หวนคืนชะตาแค้น 390 พระราชโองการศักดิ์สิทธิ์ (1)
แม้ว่าราชโองการพระราชทานยศฐาบรรดาศักดิ์เพิ่มเติมของจื้ออ๋องจะยังไม่ลงมา แต่ว่าผู้คนในเมืองหลวงกลับรู้กันเกือบหมดแล้ว คาดว่าคงจะถึงเวลาที่จื้ออ๋องจะได้รับราชโองการพระราชทานบรรดาศักดิ์เพิ่มเติมแล้ว ในเวลานี้หากเขายังคงซ่อนตัวไม่ไปจุดธูปที่จวนจื้ออ๋อง กลับไปไม่แน่พี่ใหญ่อาจจะตำหนิเขาอย่างรุนแรง
มู่ชิงอีไม่ได้สนใจ ยิ้มเอ่ย “สุราเอาไว้ดื่มทีหลังได้ อย่าทำให้เรื่องสำคัญต้องล่าช้า” หนานกงอวี้พยักหน้า ลุกขึ้นเอ่ย “อย่าลืมสุราที่หลิวอวิ๋นสัญญาว่าจะให้ข้า” มู่ชิงอียิ้มอย่างช่วยไม่ได้พลางเอ่ยว่า “ไม่มีทาง”
เมื่อออกมาจากหอชิงเฟิง มู่ชิงอีกำลังจะหันหลังเตรียมกลับจวนก็เห็นหรงจิ่นเดินมาทางนี้ หนานกงอวี้เหลือบมองหรงจิ่นด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดิมทีควรจะเข้าไปทักทาย แต่เมื่อนึกถึงครั้งที่แล้วที่องค์ชายเก้าโกงเงินเขาหลายหมื่นตำลึงอย่างหน้าตาเฉย เขาก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจปลีกตัวหนีไปก่อน
เมื่อหรงจิ่นเดินเข้ามาใกล้ หนานกงอวี้ก็หายเข้าไปในฝูงชนแล้ว หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หนานกงอวี้ผู้นั้นเป็นอะไร พอเห็นข้าก็วิ่งหนีไปอย่างกับอะไรดี ช่างไร้มารยาทเสียจริง”
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยความโกรธเคืองว่า “องค์ชายเก้ายังไม่รู้อีกหรือว่าทำไมพอคนอื่นเห็นท่านแล้วถึงได้วิ่งหนีเพคะ”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างมั่นใจ “อยากโดนอัดหรืออย่างไร กลับไปจะให้หนานกงอี้สั่งสอนน้องชายของเขาให้เข็ดหลาบ”
“น้อยๆ หน่อยเถิด เวลานี้ท่านก็ควรอยู่ที่จวนจื้ออ๋องไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างหมดปัญญา เมื่อร่างของจื้ออ๋องถูกส่งกลับมา ตามหลักแล้วบรรดาองค์ชายควรจะไปรอต้อนรับที่จวนจื้ออ๋อง
หรงจิ่นกลอกตาเอ่ย “ข้าก็มาหาหัวหน้าผู้ดูแลของข้าน่ะสิ ไปตอนนี้ก็ยังทัน ขบวนขนย้ายพระศพไม่ได้เร็วขนาดนั้น” พูดจบก็ลากมู่ชิงอีมุ่งหน้าไปยังจวนจื้ออ๋อง
“หม่อมฉัน…ก็ต้องไปด้วยหรือ” มู่ชิงอีถามด้วยความสงสัย
ขณะที่กำลังเดิน หรงจิ่นก็เอ่ยว่า “ทำไมเจ้าถึงจะไม่ไปเล่า ข้าเป็นถึงองค์ชายจะให้ไปไหนมาไหนคนเดียวได้อย่างไร”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วพลางยิ้มเอ่ย “เข้าใจแล้ว องค์ชายเก้าต้องการขบวนใช่หรือไม่ กลับไปหม่อมฉันจะจัดขบวนหรูหรามีสง่าให้กับองค์ชายเก้าเพคะ”
“องค์ชายอย่างข้ามีชิงชิงแค่คนเดียวก็นับว่าดูสง่าที่สุดแล้ว ยังจะต้องการขบวนอะไรอีก” หรงจิ่นเอ่ยพลางเลิกคิ้ว อย่างไรก็ตามชายหนุ่มรูปงามสองคนยืนอยู่ด้วยกันคนหนึ่งสวมชุดสีดำ อีกคนหนึ่งสวมชุดสีขาว ก็มักจะเป็นที่ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก แทบจะดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในพริบตา ใครจะยังสนว่าองค์ชายเก้าจะมีขบวนหรือไม่
