หวนคืนชะตาแค้น 12 ความปรารถนาของมู่เชิน

Now you are reading หวนคืนชะตาแค้น Chapter 12 ความปรารถนาของมู่เชิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 12 ความปรารถนาของมู่เชิน

มู่ชิงอีพยักหน้า มองไปยังจูเอ๋อร์แล้วส่งยิ้มเบาๆ “ขอบใจเจ้ามากจูเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”

ใบหน้าเล็กของจูเอ๋อร์ค่อยๆ ขึ้นสีแดง ส่ายหน้าพัลวัน “นี่…นี่คือสิ่งที่บ่าวควรทำเจ้าค่ะ คุณหนูมีอะไรต้องขอบใจบ่าว…รับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” มองนางที่ทำอะไรไม่ถูกอย่างนี้ มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ทุกวันนี้ในจวนหลังนี้ นอกจากเจ้าแล้วจะมีใครเป็นห่วงมู่ชิงอีอย่างจริงใจอีกบ้าง”

“คุณหนู…” มองดวงตาอบอุ่นยิ้มแย้มของคุณหนูตรงหน้า จูเอ๋อร์ก็นิ่งอยู่อย่างนั้นอย่างช่วยไม่ได้ “คุณหนู…คุณหนูงดงามจริงๆ เจ้าค่ะ…”

ตั้งแต่ที่คุณหนูฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไป ดูงดงามกว่าเมื่อก่อนอยู่มาก แต่ว่าตนรู้สึกว่าในสายตาของคุณหนูนั้นคล้ายกับว่าถูกอะไรบางอย่างที่เยือกเย็นบางๆ มาบดบังอีกชั้นหนึ่ง แต่ยามนี้ คุณหนูที่แย้มยิ้มเช่นนี้ ดวงตาคู่นั้นกลับดูเจิดจ้าขึ้นมา พลันรู้สึกว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครงดงามเกินไปกว่าคุณหนูแล้ว สี่ยอดหญิงงามในเมืองหลวงอะไรเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่า ในโลกนี้คุณหนูต่างหากที่งดงามเป็นที่หนึ่ง

เป็นอย่างที่จูเอ๋อร์พูดไว้ มู่อวิ๋นหรงวิ่งไปหามู่ฉังหมิงและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าจริงๆ โวยวายไปหนึ่งฉาก และก็เป็นอย่างที่มู่ชิงอีคาดคะเนไว้ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อคำพูดของมู่อวิ๋นหรงอยู่แล้ว ซ้ำยังอบรบนางอย่างเข้มงวด กักบริเวณนางเพื่อให้พิจารณาถึงความผิดของตัวเอง จะไม่เชื่อจริงๆ หรือหลอกว่าไม่เชื่อ ก็มีเพียงแค่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้

แต่มู่ฉังหมิงกลับไม่เชื่อว่าสิ่งที่มู่อวิ๋นหรงพูดนั้นเป็นความจริง แต่อีกใจก็ยังรักใคร่บุตรสาวอยู่ ลักษณะนิสัยของมู่อวิ๋นหรงหากเข้าไปในจวนหนิงอ๋องแล้วอาจจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมอบหน้าที่ให้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าคอยควมคุมดูแลนาง

ข่าวการเลื่อนงานสมรสกับอารมณ์ฉุนเฉียวของมู่อวิ๋นหรงแพร่งพรายออกมา การวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น หลายคนภายในจวนหลังนี้ล้วนคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าคุณหนูสี่จะได้รับความโปรดปรานบ้างแล้ว

แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่มู่ชิงอีต้องให้ความสนใจ แม้ในใจจะบอกตัวเองว่าไม่ให้ใจร้อนเกินไป แต่การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนตระกูลมู่ทุกวัน และหลังจากได้พบกับมู่หรงอวี้อีกครั้ง มู่ชิงอีก็พบว่าตัวเองนั้นไม่ได้สงบเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ เพื่อแก้แค้นให้กับตระกูลกู้ ชำระล้างความอัปยศอดสูและคืนความไม่เป็นธรรมให้กับตระกูลกู้ สิ่งที่นางต้องทำนั้นยังเหลืออีกมากมาย แต่ตอนนี้นางกลับไม่มีอะไรเลย แค่เพียงจะออกจากจวนซู่เฉิงโหวก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากแล้ว

“คุณหนู คุณชายใหญ่มาเจ้าค่ะ” จูเอ๋อร์เข้ามารายงานด้วยเสียงเบา

ได้ยินจูเอ๋อร์รายงานเช่นนี้ ภายในใจของมู่ชิงอีก็เต้นระรัว ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา ผ่านไปสักพัก มู่เชินก็เดินเข้ามา มองเห็นน้องสาวกำลังจับม้วนหนังสือนั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือก็ยิ้มเอ่ย “เหตุใดที่นี่ถึงเงียบเช่นนี้เล่า น้องหญิงสี่”

มู่ชิงอียิ้มตอบ “ที่นี่ไม่มีคนเดินไปมา ปกติก็เงียบเช่นนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”

มู่เชินส่ายหน้ายิ้มๆ “น้องหญิงสามเพิ่งออกมาจากศาลบรรพชนก็ถูกท่านย่ากักบริเวณอีกแล้ว น้องหญิงสี่ก็ควรระวังเอาไว้”

มู่ชิงอีเหลือบมองพร้อมกับแย้มยิ้ม “พี่ใหญ่พูดว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”

มู่เชินทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มจ้องมองไปที่นาง แต่มู่ชิงอีไม่สนใจปล่อยให้เขามองดูตัวเองอย่างใจกว้าง ผ่านไปสักพัก มู่เชินจึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พี่ใหญ่รู้สึก…เหมือนกับว่าไม่เคยมองทะลุน้องหญิงสี่ ทุกวันนี้น้องหญิงสี่ค่อนข้าง…ท่าทางของท่านแม่ในตอนนั้น” ท่านแม่ที่มู่เชินพูดถึงนี้ โดยปกติแล้วหมายถึงมารดาผู้ให้กำเนิดของมู่ชิงอีสะใภ้จัง สะใภ้จังคือฮูหยินคนเก่าของจวนซู่เฉิงโหว เด็กทุกคนในจวนนี้ต่างก็เรียกนางเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านแม่

มู่ชิงอียิ้มขึ้น “พี่ใหญ่มาถึงเรือนหลานจื่อ คงไม่ได้มาเพื่อแค่คุยเล่นกับชิงอีหรอกกระมัง”

มู่เชินยิ้มรับแต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ถือว่ายอมรับคำพูดของมู่ชิงอีไปโดยปริยาย มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ใส่ใจ หันไปเอ่ยกับจูเอ๋อร์ที่ปักผ้ารออยู่นอกประตู “จูเอ๋อร์ เจ้ามารินน้ำชาให้พี่ใหญ่สักถ้วย”

จูเอ๋อร์รินน้ำชาส่งให้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นับว่าเป็นใบชาที่ดีนัก ทำให้มู่เชินขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีกแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ทุกวันนี้จวนซู่เฉิงโหวตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและสะใภ้ซุน เงินรายเดือนปกติของมู่ชิงอีนั้นเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่สะใภ้จังยังมีชีวิตอยู่ ตัวเขาเองก็เคยลำบาก ในตอนที่เขานั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้กับมู่ฉังหมิงได้ แต่ละวันที่เขาอยู่ในจวนนั้นต่างกับมู่ชิงอี ดูผิวเผินอาจจะดีกว่า แต่ว่าสะใภ้ซุนนั้นลอบกลั่นแกล้งเขาสารพัด เมื่อเทียบกับสิ่งที่มู่ชิงอีได้รับนั้นจึงหนักหนากว่ามาก นี่คงเป็นเหตุผลที่มู่เชินยังคงต้องการเอาชนะ แม้รู้ดีอยู่แล้วว่ากำลังอำนาจแตกต่างกัน หากแม่ใหญ่สะใภ้จังมีบุตรชายไว้ให้สืบทอดจวนซู่เฉิงโหวสักนิดคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ทุกคนต่างเป็นบุตรอนุภรรยาทั้งหมด มู่หลิงเองนั้นก็ไม่ได้สูงศักดิ์กว่าเขาไปสักเท่าไร อย่างน้อยมารดาของเขาก็เป็นถึงหญิงงามประจำหมู่บ้าน แต่มารดาผู้ให้กำเนิดของมู่หลิงอย่างสะใภ้ซุนนั้นเป็นเพียงสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติซู่เฉิงโหว

“คนคอยปรนนิบัติรับใช้น้องหญิงสี่น้อยเกินไปแล้ว” มู่เชินขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น

มู่ชิงอียิ้มแล้วตอบ “มีแค่พอใช้งานก็พอแล้ว เพิ่มมาอีกคนก็เข้ามากินนอกกินใน สู้ไม่เพิ่มเลยยังดีเสียกว่า”

มู่เชินมองหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มเฉยเมยแต่ยังดูสง่างามที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกซัดขึ้นมา จึงยิ้มแล้วพูด “น้องหญิงสี่คิดมากไปแล้ว สุดท้ายน้องหญิงสี่ก็ยังเป็นบุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหว ถ้าเดินออกจากประตูไปข้างกายมีสาวใช้เพิ่มอีกคนก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้”

มู่ชิงอีใจเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง หลุบตาลงยิ้มเจื่อนๆ “ขอบคุณพี่ชายใหญ่ที่แนะนำเจ้าค่ะ แต่…ชิงอีคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ออกไปข้างนอกอีกแล้ว”

ในอดีต แม้นางเคยถูกกักขังอยู่ในหอนางโลม แต่บางครั้งหากอยากรู้ข่าวคราวก็ยังสามารถพอสืบได้ จึงรู้ว่าตั้งแต่น้าหญิงจากโลกนี้ไปนั้น ลูกพี่ลูกน้องหญิงของนางก็ไม่ย่างกรายออกจากจวนซู่เฉิงโหวไปร่วมกิจกรรมใดๆ ในเมืองหลวงอีกเลย

มู่เชินส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ปีนี้ไม่เหมือนเดิม ผ่านไปไม่กี่เดือนก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แล้ว น้องหญิงสี่เป็นบุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหว จำเป็นจะต้องเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง ฟังจากที่อนุพูดมา ท่านย่าเคยพูดว่าน้องหญิงสี่อายุใกล้จะสิบหกปีเต็มแล้ว…” ถึงแม้มารดาผู้ให้กำเนิดมู่เชินจะไม่ใช่กุลสตรีจากตระกูลใหญ่อะไร แต่ก็เป็นหนึ่งในหกบุตรสาวของอนุภรรยาจากตระกูลข้าราชการ ลักษณะนิสัยอ่อนโยน รู้หนังสือและมีเหตุผล จึงพอจะวิเคราะห์ความคิดของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ สามารถคาบข่าวมาบอกต่อให้นางทราบได้

มู่ชิงอีเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดขึ้นเบาๆ “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ตักเตือน จากนี้ถ้ามีอะไรที่ชิงอีสามารถทำได้ ชิงอีจะต้องตอบแทนพี่ใหญ่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” มู่เชินยิ้ม “ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องกัน เหตุใดน้องหญิงสี่ต้องเอ่ยเช่นนี้ด้วยเล่า จริงสิ วันนี้พี่ใหญ่ไม่มีธุระอันใด ต้องการให้พี่ใหญ่พาเจ้าไปเที่ยวเล่นหรือไม่”

มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “นี่…นี่ท่านสะดวกหรือเจ้าคะ”

มู่เชินหัวเราะ “แล้วมีอะไรที่ต้องไม่สะดวกหรือ อวิ๋นหรงเจ้าเด็กนั่นใกล้จะออกเรือนแล้ว แต่ก็ยังออกข้างนอกเดือนละครั้งถึงสองสามครั้ง ยังมีอวี่เฟยกับสุ่ยเหลียนที่ออกไปข้างนอกซื้อเครื่องแต่งหน้า ปิ่นมุกและเครื่องประดับอยู่บ่อยๆ ประเดี๋ยวพี่ใหญ่จะไปคุยกับท่านพ่อให้” ทุกวันนี้มู่เชินดำรงตำแหน่งหนึ่งในกรมพิธีการ แม้ตำแหน่งจะไม่ได้สูงอะไรแต่ก็ทำได้ไม่แย่ ดังนั้นถึงจะไม่เป็นที่โปรดปราดเท่ามู่หลิงมากนัก แต่ก็ยังพอเป็นหน้าเป็นตาให้กับมู่ฉังหมิงได้บ้าง การที่เขาจะพาน้องสาวไปเดินเล่นข้างนอก มู่ฉังหมิงไม่มีทางที่จะไม่อนุญาต

เห็นท่าทางของมู่ชิงอีที่ดูลังเลไม่แน่ใจอย่างนี้ มู่เชินอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถาม “น้องหญิงสี่ ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่”

“ไปเจ้าค่ะ!” มู่ชิงอีรีบลุกขึ้นทันใด ท่าทางออดอ้อนมองไปยังมู่เชิน มู่เชินยกยิ้มแล้วพยักหน้า “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด พี่ใหญ่จะพูดกับท่านพ่อให้”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ!” มู่ชิงอีรีบย่อคำนับและหมุนตัวเดินออกไปนอกประตู ฟังเสียงก้าวเท้าอย่างถี่กระชั้นของนาง มู่เชินก็ยิ้มเบาๆ

ไม่ว่าจะท่าทางสุขุมเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบห้าปีเท่านั้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *