หวนคืนชะตาแค้น 71 การหายตัวไปของพระชายากง (3)

Now you are reading หวนคืนชะตาแค้น Chapter 71 การหายตัวไปของพระชายากง (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทั้งสองเดินไปตามทางในเมืองหลวง มีเพียงบางครั้งที่คนที่เดินผ่านไปมาแค่แอบชำเลืองมองดูเจ้าเด็กหล่อเหลาผู้นี้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากใครเป็นพิเศษ เนื่องด้วยวันนี้คนทั่วทั้งเมืองหลวงกว่าครึ่งต่างก็มาจากนอกเมือง แน่นอนว่าย่อมมีผู้คนมากมายหลายแบบ

มู่ชิงอีถือพัดด้ามจิ้มเล่นในมือเดินกลางถนนอย่างไม่ใส่ใจ และไม่ได้แยแสกับอู๋ซินที่เดินตามอยู่ด้านหลัง เวลานี้มู่หรงอานอยู่ที่ใด อู๋ซินเอ่ยตอบ ยังอยู่ที่เรือนชุ่ยเวยขอรับ เมื่อคืนวานมู่หรงอานใช้เวลาทั้งคืนอยู่ที่เรือนชุ่ยเวยแต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใด

อืม…วันนี้เขาไม่ได้เข้าร่วมงานฉลองหรอกหรือ แคว้นหวาเป็นดินแดนแห่งสายนที จึงมุ่งเน้นไปที่เทพแห่งสายน้ำเป็นสำคัญ งานฉลองถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีแคว้นใดเทียบ อย่างเช่นงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของโอรสสวรรค์ประจำปีนั้นสำคัญเทียบเท่ากับการพูดถึงสวรรค์ชั้นฟ้าเลยทีเดียว แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เองยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าองค์ชาย

อู๋ซินตอบ เรือนชุ่ยเวยก็อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำหยางหลิ่ว รอพิธีเริ่มขึ้นแล้วถึงหนิงอ๋องจะรีบร้อนอย่างไรก็สายไปเสียแล้ว นอกจากที่เรือนชุ่ยเวย…ยังมีอีกเรือนของกงอ๋องที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งเราได้ตระเตรียมกำลังคนคอยซุ่มโจมตีอยู่ที่นั่นแล้วขอรับ พูดถึงตรงนี้ อู๋ซินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดองค์ชายเก้าจึงมอบอำนาจให้แก่คุณหนูสี่ตระกูลมู่ที่พึ่งรู้จักมาได้เพียงแค่ไม่นานและนิสัยของคุณหนูสี่ตระกูลมู่ท่านนี้ก็มักจะทำตามอำเภอใจ แม้ว่าเขาจะอยู่กับนางมาได้หลายวันแล้ว ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้อย่างถ่องแท้ว่านางกำลังวางแผนทำสิ่งใด แม้ว่าในใจจะตำหนิการตระเตรียมการของเจ้านายเล็กน้อยแต่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาย่อมไม่มีสิทธิ์ถามถึงคุณสมบัติของผู้เป็นนาย จึงทำได้เพียงแค่สงบปากสงบคำ

มู่ชิงอีไม่ได้สนใจความคิดของอู๋ซิน แค่พูดว่า อย่างแรกอย่ารีบร้อน รอจนกว่าพิธีเริ่มค่อยลงมือ เมื่อพิธีฉลองเริ่มแล้วจะไม่สามารถถูกขัดจังหวะได้ เว้นเสียแต่จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ซึ่งการโจมตีเรือนอื่นของกงอ๋องนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

ตอนนี้ไปสถานที่ที่หนึ่งกับข้า

ขอรับ

อู๋ซินตามออกไปด้วย เป็นสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากริมแม่น้ำหยางหลิ่ว เพิ่งจะเข้ามาก็มีคนเอ่ยทักขึ้นทันที จากแม่น้ำหยางหลิ่วถึงเมืองหลวงนั้นสองข้างทางมีทิวทัศน์งดงามตระการตา ด้วยเหตุนี้ ผู้ลากมากดีน้อยใหญ่ของเมืองหลวงจึงมักจะชอบสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่สองริมฝั่งของแม่น้ำหยางหลิ่วแห่งนี้ ฉะนั้นริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้จึงมีบ้านเรือนตั้งอยู่ไม่น้อย มักจะมีองค์ชายและคุณชายปรากฏตัวอยู่บ่อยๆ จึงไม่ได้สร้างความแปลกใจต่อผู้ที่ได้พบเห็น

คุณหนู เมื่อเข้ามาในเรือน เฝิงจื่อสุ่ยก็เอ่ยทักทายออกมา เมื่อมองเห็นอู๋ซิน ฉับพลันนั้น ท่าทางก็ดูระมัดระวังตัวมากขึ้น มู่ชิงอียกมือห้ามเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เจ้าไม่ต้องห่วง เขาเป็นคนของข้าเอง

จากนั้นเฝิงจื่อสุ่ยก็เชิญทั้งสองไปที่ห้องโถง เขามองไปที่อู๋ซินและขมวดคิ้ว ชายท่านนี้ดูเหมือนไม่ใช่คนจากแคว้นหวา

มู่ชิงอียิ้มขึ้น ท่านเฝิง เหตุใดจึงดูออกเล่า คนแคว้นหวากับแคว้นเย่ว์ส่วนใหญ่ไม่ได้ต่างกันมาก อู๋ซินยังไม่ได้ปริปากสักคำ แต่มองเพียงแค่ปราดเดียวเฝิงจื่อสุ่ยกลับสามารถมองออกว่าเขาไม่ใช่คนแคว้นหวา สายตาที่เฉียบแหลมเยี่ยงนี้ทำให้มู่ชิงอีใคร่รู้ยิ่งนัก

เฝิงจื่อสุ่ยพูดต่อด้วยรอยยิ้ม เมื่อช่วงต้นปีเคยไปทัศนาจรที่แคว้นเย่ว์ คุณชายท่านนี้… ชี้ไปที่กระเป๋าที่แสนไม่สะดุดตาของอู๋ซินแล้วพูดเบาๆ ลายที่ปักบนนี้ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าไป่เหยาจากทางทิศตะวันตกของแคว้นเย่ว์

อู๋ซินมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ถอดกระเป๋าที่เอวออกวางลงแล้วยกมือขึ้น ขอบพระคุณท่านชายที่ชี้แนะเป็นอย่างสูง ชนเผ่าไป่เหยาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลที่มีประชากรน้อยมากในแคว้นเย่ว์ ถ้าไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลเหมย อู๋ซินก็คงจะไม่สามารถเป็นองค์รักษ์ของหรงจิ่นได้ ชนเผ่านี้แท้จริงแล้วแม้แต่ชาวแคว้นเย่ว์ก็ยังไม่รู้จักมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนของแคว้นหวาเลย ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าเฝิงจื่อสุ่ยเพียงแค่มองไปที่ลายปักสัญลักษณ์บนกระเป๋าเล็กๆ เท่านั้นก็มองออกแล้ว คราแรกคิดว่าคุณหนูสี่ตระกูลมู่เป็นเพียงหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดจากจวนโหวเท่านั้น แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เยี่ยมยอดเช่นนี้อยู่ด้วย

มู่ชิงอียิ้ม สายตาท่านเฝิงมองไม่ผิด ชิงอีเลื่อมใสยิ่งนัก

คุณหนูชมเกินไปแล้ว เฝิงจื่อสุ่ยไม่ได้ภูมิใจอะไรนักเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย

ท่านเฝิงเตรียมการอย่างไรหรือเจ้าคะ นั่งลงพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างจริงจัง เฝิงจื่อสุ่ยก็ตอบกลับด้วยท่าทางเคร่งขรึม พวกเรามีเรือนอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่กงอ๋องกักขังคุณชายใหญ่ไว้ การเคลื่อนไหวในที่แห่งนั้นจึงสะดวกสบาย ทว่าเรือนอีกหลังของกงอ๋องได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น หลายวันมานี้คนของพวกเรายังหาโอกาสเข้าไปไม่ได้ ติดต่อได้เฉพาะคนภายนอกเท่านั้น ดูเหมือนว่ากงอ๋องจะทรมานคุณชายใหญ่ที่นั่นขอรับ

มู่ชิงอีพลันมีท่าทีเย็นชา นึกถึงรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ในมือของพี่ใหญ่ก่อนหน้านี้ อยู่ๆ ก็รู้สึกทั้งเจ็บทั้งเสียใจขึ้นกลางใจ นางที่ได้จงใจปล่อยข่าวออกไป รวมทั้งจัดเตรียมและวางแผนเหล่านี้นั้น ย่อมต้องคิดถึงวิธีการของมู่หรงอวี้ที่เขาจะต้องลงมือทำร้ายพี่ใหญ่อยู่แล้ว…

เห็นท่าทางของนางเช่นนี้ เฝิงจื่อสุ่ยก็กระซิบด้วยความอ่อนโยนเล็กน้อยว่า คุณหนูไม่จำต้องเป็นเช่นนี้ขอรับ หากไม่ทำอย่างนี้แล้ว พวกเราอาจจะไม่มีโอกาสช่วยคุณชายใหญ่ได้ หากใช้อำนาจบีบบังคับนำคนบุกเข้าไปช่วยในจวนหนิงอ๋อง เกรงว่าคุณชายใหญ่จะไม่เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บแต่น่ากังวลไปถึงชีวิตของเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้มีกำลังคนในมือมากพอที่จะเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องตัวในเมืองหลวง หรือทำราวกับว่าได้เข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนได้

มู่ชิงอีตั้งสติแน่วแน่แล้วกล่าวว่า ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ต้องพาพี่ใหญ่ออกมาให้ได้ อู๋ซิน คนที่ข้าต้องการเล่า เตรียมการไปถึงไหนแล้ว อู๋ซินตอบอย่างเคารพ จากผู้ที่นับถือองค์ชายในรอบๆ เมืองหลวงนี้ สามารถระดมพลผู้มีฝีมือขั้นสูงได้จำนวนสามร้อยแปดสิบคน ล้วนมาถึงบริเวณใกล้เคียงนี้แล้ว เพียงแค่รอฟังคำสั่งของคุณหนูก็พร้อมออกศึกได้ในทันทีขอรับ

มู่ชิงอีเหลือบมองเฝิงจื่อสุ่ยที่กำลังจ้องมองอู๋ซินด้วยท่าทางตกตะลึง พลางพยักหน้าบอก เพียงพอแล้ว กำลังคนในเรือนของกงอ๋องอย่างมากสุดไม่เกินร้อย นอกจากนี้ พวกเราเองก็มีคนมาก ขอเพียงแค่สหายจากแคว้นเย่ว์โจมตีเรือนของกงอ๋องและทหารยามที่อยู่ใกล้เคียง คนของพวกเราก็จะช่วยพี่ใหญ่ออกมาได้อย่างปลอดภัย

เฝิงจื่อสุ่ยเองนั้นก็พบเจอกับผู้คนที่มากฝีมือมาไม่น้อย แค่ไตร่ตรองเพียงเล็กน้อยก็พอจะคาดเดาได้ทันทีว่าคนที่อยู่เบื้องหลังอู๋ซินคือใคร แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่คุณหนูสามารถทำให้องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ยื่นมือมาช่วยเหลือได้ ทว่าในเวลานี้ล้วนไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับการช่วยเหลือคุณชายใหญ่แล้ว

เมื่อปรึกษาหารือเรื่องการช่วยเหลือกู้ซิ่วถิงกับเฝิงจื่อสุ่ยเรียบร้อย มู่ชิงอีมองดูเวลาก็เห็นว่ายังพอมีเวลาจึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า จูหมิงเยียนอยู่ที่ใดหรือ

เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยตอบ อยู่ที่นี่แต่เรือนอื่นขอรับ จูหมิงเยียนในฐานะบุตรสาวของผิงหนานจวิ้นอ๋องและเป็นถึงพระชายากงย่อมเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เผื่อมีเหตุใดเกิดขึ้นก็สามารถใช้เป็นเครื่องต่อรองเพื่อถ่วงเวลาได้ ดังนั้นเฝิงจื่อสุ่ยจึงพานางมาที่นี่ด้วย มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดีมาก รบกวนท่านเฝิงแล้ว ข้าจะไปพบนางก่อน

คุณหนู… เฝิงจื่อสุ่ยขมวดคิ้ว ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้วางแผนจะฆ่าจูหมิงเยียนในตอนนี้ ดังนั้นในเวลานี้ จึงค่อนข้างเสี่ยงสำหรับคุณหนูที่จะพบเจอนางด้วยตัวเอง หากจูหมิงเยียนรับรู้ถึงตัวตนของคุณหนู ในอนาคตมันจะเป็นผลเสียต่อคุณหนูเป็นอย่างมาก

มู่ชิงอีคลี่ยิ้ม ไม่ต้องเป็นห่วง นางจำข้าไม่ได้หรอก

ยังคงยืนกรานที่จะไปพบนาง เฝิงจื่อสุ่ยจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเอ่ยอนุญาต ให้คนนำทางนางไปพบกับจูหมิงเยียน

ยืนอยู่หน้าประตูของห้องที่มืดมิดในอีกเรือนหนึ่ง มู่ชิงอียังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องของจูหมิงเยียนดังขึ้นจากด้านในอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจพลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน

หญิงสาวที่อยู่ด้านในนั้นเคยเป็นมิตรสหายที่ดีที่สุด นอกจากลูกพี่ลูกน้องหญิงแล้ว นางคือคนเดียวที่ตนคิดว่าเป็นเหมือนพี่น้อง เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องหญิงนั้นมีอายุน้อยกว่าตน เลยมีหลายสิ่งที่ไม่สามารถบอกลูกพี่ลูกน้องหญิงของตนได้ จึงเลือกที่จะบอกกับนาง แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าคนแรกที่แทงข้างหลังตนอย่างรุนแรงนั้นคือคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นสหายที่ดีที่สุด

ตอนต่อไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *