หมอดูยอดอัจฉริยะ 424 แดนสุขาวดี

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 424 แดนสุขาวดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 424 แดนสุขาวดี

ตำแหน่งตรงหน้าปากถ้ำกว้างกว่าข้างในเล็กน้อย เยี่ยเทียนเบี่ยงตัว ให้หูหงเต๋อมายืนกับตัวเอง

“ที่…ที่นี่คือที่ไหน?” เมื่อเห็นลักษณะภายนอกถ้ำ หูหงเต๋อจึงตกตะลึง ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ตัวถ้ำห่างจากพื้นดินประมาณสิบเมตร แต่ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าทั้งสองคน คือหุบเขาที่เว้าเข้าไป มีขนาดประมาณสามถึงสี่พันตารางเมตร มีหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมล้อมรอบ โอบล้อมภูเขาแห่งนี้เอาไว้

นอกจากนี้ยังมีต้นผลไม้พุ่มเตี้ยมากมายอยู่กลางหุบเขา และมีผลไม้อยู่เต็มพื้น พื้นหญ้าสีเขียวขจี ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เยี่ยเทียนทั้งสองคนคงคิดว่าอยู่ในความฝัน

ตรงกลางหุบเขามีบ่อน้ำพุร้อนทรงกลมขนาดเจ็ดถึงแปดสิบเมตร พร้อมกับฟองน้ำที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา จนเกิดเสียง “กูรู กูรู”

เนื่องจากเป็นหุบเขาปิด จึงทำให้น้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเช่นนี้แผ่กระจายความร้อนออกมา และลอยขึ้นไปข้างบน และถูกบังด้วยอากาศที่หนาวเย็นเข้ากระดูกที่อยู่ภายนอก จึงทำให้กลายเป็นพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว

และข้างๆ ของป่าไม้นั่น ยังมีเสาไม้ทำเป็นบ้านยกสูงจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรที่ข้างบนยังไม่ได้ลอกเปลือกไม้ออก และภายใต้ความชุ่มชื่นของอุณหภูมิความร้อนของน้ำพุ จึงยังคงรักษาสภาพความเขียวสดเอาไว้ได้

เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ต้นสนที่อยู่บนหน้าผาสูงชันยังมีหิมะขาวปกคลุม ความแตกต่างราวฟ้ากับดิน ทำให้คนรู้สึกทึ่งกับความมหัศจรรย์ที่สรรค์สร้างจากธรรมชาติจริง!

และสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตื่นเต้นสนใจมากที่สุด ก็คือความพอเพียงของพลังจักรวาลที่แปลกประหลาดภายในหุบเขา และยังมีความบริสุทธิ์มาก เหมือนกับมีคนสร้างค่ายกลเอาไว้ เพื่อพันธนาการพลังจักรวาลให้อยู่ในที่แห่งนี้

“เหล่าหู ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวของเมิ่งตาบอด?”

เมื่อดูทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงพูดพึมพำ “บัดซบ ตาแก่หาสถานที่ได้ดีจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าเขาหาสถานที่แบบนี้เจอได้อย่างไร?”

และดูจากร่องรอยตอนที่เข้าไปในถ้ำนั้นก็พอจะมองออกว่า ตอนแรกปากถ้ำนี้น่าจะเล็กมาก แต่ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากเมิ่งตาบอดจึงทำให้คนสามารถผ่านไปได้ จึงคิดว่ายังไม่มีใครรู้สถานที่แห่งนี้

ความจริงตอนแรกเมิ่งตาบอดวิ่งไล่ตามจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งมาที่นี่ และจิ้งจอกขาวตัวนั้นก็มุดเข้าไปในถ้ำและหายไปเลย เมิ่งตาบอดจึงสร้างกับดัก และรอห้าวันเต็มอย่างยากลำบาก ก็ไม่เห็นจิ้งจอกขาวออกมาอีก

จึงทำให้เมิ่งตาบอดรู้สึกแปลกใจมาก เขาไม่ทานอะไรมาห้าวัน เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นก็ต้องหิวตายแล้ว เขาจึงมุดเข้าไปในถ้ำด้วยความสงสัย แล้งจึงพบแดนสุขาวดีแห่งนี้

นับจากวันนั้น เมิ่งตาบอดจึงสร้างที่นี่เป็นที่ซ่อนตัวลึกลับของตัวเอง ไม่เพียงแต่สร้างกระท่อมในหุบเขา เขายังตุนอาหารและของกินไว้มากมาย กระทั่งเงินที่เขาหามาหลายปีก็ยังเอามาไว้ที่นี่

เพียงแต่เมิ่งตาบอดต้องเสียเวลาในการสร้างนานกว่าสิบปีถึงจะสร้างที่อยู่ของตัวเองเสร็จ เมื่อเขาตายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรืออาจจะพูดว่าทำให้เยี่ยเทียนสองคนเสียเวลา!

เมื่อสัมผัสถึงพลังจักรวาลที่เข้มข้นที่อยู่ในหุบเขา เยี่ยเทียนจึงอดใจไม่ไหวแล้ว จากนั้นจึงผลักหูหงเต๋อเบาๆ

“ไป ลงไปดูข้างล่างกัน”

เพื่อการเข้าออกที่สะดวก เมิ่งตาบอดได้ทำบันไดไม้ติดกับกำแพงหินนอกถ้ำ จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินไปตามท่อนไม้แล้วลงไปในหุบเขา

เมื่อเหยียบลงบนหญ้าที่เขียวขจี จึงสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มที่ฝ่าเท้า แล้วจึงนึกถึงหิมะบนภูเขาที่อยู่นอกถ้ำ จึงรู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนดินแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน

นอกจากนี้รอบๆ น้ำพุร้อนยังมีต้นซานจา พุทราอ่อน กีวี แล้วก็ยังมีลูกพลัมจากจีนทางเหนืออีกด้วย ผลไม้บนต้นที่เน่าแล้ว ก็จะตกลงมาบนพื้นกินกลายเป็นปุ๋ย ทำให้เกิดระบบนิเวศที่ดีอย่างหนึ่ง

“โอ้ว ทำไมน้ำร้อนขนาดนี้?”

เยี่ยเทียนเดินมาถึงริมบ่อน้ำพุร้อน แล้วจึงยื่นมือไปลองวัดอุณหภูมิในสระ แค่ยื่นมือเข้าไปก็ต้องรีบชักกลับมาทันที เมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้ชี่แท้ป้องกัน จึงทำให้หลังมือบวมแดงไปหมด

หูหงเต๋อก็เลียนแบบเยี่ยเทียนเอามือไปวัดอุณหภูมิในน้ำ แล้วจึงเงยหน้าพลางพูดหัวเราะ “เยี่ยเทียน น้ำพุร้อนของภูเขาฉางไป๋ซานสามารถต้มไข่ให้สุกได้และสามารถต้มให้สุกได้ในขณะนั้น แต่น้ำพุร้อนของที่นี่เกรงว่าจะมีอุณหภูมิสูงกว่าเจ็ดถึงแปดสิบองศาเสียอีก”

เยี่ยเทียนมองดูหุบเขาที่มีลักษณะเป็นวงกลมนี้ พลางคิดในใจแล้วพูดออกมา “อย่างนั้นที่นี่น่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ เพียงแต่ทำไมถึงถูกห่อหุ้มอยู่ภายในกำแพงหิน?”

“ไปใส่ใจมันมากทำไม เยี่ยเทียน ไป เข้าไปดูกระท่อมที่เมิ่งตาบอดสร้างดีกว่า!”

หูหงเต๋อกลับไม่ได้คิดถึงต้นสายปลายเหตุเหมือนเยี่ยเทียน เพราะความแปลกประหลาดในภูเขาฉางไป๋ซานนั้นมีมากมาย หลังจากเกิดเรื่องสั่นสะเทือนในตอนแรก เขาจึงเห็นจนชินแล้ว

ก่อนที่จะมาถึงกระท่อม ใบหน้าของหูหงเต๋อก็เกิดความสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงใช้มือลูบไปที่ไม้ แล้วพูด “สุดยอด เยี่ยเทียน นี่คือต้นวอลนัตนะ!”

เห็นได้ชัดว่าเมิ่งตาบอดทุ่มเทเป็นอย่างมาก วัสดุไม้ที่ใช้ในการสร้างกระท่อมกับใช้ไม้ของต้นวอลนัตที่อยู่ในหุบเขา

เนื้อของไม้วอลนัตมีความแข็งมาก อีกทั้งยังอดทนต่อการดัดงอและการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม แม้ว่าในหุบเขาจะมีหมอกควันตลอด แต่ก็ไม่ถูกกัดกร่อนจนเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย

ต้องรู้ก่อนว่าไม้วอลนัตมักจะใช้ในงานแกะสลักและทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง แต่กระท่อมที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับใช้ไม้วอลนัตสร้างขึ้นมาทั้งหลัง ถ้าหากเอาไปวางข้างนอก ก็คงจะเป็นกระท่อมที่มีราคาแพงหูฉี่

