หวนคืนชะตาแค้น 18 ต่างคนต่างคิด

Now you are reading หวนคืนชะตาแค้น Chapter 18 ต่างคนต่างคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 18 ต่างคนต่างคิด

กู้ซิ่วถิงยิ้มอย่างแผ่วเบา เอ่ยเสียงกระซิบ “เจ้าไปเถิด ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไรแล้ว”

มู่ชิงอีเองก็รู้ดีว่าหากนางอยู่นานเกินไปอาจจะทำให้มู่หรงอานเกิดความสงสัยได้ จึงพยักหน้ามองกู้ซิ่วถิงด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนที่จะลุกขึ้นและจากไป กู้ซิ่วถิงที่อยู่บนเตียงหลับตาลงอย่างช้าๆ มือที่วางอยู่บนผ้าห่มกำแน่น ความมุ่งมั่นอาฆาตวาบผ่านบนใบหน้าผอมแห้ง เมื่อครู่หญิงสาวแค่เขียนอักษรสามคำลงบนผ่ามือเขาเท่านั้น รอ ช่วย แค้น

แค้น…

บ้านแตกสาแหรกขาด ตายทั้งครอบครัว พี่น้องถูกเหยียดหยาม แค้นนี้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก แล้วเขาจะมาตายไปก่อนพวกมันได้อย่างไร

ทันทีที่นางลงมาถึงด้านล่างก็เห็นมู่หรงอานนั่งอยู่ในห้องชมสวนกำลังจับจ้องมองนางด้วยแววตาอันชั่วร้าย ดวงตาของมู่ชิงอีวาบขึ้นเล็กน้อย

มู่หรงอานใส่ใจพี่ใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ แต่…ความอัปยศที่มู่หรงอานมอบให้กับตระกูลกู้และพี่ใหญ่นั้น นางจะคืนให้เป็นสองเท่า!

นางเดินลงไปด้วยอาการสงบจนถึงห้องชมสวน “ท่านอ๋อง”

มู่หรงอานจ้องมองนางอยู่นาน แล้วค่อยเอ่ยขึ้น “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ชิงอีเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่แล้วเพคะ เขาน่าจะคิดได้แล้ว” มู่ชิงอีตอบเสียงเบา มู่หรงอานพยักหน้าพอใจ “ได้อย่างนั้นก็ดี ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า กลับไปแล้วก็ปิดปากของเจ้าเอาไว้ให้สนิท”

มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานนางก็เข้าใจความต้องการของมู่หรงอาน แม้มู่หรงอานจะไม่เห็นมู่ฉังหมิงอยู่ในสายตา แต่สำหรับมู่หรงอวี้แล้ว มู่ฉังหมิงกลับเป็นประโยชน์อยู่มาก มู่ฉังหมิงไม่เพียงแต่เป็นท่านโหว แต่ยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้มาก่อน อีกทั้งยังเป็นบิดาของโหรวเฟยอีกด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ มู่ฉังหมิงยังมีทหารสำคัญอยู่ในมือ สำหรับมู่หรงอวี้แล้ว มู่ฉังหมิงเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญมาก ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับมู่หรงอวี้ไม่น้อย แม้ฮ่องเต้จะมีพระโอรสอีกสิบกว่าพระองค์ แต่ในหมู่พวกเขากลับไม่มีคนที่มีความสามารถทัดเทียมเท่าหรือโดดเด่นกว่ามู่หรงอวี้

“ชิงอีเข้าใจแล้วเพคะ” มู่ชิงอีตอบเสียงเบา

มู่หรงอานมองประเมินมู่ชิงอีอย่างใช้ความคิด เนิ่นนานกว่าเขาจะเปิดปากพูด “จู่ๆ ข้าก็คิดได้ว่า…ตอนนั้นที่ข้าเปลี่ยนใจจะแต่งกับมู่อวิ๋นหรงอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก มู่ชิงอี เจ้าอยากจะเป็นพระชายาหนิงหรือไม่”

มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นทันใด สายตาพลันเย็นชา “ท่านอ๋องต้องการที่จะเหยียบย่ำจวนซู่เฉิงโหวหรือต้องการเหยียบย่ำ…”

สีหน้าของมู่หรงอานเปลี่ยนไปในทันที ส่งเสียง “หึ” ออกมาเบาๆ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ออกไป ข้าเห็นดวงตาคู่นี้ของเจ้าแล้วคลื่นไส้อยากจะอาเจียน!”