เมื่อมาถึงจวนจื้ออ๋อง ปรากฏว่าขบวนพระศพยังไม่มาถึงจริงๆ แต่บรรดาองค์ชายและข้าราชบริพารคนสำคัญในเมืองหลวงกลับมาถึงกันหมดแล้ว เนื่องจากหลายวันมานี้องค์ชายเก้ามาสักการะบูชาอย่างมีระเบียบวินัย เมื่อผู้คนเห็นเข้าก็ไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามสวมชุดขาวราวกับหิมะที่เขาพามาด้วยก็อดมองด้วยความมึนงงไม่ได้
หรงจิ่นเดินไปจุดธูปด้วยตัวเอง จากนั้นก็พามู่ชิงอีไปดื่มชาที่ห้องโถงด้านข้าง แม้ว่าจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่ต้องการให้บรรดาองค์ชายช่วย แต่คนส่วนใหญ่ที่มีสมองเป็นปกติมักจะไม่คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากองค์ชายเก้า ดังนั้นหรงจิ่นจึงเป็นคนที่ว่างที่สุด ณ ที่แห่งนี้
“พี่เก้า นี่คือหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่ของจวนท่านหรือ” เด็กหนุ่มสวมเสื้อแพรสีน้ำตาลวิ่งมาหา หมอบลงข้างโต๊ะพลางสำรวจมองมู่ชิงอีอย่างสงสัย
หรงจิ่นหรี่ตาหงส์ของเขาก่อนจะยกมือแล้วจับเด็กหนุ่มโยนออกจากโต๊ะไป ซ้ำยังไม่ลืมที่จะใช้พัดตีไปหนึ่งที จากนั้นก็มองไปที่มู่ชิงอีที่กำลังสงสัยพลางเอ่ยว่า “ตงฟังซวี่บุตรชายจิ้งหย่วนโหว”
ชายหนุ่มนามว่าตงฟังซวี่ลุกขึ้นมาโดยที่ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ปัดฝุ่นบนร่างกายของเขา โค้งคำนับมู่ชิงอีด้วยท่าทางที่สง่างามแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ผู้น้อยนามว่าตงฟังซวี่ เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เก้า”
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อย ยกมือขึ้นคำนับเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นบุตรชายสุดที่รักขององค์หญิงเซียงเฉิง ผู้น้อยนามว่ากู้หลิวอวิ๋น คำนับท่านโหวน้อย” องค์หญิงเซียงเฉิงเป็นธิดาองค์โตของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ อภิเษกกับตงฟังเฟยจิ้งหย่วนโหวเมื่ออายุได้สิบแปดปี ให้กำเนิดบุตรชายที่ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เพียงแต่ว่ามู่ชิงอีคิดไม่ถึงว่าตงฟังซวี่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหรงจิ่น
“เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องกับท่านโหวน้อยจะมีความสัมพันธ์ที่ดี” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ตงฟังซวี่ได้รับการเลี้ยงดูจากองค์หญิงใหญ่ แค่ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นคุณชายน้อยที่เอาแต่ใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนเช่นนี้จะเข้ากับหรงจิ่นได้
หรงจิ่นเอ่ยด้วยความดูหมิ่นว่า “ใครมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขากัน เป็นเขาที่ดื้อดึงที่จะไปมาหาสู่กับข้าต่างหาก” ตงฟังซวี่มองหรงจิ่น แล้วมองมู่ชิงอี ทันใดนั้นก็ยิ้มเอ่ย “ต่อไปข้าก็ไม่ต้องเล่นกับท่านแล้ว ต่อไปข้าจะเล่นกับหลิวอวิ๋น คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในโลกนี้ยังจะมีคนน่าทึ่งที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับพี่เก้าได้ สาวงามดั่งดอกไม้… ”
โครม! คำพูดของตงฟังซวี่ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกหรงจิ่นเตะกระเด็นออกไปนอนคว่ำอยู่บนพื้น
มู่ชิงอีอดตากระตุกไม่ได้ สาวงาม…ถ้าหากตงฟังซวี่ตามติดหรงจิ่นด้วยเหตุผลนี้แต่ยังไม่ถูกหรงจิ่นอัดจนตาย ก็นับว่ามีความสามารถไม่น้อยเลย
ตงฟังซวี่ที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมา สะบัดศีรษะด้วยความมึนงง ก่อนจะมองดูทั้งสองคนด้วยความโกรธเคือง เอ่ยพลางถอนหายใจว่า “เป็นไปตามคาด…สาวงามดั่งดอกไม้…อยู่ไกลดั่งเมฆา”
“สาวงามดั่งดอกไม้…?” ใบหน้ารูปงามที่ไม่ธรรมดาขององค์ชายหรงจิ่นถูกปกคลุมไปด้วยไอสังหารอันเยือกเย็น เขาจ้องมองไปยังคนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยสายตาดุร้าย
โชคดีที่คุณชายตงฟังซวี่ที่ชอบโผล่มาให้องค์ชายเก้าเห็นในหลายปีมานี้ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายของเขานั้นอยู่ในอันดับต้นๆ ดังนั้นเขาจึงรีบลุกจากพื้นทันทีแล้วกระโดดไปอยู่ข้างหลังมู่ชิงอีด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
“พี่เก้า…ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วพอใจหรือยัง” ตงฟังซวี่หลบอยู่ด้านหลังมู่ชิงอีพลางร้องอ้อนวอน
“ผิดไปแล้ว เจ้าทำผิดตรงไหน” หรงจิ่นหรี่ตาลงพลางถามเบาๆ
ไอ๊หยา ผิดตรงไหนหรือ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาผิดตรงไหน แต่ว่าองค์ชายเก้าไม่พอใจ ก็แสดงว่าเป็นความผิดของเขาอย่างแน่นอน ก็เป็นเช่นนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้เขาถึงได้ถามว่าผิดตรงไหน มองไปที่หรงจิ่นด้วยความน้อยใจ ตงฟังซวี่เอ่ยด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “ข้าผิดทุกตรง ไม่เคยถูกเลย”
มู่ชิงอีรู้สึกขบขัน อดก้มหน้าหัวเราะไม่ได้
หรงจิ่นถอนสายตาจากตงฟังซวี่ มองไปที่มู่ชิงอี “จื่อชิง เจ้าหัวเราะอะไร” จื่อชิงโบกมือเพื่อบอกว่าตัวเองไม่ได้หัวเราะอะไร หันไปมองตงฟังซวี่ด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านโหวน้อยเป็นบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึง…” เหตุใดจึงเรียกหรงจิ่นว่าพี่เก้า ตามหลักแล้วควรจะเรียกว่าท่านน้าถึงจะถูก
ตงฟังซวี่เชิดหน้าขึ้น เอ่ยอย่างสมเหตุสมผลว่า “มีอะไรน่าแปลกกัน หากนับตามรุ่นแล้วพี่เก้าควรจะเรียกท่านย่าของข้าว่าท่านยาย หากไม่เรียกว่าพี่เก้าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
ที่พูดมาก็ไม่ผิด ครอบครัวคนธรรมดาก็ตัดสินความอาวุโสของพวกเขาตามความสัมพันธ์ของบิดา แต่ขอถามสักอย่าง…เชื้อพระวงศ์นั้นเป็นครอบครัวคนธรรมดาทั่วไปหรือ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรตัดสินความอาวุโสตามฝั่งของจิ้งหย่วนโหวกระมัง
“ยิ่งไปกว่านั้น ปีนี้พี่เก้าอายุสิบเก้าปีแล้ว ข้าอายุสิบเจ็ดปี จะเรียกท่านน้าได้อย่างไร…อีกอย่าง แม้ว่าข้าจะเป็นบุตรชายขององค์หญิง แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางแต่งตั้งข้าเป็นจวิ้นอ๋อง แล้วแต่งตั้งพี่สาวข้าเป็นจวิ้นจู่” ดังนั้น…เหตุใดจึงได้นับญาติทางฝ่ายท่านแม่ เหตุผลของคุณชายตงฟังนั้น พอฟังดูแล้วก็นับว่าเพียงพอเป็นอย่างมาก
Comments