ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ

บุตรแห่งจักรพรรดิปีศาจหรือ?

อ้อ!

อย่างไรเสียหานเจวี๋ยก็เคยล่วงเกินพ่อของเขาไปแล้ว ล่วงเกินเขาอีกคนก็คงไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

ความจริงก็ยังพอรับได้ ก็แค่ความเกลียดชังระดับสองดาวเท่านั้น คอยดูกันต่อไป

หากว่าหลังจากนี้เจ้าหมอนี่ยังกล้าเพิ่มระดับความเกลียดชังขึ้นอีก เช่นนั้นก็ต้องขออภัยแล้ว

ถึงแม้ข้าจะเป็นคนเรียบง่าย แต่จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีกต่อไป เดินหน้าต่อ

พวกเขาทั้งสามคนนับว่าเป็นกลุ่มรั้งท้าย ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อน

เมื่อหานเจวี๋ยก้าวผ่านประตูใหญ่ของตำหนักเอกอนันต์ แสงเจิดจ้าก็สาดคลุมบนร่างกายของเขา เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่อาจสกัดกั้นที่เข้าห่อหุ้มร่างของตนไว้ สองเท้าเขายกขึ้นเหนือพื้น ราวกับลอยอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ผ่านไปหลายอึดใจ หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าตนเองร่อนลงสู่พื้นแล้ว

เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือเงาร่างที่เรียงรายกัน

เขากวาดสายตามอง ด้านหน้ามีเงาคนอยู่สิบแถว ด้านหลังยังมีอีกเจ็ดแปดแถว ด้านหลังของแต่ละคนล้วนมีเบาะรองนั่งวางไว้อยู่

หานเจวี๋ยพบว่ายอดแม่ทัพเทพและหลงจวินอยู่ด้านหลังถัดจากเขาไปสองแถว

ทั้งสองคนก็สังเกตเห็นหานเจวี๋ยเช่นเดียวกัน ใบหน้าของพวกเขาฉายแววตกตะลึง

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขา อดที่จะสงสัยไม่ได้

หรือว่าตำแหน่งนี้จะมีความสำคัญยิ่งนัก

เขาทอดสายตามองต่อไป พบว่าจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้อยู่ในแถวแรก แต่เป็นแถวที่สอง

เงาร่างที่อยู่ในแถวแรกเหล่านั้นแผ่แสงสว่างเรืองรอง ทำให้คนยากจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้

คนอื่นๆ เองก็เหลียวซ้ายแลขวาเช่นกัน บางคนดูตกตะลึง บางคนดูผิดหวัง บางคนดูไม่อยากจะเชื่อ

แต่ละคนต่างไม่ได้เปล่งเสียงออกมา ภายใต้ความเงียบสงบนั้น ทุกคนมีท่าทางที่แตกต่างกันไป หานเจวี๋ยรู้สึกขบขันอย่างน่าประหลาด

เขาไม่กล้าหัวเราะออกมา ได้แต่นั่งลงเสีย

“หืม เบาะนี้ไม่ธรรมดา!”

หานเจวี๋ยตกตะลึงเมื่อพบว่าเบาะที่อยู่ใต้ร่างระดับสูงกว่าเบาะที่เขาใช้ถ้ำเทวาฟ้าประทานเสียอีก ไอเซียนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเขาด้วยตัวเองอย่างไม่ขาดสาย ปริมาณกำลังพอเหมาะพอดี ทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งนัก

ห้องโถงใหญ่โตอย่างยิ่ง รองรับคนได้หลายร้อยคน แต่ละคนมีระยะห่างกันหลายจั้ง ดูกว้างขวางยิ่งนัก

เหนือศีรษะขึ้นไปมีแสงสว่างเจิดจ้า มองไม่เห็นเพดานสวรรค์ แสงสว่างทาบทอลงมา อบอุ่นอย่างยิ่ง

และในเวลานี้เอง แรงกดดันมหาศาลอันน่าพรั่นพรึงกดทับลงมาบนตัวทุกคนที่นั่งอยู่

ที่ด้านหน้าสุด มีเงาร่างผู้อาวุโสสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด กำลังหันหน้าเผชิญทุกคน

เขาสวมชุสีเทา ผมสีขาวโพลนใบหน้าเยาว์วัย ดวงตาปิดสนิท ดูคล้ายมีประสบการณ์โชกโชนและมองเห็นแดนมนุษย์อย่างทะลุปรุโปร่ง มีความน่าเกรงขามอันยากจะบรรยายได้

“น้อมคารวะปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!”

เหล่าเจ้าพ่อในแถวที่สองต่างขานเป็นเสียงเดียวกัน เหล่าผู้คนที่อยู่ในแถวหลังต่างรีบทำความเคารพ หานเจวี๋ยตอบสนองอย่างว่องไว ทำความเคารพตาม

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง?

หานเจวี๋ยแอบรู้สึกว่ายอดเยี่ยมนัก

เขารีบใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบทุกคนในสถานที่แห่งนี้ทันที เพื่อคัดลอกข้อมูล

หลังจากยกระดับระบบ ไม่เพียงแต่สามารถคัดลอกข้อมูลของศัตรูโดยใช้อาณาเขตเต๋าเป็นศูนย์กลางได้เท่านั้น แต่ยังสามารถคัดลอกข้อมูลผู้คนโดยมีตนเองเป็นจุดศูนย์กลางได้ด้วย

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง: ไม่ทราบตบะ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น]

[จักรพรรดิตัดโลกีย์: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

[เจ้าแห่งวังเทพ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

[จักรพรรดิปีศาจ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

….

ส่วนใหญ่ล้วนไม่ทราบตบะทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ วันหน้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเป้าหมายในการต่อสู้แล้ว

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้แจ้งสำเร็จมรรคผ่านเคราะห์ไร้ขอบเขตมาเก้าหนแล้ว ทุกครั้งที่มหาเคราะห์มาเยือน ข้าล้วนจะแสดงธรรมที่นี่ อำนวยพรแก่สรรพสิ่ง พวกเจ้าจะตระหนักรู้ได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพวกเจ้าแต่ละคน”

“มหามรรคที่ข้าจะแสดงธรรรมในครั้งนี้คือกรรม ข้าได้ยินมาว่าในปวงสวรรค์มีเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคอยสาปแช่งควบคุมมหาเคราะห์อยู่ เดิมการสาปแช่งก็เป็นมรรคแห่งกรรมเช่นกัน”

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ?

หานเจวี๋ยพูดไม่ออก ไม่คิดว่าอยู่ที่นี่ก็ยังได้ยินชื่ออีกตัวตนหนึ่งของเขา

เมื่อเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ จักรพรรดิปีศาจและบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์รวมถึงผู้คนอีกมากมายต่างเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา และมีคนบางส่วนที่เผยสีหน้าเคารพยำเกรง

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “เวรกรรม สิ่งใดคือเหตุแห่งกรรม สรรพสิ่งเชื่อมโยงเป็นเหตุแห่งกรรม สิ้นสุดการเชื่อมโยงคือผลแห่งกรรม มรรคกรรมอยู่นอกเหนือมรรคแห่งมรรคาสวรรค์ ลับลวงเลื่อนลอย ยากจะสืบค้นต้นตอ”

“เล่าขานกันว่า ก่อนเทพบรรพกาลจะเบิกฟ้าแยกปฐพี สามพันมหามรรคต่างมีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแห่งกรรมถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้อันวุ่นวายของสามพันมหามรรค”

หานเจวี๋ยฟังๆ ไปก็ค่อยๆ ตกอยู่ในภวังค์

น้ำเสียงของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง ทำให้จิตสำนึกของหานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคอย่างรวดเร็ว

สภาวะนี้ช่างน่าพิศวงอย่างยิ่ง หานเจวี๋ยเริ่มโคจรมหามรรควัฏจักรอนธการอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ความเร็วในการดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรของกายดาราอันธการก็เพิ่มระดับมากขึ้น

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคล้ายจะจับสัมผัสสิ่งใดได้ สายตาตกอยู่บนร่างของหานเจวี๋ย เพียงแต่สายตานี้ก็เป็นการชำเลืองผ่านแวบเดียวเท่านั้น

วาจาในตอนท้ายของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หานเจวี๋ยได้ยินไม่ชัดแล้ว เขารู้แจ้งในทันใด ความคิดและความเข้าใจมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในสมองของเขา

สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับตอนที่หานเจวี๋ยหลอมรวมชิ้นส่วนมหามรรคก่อนหน้านี้

ตระหนักรู้มหามรรค!

หานเจวี๋ยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตบะของตนเริ่มพุ่งทะยานขึ้นมา

เบาะรองใต้ร่างของเขาก็ถ่ายทอดไอเซียนให้เขาไม่หยุด เขาต้องการเท่าไร เบาะรองนั่งก็ถ่ายทอดให้เท่านั้น

มิใช่เพียงหานเจวี๋ย คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงก็เข้าสู่สภาวะตระหนักรู้เช่นกัน รวมถึงผู้ทรงพลังอย่างพวกจักรพรรดิสวรรค์และจักรพรรดิปีศาจ

เวลาผ่านไปไม่ถึงปี มีเซียนทองไท่อี่บางรายทะลวงถึงระดับจักรพรรดิแล้ว

เวลาผ่านไปดุจโบยบิน

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

หานเจวี๋ยไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว

กระทั่งปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสิ้นสุดการแสดงธรรม หานเจวี๋ยถึงพลันได้สติกลับมา

ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น คนแทบทั้งหมดล้วนมีท่าทางราวกับตื่นจากความฝัน

จิตสำนึกของหานเจวี๋ยฟื้นคืนมา

เขาประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่าตบะของตนทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนหกวัฏแล้ว!

เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ

หานเจวี๋ยจอค่าสถานะออกมาตรวจสอบ

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 3,951 / 1,025,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์เซียน (กายดาราอนธการ)]

[ตบะ: จักรพรรดิเซียนวัฏจักรหกวัฏ]

….

คำนวณจากอายุขัยแล้ว การแสดงธรรมครั้งนี้ก็กินเวลาไปถึงสี่สิบเก้าปี!

อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นเป็นหลักพันล้านล้านปี!

หานเจวี๋ยบังเกิดความรู้สึกดีต่อปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!

ความรู้สึกดีที่มีต่อจักรพรรดิสวรรค์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก!

เวลานี้หานเจวี๋ยถึงคิดได้ว่าถ้อยคำที่จักรพรรดิสวรรค์กล่าวไว้ในตอนแรกไม่ได้ผิดไปเลย หากไม่ได้มาในครั้งนี้ นั่นถึงจะน่าเสียดายจริงๆ!

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ หานเจวี๋ยยังสัมผัสได้อีกว่าภายในร่างกายของตนมีพลังอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

พลังมหามรรค!

มหามรรคแห่งกรรม!

ในโลกอันธการ มหามรรคแห่งกรรมแผ่ขยาย มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดไม่กล้าเข้าใกล้

ความรู้สึกเช่นนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

มหามรรคแห่งกรรมก็เป็นเช่นเดียวกับบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร แม้จะมีอยู่ ทว่าหานเจวี๋ยไม่อาจควบคุมได้

“ระยะเวลาสี่สิบเก้าปี มีสหายเต๋ารู้แจ้งในมหามรรคแห่งกรรมเจ็ดร้อยสามสิบสองคน มีสหายเต๋าที่เชี่ยวชาญมหามรรคแห่งกรรมสิบเก้าคน”

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยปากกล่าว หานเจวี๋ยได้ฟังวาจานี้แล้วรู้สึกตกใจ

คนทั้งหมดมีอยู่ไม่ถึงพัน กลับมีผู้รู้แจ้งในมหามรรคแห่งกรรมกว่าเจ็ดร้อยคนเชียวหรือ

หานเจวี๋ยแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว หลงนึกว่าตนเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ กายดาราอนธการเป็นหนึ่งมิมีสองเสียอีก

ที่เกินเรื่องไปกว่านั้นคือยังมีผู้ทรงพลังที่แตกฉานในมหามรรคแห่งกรรมอีกสิบเก้าคนด้วย!!

เช่นนี้ผู้ใดจะทนรับไหวเล่า!

‘โชคดีที่มา หากไม่มา มหามรรคแห่งกรรมและตัวข้าคงไร้วาสนาต่อกัน’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “หลังจากนี้สิบปี หากพวกเจ้ามีคำถามก็สามารถถามได้ แถวแรกสามารถถามได้สามข้อ แถวที่สองถามได้สองข้อ ส่วนทุกท่านที่อยู่ด้านหลังสามารถถามได้เพียงข้อเดียว เรียงกันไปตามลำดับ”

ยังสามารถถามได้ด้วยหรือ

หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด

เขาควรถามอะไรดีนะ

แสร้งปล่อยผ่านไป หรือว่าคว้าโอกาสนี้ไว้ ถามสิ่งที่ตนคิดดี

ฟังดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด

“เรียนถามปรมาจารย์ ฝึกฝนมหามรรคดีกว่า หรือว่าฝึกฝนมรรคาสวรรค์ดีกว่า”

ผู้ทรงพลังในแถวแรกเอ่ยถามขึ้นมา คำถามนี้ดึงดูดให้ทุกคนหันไปมอง

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ

บุตรแห่งจักรพรรดิปีศาจหรือ?

อ้อ!

อย่างไรเสียหานเจวี๋ยก็เคยล่วงเกินพ่อของเขาไปแล้ว ล่วงเกินเขาอีกคนก็คงไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

ความจริงก็ยังพอรับได้ ก็แค่ความเกลียดชังระดับสองดาวเท่านั้น คอยดูกันต่อไป

หากว่าหลังจากนี้เจ้าหมอนี่ยังกล้าเพิ่มระดับความเกลียดชังขึ้นอีก เช่นนั้นก็ต้องขออภัยแล้ว

ถึงแม้ข้าจะเป็นคนเรียบง่าย แต่จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีกต่อไป เดินหน้าต่อ

พวกเขาทั้งสามคนนับว่าเป็นกลุ่มรั้งท้าย ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อน

เมื่อหานเจวี๋ยก้าวผ่านประตูใหญ่ของตำหนักเอกอนันต์ แสงเจิดจ้าก็สาดคลุมบนร่างกายของเขา เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่อาจสกัดกั้นที่เข้าห่อหุ้มร่างของตนไว้ สองเท้าเขายกขึ้นเหนือพื้น ราวกับลอยอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ผ่านไปหลายอึดใจ หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าตนเองร่อนลงสู่พื้นแล้ว

เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือเงาร่างที่เรียงรายกัน

เขากวาดสายตามอง ด้านหน้ามีเงาคนอยู่สิบแถว ด้านหลังยังมีอีกเจ็ดแปดแถว ด้านหลังของแต่ละคนล้วนมีเบาะรองนั่งวางไว้อยู่

หานเจวี๋ยพบว่ายอดแม่ทัพเทพและหลงจวินอยู่ด้านหลังถัดจากเขาไปสองแถว

ทั้งสองคนก็สังเกตเห็นหานเจวี๋ยเช่นเดียวกัน ใบหน้าของพวกเขาฉายแววตกตะลึง

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขา อดที่จะสงสัยไม่ได้

หรือว่าตำแหน่งนี้จะมีความสำคัญยิ่งนัก

เขาทอดสายตามองต่อไป พบว่าจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้อยู่ในแถวแรก แต่เป็นแถวที่สอง

เงาร่างที่อยู่ในแถวแรกเหล่านั้นแผ่แสงสว่างเรืองรอง ทำให้คนยากจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้

คนอื่นๆ เองก็เหลียวซ้ายแลขวาเช่นกัน บางคนดูตกตะลึง บางคนดูผิดหวัง บางคนดูไม่อยากจะเชื่อ

แต่ละคนต่างไม่ได้เปล่งเสียงออกมา ภายใต้ความเงียบสงบนั้น ทุกคนมีท่าทางที่แตกต่างกันไป หานเจวี๋ยรู้สึกขบขันอย่างน่าประหลาด

เขาไม่กล้าหัวเราะออกมา ได้แต่นั่งลงเสีย

“หืม เบาะนี้ไม่ธรรมดา!”

หานเจวี๋ยตกตะลึงเมื่อพบว่าเบาะที่อยู่ใต้ร่างระดับสูงกว่าเบาะที่เขาใช้ถ้ำเทวาฟ้าประทานเสียอีก ไอเซียนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเขาด้วยตัวเองอย่างไม่ขาดสาย ปริมาณกำลังพอเหมาะพอดี ทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งนัก

ห้องโถงใหญ่โตอย่างยิ่ง รองรับคนได้หลายร้อยคน แต่ละคนมีระยะห่างกันหลายจั้ง ดูกว้างขวางยิ่งนัก

เหนือศีรษะขึ้นไปมีแสงสว่างเจิดจ้า มองไม่เห็นเพดานสวรรค์ แสงสว่างทาบทอลงมา อบอุ่นอย่างยิ่ง

และในเวลานี้เอง แรงกดดันมหาศาลอันน่าพรั่นพรึงกดทับลงมาบนตัวทุกคนที่นั่งอยู่

ที่ด้านหน้าสุด มีเงาร่างผู้อาวุโสสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด กำลังหันหน้าเผชิญทุกคน

เขาสวมชุสีเทา ผมสีขาวโพลนใบหน้าเยาว์วัย ดวงตาปิดสนิท ดูคล้ายมีประสบการณ์โชกโชนและมองเห็นแดนมนุษย์อย่างทะลุปรุโปร่ง มีความน่าเกรงขามอันยากจะบรรยายได้

“น้อมคารวะปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!”

เหล่าเจ้าพ่อในแถวที่สองต่างขานเป็นเสียงเดียวกัน เหล่าผู้คนที่อยู่ในแถวหลังต่างรีบทำความเคารพ หานเจวี๋ยตอบสนองอย่างว่องไว ทำความเคารพตาม

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง?

หานเจวี๋ยแอบรู้สึกว่ายอดเยี่ยมนัก

เขารีบใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบทุกคนในสถานที่แห่งนี้ทันที เพื่อคัดลอกข้อมูล

หลังจากยกระดับระบบ ไม่เพียงแต่สามารถคัดลอกข้อมูลของศัตรูโดยใช้อาณาเขตเต๋าเป็นศูนย์กลางได้เท่านั้น แต่ยังสามารถคัดลอกข้อมูลผู้คนโดยมีตนเองเป็นจุดศูนย์กลางได้ด้วย

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง: ไม่ทราบตบะ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น]

[จักรพรรดิตัดโลกีย์: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

[เจ้าแห่งวังเทพ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

[จักรพรรดิปีศาจ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

….

ส่วนใหญ่ล้วนไม่ทราบตบะทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ วันหน้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเป้าหมายในการต่อสู้แล้ว

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้แจ้งสำเร็จมรรคผ่านเคราะห์ไร้ขอบเขตมาเก้าหนแล้ว ทุกครั้งที่มหาเคราะห์มาเยือน ข้าล้วนจะแสดงธรรมที่นี่ อำนวยพรแก่สรรพสิ่ง พวกเจ้าจะตระหนักรู้ได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพวกเจ้าแต่ละคน”

“มหามรรคที่ข้าจะแสดงธรรรมในครั้งนี้คือกรรม ข้าได้ยินมาว่าในปวงสวรรค์มีเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคอยสาปแช่งควบคุมมหาเคราะห์อยู่ เดิมการสาปแช่งก็เป็นมรรคแห่งกรรมเช่นกัน”

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ?

หานเจวี๋ยพูดไม่ออก ไม่คิดว่าอยู่ที่นี่ก็ยังได้ยินชื่ออีกตัวตนหนึ่งของเขา

เมื่อเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ จักรพรรดิปีศาจและบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์รวมถึงผู้คนอีกมากมายต่างเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา และมีคนบางส่วนที่เผยสีหน้าเคารพยำเกรง

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “เวรกรรม สิ่งใดคือเหตุแห่งกรรม สรรพสิ่งเชื่อมโยงเป็นเหตุแห่งกรรม สิ้นสุดการเชื่อมโยงคือผลแห่งกรรม มรรคกรรมอยู่นอกเหนือมรรคแห่งมรรคาสวรรค์ ลับลวงเลื่อนลอย ยากจะสืบค้นต้นตอ”

“เล่าขานกันว่า ก่อนเทพบรรพกาลจะเบิกฟ้าแยกปฐพี สามพันมหามรรคต่างมีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแห่งกรรมถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้อันวุ่นวายของสามพันมหามรรค”

หานเจวี๋ยฟังๆ ไปก็ค่อยๆ ตกอยู่ในภวังค์

น้ำเสียงของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง ทำให้จิตสำนึกของหานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคอย่างรวดเร็ว

สภาวะนี้ช่างน่าพิศวงอย่างยิ่ง หานเจวี๋ยเริ่มโคจรมหามรรควัฏจักรอนธการอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ความเร็วในการดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรของกายดาราอันธการก็เพิ่มระดับมากขึ้น

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคล้ายจะจับสัมผัสสิ่งใดได้ สายตาตกอยู่บนร่างของหานเจวี๋ย เพียงแต่สายตานี้ก็เป็นการชำเลืองผ่านแวบเดียวเท่านั้น

วาจาในตอนท้ายของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หานเจวี๋ยได้ยินไม่ชัดแล้ว เขารู้แจ้งในทันใด ความคิดและความเข้าใจมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในสมองของเขา

สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับตอนที่หานเจวี๋ยหลอมรวมชิ้นส่วนมหามรรคก่อนหน้านี้

ตระหนักรู้มหามรรค!

หานเจวี๋ยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตบะของตนเริ่มพุ่งทะยานขึ้นมา

เบาะรองใต้ร่างของเขาก็ถ่ายทอดไอเซียนให้เขาไม่หยุด เขาต้องการเท่าไร เบาะรองนั่งก็ถ่ายทอดให้เท่านั้น

มิใช่เพียงหานเจวี๋ย คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงก็เข้าสู่สภาวะตระหนักรู้เช่นกัน รวมถึงผู้ทรงพลังอย่างพวกจักรพรรดิสวรรค์และจักรพรรดิปีศาจ

เวลาผ่านไปไม่ถึงปี มีเซียนทองไท่อี่บางรายทะลวงถึงระดับจักรพรรดิแล้ว

เวลาผ่านไปดุจโบยบิน

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

หานเจวี๋ยไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว

กระทั่งปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสิ้นสุดการแสดงธรรม หานเจวี๋ยถึงพลันได้สติกลับมา

ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น คนแทบทั้งหมดล้วนมีท่าทางราวกับตื่นจากความฝัน

จิตสำนึกของหานเจวี๋ยฟื้นคืนมา

เขาประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่าตบะของตนทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนหกวัฏแล้ว!

เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ

หานเจวี๋ยจอค่าสถานะออกมาตรวจสอบ

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 3,951 / 1,025,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์เซียน (กายดาราอนธการ)]

[ตบะ: จักรพรรดิเซียนวัฏจักรหกวัฏ]

….

คำนวณจากอายุขัยแล้ว การแสดงธรรมครั้งนี้ก็กินเวลาไปถึงสี่สิบเก้าปี!

อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นเป็นหลักพันล้านล้านปี!

หานเจวี๋ยบังเกิดความรู้สึกดีต่อปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!

ความรู้สึกดีที่มีต่อจักรพรรดิสวรรค์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก!

เวลานี้หานเจวี๋ยถึงคิดได้ว่าถ้อยคำที่จักรพรรดิสวรรค์กล่าวไว้ในตอนแรกไม่ได้ผิดไปเลย หากไม่ได้มาในครั้งนี้ นั่นถึงจะน่าเสียดายจริงๆ!

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ หานเจวี๋ยยังสัมผัสได้อีกว่าภายในร่างกายของตนมีพลังอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

พลังมหามรรค!

มหามรรคแห่งกรรม!

ในโลกอันธการ มหามรรคแห่งกรรมแผ่ขยาย มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดไม่กล้าเข้าใกล้

ความรู้สึกเช่นนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

มหามรรคแห่งกรรมก็เป็นเช่นเดียวกับบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร แม้จะมีอยู่ ทว่าหานเจวี๋ยไม่อาจควบคุมได้

“ระยะเวลาสี่สิบเก้าปี มีสหายเต๋ารู้แจ้งในมหามรรคแห่งกรรมเจ็ดร้อยสามสิบสองคน มีสหายเต๋าที่เชี่ยวชาญมหามรรคแห่งกรรมสิบเก้าคน”

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยปากกล่าว หานเจวี๋ยได้ฟังวาจานี้แล้วรู้สึกตกใจ

คนทั้งหมดมีอยู่ไม่ถึงพัน กลับมีผู้รู้แจ้งในมหามรรคแห่งกรรมกว่าเจ็ดร้อยคนเชียวหรือ

หานเจวี๋ยแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว หลงนึกว่าตนเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ กายดาราอนธการเป็นหนึ่งมิมีสองเสียอีก

ที่เกินเรื่องไปกว่านั้นคือยังมีผู้ทรงพลังที่แตกฉานในมหามรรคแห่งกรรมอีกสิบเก้าคนด้วย!!

เช่นนี้ผู้ใดจะทนรับไหวเล่า!

‘โชคดีที่มา หากไม่มา มหามรรคแห่งกรรมและตัวข้าคงไร้วาสนาต่อกัน’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “หลังจากนี้สิบปี หากพวกเจ้ามีคำถามก็สามารถถามได้ แถวแรกสามารถถามได้สามข้อ แถวที่สองถามได้สองข้อ ส่วนทุกท่านที่อยู่ด้านหลังสามารถถามได้เพียงข้อเดียว เรียงกันไปตามลำดับ”

ยังสามารถถามได้ด้วยหรือ

หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด

เขาควรถามอะไรดีนะ

แสร้งปล่อยผ่านไป หรือว่าคว้าโอกาสนี้ไว้ ถามสิ่งที่ตนคิดดี

ฟังดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด

“เรียนถามปรมาจารย์ ฝึกฝนมหามรรคดีกว่า หรือว่าฝึกฝนมรรคาสวรรค์ดีกว่า”

ผู้ทรงพลังในแถวแรกเอ่ยถามขึ้นมา คำถามนี้ดึงดูดให้ทุกคนหันไปมอง

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+