“ชิงอีทูลลาเพคะ” มู่ชิงอีกลับไม่โกรธเคือง หมุนกายอย่างช้าๆ แล้วเดินออกไป

ขณะนั่งรถม้ากลับจวนซู่เฉิงโหว มู่ชิงอีนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้สนใจสีหน้าบูดบึ้งของมู่อวิ๋นหรงและบรรยากาศแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อปกปิดอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง แต่ภายในใจกลับคิดคำนวณทุกอย่างอย่างรวดเร็ว

พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นแผนการทั้งหมดที่เคยวางไว้ก็ต้องเปลี่ยนไป เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องรีบช่วยพี่ใหญ่ออกมาจากจวนหนิงอ๋องให้เร็วที่สุด แต่เรื่องนี้อาศัยความสามารถของนางคนเดียวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้น…

คิดคำนวณถึงคนทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เมื่อนางได้คำตอบแล้วจึงค่อยถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วที่เหนื่อยล้า

มู่อวิ๋นหรงไปเยี่ยมมู่หรงอานด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่มู่หรงอานกลับต่อว่านางโดยไม่มีความซาบซึ้งแม้แต่น้อย ไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มอกของมู่อวิ๋นหรงในยามนี้ไร้ที่ระบาย เมื่อมองเห็นท่าทีเงียบงันไม่พูดไม่จาของมู่ชิงอี แสงจางๆ ก็วาบขึ้นผ่านดวงตาของนาง “เจ้าไม่ต้องคิดเพ้อฝันไปไกลนักหรอก หน้าเจ้าหนิงอ๋องก็ยังไม่อยากจะมองเสียด้วยซ้ำ”

มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้น “พี่หญิงสามเป็นห่วงตัวเองจะดีกว่ากระมัง หนิงอ๋องอยากเห็นหน้าข้าหรือไม่นั้น ก็ไม่สำคัญอันใด ที่สำคัญคือถ้าแม้แต่ว่าที่พระชายาหนิงยังไม่อยากเห็นหน้า…เช่นนี้ พี่หญิงสามจะทำอย่างไรดี โชคยังดี…ที่จวนตระกูมู่ของเราไม่ได้มีบุตรสาวเพียงแค่พี่หญิงสามคนเดียว…”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” มู่อวิ๋นหรงหน้าเปลี่ยนสีในทันที จ้องมองมู่ชิงอีอย่างเดือนพล่าน

มู่ชิงอีเพียงยิ้มอย่างแผ่วเบา ไม่ปริปากตอบ ก้มหน้าลงพลิกหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างกายด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่เพียงแต่สีหน้าของมู่อวิ๋นหรงเท่านั้นที่เปลี่ยนไป สีหน้าของมู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็แปรเปลี่ยน

ที่มู่ชิงอีกล่าวมานั้นไม่ผิดเลย หนิงอ๋องเพียงต้องการเกี่ยวดองกับจวนซู่เฉิงโหว พระชายาจึงไม่จำเป็นต้องเป็นมู่อวิ๋นหรงเท่านั้น นอกจากที่ว่ามู่อวิ๋นหรงเป็นน้องสาวแท้ๆ ของโหรวเฟยแล้ว สถานะของนางก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าพวกนางสักเท่าไร แม้จะเป็นชายาเอกไม่ได้ เป็นแค่ชายารอง ก็ยังดีกว่าพี่หญิงรองที่แต่งไปเป็นอนุภรรยาหรือเป็นอนุของคนอื่นอยู่มาก มู่ชิงอีนั้นถูกหนิงอ๋องถอนหมั้นยกเลิกงานแต่งไปแล้ว หนิงอ๋องจะแต่งกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่นาง แต่พวกนางนั้นต่างออกไป…

พวกนางกำลังคิดเช่นไรมีหรือมู่อวิ๋นหรงจะไม่รู้ จึงจ้องมองทั้งสองอย่างเดือดดาลทันที “พวกเจ้าจริงใจกับข้าหน่อย ถ้ากล้าหมายตาท่านอ๋อง อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

แม้มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนภายนอกจะให้คำมั่นสัญญาอย่างดิบดี แต่ภายในใจกลับไม่พอใจท่าทีเย่อหยิ่งถือดีของมู่อวิ๋นหรงเป็นอย่างมาก แม้พวกนางจะเป็นแค่หลานสาวของมู่ฉังหมิง แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคุณหนูตระกูลมู่ ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่อวิ๋นหรงสักเท่าไร ยามปกติคงยอมให้มู่อวิ๋นหรงอย่างไม่ถือสาหาความ แต่ยามนี้ท่าทีของมู่อวิ๋นหรงกลับตะคอกด่าพวกนางราวกับบ่าวรับใช้

ตลอดทาง บรรยากาศบนรถม้านั้นตึงเครียด แต่มู่ชิงอีตัวการของเรื่องนี้กลับนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์อยู่ในมุมของรถม้า ราวกับว่านางไม่สังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกนางทั้งสามคนอย่างไรอย่างนั้น

ทันทีที่กลับมาถึงจวน มู่อวิ๋นหรงก็ลากมู่หลิงไปยังเรือนของอนุซุนด้วยแรงอารมณ์ ส่วนมู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนนั้นเอ่ยคำลากับมู่ชิงอีและมู่เชินด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย มู่เชินที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้ามองมู่ชิงอีที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างรถม้าอย่างเต็มไปด้วยความคิด ก่อนที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าน้องรองกับน้องหญิงสามคงจะมีเรื่องรีบร้อน น้องหญิงสี่ ให้พี่ใหญ่ไปส่งเจ้ากลับเรือนหลานจื่อก็แล้วกัน”

มู่ชิงอีไม่ได้ปฏิเสธ นางยิ้มตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณพี่ใหญ่มากเจ้าค่ะ”

เมื่อกลับถึงเรือนหลานจื่อ มู่ชิงอีย่อมต้องเชิญชวนให้มู่เชินดื่มน้ำชาสักถ้วย มู่เชินถือถ้วยชาไว้ในมือ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูหญิงสาวที่นั่งเงียบงันตรงหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมู่เชินมักจะรู้สึกว่ามีคลื่นใต้น้ำที่อันตรายซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบนี้ ชั่วขณะหนึ่งมู่เชินถึงกับรู้สึกสงสัยว่า สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือน้องหญิงสี่ผู้อ่อนโยนและอ่อนแอของเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ หรือว่าเมื่อก่อนนางปกปิดแอบซ่อนตัวตนเอาไว้

“พี่ใหญ่มองอะไรหรือเจ้าคะ” มู่ชิงอียิ้มบางๆ “หรือชิงอีมีอะไรผิดปกติไป”

มู่เชินส่ายหน้าปฏิเสธ ภายในใจกลับอดหัวเราะเยาะในความคิดมากของตัวเองไม่ได้ หลังจากสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปแล้ว มู่เชินก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อสักครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้นบนรถม้าหรือ สีหน้าของน้องหญิงสามกับอวี่เฟยและสุ่ยเหลียนถึงได้ไม่น่ามองเช่นนั้น”

มู่ชิงอีตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “ก็ไม่มีเรื่องอันใดหรอกเจ้าค่ะ ประมาณว่าพี่หญิงทั้งสองพอเห็นท่าทีที่หนิงอ๋องมีต่อพี่หญิงสาม ก็เลยเกิดความคิดอย่างอื่นขึ้นมา แต่คงโทษพวกนางไม่ได้…ท่าทีที่หนิงอ๋องมีต่อพี่หญิงสามนั้น ท่านพ่อจะไม่กังวลสักนิดเลยหรือ”

มู่เชินส่ายหน้า “กงอ๋องต้องการแรงสนับสนุนจากท่านพ่อ ยังมีโหรวเฟยที่อยู่ในวังหลวงอีก แม้จะไม่โปรดปรานสักเท่าไร แต่คงไม่ปฏิบัติไม่ดีกับอวิ๋นหรงหรอกกระมัง”

มู่ชิงอีก้มหน้าแล้วแย้มยิ้ม “พี่ใหญ่พูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เป็นเพราะโหรวเฟย ความสัมพันธ์ระหว่างกงอ๋องกับจวนซู่เฉิงโหวถึง…เปราะบางสามารถแตกหักได้ทุกเมื่อ”

“อย่างไรหรือ” มู่เชินลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวังพลางหันไปมองทางประตู มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นเสียงเบาราวกระซิบ

“แม้ว่าปีนี้ฝ่าบาทจะทรงมีพระชนมายุครบห้าสิบพรรษาแล้วก็จริง…แต่อย่าลืมว่าเมื่อปีกลายองค์หญิงสิบเอ็ดก็เพิ่งประสูติ โหรวเฟยเองก็อายุยังน้อย อีกทั้งยังเป็นที่โปรดปราน จะตั้งครรภ์ไม่ได้เชียวหรือ หากให้กำเนิดโอรส…” มู่ชิงอียกยิ้มจางๆ ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มสงบ ท่าทีสบายๆ ราวกับว่านางไม่ได้กำลังพูดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับราชวงศ์ แต่กำลังชื่นชมดอกไม้ใบหญ้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *