ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด

หลังจากนอนเกลือกกลิ้งกับสิงหงเสวียนอยู่หนึ่งเดือน ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ยอมปล่อยให้อู้เต้าเจี้ยนเข้ามา

เขาไม่ได้สนใจอารมณ์น้อยใจของนาง แต่กลับนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา

ภารกิจประจำวันไม่อาจละทิ้งได้

เขาเริ่มตรวจสอบจดหมายด้วยความเคยชิน

มีความรู้สึกราวกับอ่านและเกษียนสั่งการสาส์นที่กราบทูล บางทีจักรพรรดิสวรรค์ที่อยู่บนพระราชวังเทียมเมฆาอาจจะมีความรู้สึกเช่นนี้ เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่ต้องจัดการ เพียงแค่ดูเท่านั้น

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฟางเหลียงศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฟางเหลียงศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[สวินฉางอันศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีได้มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านช่วยเหลือไว้]

[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย ดวงชะตาของหมู่เกาะเซียนมังกรถดถอย]

[ตี้ไท่ไป๋สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพภูต] x14

[หลงซั่นสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากมหาจักรพรรดิ สำเร็จพลังวิเศษขั้นสูงสุด]

……

‘ฟางเหลียงร้ายกาจเพียงนี้เชียว?

คนเดียวก็กล้าท้าประลองกับโม่ฟู่โฉวและโจวฝานเพียงลำพังได้?’

หานเจวี๋ยมองดูจนนิ่งอึ้ง รีบตรวจสอบดูฟางเหลียงทันที

[ฟางเหลียง: ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสอง เนื่องด้วยดวงชะตาฟ้าดินถูกหลอมรวมจนสำเร็จเป็นกายเทพโลกา เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา…]

‘กายเทพโลกา?

มีของอยู่บ้างนี่’

หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นว่าซูฉีไปถึงหมู่เกาะเซียนมังกรแล้ว

“ศิษย์รักของข้า หวังว่าเจ้าจะทำให้นักพรตเต๋าตันชิงตายไปก่อนที่เขาจะมาหาเรื่องอาจารย์นะ”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านพูดถึงใครอยู่หรือ”

หานเจวี๋ยกล่าว “ไม่มีอะไร”

“นายท่าน ขั้นแรกของมรรคกระบี่เทียมฟ้า ข้าใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว” อู้เต้าเจี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝึกสำเร็จแล้วค่อยพูด นี่ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว”

“เจ้าค่ะ”

อู้เต้าเจี้ยนจนใจ ทำได้เพียงฝึกฝนต่อไปเท่านั้น

หานเจวี๋ยดูจดหมายต่อไปโดยไม่ไม่สนใจนางอีก

ความรู้สึกสบายใจราวการเล่นโต้คลื่น มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ

หลายเดือนต่อมา ภารกิจตอกบัตรทำงานประจำก็สำเร็จ

หานเจวี๋ยใช้ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์สังเกตสวินฉางอันเป็นอันดับแรก

สำหรับสวินฉางอันนั้น เขายังคงเป็นกังวลอยู่มาก เจ้าหมอนี่มักจะตกอยู่ในเคราะห์รักบ่อยๆ ออกไปนานเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

หากไม่ใช่ว่าพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องใช้สวินฉางอันมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แล้ว หานเจวี๋ยคงจะสะกดเขาไว้บนเขา

ขณะนี้สวินฉางอันกำลังดื่มสุราเมามายอยู่ในโรงเตี๊ยมกลางเมืองแห่งหนึ่ง ปากก็บ่นพึมพำอยู่เพียงชื่อเดียว

เชี่ยนเอ๋อร์

หานเจวี๋ยล่ะยอมใจจริงๆ คำสาปของพุทธาเทพน่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ

คนตายไปแล้วหลายร้อยปี กลับยังลืมไม่ลง

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าหากทำให้สวินฉางอันตายไปได้บางทีก็คงจะดี เมื่อกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง หานเจวี๋ยจะขังเขาไว้บนเขาทันที ไม่ให้พบเจอกับสตรีผู้ใดอีก

‘ไม่ได้

เช่นนี้ก็ไม่ดี หากเขาถูกใจสตรีบนเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า

เช่นนั้นมันจะกลายเป็นละครน้ำเน่า!’

หานเจวี๋ยคิดอยู่พักหนึ่ง ‘หรือจะไปหาการกลับชาติมาเกิดของเชี่ยนเอ๋อร์?

แต่สวินฉางอันอัปลักษณ์เพียงนั้น ไม่ว่าเชี่ยนเอ๋อร์จะกลับชาติมาเกิดอีกกี่ครั้ง คาดว่านางก็คงไม่อาจชอบเขาได้

เฮ้อ

ช่างเถอะ

รีบคว้าเวลาในการฝึกฝนจะดีกว่า ช่วงชิงเวลาในการบรรลุถึงระดับของพุทธาเทพโดยเร็ว จะได้ช่วยปลดปล่อยสวินฉางอันได้’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

แม้มู่หรงฉี่มักจะเมินเฉยต่อสวินฉางอัน แต่ทุกครั้งที่สวินฉางอันมีอันตราย เขามักจะมาถึงก่อนเสมอ

บางครั้ง หานเจวี๋ยก็สงสารมู่หรงฉี่มาก

แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ใครใช้ให้เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามของหานเจวี๋ยเล่า จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี

กล่าวตามตรง หานเจวี๋ยรู้สึกว่าศิษย์รุ่นสามนั้นแข็งแกร่งกว่าศิษย์รุ่นสองอยู่มาก

ในบรรดาศิษย์รุ่นสอง ก็มีเพียงซูฉีกับถูหลิงเอ๋อร์ที่ทำให้เขารู้สึกวางใจได้ คนที่แข็งแกร่งมากที่สุดคือซูฉี ส่วนสวินฉางอันกับหยางเทียนตงใช้การไม่ได้เลย

และก็สมควรแก่เวลาที่จะคิดชื่อให้กับสำนักนี้แล้ว

สำนักเพียรบำเพ็ญ?

ลัทธิเพียรบำเพ็ญ?

เขาเพียรบำเพ็ญ?

ถ้ำเพียรบำเพ็ญ?

ถ้ำ…ไร้กังวล?

……

กาลเวลาราวกับกระสวย หนึ่งภาพเหตุการณ์หนึ่งทศวรรษ หนึ่งร้อยปีหนึ่งราชวงศ์

ในระหว่างที่หานเจวี๋ยฝึกฝน เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกสามสิบปี

สามสิบปีผ่านไป ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่ทะลวงถึงระดับเซียนแท้วัฏจักรขั้นสมบูรณ์ แต่ก็นับว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว

หลังจากได้รับกายดาราอนธการมาแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ ดูท่าระดับเซียนแท้คงไม่อาจทะลวงได้ง่ายๆ

ดูของหลงซั่นอีกครั้ง เขายังคงอยู่ที่ระยะกลาง

วันนี้

ฟางเหลียงกลับมาแล้ว

การกลับมาของเขาทำให้ผู้คนใต้ต้นฝูซังทั้งหมดพากันลุกขึ้น เพราะว่าแขนของเขาขาดไปข้างหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ” ไก่คุกรัตติกาลถามขึ้น

ผมของฟางเหลียงกลายเป็นสีขาวดอกเลาอยู่บ้าง ดูค่อนข้างผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปงามในครานั้นอีกต่อไป

ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าตัดมันเอง”

ฉู่ซื่อเหรินและโจวหมิงเยวี่ยเองก็มองไปที่ฟางเหลียง

โดยเฉพาะโจวหมิงเยวี่ยที่รู้สึกสงสัยในตัวฟางเหลียงเป็นอย่างมาก

ขึ้นเขามานานเพียงนี้ มักจะได้ยินคนอื่นพูดถึงฟางเหลียงกับมู่หรงฉี่อยู่บ่อยๆ

กล่าวกันว่าอาจารย์ปู่เอ็นดูพวกเขาที่สุด

“ไม่มีอะไร ข้าจะไปคารวะอาจารย์ปู่ก่อน” ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

กล่าวจบเขาก็เดินไปทางถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นท่าทีที่ไม่ปกติของเขา จึงไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป และอยู่กันสองคนตามลำพังศิษย์และอาจารย์

“อาจารย์ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านถึงไม่ออกไปทางโลก เหตุใดท่านถึงไม่แต่งงาน”

หานเจวี๋ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ก่อนฟางเหลียงจะเริ่มเล่าถึงเรื่องราวที่เขาได้ผ่านมา

ที่แท้ธิดาเทพเผ่าปีศาจที่เขาแต่งงานด้วยก็คือธิดาของจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำ ตอนแรกจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำให้ความสำคัญกับเขามาก แต่เขาพบว่าจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำต้องการรวมเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจเข้าด้วยกัน ถึงได้ตกลงกับงานแต่งครั้งนี้

ไม่เพียงแค่นั้น ธิดาเทพเผ่าปีศาจก็เริ่มเกลี้ยกล่อมฟางเหลียง เพียงเพราะจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำสัญญาว่าวันหน้าจะมอบบัลลังก์ให้กับฟางเหลียง

แต่ไหนเลยฟางเหลียงจะยอมละทิ้งเผ่ามนุษย์ได้

เกิดอุปสรรคอยู่หลายครั้งหลายหน การทะเลาะและความคิดที่ไม่เหมือนกันบั่นทอนความรักลง จนสามีภรรยาต่างเผ่าพันธุ์คู่นี้ถึงคราวแตกหัก

ฟางเหลียงตัดแขนของตนเองเพื่อแสดงถึงการตัดสินใจว่าจะไม่หันหลังกลับไปอีก

ธิดาเทพเผ่าปีศาจเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก อุปนิสัยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นชิงชังในตัวเขา

หานเจวี๋ยได้ฟังแล้วก็กล่าวปลอบใจ “ไม่เป็นไร ชีวิตคนเราบนโลกไม่อาจขาดอารมณ์เช่นนี้ได้ หลังจากนี้ตั้งใจฝึกฝนก็พอ บนสวรรค์เต็มไปด้วยเทพธิดา ไม่จำเป็นต้องพะวงหานางอยู่ตลอด

จำไว้ให้ดี การบำเพ็ญตบะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญสุด”

ฟางเหลียงยิ้มอย่างขมขื่น

หานเจวี๋ยเอ่ย “อยู่ในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเถิด อย่าได้ออกไปอีกเลย”

‘จะได้ไม่ทำให้โลกเมฆาแดงถูกเลื่อนอันดับอีก!’

ฟางเหลียงพยักหน้า กล่าวว่า “อาจารย์ปู่ ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจะไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ความรู้สึกนี้ยากจะอธิบายนัก แม้ข้าจะเพิ่งระดับฝ่าด่านเคราะห์ แต่ผู้บำเพ็ญระดับมหายานก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว น่าแปลกยิ่งนัก”

สำหรับเรื่องของดวงชะตาและพรสวรรค์ของตนเอง เขาเข้าใจมาตลอดว่าเป็นผลมาจากการที่หานเจวี๋ยฝืนลิขิตฟ้าพลิกชะตาให้เขาในปีนั้น เพราะอย่างนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคนอื่นชื่นชมเขา เขามักจะคิดถึงหานเจวี๋ยและรู้สึกอบอุ่นในใจ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สังหารศัตรูในโลกมนุษย์ที่อยู่เหนือกว่าระดับหนึ่งเท่านั้น ซูฉีอาจารย์ลุงของเจ้าขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เป้าหมายของเจ้าควรจะเจริญรอยตามเขา อย่าได้เอาระดับมหายานในโลกมนุษย์มาเป็นบรรทัดฐาน บางทีบนโลกใบนี้เจ้าอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่เทียบกับบุตรแห่งสวรรค์บนโลกเบื้องบนแล้ว ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง”

พอฟางเหลียงคิดอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

จากนั้นหานเจวี๋ยเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้เขา

ถ่ายทอดพลังเทพหมื่นกระบี่ให้ฟางเหลียง รอกระทั่งเขาเข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้วค่อยถ่ายทอดไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิให้

เป้าหมายของเขาคือให้บรรดาศิษย์และศิษย์หลานแบ่งกันสืบทอดความสามารถต่างๆ ของเขา เช่นนี้แล้วถึงจะแสดงให้เห็นว่าเขานั้นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้

สามเดือนต่อมา ฟางเหลียงเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน จิตใจหงอยเหงาเศร้าสร้อยซึมถูกกวาดออกไปจนหมด กลับมาฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญอีกครั้ง

“ราชามังกร มาฝึกฝนกันหน่อย?”

ฟางเหลียงกล่าวกับราชามังกรด้วยรอยยิ้ม

ราชามังกรสามหัวแอบคิดในใจว่า ‘เจ้าเด็กนี่คิดจะรังแกข้าหรือ

ไม่ใช่สิ เขาเพิ่งระดับด่านเคราะห์ มีอะไรที่ข้าต้องกลัวด้วยเล่า’

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด

หลังจากนอนเกลือกกลิ้งกับสิงหงเสวียนอยู่หนึ่งเดือน ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ยอมปล่อยให้อู้เต้าเจี้ยนเข้ามา

เขาไม่ได้สนใจอารมณ์น้อยใจของนาง แต่กลับนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา

ภารกิจประจำวันไม่อาจละทิ้งได้

เขาเริ่มตรวจสอบจดหมายด้วยความเคยชิน

มีความรู้สึกราวกับอ่านและเกษียนสั่งการสาส์นที่กราบทูล บางทีจักรพรรดิสวรรค์ที่อยู่บนพระราชวังเทียมเมฆาอาจจะมีความรู้สึกเช่นนี้ เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่ต้องจัดการ เพียงแค่ดูเท่านั้น

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฟางเหลียงศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฟางเหลียงศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[สวินฉางอันศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีได้มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านช่วยเหลือไว้]

[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย ดวงชะตาของหมู่เกาะเซียนมังกรถดถอย]

[ตี้ไท่ไป๋สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพภูต] x14

[หลงซั่นสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากมหาจักรพรรดิ สำเร็จพลังวิเศษขั้นสูงสุด]

……

‘ฟางเหลียงร้ายกาจเพียงนี้เชียว?

คนเดียวก็กล้าท้าประลองกับโม่ฟู่โฉวและโจวฝานเพียงลำพังได้?’

หานเจวี๋ยมองดูจนนิ่งอึ้ง รีบตรวจสอบดูฟางเหลียงทันที

[ฟางเหลียง: ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสอง เนื่องด้วยดวงชะตาฟ้าดินถูกหลอมรวมจนสำเร็จเป็นกายเทพโลกา เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา…]

‘กายเทพโลกา?

มีของอยู่บ้างนี่’

หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นว่าซูฉีไปถึงหมู่เกาะเซียนมังกรแล้ว

“ศิษย์รักของข้า หวังว่าเจ้าจะทำให้นักพรตเต๋าตันชิงตายไปก่อนที่เขาจะมาหาเรื่องอาจารย์นะ”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านพูดถึงใครอยู่หรือ”

หานเจวี๋ยกล่าว “ไม่มีอะไร”

“นายท่าน ขั้นแรกของมรรคกระบี่เทียมฟ้า ข้าใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว” อู้เต้าเจี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝึกสำเร็จแล้วค่อยพูด นี่ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว”

“เจ้าค่ะ”

อู้เต้าเจี้ยนจนใจ ทำได้เพียงฝึกฝนต่อไปเท่านั้น

หานเจวี๋ยดูจดหมายต่อไปโดยไม่ไม่สนใจนางอีก

ความรู้สึกสบายใจราวการเล่นโต้คลื่น มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ

หลายเดือนต่อมา ภารกิจตอกบัตรทำงานประจำก็สำเร็จ

หานเจวี๋ยใช้ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์สังเกตสวินฉางอันเป็นอันดับแรก

สำหรับสวินฉางอันนั้น เขายังคงเป็นกังวลอยู่มาก เจ้าหมอนี่มักจะตกอยู่ในเคราะห์รักบ่อยๆ ออกไปนานเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

หากไม่ใช่ว่าพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องใช้สวินฉางอันมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แล้ว หานเจวี๋ยคงจะสะกดเขาไว้บนเขา

ขณะนี้สวินฉางอันกำลังดื่มสุราเมามายอยู่ในโรงเตี๊ยมกลางเมืองแห่งหนึ่ง ปากก็บ่นพึมพำอยู่เพียงชื่อเดียว

เชี่ยนเอ๋อร์

หานเจวี๋ยล่ะยอมใจจริงๆ คำสาปของพุทธาเทพน่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ

คนตายไปแล้วหลายร้อยปี กลับยังลืมไม่ลง

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าหากทำให้สวินฉางอันตายไปได้บางทีก็คงจะดี เมื่อกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง หานเจวี๋ยจะขังเขาไว้บนเขาทันที ไม่ให้พบเจอกับสตรีผู้ใดอีก

‘ไม่ได้

เช่นนี้ก็ไม่ดี หากเขาถูกใจสตรีบนเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า

เช่นนั้นมันจะกลายเป็นละครน้ำเน่า!’

หานเจวี๋ยคิดอยู่พักหนึ่ง ‘หรือจะไปหาการกลับชาติมาเกิดของเชี่ยนเอ๋อร์?