“เหล่าหู น่าเสียดายที่เมิ่งตาบอดไม่ได้เป็นช่างไม้” เยี่ยเทียนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องไม้วอลนัตเท่าไร เขาแค่รู้สึกว่ากระท่อมหลังนี้สร้างได้ดีมาก

“ไปกันเถอะ เข้าไปดูข้างใน!” เมื่อเดินขึ้นบันไดไม้ขั้นที่สาม เยี่ยเทียนจึงผลักประตูไม้ออก

บึงน้ำมังกรดำคือสถานที่ที่อันตรายของภูเขาฉางไป๋ซาน อย่าว่าแต่คน แม้แต่สัตว์ก็ไม่กล้าเข้ามาที่นี่ แต่เมิ่งตาบอดไม่ได้สร้างกับดักเอาไว้ กระทั่งไม่สร้างกลอนประตู

กระท่อมแบ่งเป็นสามห้อง ทุกห้องเชื่อมต่อถึงกัน โดยมีแผ่นไม้กั้นตรงกลาง มีเตียงวางอยู่ห้องที่อยู่ด้านนอกสุด ตรงหัวเตียงมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่งและมีตะเกียงน้ำมันวางอยู่บนโต๊ะ และมีดล่าสัตว์กับมีดหั่นแขวนอยู่บนผนัง

หลังจากจุดไฟน้ำมันตะเกียงแล้ว ทั้งสองคนจึงเห็นกล่องไม้สีแดงเข้มสามอันเรียงกันอยู่ใต้เตียง และห้องอื่นๆ ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ อีก เยี่ยเทียนจึงนั่งลงยองๆแล้วใช้มือคลำไปบนพื้น ฝุ่นไม่เยอะจนเกินไป แสดงว่าเมิ่งตาบอดต้องมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้

หลังจากผลักประตูอีกสองห้อง จึงมีกลิ่นของเสบียงอาหารแห้งมาเตะจมูกทั้งสองคน และเสบียงอาหารเหล่านี้ถูกพลาสติกขนาดใหญ่มัดอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้อากาศชื้นภายนอกแทรกเข้ามา

นอกจากเสบียงอาหารแล้ว ภายในอีกห้องหนึ่งยังวางเนื้อแห้งเต็มไปหมด ล้วนแต่หมักด้วยเกลือทั้งนั้น สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้หนึ่งถึงสองปีอย่างไม่มีปัญหา

“ถ้าหากอีตานี่เข้ามาซ่อนตัวที่นี่จริง ถึงไม่ได้ออกไปข้างนอกสองสามปีก็คงไม่อดตาย!”

เมื่อมองดูสิ่งของที่อยู่ภายในกระท่อมแล้ว หูหงเต๋อจึงสายหน้า ถ้าไม่ใช่คนเลวจอมเจ้าเล่ห์ เขาจะมัวเสียเวลามากมายในยุคที่สงบสุขตอนนี้แล้วกักตุนของพวกนี้ไปทำไม?

“ลองดูในกล่องสิว่ามีอะไร?”

เยี่ยเทียนเดินไปข้างเตียงแล้วจึงยื่นมือไปจับมาหนึ่งกล่อง ตัวกล่องก็ทำมาจากไม้วอลนัตเหมือนกัน เกรงว่าเดิมทีต้นวอลนัตที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ จะถูกเมิ่งตาบอดตัดจนหมดแล้ว

“บัดซบ เงินเยอะขนาดนี้เชียว?”

เมื่อเปิดกล่องดู เยี่ยเทียนจึงอดพูดคำหยาบออกมาไม่ได้ ภายในกล่องที่กว้างประมาณห้าสิบเซ็นติเมตรและยาวประมาณหนึ่งเมตร ล้วนมีแต่พันธบัตรใบใหญ่ซ้อนทับกันเป็นตับอยู่เก็บไว้ในถุงกระดาษพลาสติก

และบนพันธบัตรก็ยังมีทองแท่งหกแท่งเหลืองอร่ามขนาดเท่าปลาเหลืองวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และของสิ่งนี้ก่อนจะอยู่ในช่วงปลดปล่อยก็เป็นเงินตราสกุลแข็ง ซึ่งไม่รู้ว่าเมิ่งตาบอดเอามาจากไหน?

เยี่ยเทียนพยายามคาดคะเนเงินที่อยู่ในกล่อง และนึกถึงหูหงเต๋อที่มอบคฤหาสน์หลังนั้นให้หลานสาว แล้วจึงพูดอย่างโกรธเคือง “ในนี้น่าจะมีอยู่สี่ล้าน เหล่าหู คนที่อยู่ในภูเขาอย่างพวกคุณมีเงินเยอะขนาดนี้เชียว?”

ในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดนี้คนที่มีเงินสี่ล้านแบบนี้ ไม่ว่าไปที่เมืองไหนก็จะถูกเรียกว่าเศรษฐี ทว่าเมิ่งตาบอดทำธุรกิจก็ว่าไปอย่าง เป็นแค่คนที่อยู่ในภูเขา แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนรวยของจริง

หูหงเต๋อส่ายหน้าแล้วพูด “สองสามปีที่ผ่านมานี้เงินหาง่ายหน่อย ถ้ารอหลังจากสิบปีผ่านไป แม้ว่าเธอจะขุดโสมคนออกมาขาย ก็ขายได้ไม่เท่าไรหรอก”

ในยุคของการจัดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เอกชนไม่สามารถซื้อขายวัสดุยาได้ มิฉะนั้นจะถูกตัดสินว่าคุณค้าขายอย่างเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นคนที่นำโสมคนที่เป็นยาล้ำค่าออกมานั้น จึงได้แต่ขายให้ประเทศและเป็นราคาต่ำจนน่าตกใจ

แต่คนอย่างหูหงเต๋อ จะยอมเก็บยาไว้กับมือโดยไม่ขาย ดังนั้นตอนที่เปิดตลาด มูลค่าของพวกมันจึงสูงขึ้นไปด้วย

ในภูเขาฉางไป๋ซานเมิ่งตาบอดขึ้นชื่อว่าเป็นนักขุดโสมคนตัวยง ของล้ำค่าที่เขาขุดมาได้ก็ไม่น้อยกว่าหูหงเต๋อ และที่เขามีเงินขนาดนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

เยี่ยเทียนจึงมีความคิด จากนั้นจึงนำกล่องที่มีเงินผลักไปอยู่ตรงหน้าหูหงเต๋อแล้วพูด “เหล่าหู ผมไม่ต้องการเงินเหล่านี้ แต่ของที่อยู่ในกล่องอีกสองอัน ถ้ามีของที่ผมชอบคุณห้ามแย่งผมนะ!”

“เธอนี่ไม่ยอมเสียเปรียบเลยนะ ของที่อยู่ในกล่องนั่นไม่น่าจะมีของมีค่าอะไร?” หูหงเต๋อได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมาทันที ในใจก็ไม่ไม่ได้สนใจอะไร อีกอย่างเมิ่งตาบอดก็ถูกเยี่ยเทียนจัดการ ดังนั้นของเหล่านี้จึงต้องเป็นของเยี่ยเทียนทั้งหมดอยู่แล้ว

“เหล่าหู รีบมาดูเร็ว ของสิ่งนี้เป็นของจริงหรือของปลอม?” ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ตอนที่เยี่ยเทียนเปิดอีกกล่องหนึ่ง ลมหายใจของเขาก็หายใจถี่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ในกล่องใบนี้วางวัตถุไว้สี่อย่าง นอกจากโถลายครามสามอันแล้ว ตรงกลางกล่องมีเห็ดหลินจือแห้งที่มีขนาดเท่ากับพัดที่ทำมาจากต้นปาล์ม ผิวสีน้ำตาลแดง สีสันสวยงาม ความยาวของตัวเห็ดยาวเกือบครึ่งเมตร

จากตำนานของนักบวชลัทธิเต๋า เห็ดหลินจือสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ เป็นยาที่ได้ผลดีชะงัด มีพลังมหัศจรรย์ จึงได้ชื่อว่าหลินจือหรืออีกชื่อหนึ่งว่า “ยาอายุวัฒนะ” หรือถูกขนานนามอีกอย่างว่า “หลิงจือฉ่าว” ในตำรายาของหลี่ซั่นหยวนโดยทั่วไปก็จะใช้ของสิ่งนี้

“แน่นอนว่าเป็นของจริง เห็ดหลินจือนี้หากนับจากปีแล้วน่าจะมีอายุประมาณสามร้อยปี ถือว่าเป็นของล้ำค่ามาก เยี่ยเทียน แต่ของที่อยู่ในโถนี้น่าจะมีราคาแพงกว่าหลินจืออีกนะ!”

สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซาน ถึงแม้หลินจือจะเป็นสิ่งที่หายาก แต่ในภูเขาก็สามารถเห็นได้เยอะมาก ตอนนี้สายตาของหูหงเต๋อกลับจ้องมองไปที่โถลายครามทั้งสามนั้นตาไม่กระพริบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด