หมอดูยอดอัจฉริยะ 849 ผ่ามิติ(1)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 849 ผ่ามิติ(1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มันคือวานรเทพโบราณ ได้ยินว่าฝึกฝนวิชาสวรรค์ลี้ลับ แม้ว่าเขาจะมาฝึกเมื่อสาย แต่ในอดีตอสูรบนเกาะทั้งหลายก็ไม่มีตัวไหนเป็นคู่มือของมันได้!”

ขณะที่พูดถึงอสูรตนนั้น ใบหน้าของสิงห์ขนทองก็แสดงสีหน้าเหมือนคนอย่างยิ่ง ในอดีตมันเองก็เคยประมือกับวานรเทพตนนั้น แต่เพราะความหยิ่งผยองของตนเองจึงพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย ภายในโลกแห่งนี้ ล้วนนับถือผู้แข็งแกร่งเป็นผู้เหนือกว่า สิงห์ขนทองจึงไม่รู้สึกเจ็บใจอะไร

“วานรเทพ? ไหงเป็นลิงอีกแล้วล่ะ?”

คำพูดของสิงห์ขนทองทำให้เยี่ยเทียนนึกถึงวานรขาวตัวนั้นในเสินหนงเจี้ยขึ้นมา ใจเต้นระทึก ในอดีตวานรเทพตัวนั้นเคยปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ หรือว่าจะมาจากเรื่อง “ไซอิ๋ว” ของอู๋เฉิงเอิน?

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง เสียงของสิงห์ขนทองก็ดังขึ้นข้างหู

“เจ้ามนุษย์ เจ้าก็เหมือนกับคนนั้นที่เคยตกมาอยู่บนเกาะนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ต่างไม่กลัวค่ายกลเช่นกัน แต่กลับไร้ความสามารถผ่ามิติ เจ้าไม่อยากออกไปเหรอ?”

“ออกไปเหรอ? อยากสิ มีวิธีไหนที่จะช่วยให้ผมออกไปได้บ้างล่ะครับ?!”

เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นทันควัน แม้จะมีจิตแห่งเต๋า แต่เขาก็อดมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ แม้เขาจะบรรลุมรรคผลจินตัน มีชีวิตอยู่ถึงหลายร้อยหลายพันปี แต่หากญาติสนิทมิตรสหายล้มหายตายจาก ต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพังแล้วจะมีความสุขได้อย่างไร?

“พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ปราณวิเศษแปรปรวน และเป็นวันที่เขตแดนอ่อนแอที่สุด หากจะหลบหนีออกไปก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียว!”

ดวงตาเปล่งประกายสีทองคำคู่นั้นของสิงห์ขนทองจดจ้องมายังเยี่ยเทียน กล่าวว่า

“ถึงเวลานั้นพวกข้าจะสั่งให้อสูรร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีค่ายกล แล้วดูดซับปราณวิเศษทั้งหมดที่อยู่ภายในเขตนี้มา เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าสามารถเหาะเหินบนอากาศ แล้วผ่ามิติให้เปิดออกได้!”

“ผมเหรอ? ผ่ามิติแห่งนี้? ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกตะลึงตาโต ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว แต่เจี่ยก็ยังคงเป็นเจี่ย ยังห่างชั้นจากการบรรลุมรรคผลจินตันอีกไกล ขนาดจางซันเฟิงที่วิทยายุทธล้ำลึกถึงระดับหยวนอิงยังไม่อาจผ่ามิตินี้ได้ ต่อให้เยี่ยเทียนกินยาวิเศษ เกรงว่าก็คงไม่สามารถสั่นคลอนมิตินี้ได้หรอก?

“วิทยายุทธ์ของเจ้าด้อยเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสิทธิ์!”

สิงห์ขนทองตัวนั้นครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วก็อ้าปาก ไข่มุกสีทองคำตลอดทั้งเม็ด แผ่รังสีกดดันรุนแรงล่องลอยออกมาจากปากของมัน

“นี่คือจินตันของข้า จงเอามันใส่เข้าไปในจุดตันเถียน ในช่วงเวลาธูปดอกหนึ่ง จะสามารถแสดงพลังของข้าได้แปดส่วน!”

ตอนที่อสูรสิงห์ขนทองทั้งสามกับมังกรน้ำปรากฏตัว ต่างเก็บงำลมปราณของตัวเองไว้ตลอด แต่เมื่อจินตันเม็ดนี้ปรากฏออกมาแล้ว แรงกดดันชนิดฟ้าถล่มดินทลายก็พลันแผ่พุ่งออกมาทั่วทุกทิศ จนสัตว์ประหลาดภายในป่าล้วนหมอบราบลงกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะโงหัวขึ้นมา

กระทั่งเยี่ยเทียนที่เข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้วยังถอยหลังไปหลายก้าว ดึงปราณแท้มาปกคลุมตัวเองเอาไว้แล้วจึงสามารถออกห่างจากแรงกดดันนั้นได้ ใบหน้าถอดสี กล่าวว่า

“ท่านกับผมเป็นอสูรกับคน หนทางแตกต่าง จะยืมพลังอสูรจากท่านมาใช้ได้อย่างไร?”