แต่สวินฉางอันอัปลักษณ์เพียงนั้น ไม่ว่าเชี่ยนเอ๋อร์จะกลับชาติมาเกิดอีกกี่ครั้ง คาดว่านางก็คงไม่อาจชอบเขาได้

เฮ้อ

ช่างเถอะ

รีบคว้าเวลาในการฝึกฝนจะดีกว่า ช่วงชิงเวลาในการบรรลุถึงระดับของพุทธาเทพโดยเร็ว จะได้ช่วยปลดปล่อยสวินฉางอันได้’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

แม้มู่หรงฉี่มักจะเมินเฉยต่อสวินฉางอัน แต่ทุกครั้งที่สวินฉางอันมีอันตราย เขามักจะมาถึงก่อนเสมอ

บางครั้ง หานเจวี๋ยก็สงสารมู่หรงฉี่มาก

แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ใครใช้ให้เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามของหานเจวี๋ยเล่า จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี

กล่าวตามตรง หานเจวี๋ยรู้สึกว่าศิษย์รุ่นสามนั้นแข็งแกร่งกว่าศิษย์รุ่นสองอยู่มาก

ในบรรดาศิษย์รุ่นสอง ก็มีเพียงซูฉีกับถูหลิงเอ๋อร์ที่ทำให้เขารู้สึกวางใจได้ คนที่แข็งแกร่งมากที่สุดคือซูฉี ส่วนสวินฉางอันกับหยางเทียนตงใช้การไม่ได้เลย

และก็สมควรแก่เวลาที่จะคิดชื่อให้กับสำนักนี้แล้ว

สำนักเพียรบำเพ็ญ?

ลัทธิเพียรบำเพ็ญ?

เขาเพียรบำเพ็ญ?

ถ้ำเพียรบำเพ็ญ?

ถ้ำ…ไร้กังวล?

……

กาลเวลาราวกับกระสวย หนึ่งภาพเหตุการณ์หนึ่งทศวรรษ หนึ่งร้อยปีหนึ่งราชวงศ์

ในระหว่างที่หานเจวี๋ยฝึกฝน เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกสามสิบปี

สามสิบปีผ่านไป ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่ทะลวงถึงระดับเซียนแท้วัฏจักรขั้นสมบูรณ์ แต่ก็นับว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว

หลังจากได้รับกายดาราอนธการมาแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ ดูท่าระดับเซียนแท้คงไม่อาจทะลวงได้ง่ายๆ

ดูของหลงซั่นอีกครั้ง เขายังคงอยู่ที่ระยะกลาง

วันนี้

ฟางเหลียงกลับมาแล้ว

การกลับมาของเขาทำให้ผู้คนใต้ต้นฝูซังทั้งหมดพากันลุกขึ้น เพราะว่าแขนของเขาขาดไปข้างหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ” ไก่คุกรัตติกาลถามขึ้น

ผมของฟางเหลียงกลายเป็นสีขาวดอกเลาอยู่บ้าง ดูค่อนข้างผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปงามในครานั้นอีกต่อไป

ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าตัดมันเอง”

ฉู่ซื่อเหรินและโจวหมิงเยวี่ยเองก็มองไปที่ฟางเหลียง

โดยเฉพาะโจวหมิงเยวี่ยที่รู้สึกสงสัยในตัวฟางเหลียงเป็นอย่างมาก

ขึ้นเขามานานเพียงนี้ มักจะได้ยินคนอื่นพูดถึงฟางเหลียงกับมู่หรงฉี่อยู่บ่อยๆ

กล่าวกันว่าอาจารย์ปู่เอ็นดูพวกเขาที่สุด

“ไม่มีอะไร ข้าจะไปคารวะอาจารย์ปู่ก่อน” ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

กล่าวจบเขาก็เดินไปทางถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นท่าทีที่ไม่ปกติของเขา จึงไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป และอยู่กันสองคนตามลำพังศิษย์และอาจารย์

“อาจารย์ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านถึงไม่ออกไปทางโลก เหตุใดท่านถึงไม่แต่งงาน”

หานเจวี๋ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ก่อนฟางเหลียงจะเริ่มเล่าถึงเรื่องราวที่เขาได้ผ่านมา

ที่แท้ธิดาเทพเผ่าปีศาจที่เขาแต่งงานด้วยก็คือธิดาของจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำ ตอนแรกจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำให้ความสำคัญกับเขามาก แต่เขาพบว่าจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำต้องการรวมเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจเข้าด้วยกัน ถึงได้ตกลงกับงานแต่งครั้งนี้

ไม่เพียงแค่นั้น ธิดาเทพเผ่าปีศาจก็เริ่มเกลี้ยกล่อมฟางเหลียง เพียงเพราะจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำสัญญาว่าวันหน้าจะมอบบัลลังก์ให้กับฟางเหลียง

แต่ไหนเลยฟางเหลียงจะยอมละทิ้งเผ่ามนุษย์ได้

เกิดอุปสรรคอยู่หลายครั้งหลายหน การทะเลาะและความคิดที่ไม่เหมือนกันบั่นทอนความรักลง จนสามีภรรยาต่างเผ่าพันธุ์คู่นี้ถึงคราวแตกหัก

ฟางเหลียงตัดแขนของตนเองเพื่อแสดงถึงการตัดสินใจว่าจะไม่หันหลังกลับไปอีก

ธิดาเทพเผ่าปีศาจเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก อุปนิสัยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นชิงชังในตัวเขา

หานเจวี๋ยได้ฟังแล้วก็กล่าวปลอบใจ “ไม่เป็นไร ชีวิตคนเราบนโลกไม่อาจขาดอารมณ์เช่นนี้ได้ หลังจากนี้ตั้งใจฝึกฝนก็พอ บนสวรรค์เต็มไปด้วยเทพธิดา ไม่จำเป็นต้องพะวงหานางอยู่ตลอด

จำไว้ให้ดี การบำเพ็ญตบะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญสุด”

ฟางเหลียงยิ้มอย่างขมขื่น

หานเจวี๋ยเอ่ย “อยู่ในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเถิด อย่าได้ออกไปอีกเลย”

‘จะได้ไม่ทำให้โลกเมฆาแดงถูกเลื่อนอันดับอีก!’

ฟางเหลียงพยักหน้า กล่าวว่า “อาจารย์ปู่ ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจะไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ความรู้สึกนี้ยากจะอธิบายนัก แม้ข้าจะเพิ่งระดับฝ่าด่านเคราะห์ แต่ผู้บำเพ็ญระดับมหายานก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว น่าแปลกยิ่งนัก”

สำหรับเรื่องของดวงชะตาและพรสวรรค์ของตนเอง เขาเข้าใจมาตลอดว่าเป็นผลมาจากการที่หานเจวี๋ยฝืนลิขิตฟ้าพลิกชะตาให้เขาในปีนั้น เพราะอย่างนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคนอื่นชื่นชมเขา เขามักจะคิดถึงหานเจวี๋ยและรู้สึกอบอุ่นในใจ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สังหารศัตรูในโลกมนุษย์ที่อยู่เหนือกว่าระดับหนึ่งเท่านั้น ซูฉีอาจารย์ลุงของเจ้าขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เป้าหมายของเจ้าควรจะเจริญรอยตามเขา อย่าได้เอาระดับมหายานในโลกมนุษย์มาเป็นบรรทัดฐาน บางทีบนโลกใบนี้เจ้าอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่เทียบกับบุตรแห่งสวรรค์บนโลกเบื้องบนแล้ว ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง”

พอฟางเหลียงคิดอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

จากนั้นหานเจวี๋ยเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้เขา

ถ่ายทอดพลังเทพหมื่นกระบี่ให้ฟางเหลียง รอกระทั่งเขาเข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้วค่อยถ่ายทอดไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิให้

เป้าหมายของเขาคือให้บรรดาศิษย์และศิษย์หลานแบ่งกันสืบทอดความสามารถต่างๆ ของเขา เช่นนี้แล้วถึงจะแสดงให้เห็นว่าเขานั้นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้

สามเดือนต่อมา ฟางเหลียงเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน จิตใจหงอยเหงาเศร้าสร้อยซึมถูกกวาดออกไปจนหมด กลับมาฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญอีกครั้ง

“ราชามังกร มาฝึกฝนกันหน่อย?”

ฟางเหลียงกล่าวกับราชามังกรด้วยรอยยิ้ม

ราชามังกรสามหัวแอบคิดในใจว่า ‘เจ้าเด็กนี่คิดจะรังแกข้าหรือ

ไม่ใช่สิ เขาเพิ่งระดับด่านเคราะห์ มีอะไรที่ข้าต้องกลัวด้วยเล่า’

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+