ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
หลังจากนำไก่คุกรัตติกาลกลับถ้ำเทวามาแล้ว หานเจวี๋ยก็ปล่อยมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญต่อ

แรกเริ่ม ยามที่ไก่คุกรัตติกาลหิวจะกินดอกไม้ใบหญ้าของเขา สุดท้ายก็ถูกพลังวิญญาณหกสายของเขาโจมตีจนกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำ เจ็บปวดจนต้องร้องออกเจี๊ยบๆ ออกมา

อันตรายยิ่งนัก!

เกือบหัวคะมำตายแล้ว!

หานเจวี๋ยจำต้องถ่ายพลังวิญญาณของตนเข้าไปในร่างไก่คุกรัตติกาล และกระตุ้นให้มันดูดรับปราณ

ใช้เวลาติดต่อกันหลายวันกว่าที่ไก่คุกรัตติกาลจะคุ้นชินกับการดูดรับปราณ

การดูดรับปราณช่วยลดความหิวได้ ไก่คุกรัตติกาลจึงเริ่มเพลิดเพลินกับสภาพการฝึกบำเพ็ญ

จำต้องกล่าวเลยว่า เทพปีศาจกลับชาติมาเกิดก็ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ

แม้สายเลือดยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่ถูกเปิด แต่ความสามารถยังคงอยู่

หากไม่พบเจอกับหานเจวี๋ย คาดว่าไก่คุกรัตติกาลตัวนี้คงถูกส่งไปยังแดนหมื่นปีศาจ และถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นกินไปแล้ว กลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ภพกี่ชาติถึงจะปรากฏลักษณะของเทพปีศาจขึ้นมาอีก

หลังจากไก่คุกรัตติกาลเริ่มฝึกบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็เริ่มวางใจ ฝึกบำเพ็ญของตนเองต่อไป

สำหรับเขาแล้วระดับปราณก่อกำเนิดขั้นห้านั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพออยู่มากนัก

เป้าหมายของเขาคือการบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณโดยเร็ว

ไม่สิ!

บรรลุระดับสุญตาในเร็ววัน!

ต้องบรรลุระดับมหายานโดยเร็ว!

เขาต้องบรรลุระดับที่สูงสุดในโลกโดยเร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะวางใจได้

……

สองปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อกับผู้อาวุโสสูงสุดกลับมาแล้ว

เมื่อรู้ว่าเซียนเฒ่าเต้าเหลยเป็นจารชน และถูกหานเจวี๋ยสังหารไปแล้ว ศิษย์อาจารย์ทั้งสองตะลึงงันไปทันที

หลังจากเซียนซีเสวียนนำหลักฐานเหล่านั้นออกมา ทั้งสองก็กรุ่นโกรธ ก่นด่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณว่าไร้ยางอาย

ในเวลาเดียวกัน

หานเจวี๋ยกำลังต้อนรับสิงหงเสวียนอยู่ในถ้ำเทวา

ไม่พบสิงหงเสวียนมานาน สตรีผู้นี้ยิ่งสร้างความประทับใจมากยิ่งขึ้น

นางบรรลุระดับสร้างฐานขั้นแปดแล้ว ความเร็วในการทะลวงระดับเช่นนี้นับว่าค่อนข้างสูงนัก ยามนี้ก็ตามฉางเยวี่ยเอ๋อร์และโม่จู๋ทันเรียบร้อย

การปฏิบัติของยอดเขาหลักย่อมดีกว่ายอดเขาทั้งสิบแปดอยู่แล้ว

[เจ้าสำนักกลับมาแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ราบรื่นปลอดภัย ท่านได้รับเคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับวิชาเทพวายุ]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับโอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[วิชาเทพวายุ: วิชาเวทสายวายุ สามารถขี่วายุท่องเที่ยวไปทั่วหล้า และกลายร่างเป็นวายุได้]

[โอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณ: โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณชั้นเลิศ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด]

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นอักขระห้าแถวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม

สิงหงเสวียนเริ่มปลูกของล้ำค่าฟ้าดินที่ตนเองรวบรวมมาแล้ว

“ของล้ำค่าเหล่านี้ล้วนได้มาจากการที่ข้าไปฝึกหาประสบการณ์ภายนอก ข้าเอามาให้ท่านก่อน ท่านจะต้องได้ใช้มันแน่”

สิงหงเสวียนยิ้มกล่าว เมื่อหันไปก็เห็นหานเจวี๋ยกำลังยิ้มอยู่พอดี นางก็รู้สึกชื่นใจอย่างอดไม่ได้

ดูท่าสามีจะดีใจกับการมาของนางยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกับนาง

สิงหงเสวียนพูดถึงเรื่องที่นางไปหาประสบการณ์ภายนอก หานเจวี๋ยจึงถือโอกาสทำความเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตไปด้วย

เมื่อเดือนก่อน นางออกไปหาประสบการณ์กับศิษย์พี่สำนักเดียวกัน บังเอิญพบกับลัทธิยอดเขาสีชาดที่เป็นลัทธิสายหลักกำลังต่อสู้กับสำนักมังกรเขียวที่ฝึกสายมาร พวกเขาลงมือโจมตีผู้บำเพ็ญของสำนักมังกรเขียว สิงหงเสวียนจึงฉวยโอกาสเก็บแหวนเก็บสมบัติไป เมื่อกลับมาแล้วถึงพบว่าด้านในมีของล้ำค่าซ่อนอยู่ไม่น้อย

“สำนักหยกพิสุทธิ์จัดอยู่ลำดับที่เท่าใดในแดนผู้บำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนหรือ” หานเจวี๋ยถาม

สิงหงเสวียนเอ่ยพึมพำว่า “แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนมีสำนักที่มีอิทธิพลอยู่ยี่สิบกว่าสำนัก หนึ่งในนั้นมีสายหลักอยู่สิบสองสำนัก สำนักหยกพิสุทธิ์คงพอจะถือเป็นห้าอันดับแรกได้กระมัง”

หืม? ห้าอันดับแรกเชียวหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกหมดหวัง มิน่าเล่าสำนักหยกพิสุทธิ์ถึงมีศัตรูมากมายเพียงนี้

“อันที่จริงกำลังของแต่ละสำนักส่วนใหญ่ต่างกันไม่มากนัก ก็ไม่ได้มีอันดับที่แท้จริงหรอก” สิงหงเสวียนกล่าวพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ

หานเจวี๋ยพยักหน้า

แดนบำเพ็ญพรตที่แท้จริงไหนเลยจะมีอันดับมากมายเช่นนั้น อีกทั้งไม่มีอำนาจขนาดใหญ่สนับสนุน

“จริงสิ ช่วงนี้แดนบำเพ็ญพรตมีบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคปรากฏขึ้นคนหนึ่ง คือหวงจี๋เฮ่าจากสำนักกระบี่วิหคชาด ขณะที่อยู่ระดับรวมแก่นปราณ คนผู้นี้เคยสังหารเฒ่าประหลาดระดับปราณก่อกำเนิดมาก่อน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วหล้า ผ่านไปหลายร้อยปีพลังอันน่ากลัวของเขาก็บรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณ เขาบุกเดี่ยวไปสังหารสำนักสายหลักแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้” ราวกับว่าสิงหงเสวียนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อ

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “กล่าวกันว่าหวงจี๋เฮ่าต้องการท้าประลองสำนักทั้งหมดในแดนบำเพ็ญพรต เขาจะมาที่สำนักหยกพิสุทธิ์ของเราหรือไม่”

นางรู้มาจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีแล้วว่าหานเจวี๋ยก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ หากหวงจี๋เฮ่าบุกเข้ามาสังหาร หานเจวี๋ยจำต้องเผชิญหน้ากับเขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้า คิดว่า ‘เหตุใดถึงได้มีคนบ้าการต่อสู้เช่นนี้อยู่ทุกที่ สามารถท้าประลองเดี่ยวกับสำนักหนึ่งได้ คงจะแข็งแกร่งมากสินะ’

หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ในระหว่างที่หวงจี๋เฮ่าท้าประลองกับแต่ละสำนัก เขาได้สังหารคนหรือไม่”

สิงหงเสวียนส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้สังหาร อย่างไรเสียสำนักกระบี่วิหคชาดก็เป็นสำนักสายหลัก”

“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”

สีหน้าของสิงหงเสวียนเต็มไปด้วยคำถาม

ผู้อาวุโสสังหารเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับกลัวตายเพียงนี้เชียวหรือ

นางรู้สึกขันยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ดูแคลนหานเจวี๋ย

ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูถูกเขา

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยาม สิงหงเสวียนก็จากไป

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ

ทุกๆ สองสามปี สิงหงเสวียน โม่จู๋ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะมาหาเขาสักครั้ง ไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

หานเจวี๋ยเองก็ค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาเช่นนี้

พูดคุยบ้างเป็นบางครั้งก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตจากคำบอกเล่าของพวกนางไปด้วย

ขณะเดียวกัน ไก่คุกรัตติกาลก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

……

หนึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยคุ้นชินกับการตรวจสอบสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว

[เย่ซานหลาง: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด ผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด พลังไม่เลวนี่

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลเงยหน้ามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ภายใต้การบ่มเพาะของหานเจวี๋ย มันก็รู้สึกชอบการฝึกบำเพ็ญขึ้นมาแล้ว

ท่ามกลางป่าเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้

บุรุษในชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา มีความชั่วร้ายอยู่ตรงหว่างคิ้ว

เขาก็คือเย่ซานหลางแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

“เหตุใดเจ้าเต้าเหลยนั่นถึงยังไม่มา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เย่ซานหลางแอบก่นด่า

เขารอมาหนึ่งเดือนแล้ว จวนจะหมดความอดทนเต็มที

เขาคิดแม้กระทั่งจะบุกเข้าไปในสำนักหยกพิสุทธิ์โดยตรง

ทว่าเมื่อนึกถึงผู้อาวุโสสังหารเทพผู้นั้น เขาจึงยอมประนีประนอม

ตอนนั้นเอง หานเจวี๋ยเดินออกมาจากป่าลึก

เมื่อเห็นเขา เย่ซานหลางก็พลันระแวดระวังขึ้นมา

เมื่อกวาดพลังจิตดู…

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า

ก็แค่มดปลวก!

เย่ซานหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นหานเจวี๋ย ฝึกบำเพ็ญต่อไป อย่างไรเสียเขาก็สวมชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ หากเห็นคนแล้วหนีอาจทำให้เกิดความสงสัยได้

ไหนเลยจะรู้ว่าหานเจวี๋ยกลับเดินตรงมาหาเขา

เย่ซานหลางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ท่านมีเรื่องอันใดหรือ”

หานเจวี๋ยส่งเสียงตอบ “ใช่ผู้ดำเนินการลับเย่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือไม่ ข้าคือศิษย์สืบทอดของเซียนเฒ่าเต้าเหลย ช่วงนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก่อความวุ่นวายในสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่บ่อยๆ เซียนเฒ่าเต้าเหลยได้รับมอบหมายจากเจ้าสำนักให้ไปทำภารกิจอื่น ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงให้ข้ามาติดต่อกับท่าน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ซานหลางยิ่งคิ้วขมวดแน่น

ทันใดนั้น เขาพลันประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของหานเจวี๋ย พลังวิญญาณรุนแรงพุ่งเข้าไปในร่างของหานเจวี๋ย

หลังจากนั้น

เสียงโครมดังขึ้น!

เย่ซานหลางถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ล้มลง

หานเจวี๋ยลูบอก คิดค่อนแคะในใจ ‘ข้ามีอาภรณ์เทพ พลังวิญญาณอันน้อยนิดเช่นเจ้านี้จะโจมตีข้าได้อย่างไร’

อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองไม่ใช่เกราะต้านทาน เพียงแค่หานเจวี๋ยใช้การเรียบรู้แบบมีเงื่อนไข[1]ของพลังวิญญาณหกสายในการต่อต้าน ไหนเลยพลังวิญญาณมนุษย์ธรรมดาอย่างเย่ซานหลางจะต้านทานได้

“เจ้า…”

เย่ซานหลางลุกขึ้นยืน เขาทั้งตกใจและโมโห

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า เหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

เดี๋ยวก่อน!

หรือว่า…

เย่ซานหลางนึกถึงคนผู้หนึ่งทันใด เขาตกใจจนหน้าซีดขาว หมุนกายเตรียมหนี

ทว่าเขาเพิ่งจะหันหลังเท่านั้น เงากระบี่สามสายก็พุ่งมาสังหารราวสายฟ้าแลบ บดขยี้กายเนื้อของเขาจนแหลกละเอียด

ในชั่วเวลาพริบตาเดียว เย่ซานหลางนำจิตดั้งเดิมออกมา จิตดั้งเดิมกลายเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างเร็วรี่

รวดเร็วยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาเทพวายุออกมาทันที กลายเป็นวายุทะยานไล่ตามไป

ไม่ถึงสามวินาที เขาก็ตามเย่ซานหลางทัน เขายกมือใช้วิชามหาวายุอัสนี สายฟ้าที่ปกคลุมทั่วท้องนภากลายเป็นตาข่ายอัสนีกักขังเย่ซานหลางไว้

……………………………………….

[1] การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Conditioned reflex หรือ Associative learning) เป็นการเรียนรู้แบบที่มีต่อสิ่งเร้าสองสิ่ง คือสิ่งเร้าแท้และสิ่งเร้าเทียม โดยสิ่งเร้าเทียมจะทำหน้าที่แทนสิ่งเร้าแท้ได้โดยที่มีผลตอบสนองเช่นเดียวกับสิ่งเร้าแท้ เช่น การให้อาหารสุนัข (สิ่งเร้าแท้) สุนัขจะน้ำลายไหล หลังจากนั้นเมื่อทำการสั่นกระดิ่งพร้อมกับให้อาหารสุนัขไปด้วยหลายๆ ครั้ง สุนัขจะน้ำลายไหลออกมาด้วยเสมอ หลังจากนั้นเพียงแค่สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าเทียม) สุนัขก็จะน้ำลายไหลได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เสียงกระดิ่งไม่สามารถทำให้น้ำลายของสุนัขไหลได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
หลังจากนำไก่คุกรัตติกาลกลับถ้ำเทวามาแล้ว หานเจวี๋ยก็ปล่อยมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญต่อ

แรกเริ่ม ยามที่ไก่คุกรัตติกาลหิวจะกินดอกไม้ใบหญ้าของเขา สุดท้ายก็ถูกพลังวิญญาณหกสายของเขาโจมตีจนกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำ เจ็บปวดจนต้องร้องออกเจี๊ยบๆ ออกมา

อันตรายยิ่งนัก!

เกือบหัวคะมำตายแล้ว!

หานเจวี๋ยจำต้องถ่ายพลังวิญญาณของตนเข้าไปในร่างไก่คุกรัตติกาล และกระตุ้นให้มันดูดรับปราณ

ใช้เวลาติดต่อกันหลายวันกว่าที่ไก่คุกรัตติกาลจะคุ้นชินกับการดูดรับปราณ

การดูดรับปราณช่วยลดความหิวได้ ไก่คุกรัตติกาลจึงเริ่มเพลิดเพลินกับสภาพการฝึกบำเพ็ญ

จำต้องกล่าวเลยว่า เทพปีศาจกลับชาติมาเกิดก็ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ

แม้สายเลือดยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่ถูกเปิด แต่ความสามารถยังคงอยู่

หากไม่พบเจอกับหานเจวี๋ย คาดว่าไก่คุกรัตติกาลตัวนี้คงถูกส่งไปยังแดนหมื่นปีศาจ และถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นกินไปแล้ว กลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ภพกี่ชาติถึงจะปรากฏลักษณะของเทพปีศาจขึ้นมาอีก

หลังจากไก่คุกรัตติกาลเริ่มฝึกบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็เริ่มวางใจ ฝึกบำเพ็ญของตนเองต่อไป

สำหรับเขาแล้วระดับปราณก่อกำเนิดขั้นห้านั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพออยู่มากนัก

เป้าหมายของเขาคือการบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณโดยเร็ว

ไม่สิ!

บรรลุระดับสุญตาในเร็ววัน!

ต้องบรรลุระดับมหายานโดยเร็ว!

เขาต้องบรรลุระดับที่สูงสุดในโลกโดยเร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะวางใจได้

……

สองปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อกับผู้อาวุโสสูงสุดกลับมาแล้ว

เมื่อรู้ว่าเซียนเฒ่าเต้าเหลยเป็นจารชน และถูกหานเจวี๋ยสังหารไปแล้ว ศิษย์อาจารย์ทั้งสองตะลึงงันไปทันที

หลังจากเซียนซีเสวียนนำหลักฐานเหล่านั้นออกมา ทั้งสองก็กรุ่นโกรธ ก่นด่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณว่าไร้ยางอาย

ในเวลาเดียวกัน

หานเจวี๋ยกำลังต้อนรับสิงหงเสวียนอยู่ในถ้ำเทวา

ไม่พบสิงหงเสวียนมานาน สตรีผู้นี้ยิ่งสร้างความประทับใจมากยิ่งขึ้น

นางบรรลุระดับสร้างฐานขั้นแปดแล้ว ความเร็วในการทะลวงระดับเช่นนี้นับว่าค่อนข้างสูงนัก ยามนี้ก็ตามฉางเยวี่ยเอ๋อร์และโม่จู๋ทันเรียบร้อย

การปฏิบัติของยอดเขาหลักย่อมดีกว่ายอดเขาทั้งสิบแปดอยู่แล้ว

[เจ้าสำนักกลับมาแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ราบรื่นปลอดภัย ท่านได้รับเคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับวิชาเทพวายุ]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับโอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[วิชาเทพวายุ: วิชาเวทสายวายุ สามารถขี่วายุท่องเที่ยวไปทั่วหล้า และกลายร่างเป็นวายุได้]

[โอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณ: โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณชั้นเลิศ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด]

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นอักขระห้าแถวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม

สิงหงเสวียนเริ่มปลูกของล้ำค่าฟ้าดินที่ตนเองรวบรวมมาแล้ว

“ของล้ำค่าเหล่านี้ล้วนได้มาจากการที่ข้าไปฝึกหาประสบการณ์ภายนอก ข้าเอามาให้ท่านก่อน ท่านจะต้องได้ใช้มันแน่”

สิงหงเสวียนยิ้มกล่าว เมื่อหันไปก็เห็นหานเจวี๋ยกำลังยิ้มอยู่พอดี นางก็รู้สึกชื่นใจอย่างอดไม่ได้

ดูท่าสามีจะดีใจกับการมาของนางยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกับนาง

สิงหงเสวียนพูดถึงเรื่องที่นางไปหาประสบการณ์ภายนอก หานเจวี๋ยจึงถือโอกาสทำความเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตไปด้วย

เมื่อเดือนก่อน นางออกไปหาประสบการณ์กับศิษย์พี่สำนักเดียวกัน บังเอิญพบกับลัทธิยอดเขาสีชาดที่เป็นลัทธิสายหลักกำลังต่อสู้กับสำนักมังกรเขียวที่ฝึกสายมาร พวกเขาลงมือโจมตีผู้บำเพ็ญของสำนักมังกรเขียว สิงหงเสวียนจึงฉวยโอกาสเก็บแหวนเก็บสมบัติไป เมื่อกลับมาแล้วถึงพบว่าด้านในมีของล้ำค่าซ่อนอยู่ไม่น้อย

“สำนักหยกพิสุทธิ์จัดอยู่ลำดับที่เท่าใดในแดนผู้บำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนหรือ” หานเจวี๋ยถาม

สิงหงเสวียนเอ่ยพึมพำว่า “แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนมีสำนักที่มีอิทธิพลอยู่ยี่สิบกว่าสำนัก หนึ่งในนั้นมีสายหลักอยู่สิบสองสำนัก สำนักหยกพิสุทธิ์คงพอจะถือเป็นห้าอันดับแรกได้กระมัง”

หืม? ห้าอันดับแรกเชียวหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกหมดหวัง มิน่าเล่าสำนักหยกพิสุทธิ์ถึงมีศัตรูมากมายเพียงนี้

“อันที่จริงกำลังของแต่ละสำนักส่วนใหญ่ต่างกันไม่มากนัก ก็ไม่ได้มีอันดับที่แท้จริงหรอก” สิงหงเสวียนกล่าวพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ

หานเจวี๋ยพยักหน้า

แดนบำเพ็ญพรตที่แท้จริงไหนเลยจะมีอันดับมากมายเช่นนั้น อีกทั้งไม่มีอำนาจขนาดใหญ่สนับสนุน

“จริงสิ ช่วงนี้แดนบำเพ็ญพรตมีบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคปรากฏขึ้นคนหนึ่ง คือหวงจี๋เฮ่าจากสำนักกระบี่วิหคชาด ขณะที่อยู่ระดับรวมแก่นปราณ คนผู้นี้เคยสังหารเฒ่าประหลาดระดับปราณก่อกำเนิดมาก่อน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วหล้า ผ่านไปหลายร้อยปีพลังอันน่ากลัวของเขาก็บรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณ เขาบุกเดี่ยวไปสังหารสำนักสายหลักแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้” ราวกับว่าสิงหงเสวียนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อ

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “กล่าวกันว่าหวงจี๋เฮ่าต้องการท้าประลองสำนักทั้งหมดในแดนบำเพ็ญพรต เขาจะมาที่สำนักหยกพิสุทธิ์ของเราหรือไม่”

นางรู้มาจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีแล้วว่าหานเจวี๋ยก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ หากหวงจี๋เฮ่าบุกเข้ามาสังหาร หานเจวี๋ยจำต้องเผชิญหน้ากับเขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้า คิดว่า ‘เหตุใดถึงได้มีคนบ้าการต่อสู้เช่นนี้อยู่ทุกที่ สามารถท้าประลองเดี่ยวกับสำนักหนึ่งได้ คงจะแข็งแกร่งมากสินะ’

หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ในระหว่างที่หวงจี๋เฮ่าท้าประลองกับแต่ละสำนัก เขาได้สังหารคนหรือไม่”

สิงหงเสวียนส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้สังหาร อย่างไรเสียสำนักกระบี่วิหคชาดก็เป็นสำนักสายหลัก”

“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”

สีหน้าของสิงหงเสวียนเต็มไปด้วยคำถาม

ผู้อาวุโสสังหารเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับกลัวตายเพียงนี้เชียวหรือ

นางรู้สึกขันยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ดูแคลนหานเจวี๋ย

ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูถูกเขา

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยาม สิงหงเสวียนก็จากไป

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ

ทุกๆ สองสามปี สิงหงเสวียน โม่จู๋ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะมาหาเขาสักครั้ง ไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

หานเจวี๋ยเองก็ค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาเช่นนี้

พูดคุยบ้างเป็นบางครั้งก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตจากคำบอกเล่าของพวกนางไปด้วย

ขณะเดียวกัน ไก่คุกรัตติกาลก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

……

หนึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยคุ้นชินกับการตรวจสอบสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว

[เย่ซานหลาง: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด ผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด พลังไม่เลวนี่

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลเงยหน้ามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ภายใต้การบ่มเพาะของหานเจวี๋ย มันก็รู้สึกชอบการฝึกบำเพ็ญขึ้นมาแล้ว

ท่ามกลางป่าเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้

บุรุษในชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา มีความชั่วร้ายอยู่ตรงหว่างคิ้ว

เขาก็คือเย่ซานหลางแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

“เหตุใดเจ้าเต้าเหลยนั่นถึงยังไม่มา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เย่ซานหลางแอบก่นด่า

เขารอมาหนึ่งเดือนแล้ว จวนจะหมดความอดทนเต็มที

เขาคิดแม้กระทั่งจะบุกเข้าไปในสำนักหยกพิสุทธิ์โดยตรง

ทว่าเมื่อนึกถึงผู้อาวุโสสังหารเทพผู้นั้น เขาจึงยอมประนีประนอม

ตอนนั้นเอง หานเจวี๋ยเดินออกมาจากป่าลึก

เมื่อเห็นเขา เย่ซานหลางก็พลันระแวดระวังขึ้นมา

เมื่อกวาดพลังจิตดู…

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า

ก็แค่มดปลวก!

เย่ซานหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นหานเจวี๋ย ฝึกบำเพ็ญต่อไป อย่างไรเสียเขาก็สวมชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ หากเห็นคนแล้วหนีอาจทำให้เกิดความสงสัยได้

ไหนเลยจะรู้ว่าหานเจวี๋ยกลับเดินตรงมาหาเขา

เย่ซานหลางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ท่านมีเรื่องอันใดหรือ”

หานเจวี๋ยส่งเสียงตอบ “ใช่ผู้ดำเนินการลับเย่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือไม่ ข้าคือศิษย์สืบทอดของเซียนเฒ่าเต้าเหลย ช่วงนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก่อความวุ่นวายในสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่บ่อยๆ เซียนเฒ่าเต้าเหลยได้รับมอบหมายจากเจ้าสำนักให้ไปทำภารกิจอื่น ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงให้ข้ามาติดต่อกับท่าน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ซานหลางยิ่งคิ้วขมวดแน่น

ทันใดนั้น เขาพลันประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของหานเจวี๋ย พลังวิญญาณรุนแรงพุ่งเข้าไปในร่างของหานเจวี๋ย

หลังจากนั้น

เสียงโครมดังขึ้น!

เย่ซานหลางถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ล้มลง

หานเจวี๋ยลูบอก คิดค่อนแคะในใจ ‘ข้ามีอาภรณ์เทพ พลังวิญญาณอันน้อยนิดเช่นเจ้านี้จะโจมตีข้าได้อย่างไร’

อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองไม่ใช่เกราะต้านทาน เพียงแค่หานเจวี๋ยใช้การเรียบรู้แบบมีเงื่อนไข[1]ของพลังวิญญาณหกสายในการต่อต้าน ไหนเลยพลังวิญญาณมนุษย์ธรรมดาอย่างเย่ซานหลางจะต้านทานได้

“เจ้า…”

เย่ซานหลางลุกขึ้นยืน เขาทั้งตกใจและโมโห

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า เหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

เดี๋ยวก่อน!

หรือว่า…

เย่ซานหลางนึกถึงคนผู้หนึ่งทันใด เขาตกใจจนหน้าซีดขาว หมุนกายเตรียมหนี

ทว่าเขาเพิ่งจะหันหลังเท่านั้น เงากระบี่สามสายก็พุ่งมาสังหารราวสายฟ้าแลบ บดขยี้กายเนื้อของเขาจนแหลกละเอียด

ในชั่วเวลาพริบตาเดียว เย่ซานหลางนำจิตดั้งเดิมออกมา จิตดั้งเดิมกลายเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างเร็วรี่

รวดเร็วยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาเทพวายุออกมาทันที กลายเป็นวายุทะยานไล่ตามไป

ไม่ถึงสามวินาที เขาก็ตามเย่ซานหลางทัน เขายกมือใช้วิชามหาวายุอัสนี สายฟ้าที่ปกคลุมทั่วท้องนภากลายเป็นตาข่ายอัสนีกักขังเย่ซานหลางไว้

……………………………………….

[1] การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Conditioned reflex หรือ Associative learning) เป็นการเรียนรู้แบบที่มีต่อสิ่งเร้าสองสิ่ง คือสิ่งเร้าแท้และสิ่งเร้าเทียม โดยสิ่งเร้าเทียมจะทำหน้าที่แทนสิ่งเร้าแท้ได้โดยที่มีผลตอบสนองเช่นเดียวกับสิ่งเร้าแท้ เช่น การให้อาหารสุนัข (สิ่งเร้าแท้) สุนัขจะน้ำลายไหล หลังจากนั้นเมื่อทำการสั่นกระดิ่งพร้อมกับให้อาหารสุนัขไปด้วยหลายๆ ครั้ง สุนัขจะน้ำลายไหลออกมาด้วยเสมอ หลังจากนั้นเพียงแค่สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าเทียม) สุนัขก็จะน้ำลายไหลได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เสียงกระดิ่งไม่สามารถทำให้น้ำลายของสุนัขไหลได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
หลังจากนำไก่คุกรัตติกาลกลับถ้ำเทวามาแล้ว หานเจวี๋ยก็ปล่อยมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญต่อ

แรกเริ่ม ยามที่ไก่คุกรัตติกาลหิวจะกินดอกไม้ใบหญ้าของเขา สุดท้ายก็ถูกพลังวิญญาณหกสายของเขาโจมตีจนกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำ เจ็บปวดจนต้องร้องออกเจี๊ยบๆ ออกมา

อันตรายยิ่งนัก!

เกือบหัวคะมำตายแล้ว!

หานเจวี๋ยจำต้องถ่ายพลังวิญญาณของตนเข้าไปในร่างไก่คุกรัตติกาล และกระตุ้นให้มันดูดรับปราณ

ใช้เวลาติดต่อกันหลายวันกว่าที่ไก่คุกรัตติกาลจะคุ้นชินกับการดูดรับปราณ

การดูดรับปราณช่วยลดความหิวได้ ไก่คุกรัตติกาลจึงเริ่มเพลิดเพลินกับสภาพการฝึกบำเพ็ญ

จำต้องกล่าวเลยว่า เทพปีศาจกลับชาติมาเกิดก็ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ

แม้สายเลือดยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่ถูกเปิด แต่ความสามารถยังคงอยู่

หากไม่พบเจอกับหานเจวี๋ย คาดว่าไก่คุกรัตติกาลตัวนี้คงถูกส่งไปยังแดนหมื่นปีศาจ และถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นกินไปแล้ว กลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ภพกี่ชาติถึงจะปรากฏลักษณะของเทพปีศาจขึ้นมาอีก

หลังจากไก่คุกรัตติกาลเริ่มฝึกบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็เริ่มวางใจ ฝึกบำเพ็ญของตนเองต่อไป

สำหรับเขาแล้วระดับปราณก่อกำเนิดขั้นห้านั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพออยู่มากนัก

เป้าหมายของเขาคือการบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณโดยเร็ว

ไม่สิ!

บรรลุระดับสุญตาในเร็ววัน!

ต้องบรรลุระดับมหายานโดยเร็ว!

เขาต้องบรรลุระดับที่สูงสุดในโลกโดยเร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะวางใจได้

……

สองปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อกับผู้อาวุโสสูงสุดกลับมาแล้ว

เมื่อรู้ว่าเซียนเฒ่าเต้าเหลยเป็นจารชน และถูกหานเจวี๋ยสังหารไปแล้ว ศิษย์อาจารย์ทั้งสองตะลึงงันไปทันที

หลังจากเซียนซีเสวียนนำหลักฐานเหล่านั้นออกมา ทั้งสองก็กรุ่นโกรธ ก่นด่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณว่าไร้ยางอาย

ในเวลาเดียวกัน

หานเจวี๋ยกำลังต้อนรับสิงหงเสวียนอยู่ในถ้ำเทวา

ไม่พบสิงหงเสวียนมานาน สตรีผู้นี้ยิ่งสร้างความประทับใจมากยิ่งขึ้น

นางบรรลุระดับสร้างฐานขั้นแปดแล้ว ความเร็วในการทะลวงระดับเช่นนี้นับว่าค่อนข้างสูงนัก ยามนี้ก็ตามฉางเยวี่ยเอ๋อร์และโม่จู๋ทันเรียบร้อย

การปฏิบัติของยอดเขาหลักย่อมดีกว่ายอดเขาทั้งสิบแปดอยู่แล้ว

[เจ้าสำนักกลับมาแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ราบรื่นปลอดภัย ท่านได้รับเคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับวิชาเทพวายุ]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับโอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[วิชาเทพวายุ: วิชาเวทสายวายุ สามารถขี่วายุท่องเที่ยวไปทั่วหล้า และกลายร่างเป็นวายุได้]

[โอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณ: โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณชั้นเลิศ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด]

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นอักขระห้าแถวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม

สิงหงเสวียนเริ่มปลูกของล้ำค่าฟ้าดินที่ตนเองรวบรวมมาแล้ว

“ของล้ำค่าเหล่านี้ล้วนได้มาจากการที่ข้าไปฝึกหาประสบการณ์ภายนอก ข้าเอามาให้ท่านก่อน ท่านจะต้องได้ใช้มันแน่”

สิงหงเสวียนยิ้มกล่าว เมื่อหันไปก็เห็นหานเจวี๋ยกำลังยิ้มอยู่พอดี นางก็รู้สึกชื่นใจอย่างอดไม่ได้

ดูท่าสามีจะดีใจกับการมาของนางยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกับนาง

สิงหงเสวียนพูดถึงเรื่องที่นางไปหาประสบการณ์ภายนอก หานเจวี๋ยจึงถือโอกาสทำความเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตไปด้วย

เมื่อเดือนก่อน นางออกไปหาประสบการณ์กับศิษย์พี่สำนักเดียวกัน บังเอิญพบกับลัทธิยอดเขาสีชาดที่เป็นลัทธิสายหลักกำลังต่อสู้กับสำนักมังกรเขียวที่ฝึกสายมาร พวกเขาลงมือโจมตีผู้บำเพ็ญของสำนักมังกรเขียว สิงหงเสวียนจึงฉวยโอกาสเก็บแหวนเก็บสมบัติไป เมื่อกลับมาแล้วถึงพบว่าด้านในมีของล้ำค่าซ่อนอยู่ไม่น้อย

“สำนักหยกพิสุทธิ์จัดอยู่ลำดับที่เท่าใดในแดนผู้บำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนหรือ” หานเจวี๋ยถาม

สิงหงเสวียนเอ่ยพึมพำว่า “แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนมีสำนักที่มีอิทธิพลอยู่ยี่สิบกว่าสำนัก หนึ่งในนั้นมีสายหลักอยู่สิบสองสำนัก สำนักหยกพิสุทธิ์คงพอจะถือเป็นห้าอันดับแรกได้กระมัง”

หืม? ห้าอันดับแรกเชียวหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกหมดหวัง มิน่าเล่าสำนักหยกพิสุทธิ์ถึงมีศัตรูมากมายเพียงนี้

“อันที่จริงกำลังของแต่ละสำนักส่วนใหญ่ต่างกันไม่มากนัก ก็ไม่ได้มีอันดับที่แท้จริงหรอก” สิงหงเสวียนกล่าวพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ

หานเจวี๋ยพยักหน้า

แดนบำเพ็ญพรตที่แท้จริงไหนเลยจะมีอันดับมากมายเช่นนั้น อีกทั้งไม่มีอำนาจขนาดใหญ่สนับสนุน

“จริงสิ ช่วงนี้แดนบำเพ็ญพรตมีบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคปรากฏขึ้นคนหนึ่ง คือหวงจี๋เฮ่าจากสำนักกระบี่วิหคชาด ขณะที่อยู่ระดับรวมแก่นปราณ คนผู้นี้เคยสังหารเฒ่าประหลาดระดับปราณก่อกำเนิดมาก่อน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วหล้า ผ่านไปหลายร้อยปีพลังอันน่ากลัวของเขาก็บรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณ เขาบุกเดี่ยวไปสังหารสำนักสายหลักแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้” ราวกับว่าสิงหงเสวียนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อ

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “กล่าวกันว่าหวงจี๋เฮ่าต้องการท้าประลองสำนักทั้งหมดในแดนบำเพ็ญพรต เขาจะมาที่สำนักหยกพิสุทธิ์ของเราหรือไม่”

นางรู้มาจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีแล้วว่าหานเจวี๋ยก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ หากหวงจี๋เฮ่าบุกเข้ามาสังหาร หานเจวี๋ยจำต้องเผชิญหน้ากับเขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้า คิดว่า ‘เหตุใดถึงได้มีคนบ้าการต่อสู้เช่นนี้อยู่ทุกที่ สามารถท้าประลองเดี่ยวกับสำนักหนึ่งได้ คงจะแข็งแกร่งมากสินะ’

หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ในระหว่างที่หวงจี๋เฮ่าท้าประลองกับแต่ละสำนัก เขาได้สังหารคนหรือไม่”

สิงหงเสวียนส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้สังหาร อย่างไรเสียสำนักกระบี่วิหคชาดก็เป็นสำนักสายหลัก”

“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”

สีหน้าของสิงหงเสวียนเต็มไปด้วยคำถาม

ผู้อาวุโสสังหารเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับกลัวตายเพียงนี้เชียวหรือ

นางรู้สึกขันยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ดูแคลนหานเจวี๋ย

ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูถูกเขา

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยาม สิงหงเสวียนก็จากไป

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ

ทุกๆ สองสามปี สิงหงเสวียน โม่จู๋ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะมาหาเขาสักครั้ง ไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

หานเจวี๋ยเองก็ค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาเช่นนี้

พูดคุยบ้างเป็นบางครั้งก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตจากคำบอกเล่าของพวกนางไปด้วย

ขณะเดียวกัน ไก่คุกรัตติกาลก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

……

หนึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยคุ้นชินกับการตรวจสอบสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว

[เย่ซานหลาง: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด ผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด พลังไม่เลวนี่

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลเงยหน้ามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ภายใต้การบ่มเพาะของหานเจวี๋ย มันก็รู้สึกชอบการฝึกบำเพ็ญขึ้นมาแล้ว

ท่ามกลางป่าเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้

บุรุษในชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา มีความชั่วร้ายอยู่ตรงหว่างคิ้ว

เขาก็คือเย่ซานหลางแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

“เหตุใดเจ้าเต้าเหลยนั่นถึงยังไม่มา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เย่ซานหลางแอบก่นด่า

เขารอมาหนึ่งเดือนแล้ว จวนจะหมดความอดทนเต็มที

เขาคิดแม้กระทั่งจะบุกเข้าไปในสำนักหยกพิสุทธิ์โดยตรง

ทว่าเมื่อนึกถึงผู้อาวุโสสังหารเทพผู้นั้น เขาจึงยอมประนีประนอม

ตอนนั้นเอง หานเจวี๋ยเดินออกมาจากป่าลึก

เมื่อเห็นเขา เย่ซานหลางก็พลันระแวดระวังขึ้นมา

เมื่อกวาดพลังจิตดู…

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า

ก็แค่มดปลวก!

เย่ซานหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นหานเจวี๋ย ฝึกบำเพ็ญต่อไป อย่างไรเสียเขาก็สวมชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ หากเห็นคนแล้วหนีอาจทำให้เกิดความสงสัยได้

ไหนเลยจะรู้ว่าหานเจวี๋ยกลับเดินตรงมาหาเขา

เย่ซานหลางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ท่านมีเรื่องอันใดหรือ”

หานเจวี๋ยส่งเสียงตอบ “ใช่ผู้ดำเนินการลับเย่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือไม่ ข้าคือศิษย์สืบทอดของเซียนเฒ่าเต้าเหลย ช่วงนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก่อความวุ่นวายในสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่บ่อยๆ เซียนเฒ่าเต้าเหลยได้รับมอบหมายจากเจ้าสำนักให้ไปทำภารกิจอื่น ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงให้ข้ามาติดต่อกับท่าน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ซานหลางยิ่งคิ้วขมวดแน่น

ทันใดนั้น เขาพลันประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของหานเจวี๋ย พลังวิญญาณรุนแรงพุ่งเข้าไปในร่างของหานเจวี๋ย

หลังจากนั้น

เสียงโครมดังขึ้น!

เย่ซานหลางถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ล้มลง

หานเจวี๋ยลูบอก คิดค่อนแคะในใจ ‘ข้ามีอาภรณ์เทพ พลังวิญญาณอันน้อยนิดเช่นเจ้านี้จะโจมตีข้าได้อย่างไร’

อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองไม่ใช่เกราะต้านทาน เพียงแค่หานเจวี๋ยใช้การเรียบรู้แบบมีเงื่อนไข[1]ของพลังวิญญาณหกสายในการต่อต้าน ไหนเลยพลังวิญญาณมนุษย์ธรรมดาอย่างเย่ซานหลางจะต้านทานได้

“เจ้า…”

เย่ซานหลางลุกขึ้นยืน เขาทั้งตกใจและโมโห

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า เหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

เดี๋ยวก่อน!

หรือว่า…

เย่ซานหลางนึกถึงคนผู้หนึ่งทันใด เขาตกใจจนหน้าซีดขาว หมุนกายเตรียมหนี

ทว่าเขาเพิ่งจะหันหลังเท่านั้น เงากระบี่สามสายก็พุ่งมาสังหารราวสายฟ้าแลบ บดขยี้กายเนื้อของเขาจนแหลกละเอียด

ในชั่วเวลาพริบตาเดียว เย่ซานหลางนำจิตดั้งเดิมออกมา จิตดั้งเดิมกลายเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างเร็วรี่

รวดเร็วยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาเทพวายุออกมาทันที กลายเป็นวายุทะยานไล่ตามไป

ไม่ถึงสามวินาที เขาก็ตามเย่ซานหลางทัน เขายกมือใช้วิชามหาวายุอัสนี สายฟ้าที่ปกคลุมทั่วท้องนภากลายเป็นตาข่ายอัสนีกักขังเย่ซานหลางไว้

……………………………………….

[1] การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Conditioned reflex หรือ Associative learning) เป็นการเรียนรู้แบบที่มีต่อสิ่งเร้าสองสิ่ง คือสิ่งเร้าแท้และสิ่งเร้าเทียม โดยสิ่งเร้าเทียมจะทำหน้าที่แทนสิ่งเร้าแท้ได้โดยที่มีผลตอบสนองเช่นเดียวกับสิ่งเร้าแท้ เช่น การให้อาหารสุนัข (สิ่งเร้าแท้) สุนัขจะน้ำลายไหล หลังจากนั้นเมื่อทำการสั่นกระดิ่งพร้อมกับให้อาหารสุนัขไปด้วยหลายๆ ครั้ง สุนัขจะน้ำลายไหลออกมาด้วยเสมอ หลังจากนั้นเพียงแค่สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าเทียม) สุนัขก็จะน้ำลายไหลได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เสียงกระดิ่งไม่สามารถทำให้น้ำลายของสุนัขไหลได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
หลังจากนำไก่คุกรัตติกาลกลับถ้ำเทวามาแล้ว หานเจวี๋ยก็ปล่อยมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญต่อ

แรกเริ่ม ยามที่ไก่คุกรัตติกาลหิวจะกินดอกไม้ใบหญ้าของเขา สุดท้ายก็ถูกพลังวิญญาณหกสายของเขาโจมตีจนกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำ เจ็บปวดจนต้องร้องออกเจี๊ยบๆ ออกมา

อันตรายยิ่งนัก!

เกือบหัวคะมำตายแล้ว!

หานเจวี๋ยจำต้องถ่ายพลังวิญญาณของตนเข้าไปในร่างไก่คุกรัตติกาล และกระตุ้นให้มันดูดรับปราณ

ใช้เวลาติดต่อกันหลายวันกว่าที่ไก่คุกรัตติกาลจะคุ้นชินกับการดูดรับปราณ

การดูดรับปราณช่วยลดความหิวได้ ไก่คุกรัตติกาลจึงเริ่มเพลิดเพลินกับสภาพการฝึกบำเพ็ญ

จำต้องกล่าวเลยว่า เทพปีศาจกลับชาติมาเกิดก็ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ

แม้สายเลือดยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่ถูกเปิด แต่ความสามารถยังคงอยู่

หากไม่พบเจอกับหานเจวี๋ย คาดว่าไก่คุกรัตติกาลตัวนี้คงถูกส่งไปยังแดนหมื่นปีศาจ และถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นกินไปแล้ว กลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ภพกี่ชาติถึงจะปรากฏลักษณะของเทพปีศาจขึ้นมาอีก

หลังจากไก่คุกรัตติกาลเริ่มฝึกบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็เริ่มวางใจ ฝึกบำเพ็ญของตนเองต่อไป

สำหรับเขาแล้วระดับปราณก่อกำเนิดขั้นห้านั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพออยู่มากนัก

เป้าหมายของเขาคือการบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณโดยเร็ว

ไม่สิ!

บรรลุระดับสุญตาในเร็ววัน!

ต้องบรรลุระดับมหายานโดยเร็ว!

เขาต้องบรรลุระดับที่สูงสุดในโลกโดยเร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะวางใจได้

……

สองปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อกับผู้อาวุโสสูงสุดกลับมาแล้ว

เมื่อรู้ว่าเซียนเฒ่าเต้าเหลยเป็นจารชน และถูกหานเจวี๋ยสังหารไปแล้ว ศิษย์อาจารย์ทั้งสองตะลึงงันไปทันที

หลังจากเซียนซีเสวียนนำหลักฐานเหล่านั้นออกมา ทั้งสองก็กรุ่นโกรธ ก่นด่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณว่าไร้ยางอาย

ในเวลาเดียวกัน

หานเจวี๋ยกำลังต้อนรับสิงหงเสวียนอยู่ในถ้ำเทวา

ไม่พบสิงหงเสวียนมานาน สตรีผู้นี้ยิ่งสร้างความประทับใจมากยิ่งขึ้น

นางบรรลุระดับสร้างฐานขั้นแปดแล้ว ความเร็วในการทะลวงระดับเช่นนี้นับว่าค่อนข้างสูงนัก ยามนี้ก็ตามฉางเยวี่ยเอ๋อร์และโม่จู๋ทันเรียบร้อย

การปฏิบัติของยอดเขาหลักย่อมดีกว่ายอดเขาทั้งสิบแปดอยู่แล้ว

[เจ้าสำนักกลับมาแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ราบรื่นปลอดภัย ท่านได้รับเคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับวิชาเทพวายุ]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับโอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]

[วิชาเทพวายุ: วิชาเวทสายวายุ สามารถขี่วายุท่องเที่ยวไปทั่วหล้า และกลายร่างเป็นวายุได้]

[โอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณ: โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณชั้นเลิศ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด]

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นอักขระห้าแถวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม

สิงหงเสวียนเริ่มปลูกของล้ำค่าฟ้าดินที่ตนเองรวบรวมมาแล้ว

“ของล้ำค่าเหล่านี้ล้วนได้มาจากการที่ข้าไปฝึกหาประสบการณ์ภายนอก ข้าเอามาให้ท่านก่อน ท่านจะต้องได้ใช้มันแน่”

สิงหงเสวียนยิ้มกล่าว เมื่อหันไปก็เห็นหานเจวี๋ยกำลังยิ้มอยู่พอดี นางก็รู้สึกชื่นใจอย่างอดไม่ได้

ดูท่าสามีจะดีใจกับการมาของนางยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกับนาง

สิงหงเสวียนพูดถึงเรื่องที่นางไปหาประสบการณ์ภายนอก หานเจวี๋ยจึงถือโอกาสทำความเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตไปด้วย

เมื่อเดือนก่อน นางออกไปหาประสบการณ์กับศิษย์พี่สำนักเดียวกัน บังเอิญพบกับลัทธิยอดเขาสีชาดที่เป็นลัทธิสายหลักกำลังต่อสู้กับสำนักมังกรเขียวที่ฝึกสายมาร พวกเขาลงมือโจมตีผู้บำเพ็ญของสำนักมังกรเขียว สิงหงเสวียนจึงฉวยโอกาสเก็บแหวนเก็บสมบัติไป เมื่อกลับมาแล้วถึงพบว่าด้านในมีของล้ำค่าซ่อนอยู่ไม่น้อย

“สำนักหยกพิสุทธิ์จัดอยู่ลำดับที่เท่าใดในแดนผู้บำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนหรือ” หานเจวี๋ยถาม

สิงหงเสวียนเอ่ยพึมพำว่า “แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนมีสำนักที่มีอิทธิพลอยู่ยี่สิบกว่าสำนัก หนึ่งในนั้นมีสายหลักอยู่สิบสองสำนัก สำนักหยกพิสุทธิ์คงพอจะถือเป็นห้าอันดับแรกได้กระมัง”

หืม? ห้าอันดับแรกเชียวหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกหมดหวัง มิน่าเล่าสำนักหยกพิสุทธิ์ถึงมีศัตรูมากมายเพียงนี้

“อันที่จริงกำลังของแต่ละสำนักส่วนใหญ่ต่างกันไม่มากนัก ก็ไม่ได้มีอันดับที่แท้จริงหรอก” สิงหงเสวียนกล่าวพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ

หานเจวี๋ยพยักหน้า

แดนบำเพ็ญพรตที่แท้จริงไหนเลยจะมีอันดับมากมายเช่นนั้น อีกทั้งไม่มีอำนาจขนาดใหญ่สนับสนุน

“จริงสิ ช่วงนี้แดนบำเพ็ญพรตมีบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคปรากฏขึ้นคนหนึ่ง คือหวงจี๋เฮ่าจากสำนักกระบี่วิหคชาด ขณะที่อยู่ระดับรวมแก่นปราณ คนผู้นี้เคยสังหารเฒ่าประหลาดระดับปราณก่อกำเนิดมาก่อน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วหล้า ผ่านไปหลายร้อยปีพลังอันน่ากลัวของเขาก็บรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณ เขาบุกเดี่ยวไปสังหารสำนักสายหลักแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้” ราวกับว่าสิงหงเสวียนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อ

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “กล่าวกันว่าหวงจี๋เฮ่าต้องการท้าประลองสำนักทั้งหมดในแดนบำเพ็ญพรต เขาจะมาที่สำนักหยกพิสุทธิ์ของเราหรือไม่”

นางรู้มาจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีแล้วว่าหานเจวี๋ยก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ หากหวงจี๋เฮ่าบุกเข้ามาสังหาร หานเจวี๋ยจำต้องเผชิญหน้ากับเขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้า คิดว่า ‘เหตุใดถึงได้มีคนบ้าการต่อสู้เช่นนี้อยู่ทุกที่ สามารถท้าประลองเดี่ยวกับสำนักหนึ่งได้ คงจะแข็งแกร่งมากสินะ’

หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ในระหว่างที่หวงจี๋เฮ่าท้าประลองกับแต่ละสำนัก เขาได้สังหารคนหรือไม่”

สิงหงเสวียนส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้สังหาร อย่างไรเสียสำนักกระบี่วิหคชาดก็เป็นสำนักสายหลัก”

“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”

สีหน้าของสิงหงเสวียนเต็มไปด้วยคำถาม

ผู้อาวุโสสังหารเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับกลัวตายเพียงนี้เชียวหรือ

นางรู้สึกขันยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ดูแคลนหานเจวี๋ย

ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูถูกเขา

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยาม สิงหงเสวียนก็จากไป

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ

ทุกๆ สองสามปี สิงหงเสวียน โม่จู๋ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะมาหาเขาสักครั้ง ไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

หานเจวี๋ยเองก็ค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาเช่นนี้

พูดคุยบ้างเป็นบางครั้งก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตจากคำบอกเล่าของพวกนางไปด้วย

ขณะเดียวกัน ไก่คุกรัตติกาลก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

……

หนึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยคุ้นชินกับการตรวจสอบสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว

[เย่ซานหลาง: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด ผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด พลังไม่เลวนี่

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลเงยหน้ามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ภายใต้การบ่มเพาะของหานเจวี๋ย มันก็รู้สึกชอบการฝึกบำเพ็ญขึ้นมาแล้ว

ท่ามกลางป่าเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้

บุรุษในชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา มีความชั่วร้ายอยู่ตรงหว่างคิ้ว

เขาก็คือเย่ซานหลางแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

“เหตุใดเจ้าเต้าเหลยนั่นถึงยังไม่มา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เย่ซานหลางแอบก่นด่า

เขารอมาหนึ่งเดือนแล้ว จวนจะหมดความอดทนเต็มที

เขาคิดแม้กระทั่งจะบุกเข้าไปในสำนักหยกพิสุทธิ์โดยตรง

ทว่าเมื่อนึกถึงผู้อาวุโสสังหารเทพผู้นั้น เขาจึงยอมประนีประนอม

ตอนนั้นเอง หานเจวี๋ยเดินออกมาจากป่าลึก

เมื่อเห็นเขา เย่ซานหลางก็พลันระแวดระวังขึ้นมา

เมื่อกวาดพลังจิตดู…

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า

ก็แค่มดปลวก!

เย่ซานหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นหานเจวี๋ย ฝึกบำเพ็ญต่อไป อย่างไรเสียเขาก็สวมชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ หากเห็นคนแล้วหนีอาจทำให้เกิดความสงสัยได้

ไหนเลยจะรู้ว่าหานเจวี๋ยกลับเดินตรงมาหาเขา

เย่ซานหลางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ท่านมีเรื่องอันใดหรือ”

หานเจวี๋ยส่งเสียงตอบ “ใช่ผู้ดำเนินการลับเย่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือไม่ ข้าคือศิษย์สืบทอดของเซียนเฒ่าเต้าเหลย ช่วงนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก่อความวุ่นวายในสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่บ่อยๆ เซียนเฒ่าเต้าเหลยได้รับมอบหมายจากเจ้าสำนักให้ไปทำภารกิจอื่น ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงให้ข้ามาติดต่อกับท่าน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ซานหลางยิ่งคิ้วขมวดแน่น

ทันใดนั้น เขาพลันประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของหานเจวี๋ย พลังวิญญาณรุนแรงพุ่งเข้าไปในร่างของหานเจวี๋ย

หลังจากนั้น

เสียงโครมดังขึ้น!

เย่ซานหลางถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ล้มลง

หานเจวี๋ยลูบอก คิดค่อนแคะในใจ ‘ข้ามีอาภรณ์เทพ พลังวิญญาณอันน้อยนิดเช่นเจ้านี้จะโจมตีข้าได้อย่างไร’

อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองไม่ใช่เกราะต้านทาน เพียงแค่หานเจวี๋ยใช้การเรียบรู้แบบมีเงื่อนไข[1]ของพลังวิญญาณหกสายในการต่อต้าน ไหนเลยพลังวิญญาณมนุษย์ธรรมดาอย่างเย่ซานหลางจะต้านทานได้

“เจ้า…”

เย่ซานหลางลุกขึ้นยืน เขาทั้งตกใจและโมโห

ระดับสร้างฐานขั้นเก้า เหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

เดี๋ยวก่อน!

หรือว่า…

เย่ซานหลางนึกถึงคนผู้หนึ่งทันใด เขาตกใจจนหน้าซีดขาว หมุนกายเตรียมหนี

ทว่าเขาเพิ่งจะหันหลังเท่านั้น เงากระบี่สามสายก็พุ่งมาสังหารราวสายฟ้าแลบ บดขยี้กายเนื้อของเขาจนแหลกละเอียด

ในชั่วเวลาพริบตาเดียว เย่ซานหลางนำจิตดั้งเดิมออกมา จิตดั้งเดิมกลายเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างเร็วรี่

รวดเร็วยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาเทพวายุออกมาทันที กลายเป็นวายุทะยานไล่ตามไป

ไม่ถึงสามวินาที เขาก็ตามเย่ซานหลางทัน เขายกมือใช้วิชามหาวายุอัสนี สายฟ้าที่ปกคลุมทั่วท้องนภากลายเป็นตาข่ายอัสนีกักขังเย่ซานหลางไว้

……………………………………….

[1] การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Conditioned reflex หรือ Associative learning) เป็นการเรียนรู้แบบที่มีต่อสิ่งเร้าสองสิ่ง คือสิ่งเร้าแท้และสิ่งเร้าเทียม โดยสิ่งเร้าเทียมจะทำหน้าที่แทนสิ่งเร้าแท้ได้โดยที่มีผลตอบสนองเช่นเดียวกับสิ่งเร้าแท้ เช่น การให้อาหารสุนัข (สิ่งเร้าแท้) สุนัขจะน้ำลายไหล หลังจากนั้นเมื่อทำการสั่นกระดิ่งพร้อมกับให้อาหารสุนัขไปด้วยหลายๆ ครั้ง สุนัขจะน้ำลายไหลออกมาด้วยเสมอ หลังจากนั้นเพียงแค่สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าเทียม) สุนัขก็จะน้ำลายไหลได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เสียงกระดิ่งไม่สามารถทำให้น้ำลายของสุนัขไหลได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+