มองไปยังจินตันที่ปกคลุมไปด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่น ยังทำใจกล้ากลืนลงไปไม่ได้ ถ้าหากสิ่งนี้เข้าสู่จุดตันเถียนของเขา จะไม่ระเบิดร่างเขาออกมาจนตายเหรอ?

สิงห์ขนทองส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นจินตันของเหล่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า หรือจินตันของเผ่าอสูรอย่างพวกข้าเดิมทีก็ล้วนสร้างขึ้นจากพลังอันเข้มข้น ยืมใช้เพียงชั่วคราวไม่เป็นอันตรายหรอก จงวางใจเถอะ!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า เอ่ยปากว่า “ไม่ได้ ไม่ได้หรอก เผ่าอสูรของพวกท่านมีสมาชิกมากมาย ให้พวกมันยืมพลัง จะไม่เป็นการสมัครสมานกลมเกลียวยิ่งขึ้นหรือ? จะได้เป็นการแสดงถึงพลังอำนาจมากขึ้นด้วย ไม่ได้จริงๆ บนเกาะนี้น่าจะมีอสูรตัวอื่นอีก ร่วมมือกับพวกเขาดีกว่าครับ!”

“ให้พวกนั้นเรอะ? ไม่ได้หรอก สามารถให้เจ้าใช้ได้เท่านั้น!”

สิงห์ขนทองเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆ ว่า

“สัตว์ประหลาดที่ยังไม่กำเนิดสติปัญญาบนเกาะ ถ้าหากกลืนยาเม็ดอสูรของข้าลงไปแล้วก็ จะหลอมละลายในทันที ถึงเวลานั้นข้าอยากดึงเอากลับมาก็ทำไม่ได้แล้ว แต่เจ้าแตกต่างไป สามารถยืมพลังไปใช้และไม่อาจเก็บเอาไว้ใช้เอง…”

จินตันของสัตว์อสูร สำหรับสัตว์ร้ายเหล่านั้น ก็ไม่ต่างจากยาวิเศษที่ทำให้กลายเป็นผู้วิเศษในฉับพลัน หากสิงห์ขนทองส่งให้พวกมัน ยาเม็ดอสูรที่เคี่ยวกรำมาหลายพันปีก็จะเหมือนเล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋ว ได้แล้วไม่ส่งคืน

ดังนั้นข้อสองที่เยี่ยเทียนพูดถึง สิงห์ขนทองจึงยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่

จริงอยู่ว่าภายในเกาะแห่งนี้ มีอสูรมากมายที่วรยุทธ์เทียบเท่ากับพวกมัน แต่ว่าท่ามกลางสิงสาราสัตว์เหล่านั้นหรือนกดุร้ายที่ฝึกวิชาถึงขั้น กับตัวมันและมังกรน้ำต่างเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ อย่าว่าแต่ร่วมกันผ่าค่ายกลเลย เกรงว่าแค่เผชิญหน้ากันก็คงจะสู้จนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย

ความจริงถึงแม้จะให้เยี่ยเทียนยืมจินตัน หลังจากนั้นพลังปราณชีวิตดั้งเดิมของสิงห์ขนทองก็คงจะบาดเจ็บหนักเช่นเดียวกัน นั่นเพราะเยี่ยเทียนคงจะดูดซับแหล่งพลังของมันไปไม่มากก็น้อย แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวันสุดท้ายที่ปราณวิเศษแปรปรวน เจ้าสิงห์ขนทองเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น

การบรรลุมรรคผลจินตัน ไม่ใช่แค่อายุยาวนานพันปีขึ้นไป สิงห์ขนทองมีชีวิตอยู่มาสองสามพันปีแล้ว และสัตว์เทพดึกดำบรรพ์อย่างพวกมันสืบพันธุ์อย่างยากลำบาก เมื่อปีที่ผ่านมาสิงห์ขนทองสองตัวสละทั้งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ เพื่อให้กำเนิดทายาทหนึ่งตัว

แต่การใช้เลือดเนื้อและจิตวิญญาณนี้ ก็เป็นการเร่งเวลาตายให้กับสิงห์ขนทอง หากว่ายังไม่สามารถต่อสู้กับภัยธรรมชาติ ก้าวเข้าสู่อีกระดับขั้น เกรงว่าภายในไม่กี่ปีพวกมันคงต้องแก่ตายเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งทั้งหมดภายในเขตนี้เหนื่อยหน่าย เกิดเป็นการกระทำที่เยี่ยเทียนเรียกว่าการขบถของเหล่าสัตว์ร้าย

ในอดีตตอนที่จางซันเฟิงมาเยี่ยมเยียน “เผิงไหล” ต่างเคยทำความรู้จักกับเหล่าอสูรพวกนี้ เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวใจกว้าง จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุให้สิงห์ขนทองเชื่อใจเยี่ยเทียน พวกมันที่ไม่เคยออกจากเกาะนี้ จึงนึกว่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนเหมือนกับจางซันเฟิง

“ถ้าหากเจ้าอยากออกไป ก็มีแต่ต้องร่วมมือกับพวกเรา ไม่อย่างนั้นภายหลังก็ไม่มีโอกาสแล้วล่ะ!”

ประโยคสุดท้ายของสิงห์ขนทอง ทำให้เยี่ยเทียนหน้าถอดสีจริงจัง

“อย่างมากก็แค่ตายเท่านั้นล่ะ!”

เยี่ยเทียนกัดฟัน ตอบว่า

“ผมยอมตกลงกับพวกท่าน แต่ว่าต้องทำยังไงบ้าง พวกท่านต้องบอกผมให้ละเอียดนะ!”

ต่อให้บรรลุมรรคผลจินตันบนเกาะนี้ อนาคตก็ยังต้องตายอยู่ดี สู้เยี่ยเทียนลองดูสักตั้ง หากพนันสำเร็จก็จะมีโอกาสพบหน้าพ่อแม่ตัวเองอีกครั้ง หากแพ้ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน คือต้องตายสถานเดียว

“ง่ายมาก วันพรุ่งนี้พวกเราสามตัวจะโจมตีค่ายกลนี้ เมื่อกระตุ้นสายฟ้าได้แล้ว จะบอกจังหวะให้เจ้าผ่าแยกมิติ เจ้าแค่ทำให้ทันเวลาก็พอ!”

แผนการของสิงโตทองคือใช้กำลังผ่าค่ายกล ซึ่งต้องมีจุดอ่อนอยู่ อันจะทำให้เยี่ยเทียนบุกเข้าค่ายกลได้โดยไม่กระตุ้นการโจมตีของสายฟ้า เขาสามารถส่งพลังทั้งหมดของตัวเองและพลังจากจินตันโจมตีมิติจากจุดที่อ่อนแอที่สุดของค่ายกล

“พรุ่งนี้ผมจะคอยคำสั่งของผู้อาวุโสทุกท่านครับ!”

เยี่ยเทียนพยักหน้า ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็ไม่อาจหวั่นไหวอีก หลังจากพูดคุยถึงรายละเอียดอยู่สักพัก อสูรทั้งสามก็จากไป เยี่ยเทียนจึงค่อยไปรับเหลยหู่กลับมาจากทะเล

 “อะไรนะครับ ให้ท่านโจมตีเขตแดน ท่านอาจารย์ ถึงแม้สายฟ้านั่นจะไม่ผ่าพวกเรา แต่…แต่ถ้าหากท่านยั่วโมโหมัน มันอาจจะจัดการเราเป็นรายต่อไปก็ได้นะ!”

เมื่อได้ยินผลสรุปที่เยี่ยเทียนคุยกับอสูรทั้งสามแล้ว เหลยหู่ก็ส่ายหน้าติดๆ กัน ถึงแม้เขาเองก็กังวลถึงผู้คนที่อยู่ข้างนอก แต่โบราณว่าตายดียังไม่สู้มีชีวิตอยู่ เทียบกับรนหาที่ตายแล้ว สู้มีชีวิตอยู่เพื่อหาทางอื่นดีกว่า

เยี่ยเทียนครุ่นคิดสักครู่ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า

“ไม่หรอก บนเกาะนี้ไม่มีมนุษย์อยู่แม้แต่คนเดียว ค่ายกลจึงไม่รวมถึงพวกเรา เพียงแต่วิทยายุทธ์ของฉันและแกยังด้อยเกินไป เลยฝ่าเขตแดนออกไปไม่ได้เท่านั้น”

ความจริงตอนที่พบบันทึกของจางซันเฟิง เยี่ยเทียนก็สงสัยอยู่ในใจ ค่ายกลใหญ่ของเกาะนี้ถูกใครจงใจสร้างขึ้น แล้วนำสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ยากจะพบในโลกภายนอกมาเลี้ยงไว้ภายใน ที่พวกเขาเข้ามาได้ จึงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

เมื่อเห็นเหลยหู่ยังอยากพูดอะไรอีก เยี่ยเทียนก็โบกมือ กล่าวว่า

“ฉันตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้แกไปจากเขตหาดทรายคอยคุ้มกันด้านนอก ถ้าหากเห็นว่าฉันสามารถผ่าเขตแดนมิติเปิดออก แกก็รีบเหาะขึ้นมา หนีไปด้วยกันกับฉัน!

ถ้าหากว่าฉันเป็นอะไรไป แกสามารถไปทางใต้สองพันลี้ ที่นั่นมีปีศาจชื่อว่าภูติต้นไม้ นายสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้…”

“ครับ อาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว!”

เห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน เหลยหู่ก็รู้ว่าตัวเองคงเปลี่ยนใจไม่สำเร็จ จึงไม่พูดมากอีกต่อไป หลังจากลากแพนิรภัยกลับขึ้นฝั่งแล้ว ก็ใช้หนังสัตว์ประหลาดทำเป็นกระเป๋าถือ ใส่เบาะนั่งสมาธิกับมู่เจี่ยนไม้ไผ่ที่จางซันเฟิงทิ้งเอาไว้ใส่เข้าไปข้างในจนหมด

“ของพวกนี้เก็บไว้ข้างในเถอะ…”

เยี่ยเทียนแกะถุงหนังที่เอวออก โยนใส่ในถุงใหญ่ใบนั้น ถ้าหากตัวเองเกิดเป็นอะไรขึ้นมา พลอยวิเศษเหล่านี้มีมากพอจะทำให้เหลยหู่ฝึกวิชาถึงระดับระดับเจี่ยตัน ส่วนเขาจะถึงขั้นบรรลุมรรคผลจินตันหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับวาสนาแล้ว

นับตั้งแต่ปราณวิเศษเปลี่ยนแปลงมา ทุกแห่งบนชายหาดก็ไม่มีวันไหนเลยที่จะเงียบสงบอย่างวันนี้ นอกจากซากสัตว์ร้ายไหม้เกรียมเหล่านั้นแล้ว บนหาดทรายก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นอีก เพียงแต่บรรยากาศกลับกลายตึงเครียดยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนเมฆหมอกปั่นป่วนอยู่รำไร

พอถึงเช้าวันต่อมา เมื่อแสงอาทิตย์แรกแตะถูกจุดที่ตัวอักษรสลักขนาดใหญ่ว่า “เผิงไหล” เสียงร้องคำรามของสิงห์ขนทองและมังกรน้ำ ก็ดังขึ้นพร้อมกัน

นาทีนี้เอง เหล่าสัตว์ร้ายจำนวนนับล้าน  กรูกันพุ่งออกมาจากป่าเขาราวกับเสือที่หลุดออกจากกรง เบียดเสียดห้อมล้อมชายหาดเป็นแนวระยะพันเมตร ต่างเข้าโจมตีค่ายกลโดยไม่ห่วงชีวิตตามๆ กัน

 “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายครับ จะลงมือเมื่อไหร่ดี?” เยี่ยเทียนพาเหลยหู่ออกจากชายหาด มายืนเคียงข้างสิงห์ขนทองและมังกรน้ำ

หลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานเยี่ยเทียนจึงเข้าใจได้ ว่าถ้าหากอสูรเหล่านี้ต้องการเอาชีวิตเขาจริงๆ ต่อให้เขาหนีลงทะเลลึกก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยวิทยายุทธ์ของสิงห์ขนทอง มีมากพอจะพุ่งเข้าไปฉีกเขาเป็นชิ้นๆ จากนั้นค่อยหนีกลับเข้าป่า

“ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง จึงจะเป็นเวลาลงมือของเรา”

สิงห์ขนทองตัวเมียนั่นเหลือบมองเหลยหู่แวบหนึ่ง กล่าวว่า

“ของพวกนี้วางไว้ตรงนี้เถอะ อีกอย่าง ช่วยฉันดูแลลูกของพวกเราด้วย!”

พูดพลาง สิงห์ขนทองก็ให้ถุงใบหนึ่งซึ่งทำขึ้นจากหนังสัตว์ประหลาดทั้งตัวขนาดสูงเท่าตัวคน กับเหลยหู่  ถึงแม้ฝีมือจะไม่ปราณีตเท่าเหลยหู่ แต่คุณภาพก็ดีกว่าไม่รู้กี่เท่า

หลังจากส่งกระเป๋าให้เหลยหู่แล้ว สิงห์ขนทองตัวเมียก็อุ้มลูกเอาไว้ในมือ หลังจากมองอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยวางไว้บนบ่าของเหลยหู่อย่างอาลัยอาวรณ์

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด