่ในมือ ก่อนจะเอ่ยปากอย่างใจเย็น

“จักรพรรดินี ท่านไม่รู้รึว่าหยกใบนั้นมีพลังจิตอยู่?”

จักรพรรดินีนิ่งไป

“อะ…อันใดนะ?”

“ของสิ่งนั้นถูกวางไว้ในชั้นที่หก หรงซิวมีเลือดเนื้อของท่านแม่ แน่นอนว่าต้องขึ้นไปได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว…”

เดิมทีเยี่ยจือถึงก็รู้สึกสงสัยในใจเช่นกัน

แต่เมื่อเห็นหยกใบนั้นแล้ว ก็เข้าใจทุกอย่างทันที

ทันทีที่เห็นลักษณะท่าทางที่ก้าวร้าวของจักรพรรดินี ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจและพูดอย่างเกียจคร้าน

“ดูแล้วจักรพรรดินีคงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน? แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่เป็นเรื่องระหว่างฝ่าบาทและแม่ของหลีอ๋อง การที่จักรพรรดินีไม่รู้ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”

จักรพรรดินีโมโหจนหน้าซีดเซียว แต่กลับไม่กล้าสบตาเยี่ยจือถิง

ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงจักรพรรดินี แต่แม้แต่จักรพรรดิจยาเหวินก็ยังไว้หน้า และเกรงใจเยี่ยจือถิงมาก แล้วนับประสาอันใดกับตัวเอง?

มีสายตามากมายต้องนางอยู่รอบๆ แบบนั้น นางก็ยิ่งตอบโต้ได้ลำบากมากขึ้นไปอีก

ดูแล้ววันนี้คงจะทำอันใดหรงซิว และฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ คงต้องหาโอกาสหน้าถึงจะถูก

เมื่อนึกแบบนี้แล้ว จักรพรรดินีจึงฝืนยิ้ม

“ขอบใจคำอธิบายของท่านผู้อาวุโสเยี่ยมาก ฝ่าบาทก็กลับไปแล้ว ข้าก็ขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

เมื่อพูดจบแล้ว นางก็รีบหันหลังแล้วตามจักรพรรดิจยาเหวินกลับไป

“เสด็จพ่อรอก่อน”

จู่ๆ หรงซิวก็เอ่ยปาก ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเหมือนหยก

จักรพรรดิจยาเหวินที่เดินไปได้ระยะหนึ่งได้ยินเข้าก็หันกลับมาด้วยความสงสัย

“มีอันใดหรือ?”

หรงซิวรีบเดินเข้าไป

“ลูกมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องท่านพ่อ”

เขายืนอยู่ตรงหน้าพลางยืดตัวขึ้น

เห็นได้ชัดว่าร่างกายเต็มไปด้วยเลือดเลอะเทอะ แต่คิ้วกลับดูแข็งกร้าว และทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงขามโดยไม่รู้ตัว

จักรพรรดิจยาเหวินจึงเอ่ยปากถาม

“มีเหตุอันใดหรือ?”

ริมฝีปากที่บางของหรงซิวยกขึ้น

“ครั้งนี้ เพื่อถูกแม่นางฉู่ช่วยชีวิตจากหอคอยจิ่วโยวไว้ และในใจของลูกนั้นรู้สึกชื่นชมแม่นางฉู่นั้นเป็นเรื่องจริง”

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจทันที

ต่อจากนั้น ก็เห็นว่าชายผู้สูงศักดิ์ และสง่าผ่าเผยได้เหยียดแขนของเขา ยกเสื้อคลุมผ้าขึ้นแล้วคุกเข่าลง

“ลูกชายของเสด็จพ่อไม่มีอันใดจะขออีกแล้ว ในชีวิตข้าแค่อยากจะทำตามสิ่งที่ท่านแม่ได้บอกไว้ว่าหาคนที่จับมือกันและอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า”

“จึงอยากจะร้องขอให้เสด็จพ่อจัดงานแต่งให้ข้า

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *