ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง 57

Now you are reading ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง Chapter 57 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

SB:ตอนที่ 57 อู๋จั่น

จำนวนเกือบหนึ่งพันคนไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย ในสวนเล็กๆของบ้านเขาไม่มีพื้นที่สำหรับคนมากมายเช่นนั้น แม้ว่าลู่หยางอยากช่วย แต่เขาไม่มีอำนาจอะไร และแม้ว่าสวนของบ้านซุนวูจะใหญ่กว่าสวนของเขาหลายเท่า แต่การจะรับคนหนึ่งพันคนเข้าไปอยู่ด้วยนั้นเป็นงานที่ยากลำบากยิ่ง เมื่อเตี่ยซู่ได้ยินว่าชาวบ้านเมืองชิงหยางมาถึงกันแล้ว เขารีบวิ่งไปตามถนนหน้าตำหนักเมฆาม่วงเพื่อจะค้นหาคนรู้จักเพื่อจะถามข่าวเกี่ยวกับบิดามารดาของเขา

“ท่านลุงสง ท่านเห็นพ่อกับแม่ข้าบ้างมั้ย?” เตี่ยซู่มาถึงหน้านายพรานเฒ่าแล้วเขาก็รีบซักถาม

“ตาเฒ่าหลี่! ป้าหวาง! ดูสิ เอ้อโกวจื่อของท่านอยู่ที่นี่!” ลุงสงตะโกนใส่ฝูงชนทันที

คู่ชาย-หญิงวัยกลางคนผมสีดอกเลาเดินเบียดฝูงชนมาทันที คนหนึ่งคือบิดาของเอ้อโกวจื่อนามว่า หลี่ต้าซวง อีกคนหนึ่งคือป้าหวาง

ทันทีที่พบอ้อโกวจื่อ บิดาก็ดุเขา “เอ้อโกวจื่อ เจ้าไปตายที่ไหนมาหลายวันนึ้ ก่อนจะจากมาไม่บอกพวกเราซักคำ พวกเราไม่รู้จะไปตามหาเจ้าที่ไหน!”

หลี่ต้าซวงตบศรีษะของเอ้อโกวจื่อพร้อมด่าว่าอีก “เจ้าเด็กเลว ชักจะเอาใหญ่แล้ว เจ้ากล้าหนีออกจากบ้านเลยรึ?”

เตี่ยซู่บ่นพึมพำ “ท่านพ่อ ท่านแม่ หยุดตีข้าได้แล้ว” “ตอนนี้ข้าเป็นผู้คุมอสูรแล้วด้วย พวกท่านจะเรียกชื่อจริงของข้าจะได้มั้ย””

“อะไรนะ?”  “เจ้าเพิ่งว่ายังไงนะ?” ป้าหวางเกือบจะคิดว่านางฟังผิด

“เจ้าเด็กไม่รักดี!” เจ้าหัดโกหกพ่อของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่!” อารมณ์ของหลี่ต้าซวงเริ่มแรงขึ้น

เขายกแขนขึ้นตีศรีษะเตี่ยซู่

“ท่านพ่อ!”  “ลูกชายท่านไม่ได้โกหกท่าน ตอนนี้ ข้าเป็นผู้คุมอสูรจริงๆ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองถามพี่ชายหยางดู!”

“ลู่หยางอยู่ที่ไหน?”  “เขาช่วยเจ้าหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณจริงเหรอ?”

เตี่ยซู่ตบที่หน้าอกตัวเอง แล้วกล่าวว่า “จริงแน่นอน ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ข้าจะให้สัตว์เลี้ยงสงครามของข้าอุ้มท่านกลับไปบ้าน!”

แต่ทว่า ตอนนี้ บริเวณนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คน เตี่ยซู่ไม่กล้าเรียกหมีตัวใหญ่โตออกมา เขาต้องเบียดหลี่ต้าซวงกับป้าหวางออกไปก่อนถึงจะเรียกอสูรออกมาได้

เมื่อหันไปมองท่านลุงสงผู้โดดเดี่ยวแล้ว เตี่ยซู่เกาศรีษะแล้วพูดกับลุงสงว่า “ท่านลุงสง ทำไมท่านไม่ตามพวกเรากลับบ้านกัน?”

ใบหน้าเหี่ยวๆของลุงสงมีรอยยิ้มใจดี “ช่างเถอะ ข้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว พวกเราดูแลกันและกันได้”

เมื่อได้ยินลุงสงพูดเช่นนั้น เตี่ยซู่ทำได้เพียงพาพ่อกับแม่ของเขาเบียดฝูงชนออกมา หลี่ต้าซวงหันกลับไปมองลุงสง ถึงแม้เขาจะแออัดกันอยู่ในกลุ่มเพื่อนบ้าน แต่เพื่อนบ้านคนอื่นๆต่างพากันจับกลุ่มคุยกัน ไม่มีใครอยู่กับลุงสงเลย

หลี่ต้าซวงถอนหายใจ เขากล่าวว่า “ลุงสงของเจ้าเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ ตั้งแต่ที่เขาติดต่อกับลู่หยาง คนอื่นๆก็พากันมองข้ามเขาไปหมด”

บ้านป้าหวางก็เช่นเดียวกัน มีไม่กี่คนที่แวะไปหาไปเยี่ยมพวกเขา เมื่อสักครู่นี้เองที่เตี่ยซู่พาพ่อกับป้าหวางออกมาต่อหน้าทุกๆคนอีกทั้งยังบอกว่าจะให้พวกเขาขี่อสูรร้ายกลับบ้าน เพื่อนบ้านของพวกเขาที่อยู่บริเวณนั้นพากันอิจฉาซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจ แต่มีเพียงตัวหลี่ต้าซวงกับป้าหวางเองที่รู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแค่ไหน

“จริงๆแล้ว ลุงสงของเจ้าเป็นคนดีคนนึง…”

“พวกคนหัวสูงพวกนี้น่ะ! ทำกับท่านลุงสงแบบนี้ได้ยังไง ถ้าพวกเขารู้ว่าไอ้เฒ่าสารเลวหลี่ซิ่วพ่ายแพ้ให้กับพี่ชายหยางแล้วละก็พวกเขาจะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นแน่!”

“อะไรนะ?!”  “เจ้าว่า ลู่หยางเอาชนะหลี่ซิ่วยังงั้นเหรอ”

ข่าวชัยชนะของลู่หยางแพร่สะพัดไปในหมู่ชาวบ้านเมืองชิงหยาง ผู้ที่มีความสุขที่สุดคือกลุ่มของลุงสงและคนอื่นๆซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเคยไปล่าสัตว์ในหุบเขากับลู่หยาง

“ข้าไม่ได้เคยพูดไว้ก่อนหรอกหรือ เด็กคนนั้นมันมีอนาคต หลี่ซิ่วไอ้ชั่วช้า มันไม่มีอะไร!”

ลุงสงคุยโม้กับฝูงชนอย่างภูมิใจ และในที่สุดเขาก็ได้รับเกียรติของเขากลับคืนมา  เป็นเพราะลู่หยาง เขาเป็นที่เคารพนับถือยิ่งขึ้น ลู่หยางเชื้อเชิญลุงสงมาที่บ้านเพื่อที่จะขอบคุณลุงสงที่ได้ช่วยเหลือเขา

สวนหน้าบ้านที่เคยเงียบเหงากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที อย่างไรก็ดี ข่าวของอสูรบุกเมืองยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของลู่หยางและไม่จางหายไปแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน

เป็นเวลาสองถึงสามวันแล้วที่ลู่หยางได้บรรลุวิชาจารึกจากผู้เฒ่าเฟิง ลู่หยางอยากกลับไปที่ตำหนักเมมฆาม่วงเพื่อจะดูว่าผู้เฒ่าคนนี้ได้นำวิชาฝึกอสูรที่ระดับสูงขึ้นมาหรือไม่ เพราะด้วยวิธีนี้ เตี่ยซู๋จะมีพละกำลังที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเขาจะสามารถปกป้องตัวเองเมื่อกระแสอสูรประชิดเข้ามา

ขณะที่ลู่หยางไปถึงประตูตำหนักเมฆาม่วง คนกลุ่มหนึ้งเข้าล้อมเขาไว้ ทุกๆคนมีความอาฆาตแค้นที่หนักหน่วง ลู่หยางตื่นตัวขึ้นมาทันที

“พวกท่านเป็นใครกัน? พวกท่านจะทำอะไร?!”

คนเจ็ดถึงแปดคนเข้าล้อมลู่หยางไว้ตรงกลาง ต่อมาพวกมันเปิดทางให้ชายหนุ่มแต่งกายฐานะดีเดินออกมาจากฝูงชน

เขาเดินมาหยุดตรงหน้าลู่หยาง ลู่หยางมองหน้าเขาแล้วรู้สึกคุ้นตามาก ในที่สุดเขาก็จำได้

“ท่านใช่คนที่เข้าไปในหุบเขากับหลออู๋ซวงหรือไม่?” ลู่หยางถามขึ้น

พวกเขาเคยพบกันมาก่อนครั้งหนึ่ง ตอนที่พวกเขาอยู่บริเวณรอบนอกของหุบเขาเทวะร่วงหล่น ตอนนั้น ลู่หยางและพรานป่ากำลังจะเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขา แต่กลุ่มของหลออู๋ซวงมาจากทางด้านหลัง เขาเกือบจะถูกชายตรงหน้าผู้นี้ลงแส้ แต่หลออู๋ซวงมาหยุดเขาไว้ก่อน

ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เพียงเพราะลู่หยางจ้องมองพวกเขา พวกเขาเลยเริ่มลงมือ คนประเภทนี้ ลู่หยางไม่ต้องสุภาพด้วย มาบัดนี้ พวกเขาพบกันอีกครั้งหนึ่งและกับบรรยากาศตรงหน้า

“อ่อ! พวกเขาเป็นคนของท่าน” ลู่หยางพูดพร้อมกับโมโหเล็กน้อย

“เจ้ารู้จักข้า?” อู๋จั่นถามเยาะ

พวกลิ่วล้อบางคนรีบสอพลอ “แน่ล่ะ ด้วยชื่อเสียงของนายน้อยอู๋จั่นในเมืองเซียงหยาง มีใครจะไม่รู้จักท่านบ้าง เพียงแต่ข้าไม่นึกเลยว่าบ้านนอกอย่างเจ้าก็รู้จักนายน้อยด้วย!”

“บ้านนอกรึ?”  มุมปากของอู๋จั่นกระตุก เขาว่าต่อ “คนบ้านนอกจริงๆกล้ารุกรานลูกพี่ลูกน้องของข้า”

ลู่หยางเองก็รู้สึกสับสนกับเรื่องที่อู๋จั่นพูด “เขาหมายถึงอะไร? ไปสู้กับลูกพี่ลูกน้องเขา”

“ถ้าท่านมาหาเรื่องข้าเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ข้าก็ยอม แต่อย่ามาใส่ความข้า ข้าไม่แม้แต่จะรู้จักลูกพี่ลูกน้องของท่าน!”

ลู่หยางยืดอกพูด

ในสายตาของลู่หยาง คนประเภทนี้เป็นคนใจแคบ พยายามยกเอาเรื่องลูกพี่ลูกน้องมาอ้างเพื่อจะระบายความโกรธในเรื่องเก่าๆ

“พวกท่านเป็นพวกใจแคบที่ชอบแสดงออกต่อหน้าสาวงาม ท่านรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ลงแส้ใส่ข้าเมื่อครั้งที่แล้วใช่มั้ย?”

อู๋จั่นตกตะลึง เขาเพิ่งจำได้ว่าเขาเคยเห็นเด็กเหลือขอคนนี้มาก่อน เขาถูกแม่นางอู๋ซวงตำหนิก็เพราะลู่หยาง พอคิดถึงตรงนี้ เขายังคงรู้สึกโกรธ

เขายิ้มชั่วร้ายแล้วแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นเจ้าสินะ ข้าโดนแม่นางอู๋ซวงด่าว่า ถ้าเป็นเรื่องนั้น วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป!”

“ถ้าท่านต้องการแก้แค้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ก็แค่พูดออกมา ทำไมต้องเอาเรื่องลูกพี่ลูกน้องมาอ้าง ช่างน่าไม่อาย!”

“ระยำ! มันกล้าไม่ยอมรับ พวกเด็กๆ ลงมือเลย!”

อู๋จั่นตะโกนอย่างดุร้าย อันธพาลเจ็ดถึงแปดคนข้างหลังเขาเข้าล้อมและโจมตีลู่หยางทันที เป็นเพราะสถานที่นี้อยู่หน้าตำหนักเมฆาม่วง พวกมันไม่กล้าทำเสียงอึกทึกมาก พวกมันไม่กล้าเรียกอสูรร้ายออกมา ได้แต่สู้กับลู่หยางด้วยมือเปล่า

“ไอ้หนู ข้าคิดว่าเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร วันนี้ ข้าจะไม่รังแกเจ้าหรือเอาเปรียบเจ้าในแง่ของอสูรร้าย ถ้าเจ้าสามารถอาชนะลูกน้องของข้า……”

ลู่หยางยิ้มเหยียด แน่ล่ะ เขารู้ว่าสหายผู้นี้คิดถึงอะไรอยู่ แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะพูดออกมา นี่มันแค่การต่อสู้ ….ลู่หยางไม่เคยกลัวใครอยู่แล้วเรื่องต่อยตี

เหนือสิ่งอื่นใด พละกำลังสี่หมื่นจินไม่ใช่อะไรที่จะมาโอ้อวดกัน อีกทั้งเขามีความสามารถเฉพาะตัวสามอย่างที่เขาจะจัดการได้ ลู่หยางไม่เคยกลัวพวกมันเมื่อต้องสู้ด้วยมือเปล่าเพียงลำพัง

“แล้วจะยังไงถ้าข้าชนะลูกน้องของท่านทั้งหมด?”

“ตลกแล้ว! เป็นไปไม่ได้! ลูกน้องเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้คุมอสูร พวกเขายังเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดในระยะหนึ่งร้อยไมล์ สมรรถนะทางร่างกายของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้คุมอสูรธรรมดาๆจะเปรียบเทียบได้ พวกเขาทั้งหมดได้ผ่านการฝึกที่พิเศษ และพละกำลังของพวกเขามีมากกว่าหนึ่งหมื่นจิน ถึงแม้ว่ากำลังของพวกเขายังไม่ถึงผู้คุมอสูรขั้นกลาง แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนที่พิเศษ กำลังของพวกเขาสามารถเทียบได้กับผู้คุมอสูรขั้นกลางแล้ว”

ถ้าทั้งแปดคนนี้ร่วมมือกัน แม้แต่ตัวอู๋จั่นเองก็ยากที่จะต้านทานได้ เขาไม่เชื่อว่าลู่หยางจะเอาชนะลูกน้องของเขาได้

“ไอ้หนู เจ้าควรจะสู้กันซึ่งๆหน้าอย่าคิดตุกติก เด็กบ้านนอกก็ยังเป็นเด็กบ้านนอก!”

“ท่านจดจำคำพูดของท่านไว้!” ลู่หยางพูดกับตัวเองเงียบๆ

ลู่หยางกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของอู๋จั่น ตอนนี้ในอกของลู่หยางอัดแน่นไปด้วยความโกรธ ในที่สุดลูกบอลเพลิงก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือของลู่หยาง ก่อนที่พวกลูกน้องจะทันตั้งตัว ลูกบอลเพลิงก็ระเบิดใส่หน้าพวกมัน เปลวเพลิงนับไม่ถ้วนปะทุออกมาเผาไหม้ตามตัวของพวกมัน

ด้วยเพลิงสีชาด ลูกน้องสามคนตกอยู่ในกองเพลิง

อู๋จั่นตาเบิกโพลงมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ นักสู้ที่เขาภูมิใจมากที่สุดสามคนพ่ายแพ้แล้วในพริบตาเดียว ….แล้วไอ้ลูกไฟนั่นมันคืออะไร ในโลกนี้ ข้ายังไม่เคยได้ยินเรื่องเวทมนตร์มายากลอะไรเลย ใช่มั้ย?

อู๋จั่นเพิ่งจำได้เดี๋ยวนี้เองที่ลูกพี่ลูกน้องเขาเคยพูดไว้ว่าให้ระวังลู่หยางให้ดี ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตัวเอง เขาจะเชื่อได้ยังไงว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด