หมอดูยอดอัจฉริยะ 937 หนึ่งร้อยปีผ่านไปเพียงแวบเดียว

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 937 หนึ่งร้อยปีผ่านไปเพียงแวบเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ศิษย์น้องเล็ก เธอไม่เป็นไรนะ!”

หลังจากมังกรดำหายไปแล้ว เยี่ยเทียนก็จ้องมองพื้นที่ที่ปิดสนิทไปแล้วตลอดเวลา โก่วซินเจียจึงคิดว่าเขาคงจะเสียใจ จึงรีบพูดว่า

“วันหลังพวกเราก็จะได้ไปอยู่ที่นั่น ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องกังวลหรอก!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้!”

เยี่ยเทียนได้สติกลับมา แล้วจึงยิ้มพลางโบกมือ ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา เรื่องใดที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีทางเสียใจ นับประสาอะไรกับตัวเองที่ยังอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ และการฝึกจิตนั้นก็สำคัญเป็นอย่างมาก ก็เหมือนอย่างใน ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่มีการพัฒนาอะไร แต่จิตแห่งหยางของเขานั้นกลับกระชับแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อครู่ที่เยี่ยเทียนลืมสติ เป็นเพราะมังกรดำส่งข้อมูลบางอย่างให้เขา ในนั้นนอกจากจะมีเขตแดนของพื้นที่การบำเพ็ญตบะของปีศาจแล้ว ยังมีการแนะนำและตำแหน่งที่เป็นจุดเชื่อมต่อต่างๆ ของพื้นที่อีกสองสามแห่ง

หนึ่งในเขตแดนที่อยู่ในนั้น เยี่ยเทียนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่นั่นมีปราณวิเศษที่เต็มเปี่ยมแต่มีผู้ฝึกตนน้อยมากมีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเขตแดนแห่งทวยเทพหลายเท่า จึงทำให้เยี่ยเทียนหวั่นไหวเล็กน้อย เพราะการเลือกของเขาหลังจากนี้ไม่ได้มีแค่เขตแดนแห่งทวยเทพเพียงอย่างเดียว

“พ่อครับ ต่อไปพ่อก็จะไปที่นั่นเหมือนกันใช่ไหมครับ?”

เด็กอายุสิบกว่าขวบก็รู้เรื่องมากมายแล้ว เยี่ยชิวน้อยจึงมองพ่อด้วยความกังวล เพราะวันนี้เขาเพิ่งรู้ว่า พ่อที่ชอบเถียงกับคุณปู่คุณย่าบ่อยๆ และอยู่บ้านเฉยๆ ที่แท้ก็เป็นบุคคลที่เหมือนกับเทวดาคนหนึ่ง ทำให้เด็กน้อยไม่สามารถปรับตัวได้ทันในเวลาอันรวดเร็ว

“พ่อไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่คุณย่าของหนูแล้วก็แม่ของหนูด้วย”

เยี่ยเทียนลูบศีรษะของลูกชาย เพราะมีบางสิ่งก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับเด็ก รอให้เขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนก่อน จากนั้นเขาก็จะเข้าใจโลกของผู้ฝึกตนเอง

การรับเคราะห์ของมังกรดำนำมาซึ่งความสั่นสะเทือนให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาได้เห็นโลกอีกใบหนึ่ง แม้แต่เหลยหู่ที่ไม่สนใจเรื่องการฝึกวรยุทธ ก็เริ่มส่งมอบงานที่อยู่ในสำนักเสื้อป่านให้กับเด็กกำพร้าที่รับมาเลี้ยงแล้ว จากนั้นตัวเองก็เริ่มเก็บตัวถือศีล

ส่วนเยี่ยเทียนนั้นก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเรือนสี่ประสานในปักกิ่ง ใช้ชีวิตธรรมดาและสงบสุข นอกจากการฝึกเขียนพู่กันจีนแล้ว เขาก็ชอบทำอาหาร ดังนั้นจึงรับหน้าที่พ่อครัวใหญ่ของบ้านมาจากป้าใหญ่ที่มีอายุมากกว่าแปดสิบปี

เยี่ยเทียนจะถือตะกร้าผักไปซื้อผักที่ตลาดทุกเช้าของทุกวัน และเพื่อเงินเพียงเล็กน้อยเขาก็สามารถถกเถียงกับพ่อค้าขายผักได้นานครึ่งค่อนวัน เมื่อเห็นคนในบ้านชื่นชมฝีมือการทำอาหารของตัวเอง เยี่ยเทียนจึงมีรอยยิ้มชื่นบานบนใบหน้าของเขาของเขาบ่อยๆ

เผลอแวบเดียวก็ผ่านไปสิบปีกว่า เยี่ยเทียนก็อายุสี่สิบกว่าแล้ว ความสดใสและอ่อนเยาว์บนใบหน้าสมัยหนุ่มๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมคนหนึ่ง เขาไม่ต่างจากหัวหน้าครอบครัวของครอบครัวธรรมดาทั่วไป เวลาพูดคุยกับพ่อแม่และภรรยา ส่วนใหญ่จะชอบพูดถึงลูกชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเสมอ

เยี่ยตงผิงและภรรยาก็อายุเจ็ดสิบกว่าปี เห็นได้ชัดถึงความแก่ชรา แต่ถือว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่ สองสามีภรรยาสูงอายุยังเคยไปเที่ยวรอบโลกเมื่อปีที่แล้ว เมื่อได้ท่องเที่ยวไปหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้จิตใจเป็นหนุ่มเป็นสาวมากขึ้น

แต่ปีนี้ ซ่งเฮ่าเทียนถึงแก่กรรมเมื่ออายุหนึ่งร้อยแปดปี สำหรับประเทศนี้ได้ให้การประเมินที่สูงสุดสำหรับชีวิตเขา และผู้นำสูงสุดของประเทศทั้งสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็มาร่วมงานไว้อาลัยเขา ถือว่าเป็นการยกย่องที่สูงมาก

การจากไปของซ่งเฮ่าเทียนเป็นการแสดงถึงการสิ้นสุดของบุคคลในยุคนั้น และสองปีต่อมา ถังเหวินหย่วนก็เสียชีวิตที่ฮ่องกงด้วยอายุหนึ่งร้อยสิบปี เยี่ยเทียนที่ไม่เคยออกจากเมืองปักกิ่งตลอดเวลาสิบปีก็ได้มาที่ฮ่องกง เพื่อมาร่วมงานศพของถังเหวินหย่วน

ตอนนั้นถังเสวี่ยเสวี่ยที่ป่วยด้วยโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาด เวลานี้กลายเป็นคุณหญิงที่แต่งงานแล้ว และมีลูกชายอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีแล้วเช่นกัน แต่ถังเสวี่ยเสวี่ยก็ยังคงผูกพันกับพี่ชายในตอนนั้นเหมือนเดิม เธอลากเยี่ยเทียนมานั่งคุยหวนรำลึกเรื่องในอดีตตลอดช่วงบ่าย

หลังจากร่วมงานศพของถังเหวินหย่วนแล้ว เยี่ยเทียนจึงรับพวกลูกศิษย์ไปสำนักใหญ่ของสำนักเสื้อป่านที่อยู่ในฮ่องกง สำนักเสื้อป่านในเวลานี้ กลายเป็นองค์กรการกุศลระดับนาชาติไปแล้ว จึงได้รับชื่อเสียงที่สูงมากในประ เทศต่างๆ

แน่นอนว่า ประโยชน์สำคัญของการดำรงอยู่ของสำนักเสื้อป่านนั้น คือการถ่ายทอดบุคคลที่มีความสามารถต่างๆ ของสำนักเสื้อป่านให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้คนที่เป็นหางเสือของสำนักเสื้อป่าน เยี่ยเทียนได้มอบให้กับเจียงซานลูกศิษย์คนที่สามของเขา และเมื่อสิบปีก่อน เยี่ยเทียนก็ได้มอบตำแหน่งหัวหน้าสำนักเสื้อป่านให้กับเธอแล้ว

เจียงซานก็ไม่ทำให้เยี่ยเทียนต้องผิดหวัง เธอที่อายุไม่ถึงสี่สิบปี บัดนี้ได้เป็นประธานสมาพันธ์อี้จิงระดับนานาชาติไปแล้ว เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในด้านวัฒนธรรมศาสตร์วิชาลี้ลับ และยังสามารถเผยแพร่วิชาการทำนายดูดวงโชคชะตาของโจวอี้ของประเทศจีนไปยังโลกตะวันตกได้สำเร็จ

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันตก หากพูดถึงการทำนายโชคชะตา ก็จะเข้าใจว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่ง และไม่มีใครเอาไปเปรียบเทียบกับระบบไสยศาสตร์ศักดินาอะไรอีก สาขาของสำนักเสื้อป่านที่ปรากฏในประเทศต่างๆ มากมาย ก็เหมือนกับการทำนายดวงโชคชะตาเช่นกัน และกลายเป็นประเพณีวัฒนธรรมที่พิเศษเฉพาะตัวไม่น้อยในชีวิตประจำวันของผู้คนมากมายไปแล้ว

ถึงแม้ต้นกำเนิดของสำนักเสื้อป่านจะมาจากประเทศจีน แต่กลับได้รับความเจริญรุ่งโรจน์ในฮ่องกง บรรดาลูกศิษย์ส่วนใหญ่จึงอาศัยอยู่ในฮ่องกง การมาของเยี่ยเทียนจึงทำให้เกิดการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของสำนักเสื้อป่าน แม้แต่โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นที่ไปท่องเที่ยวที่ไหนมาก็ไม่รู้ก็ยังต้องกลับมา

“เธอทำได้ดีกว่าฉันมาก!”

หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ที่ไหล่เขาแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดประโยคนี้กับเจียงซาน ที่เขาอุทิศตนมากกมายเพื่ออาจารย์ บางทีก็เพื่ออยากจะรับเจียงซานเป็นศิษย์ แบบนี้ถึงจะทำให้ความฝันของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนกลายเป็นความจริง

“อาจารย์ ท่านแก่แล้ว!”

เมื่อกราบเป็นศิษย์ของสำนักเยี่ยเทียนมานานกว่ายี่สิบปี ต่างฝ่ายต่างมีความสนิทสนมเหมือนกับคนในครอบครัว เจียงซานพบว่า รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเยี่ยเทียนเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อสองสามปีก่อน พร้อมกับแววตาที่แสดงความรู้สึกของผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็ก หลายปีที่ผ่านมานี้เธอไม่ได้ฝึกวรยุทธเลยใช่ไหม?”

โก่วซินเจียมองดูเยี่ยเทียนแล้วจึงขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะการฝึกเต๋านั้นก็เหมือนกับการพายเรือทวนกระแสน้ำ การฝึกจิตในโลกมนุษย์ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งร่างกายที่ฝึกวรยุทธของตัวเองนี้ และด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว เวลาและอายุไม่สมควรมีร่องรอยเหล่านี้อยู่บนใบหน้าของเขา

ต่อให้เป็นโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาจะไม่ได้ฝึกวรยุทธอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ยังรักษาสภาพของคนอายุสี่สิบกว่าปีเอาไว้อยู่ ถ้าหากพวกเขาคิดอยากจะลดอายุให้หนุ่มกว่านี้อีกสิบปีก็ไม่ใช่ปัญหา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมยังเป็นหนุ่มเหมือนเดิม จึงควรจะมีประสบการณ์ของการเกิดแก่เจ็บตายบ้าง!”

เยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมา การฝึกมหามรรคแห่งอายุวัฒนะไม่ควรถือสาเรื่องของความตาย บนโลกใบนี้มีเกิดก็ต้องมีตาย นี่คือสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ความตายก็เหมือนกับโอกาสในการรอดชีวิต ทุกปีเวลาที่ต้นไม้แก่ในเรือนสี่ประสานเฉาตายก็จะมีการงอกขึ้นมาใหม่ และมักจะทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเสมอ

“ก็จริง ความงดงามก็เป็นเหมือนก้อนเมฆที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป!”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา

ทั้งชีวิตของโก่วซินเจียถือว่าเจอมรสุมามากมาย ประสบเหตุการณ์ใหญ่สำคัญของประวัติศาสตร์มามาก เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนจึงเห็นแจ้งเกี่ยวกับความเป็นความตายของโลกมนุษย์มานานแล้ว เขาจึงมีจิตใจที่สูงกว่าเยี่ยเทียนอย่างมากในเวลานี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะได้รับการควบคุมกฎแห่งฟ้าดินของโลกล่ะก็ เกรงว่าวรยุทธของโก่วซินเจียน่าจะตามเยี่ยเทียนทันแล้ว

“ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นเพราะผม จึงทำให้พวกท่านต้องลำบาก!”

เยี่ยเทียนยังคงรู้สึกละอายใจต่อโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นมาตลอด ตอนนี้พวกเขามีวรยุทธระดับเซียนเทียน มีอายุขัยสองร้อยกว่าปี แต่เนื่องจากต้องรอตัวเอง จึงทำให้วรยุทธไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้เข้าสู่เขตแดนฝึกตนในภายหลัง แต่ก็เกรงว่าพวกเขาไม่อาจจะบรรลุขั้นจินตันได้

“ศิษย์น้องเล็ก อย่าพูดแบบนี้เลย ศิษย์พี่มั่นใจว่า วันหลังจะต้องสำเร็จไม่น้อยไปว่าเธอแน่นอน!”

โก่วซินเจียได้ยินแล้วจึงโบกมือ ที่เขาพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นการปลอบใจเยี่ยเทียน แต่พูดออกมาจากใจจริง เพราะเวลานี้จิตใจของเขาได้สูงกว่าวรยุทธของเขาไปมากแล้ว ขอเพียงได้สถานที่ที่มีปราณวิเศษเต็มเปี่ยม เขาก็สามารถบรรลุระดับจินตันขั้นปลายได้โดยตรง

“ครับ รอผมช่วยดูแลพ่อกับแม่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วพวกเราศิษย์พี่น้องก็จะบุกไปยังโลกของการฝึกตนด้วยกัน!”

เยี่ยเทียนพยักหน้าจริงจัง เมื่อผ่านการฝึกฝนจิตใจในช่วงยี่สิบปี่ที่ผ่านมา เขาจึงมั่นใจที่จะฝ่าด่านการลงทัณฑ์จากสวรรค์ได้มากกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้จะไม่มีกายเนื้อที่เปลี่ยนไปเหมือนกับมังกรดำ แต่เยี่ยเทียนเชื่อมั่นว่า อัตราความสำเร็จของการผ่านเคราะห์นี้ก็มีมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย

เวลาคือนักฆ่าชีวิตของทุกสิ่ง เวลาที่ผ่านไปมีการล้มหายตายจากไปมากมาย ไม่ว่าเมื่อก่อนคุณจะเป็นผู้มีอิทธิ พลมากแค่ไหนหรือเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาก็ตาม หลังจากตายไปแล้วก็กลับสู่ดินเช่นเดิม แล้วผู้คนก็จะเริ่มลืมคุณไปอย่างช้าๆ

หลังจากสามสิบปีผ่านไป ผู้อาวุโสอย่างประธานาธิบดีเยวี่ยก็ได้จากไปเช่นกัน มีการโยกย้ายตำแหน่งทางการเมืองระดับประเทศ และก็ไม่รู้ว่าได้เปลี่ยนผู้นำประเทศไปกี่คนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือ ผู้นำทุกสมัยมักจะมากราบไหว้เรือนสี่ประสานที่แสนจะธรรมดาในปักกิ่งอย่างเป็นความลับเสมอ

ถึงแม้การจัดงานผู้มีพลังพิเศษสมัยแรกจะไม่สำเร็จมากนัก แต่ก็จะจัดขึ้นหนึ่งครั้งทุกสี่ปี เพียงแต่เมื่อเทียบกับครั้งแรกแล้ว จะเกิดความรุนแรงและการฆ่ากันน้อยลง และเป็นการประลองฝีมือกันอย่างแท้จริงมากขึ้น

เริ่มจากสมัยที่สองเยี่ยเทียนก็ไม่เข้าร่วมอีกเลย ทว่าโจวเซี่ยวเทียนกับเหลยหู่ กลับมีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงของผู้มีพลังพิเศษรวมทั้งประเทศต่างๆ ทั่วโลก

เมื่อก่อนเคยมีองค์กรผู้มีพลังพิเศษที่คัดค้าน แต่ผลสุดท้ายก็ถูกเหลยหู่ฆ่าตายทั้งหมด โดยเหลยหู่เป็นคนลงมือเพียงคนเดียว ทำให้สั่นสะเทือนวงการของผู้มีพลังวิเศษไปทั่วโลกเป็นอย่างมาก นับจากตอนนั้น หากที่ไหนมีคนของสำนักเสื้อป่านปรากฏตัว เสียงของความไม่ลงรอยกันจึงลดน้อยลงไปมาก

หลังจากสี่สิบปีผ่านไป บรรดาป้าๆ และน้าๆ ของเยี่ยเทียนก็ทยอยจากไปทีละคน เว่ยหงจวินเพื่อนเก่าของเยี่ยเทียนก็เสียชีวิตด้วยเช่นกัน คนที่ไปมาหาสู่กันตลอดจึงน้อยลงไปทันที ทำให้เรือนสี่ประสานเงียบเหงาขึ้นมาไม่น้อย

เยี่ยชิวที่เป็นลูกชายคนเดียวของเยี่ยเทียนก็เลือกทางที่เหมือนกับพ่อ เขากลายเป็นศาสตราจารย์โบราณคดีคนหนึ่ง เพียงแต่ลูกหลานของตระกูลเยี่ยมีน้อย จึงต้องมีการสืบทอดตระกูลต่อไป จากนั้นเยี่ยชิวจึงแต่งงานตอนอายุสี่สิบปีและได้ให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคน

หลังจากหกสิบปีผ่านไป เยี่ยตงผิงสองสามีภรรยาก็เดินมาจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ตอนที่อายุสูงถึงหนึ่งร้อยสิบปีนั้น ก็ได้จากไปจากโลกนี้ในวันเดียวกัน งานศพของพวกเขาถูกจัดอย่างเป็นความลับแต่ยิ่งใหญ่ มีผู้นำประเทศของโลกมาร่วมงานนับไม่ถ้วน

หลังจากวันนี้ผ่านไป เยี่ยเทียนก็พลันแก่ลงไปมาก จอนผมสีขาวทั้งสองข้าง หน้าผากมีแต่รอยเหี่ยวย่นเต็มไปหมด เดินประคองเคียงข้างภรรยาออกมาจากหลุมฝังศพของพ่อแม่

“ชีวิตคนเรามันช่างเงียบเหงาเหลือเกิน!” หลังจากแปดสิบปีผ่านไป เฟิงค่วงสองสามีภรรยาก็จากโลกนี้ไป เมื่อ เยี่ยเทียนได้รับข่าวนี้ เขาจึงมองใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่เต็มบ้าน พร้อมกับแววตาที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง

……………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด