ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน
“เจ้าเคยเห็นรึ”

หานเจวี๋ยปราดตามองหญ้าโลกาสวรรค์ เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ “ตอนที่…คนก่อนของข้าฝึกฝน นางก็ถือหินแบบนี้อยู่ก้อนหนึ่ง”

หินที่เทพเซียนถือ?

หานเจวี๋ยจ้องมองหินสีม่วงเข้มในมือราวกับคิดอะไรอยู่

เขาใช้พลังจิตตรวจสอบอย่างละเอียด น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่ง เพียงแต่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณที่เหนือกว่าหินวิญญาณอื่นๆ

หานเจวี๋ยทิ้งหินก้อนนี้ไว้ข้างๆ หญ้าโลกาสวรรค์ ด้วยอยากจะรู้ว่าหินก้อนนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร

หากเป็นเพียงหินวิญญาณ เช่นนั้นคงไม่คู่ควรที่เทพเซียนจะถืออยู่ในมือทุกวัน

หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกฝนต่อไป

ขณะที่เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนนั้น แดนบำเพ็ญพรตในใต้หล้ากลับเกิดเหตุการณ์ราวกับกระแสคลื่นพัดโหมกระหน่ำ

ยิ่งผู้บำเพ็ญสายมารคึกคัก ยิ่งทำให้สายหลักเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

ตอนที่พญาอสรพิษหยกม้วนตัวเข้ามาในใต้หล้าก่อนหน้านี้ สำนักสายมารต่างก็พากันดอดหนี ที่เปิดศึกกับพญาอสรพิษหยกส่วนใหญ่เป็นสำนักสายหลัก เพราะอย่างนั้นหลังจากพญาอสรพิษหยกตายแล้ว สายหลักจึงอ่อนแอกว่าสายมาร

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความคึกคักของผู้บำเพ็ญสายมารจึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

กระทั่งมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วแดนบำเพ็ญพรต

จักรพรรดิมารเมื่อหลายพันปีก่อนฟื้นคืนชีพแล้ว!

จักรพรรดิมารปรารถนาจะสถาปนาราชวงศ์ฝ่ายมาร ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งจากกลุ่มผู้บำเพ็ญสายมาร!

เขากำลังรับสมัครผู้บำเพ็ญสายมารทั่วทั้งใต้หล้าเพื่อเข้าร่วมกับเขา!

ชั่วขณะนั้น ตำนานรูปแบบต่างๆ ของจักรพรรดิมารก็ถูกเล่าลือไปทั่วโลกมนุษย์

เจ็ดปีหลังจากนั้น

ข่าวเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของจักพรรดิมารถูกเล่าลือมาถึงต้าเยี่ยน

ขณะนี้ ราชวงศ์ฝ่ายมารได้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และประกาศศักดาเป็นใหญ่อยู่อีกด้านหนึ่ง

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเรียกรวมบรรดาผู้อาวุโสมาที่ตำหนักหอประชุมใหญ่บนยอดเขาหลัก หลี่ชิงจื่อเองก็มาด้วย

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินว่าจักรพรรดิมารฟื้นคืนชีพ สีหน้าก็แปลกประหลาด

“เฮ้อ! ใต้หล้าจะวุ่นวายอีกครั้งแล้ว”

“กลัวอะไรกัน จักรพรรดิมารอยู่ห่างจากพวกเราตั้งไกล”

“เดิมทีแดนบำเพ็ญพรตก็เป็นสถานที่ที่สายหลักสายมารผลัดเปลี่ยนกันทรงอำนาจ นี่คือเหตุผลที่มียอดวีรบุรุษปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก”

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นพญาอสรพิษหยกแข็งแกร่งปานนั้นยังตายได้เลย”

“จักรพรรดิมารเคยรวบรวมผู้บำเพ็ญสายมารในใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวมาก่อน แต่นั่นมันเป็นเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว ยุคสมัยได้เปลี่ยนผ่านไปนานแล้ว”

……

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของหลี่ชิงจื่อ ราวกับอยากพูดอะไรออกมาแต่ยั้งเอาไว้

ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “หลายสิบปีก่อนผู้อาวุโสหลี่ก็เคยสืบเรื่องจักรพรรดิมารมาก่อน หรือว่าจะรู้อะไรเข้า”

เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนทั้งหลายก็หันไปทางหลี่ชิงจื่อ

หลี่ชิงจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หลายสิบปีก่อน ผู้อาวุโสสังหารเทพให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องจักรพรรดิมารโดยเฉพาะ บางทีเขาอาจจะคำนวณอะไรออกมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร และหวังว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งขมวดคิ้ว เหล่าผู้อาวุโสก็พากันกระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้

กวนโยวกังกล่าวพึมพำขึ้น “หรือผู้อาวุโสสังหารเทพจะคำนวณได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแดนบำเพ็ญพรตจะมีเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ ที่ไม่เอ่ยปากออกมาเพราะกลัวว่าพวกเราจะกังวลใจ”

เหล่าผู้อาวุโสต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พากันเห็นด้วยในความคิดนี้

พวกเขาต่างรู้ดีว่าเสาหลักที่แท้จริงของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์นั้นคือผู้อาวุโสสังหารเทพ แม้แต่ผู้อาวุโสสังหารเทพยังสืบข่าวเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดูท่าเคราะห์ในครั้งจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภารกิจคุณูปการของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ล้วนจำกัดให้อยู่ในต้าเยี่ยนทั้งหมด ศิษย์ที่อยู่นอกต้าเยี่ยนให้เรียกตัวกลับมาให้หมด” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งออกคำสั่ง

หลิ่วปู๋เมี่ยเอ่ยปากกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก ข้าอยากจะย้ายสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตมาที่ต้าเยี่ยนทันที ได้หรือไม่”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งส่ายหน้ากล่าว “ต้าเยี่ยนไม่ได้มีสถานที่ให้พวกเจ้าฝึกฝนได้มากเพียงนั้น สร้างค่ายกลส่งตัวเถิด”

“ตกลง!”

วันนั้น เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็เริ่มทำงานหนัก

หานเจวี๋ยไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

เขายังคงฝึกฝน ซึ่งอยู่ห่างจากระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่สักระยะหนึ่ง

วันนี้

หญ้าโลกาสวรรค์จะแปลงกายแล้ว!

ที่แปลกก็คือ ตอนที่มันแปลงกายกลับไม่ได้เผชิญกับเคราะห์สวรรค์ใด

ปีศาจเมื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ ล้วนต้องฝ่าเคราะห์สวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น

หานเจวี๋ยมองดูหินสีม่วงเข้มที่อยู่ข้างกายมัน ‘หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้’

หญ้าโลกาสวรรค์เปล่งประกายแสงสีขาวเจิดจ้า พลังวิญญาณภายในถ้ำทะลักทลายเข้าร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง

‘วิธีการแปลงกายนี้คือโปเกมอนหรือว่าดิจิมอนกันแน่’

หานเจวี๋ยแอบหยอกล้อ ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนที่แสนน่าเบื่อ เขาก็ชอบนึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว เพื่อนำมาเติมเต็มสิ่งที่ว่างเปล่า

เวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม

ในที่สุดหญ้าโลกาสวรรค์ก็แปลงกายสำเร็จ ต่างจากที่หานเจวี๋ยคาดคิดไว้อยู่บ้าง ไม่ใช่ดรุณีน้อยที่ร่าเริงบ๊องแบ๊ว กลับเป็นสตรีที่สูงส่งเย็นชายิ่งนักนางหนึ่ง

หานเจวี๋ยนำชุดนักพรตออกมาจากเข็มขัดเก็บสมบัติ ก่อนที่จะโยนไปให้นางสวมใส่โดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย

หลังจากหญ้าโลกาสวรรค์ใส่ชุดนักพรตแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน รูปลักษณ์นี้ของข้าเป็นเช่นไร”

หานเจวี๋ยกล่าว “พอใช้ได้กระมัง”

ยามที่บุรุษวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของสตรี คำว่าพอใช้นั่นก็หมายถึงสวย

“นี่คือรูปร่างหน้าตาของนายท่านคนก่อนของข้า” หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น มองประเมินหญ้าโลกาสวรรค์อีกครั้งอย่างอดไม่ได้

นางที่ใส่ชุดสีขาวยิ่งทำให้ดูเย็นชามากกว่าเดิม ผมสีดำปล่อยยาวสยายอย่างลวกๆ ใบหน้างดงามเลิศล้ำ ดวงตาทั้งคู่ราวกับมีประกายแสงระยิบระยับ คิ้วตางดงาม ปากกับจมูกได้รูปพอดี

จำต้องพูดว่า ใบหน้ากับรูปร่างเช่นนี้ก็คู่ควรกับหญิงสาวเทพเซียนจริงๆ

ในหมู่สตรีที่หานเจวี๋ยรู้จักทั้งหมด มีเพียงเซียนซีเสวียนเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้

“นายท่าน หลังจากนี้ข้าชื่อว่าอู้เต้าเจี้ยนเป็นอย่างไร”

หญ้าโลกาสวรรค์บิดตัวเอ่ย นางเองก็กำลังสำรวจรูปร่างของตัวเองอยู่เช่นกัน

ใบหน้าของหานเจวี๋ยกระตุกเล็กน้อย

อู้เต้าเจี้ยน…

นางเซียนก็ใช้ชื่อนี้ด้วย?

ช่างเถิด อันนี้แหละ

คร้านที่จะคิดแล้ว

ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่หญ้าต้นหนึ่ง

“อืม” หานเจวี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย

นับจากนี้ หญ้าโลกาสวรรค์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอู้เต้าเจี้ยน

อู้เต้าเจี้ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามขึ้นว่า “นายท่านควรจะถ่ายทอดมรรคากระบี่ให้ข้าหรือไม่”

หานเจวี๋ยรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนหน้านั้นหญ้าโลกาสวรรค์เอาแต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วราวกับหนูน้อย ตอนนี้พูดจาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดดรรชนีกระบี่เทพให้เจ้าก่อน”

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงเริ่มถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับอู้เต้าเจี้ยนด้วยตัวเอง

……

กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงของแดนบำเพ็ญพรตราวกับคงคามหาสมุทร บางครั้งก็เงียบสงบ บางครั้งก็โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อยู่ในความเงียบสงบมาโดยตลอด

สิบสามปีผ่านไป

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่

เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าหลังจากหินสีม่วงเข้มปรากฏขึ้น พลังวิญญาณในถ้ำเทวาฟ้าประทานก็เพิ่มระดับขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ระดับความเร็วในการทะลวงของเขาไม่ได้ช้ากว่าแต่ก่อนมากจนเกินไปนัก

คุณสมบัติของอู้เต้าเจี้ยนเองก็ทำให้หานเจวี๋ยแปลกใจอยู่บ้าง หลังจากแปลงกายแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของนางก็เร็วขึ้นกว่าเดิม นางมีพรสวรรค์ทางมรรคกระบี่จริงๆ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าศิษย์และศิษย์หลานของหานเจวี๋ยยิ่งนัก

ขณะนี้นางเข้าใจดรรชนีกระบี่เทพและสามกระบี่แยกเงาแล้ว

หานเจวี๋ยไม่ได้ถ่ายทอดให้นางต่อ เหตุผลหลักเพราะว่าตบะของนางยังไม่แข็งแรงพอ ไม่อาจควบคุมวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้

เวลาผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งปี

สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว

เมื่อนางเห็นอู้เต้าเจี้ยน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี เอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม “เจ้าเป็นใคร”

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยตอบ “อู้เต้าเจี้ยน”

ชื่อบ้าอะไรกัน

สิงหงเสวียนไม่พอใจอย่างมาก นางหันไปหาหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าออกไปฝึกฝนที่นอกถ้ำก่อน”

ออกไป?

อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกหานเจวี๋ยไล่ออกไปเช่นนี้

แต่นางไม่กล้าขัดความตั้งใจของหานเจวี๋ย ทำได้เพียงออกไปอย่างไม่เต็มใจ

พอนางออกไปก็ทำให้พวกหยางเทียนตงตกใจเป็นอย่างมาก

เหตุใดถึงมีเซียนนางหนึ่งออกมาจากถ้ำเทวาของอาจารย์ได้

“นางคือร่างกลายของหญ้าวิญญาณต้นหนึ่งที่ข้าบ่มเพาะไว้ก่อนหน้านี้ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณในถ้ำเทวาของข้าได้” หานเจวี๋ยเอ่ยอธิบายอย่างเรียบง่าย ซึ่งคำพูดทุกประโยคล้วนเป็นความจริง

หญ้าวิญญาณ?

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยความขมขื่น “สามี หากท่านต้องการสตรีก็บอกข้าสิ… ต่อไปข้าจะไม่ออกไปแล้ว ย้ายเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านก็ได้”

“อย่าได้คิดเชียว ห้ามรบกวนการฝึกฝนของข้า!”

“แต่ข้าคิดถึงท่านนี่”

“เจ้ามีหุ่นเชิดสวรรค์แล้วยังไม่พออีกหรือ”

“หา?”

ใบหน้างดงามของสิงหงเสวียนแดงก่ำ หรือตอนที่นางทำเรื่องเหล่านั้นก็ถูกหานเจวี๋ยสังเกตเห็นเข้าแล้ว

หานเจวี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นว่า “หลายปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เขาอยากจะถามว่ามีของล้ำค่าหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่าตรงเกินไปไม่ค่อยดี

ทำร้ายความรู้สึก!

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน
“เจ้าเคยเห็นรึ”

หานเจวี๋ยปราดตามองหญ้าโลกาสวรรค์ เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ “ตอนที่…คนก่อนของข้าฝึกฝน นางก็ถือหินแบบนี้อยู่ก้อนหนึ่ง”

หินที่เทพเซียนถือ?

หานเจวี๋ยจ้องมองหินสีม่วงเข้มในมือราวกับคิดอะไรอยู่

เขาใช้พลังจิตตรวจสอบอย่างละเอียด น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่ง เพียงแต่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณที่เหนือกว่าหินวิญญาณอื่นๆ

หานเจวี๋ยทิ้งหินก้อนนี้ไว้ข้างๆ หญ้าโลกาสวรรค์ ด้วยอยากจะรู้ว่าหินก้อนนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร

หากเป็นเพียงหินวิญญาณ เช่นนั้นคงไม่คู่ควรที่เทพเซียนจะถืออยู่ในมือทุกวัน

หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกฝนต่อไป

ขณะที่เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนนั้น แดนบำเพ็ญพรตในใต้หล้ากลับเกิดเหตุการณ์ราวกับกระแสคลื่นพัดโหมกระหน่ำ

ยิ่งผู้บำเพ็ญสายมารคึกคัก ยิ่งทำให้สายหลักเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

ตอนที่พญาอสรพิษหยกม้วนตัวเข้ามาในใต้หล้าก่อนหน้านี้ สำนักสายมารต่างก็พากันดอดหนี ที่เปิดศึกกับพญาอสรพิษหยกส่วนใหญ่เป็นสำนักสายหลัก เพราะอย่างนั้นหลังจากพญาอสรพิษหยกตายแล้ว สายหลักจึงอ่อนแอกว่าสายมาร

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความคึกคักของผู้บำเพ็ญสายมารจึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

กระทั่งมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วแดนบำเพ็ญพรต

จักรพรรดิมารเมื่อหลายพันปีก่อนฟื้นคืนชีพแล้ว!

จักรพรรดิมารปรารถนาจะสถาปนาราชวงศ์ฝ่ายมาร ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งจากกลุ่มผู้บำเพ็ญสายมาร!

เขากำลังรับสมัครผู้บำเพ็ญสายมารทั่วทั้งใต้หล้าเพื่อเข้าร่วมกับเขา!

ชั่วขณะนั้น ตำนานรูปแบบต่างๆ ของจักรพรรดิมารก็ถูกเล่าลือไปทั่วโลกมนุษย์

เจ็ดปีหลังจากนั้น

ข่าวเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของจักพรรดิมารถูกเล่าลือมาถึงต้าเยี่ยน

ขณะนี้ ราชวงศ์ฝ่ายมารได้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และประกาศศักดาเป็นใหญ่อยู่อีกด้านหนึ่ง

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเรียกรวมบรรดาผู้อาวุโสมาที่ตำหนักหอประชุมใหญ่บนยอดเขาหลัก หลี่ชิงจื่อเองก็มาด้วย

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินว่าจักรพรรดิมารฟื้นคืนชีพ สีหน้าก็แปลกประหลาด

“เฮ้อ! ใต้หล้าจะวุ่นวายอีกครั้งแล้ว”

“กลัวอะไรกัน จักรพรรดิมารอยู่ห่างจากพวกเราตั้งไกล”

“เดิมทีแดนบำเพ็ญพรตก็เป็นสถานที่ที่สายหลักสายมารผลัดเปลี่ยนกันทรงอำนาจ นี่คือเหตุผลที่มียอดวีรบุรุษปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก”

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นพญาอสรพิษหยกแข็งแกร่งปานนั้นยังตายได้เลย”

“จักรพรรดิมารเคยรวบรวมผู้บำเพ็ญสายมารในใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวมาก่อน แต่นั่นมันเป็นเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว ยุคสมัยได้เปลี่ยนผ่านไปนานแล้ว”

……

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของหลี่ชิงจื่อ ราวกับอยากพูดอะไรออกมาแต่ยั้งเอาไว้

ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “หลายสิบปีก่อนผู้อาวุโสหลี่ก็เคยสืบเรื่องจักรพรรดิมารมาก่อน หรือว่าจะรู้อะไรเข้า”

เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนทั้งหลายก็หันไปทางหลี่ชิงจื่อ

หลี่ชิงจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หลายสิบปีก่อน ผู้อาวุโสสังหารเทพให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องจักรพรรดิมารโดยเฉพาะ บางทีเขาอาจจะคำนวณอะไรออกมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร และหวังว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งขมวดคิ้ว เหล่าผู้อาวุโสก็พากันกระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้

กวนโยวกังกล่าวพึมพำขึ้น “หรือผู้อาวุโสสังหารเทพจะคำนวณได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแดนบำเพ็ญพรตจะมีเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ ที่ไม่เอ่ยปากออกมาเพราะกลัวว่าพวกเราจะกังวลใจ”

เหล่าผู้อาวุโสต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พากันเห็นด้วยในความคิดนี้

พวกเขาต่างรู้ดีว่าเสาหลักที่แท้จริงของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์นั้นคือผู้อาวุโสสังหารเทพ แม้แต่ผู้อาวุโสสังหารเทพยังสืบข่าวเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดูท่าเคราะห์ในครั้งจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภารกิจคุณูปการของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ล้วนจำกัดให้อยู่ในต้าเยี่ยนทั้งหมด ศิษย์ที่อยู่นอกต้าเยี่ยนให้เรียกตัวกลับมาให้หมด” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งออกคำสั่ง

หลิ่วปู๋เมี่ยเอ่ยปากกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก ข้าอยากจะย้ายสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตมาที่ต้าเยี่ยนทันที ได้หรือไม่”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งส่ายหน้ากล่าว “ต้าเยี่ยนไม่ได้มีสถานที่ให้พวกเจ้าฝึกฝนได้มากเพียงนั้น สร้างค่ายกลส่งตัวเถิด”

“ตกลง!”

วันนั้น เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็เริ่มทำงานหนัก

หานเจวี๋ยไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

เขายังคงฝึกฝน ซึ่งอยู่ห่างจากระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่สักระยะหนึ่ง

วันนี้

หญ้าโลกาสวรรค์จะแปลงกายแล้ว!

ที่แปลกก็คือ ตอนที่มันแปลงกายกลับไม่ได้เผชิญกับเคราะห์สวรรค์ใด

ปีศาจเมื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ ล้วนต้องฝ่าเคราะห์สวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น

หานเจวี๋ยมองดูหินสีม่วงเข้มที่อยู่ข้างกายมัน ‘หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้’

หญ้าโลกาสวรรค์เปล่งประกายแสงสีขาวเจิดจ้า พลังวิญญาณภายในถ้ำทะลักทลายเข้าร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง

‘วิธีการแปลงกายนี้คือโปเกมอนหรือว่าดิจิมอนกันแน่’

หานเจวี๋ยแอบหยอกล้อ ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนที่แสนน่าเบื่อ เขาก็ชอบนึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว เพื่อนำมาเติมเต็มสิ่งที่ว่างเปล่า

เวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม

ในที่สุดหญ้าโลกาสวรรค์ก็แปลงกายสำเร็จ ต่างจากที่หานเจวี๋ยคาดคิดไว้อยู่บ้าง ไม่ใช่ดรุณีน้อยที่ร่าเริงบ๊องแบ๊ว กลับเป็นสตรีที่สูงส่งเย็นชายิ่งนักนางหนึ่ง

หานเจวี๋ยนำชุดนักพรตออกมาจากเข็มขัดเก็บสมบัติ ก่อนที่จะโยนไปให้นางสวมใส่โดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย

หลังจากหญ้าโลกาสวรรค์ใส่ชุดนักพรตแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน รูปลักษณ์นี้ของข้าเป็นเช่นไร”

หานเจวี๋ยกล่าว “พอใช้ได้กระมัง”

ยามที่บุรุษวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของสตรี คำว่าพอใช้นั่นก็หมายถึงสวย

“นี่คือรูปร่างหน้าตาของนายท่านคนก่อนของข้า” หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น มองประเมินหญ้าโลกาสวรรค์อีกครั้งอย่างอดไม่ได้

นางที่ใส่ชุดสีขาวยิ่งทำให้ดูเย็นชามากกว่าเดิม ผมสีดำปล่อยยาวสยายอย่างลวกๆ ใบหน้างดงามเลิศล้ำ ดวงตาทั้งคู่ราวกับมีประกายแสงระยิบระยับ คิ้วตางดงาม ปากกับจมูกได้รูปพอดี

จำต้องพูดว่า ใบหน้ากับรูปร่างเช่นนี้ก็คู่ควรกับหญิงสาวเทพเซียนจริงๆ

ในหมู่สตรีที่หานเจวี๋ยรู้จักทั้งหมด มีเพียงเซียนซีเสวียนเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้

“นายท่าน หลังจากนี้ข้าชื่อว่าอู้เต้าเจี้ยนเป็นอย่างไร”

หญ้าโลกาสวรรค์บิดตัวเอ่ย นางเองก็กำลังสำรวจรูปร่างของตัวเองอยู่เช่นกัน

ใบหน้าของหานเจวี๋ยกระตุกเล็กน้อย

อู้เต้าเจี้ยน…

นางเซียนก็ใช้ชื่อนี้ด้วย?

ช่างเถิด อันนี้แหละ

คร้านที่จะคิดแล้ว

ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่หญ้าต้นหนึ่ง

“อืม” หานเจวี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย

นับจากนี้ หญ้าโลกาสวรรค์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอู้เต้าเจี้ยน

อู้เต้าเจี้ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามขึ้นว่า “นายท่านควรจะถ่ายทอดมรรคากระบี่ให้ข้าหรือไม่”

หานเจวี๋ยรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนหน้านั้นหญ้าโลกาสวรรค์เอาแต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วราวกับหนูน้อย ตอนนี้พูดจาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดดรรชนีกระบี่เทพให้เจ้าก่อน”

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงเริ่มถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับอู้เต้าเจี้ยนด้วยตัวเอง

……

กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงของแดนบำเพ็ญพรตราวกับคงคามหาสมุทร บางครั้งก็เงียบสงบ บางครั้งก็โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อยู่ในความเงียบสงบมาโดยตลอด

สิบสามปีผ่านไป

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่

เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าหลังจากหินสีม่วงเข้มปรากฏขึ้น พลังวิญญาณในถ้ำเทวาฟ้าประทานก็เพิ่มระดับขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ระดับความเร็วในการทะลวงของเขาไม่ได้ช้ากว่าแต่ก่อนมากจนเกินไปนัก

คุณสมบัติของอู้เต้าเจี้ยนเองก็ทำให้หานเจวี๋ยแปลกใจอยู่บ้าง หลังจากแปลงกายแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของนางก็เร็วขึ้นกว่าเดิม นางมีพรสวรรค์ทางมรรคกระบี่จริงๆ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าศิษย์และศิษย์หลานของหานเจวี๋ยยิ่งนัก

ขณะนี้นางเข้าใจดรรชนีกระบี่เทพและสามกระบี่แยกเงาแล้ว

หานเจวี๋ยไม่ได้ถ่ายทอดให้นางต่อ เหตุผลหลักเพราะว่าตบะของนางยังไม่แข็งแรงพอ ไม่อาจควบคุมวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้

เวลาผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งปี

สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว

เมื่อนางเห็นอู้เต้าเจี้ยน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี เอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม “เจ้าเป็นใคร”

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยตอบ “อู้เต้าเจี้ยน”

ชื่อบ้าอะไรกัน

สิงหงเสวียนไม่พอใจอย่างมาก นางหันไปหาหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าออกไปฝึกฝนที่นอกถ้ำก่อน”

ออกไป?

อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกหานเจวี๋ยไล่ออกไปเช่นนี้

แต่นางไม่กล้าขัดความตั้งใจของหานเจวี๋ย ทำได้เพียงออกไปอย่างไม่เต็มใจ

พอนางออกไปก็ทำให้พวกหยางเทียนตงตกใจเป็นอย่างมาก

เหตุใดถึงมีเซียนนางหนึ่งออกมาจากถ้ำเทวาของอาจารย์ได้

“นางคือร่างกลายของหญ้าวิญญาณต้นหนึ่งที่ข้าบ่มเพาะไว้ก่อนหน้านี้ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณในถ้ำเทวาของข้าได้” หานเจวี๋ยเอ่ยอธิบายอย่างเรียบง่าย ซึ่งคำพูดทุกประโยคล้วนเป็นความจริง

หญ้าวิญญาณ?

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยความขมขื่น “สามี หากท่านต้องการสตรีก็บอกข้าสิ… ต่อไปข้าจะไม่ออกไปแล้ว ย้ายเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านก็ได้”

“อย่าได้คิดเชียว ห้ามรบกวนการฝึกฝนของข้า!”

“แต่ข้าคิดถึงท่านนี่”

“เจ้ามีหุ่นเชิดสวรรค์แล้วยังไม่พออีกหรือ”

“หา?”

ใบหน้างดงามของสิงหงเสวียนแดงก่ำ หรือตอนที่นางทำเรื่องเหล่านั้นก็ถูกหานเจวี๋ยสังเกตเห็นเข้าแล้ว

หานเจวี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นว่า “หลายปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เขาอยากจะถามว่ามีของล้ำค่าหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่าตรงเกินไปไม่ค่อยดี

ทำร้ายความรู้สึก!

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน
“เจ้าเคยเห็นรึ”

หานเจวี๋ยปราดตามองหญ้าโลกาสวรรค์ เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ “ตอนที่…คนก่อนของข้าฝึกฝน นางก็ถือหินแบบนี้อยู่ก้อนหนึ่ง”

หินที่เทพเซียนถือ?

หานเจวี๋ยจ้องมองหินสีม่วงเข้มในมือราวกับคิดอะไรอยู่

เขาใช้พลังจิตตรวจสอบอย่างละเอียด น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่ง เพียงแต่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณที่เหนือกว่าหินวิญญาณอื่นๆ

หานเจวี๋ยทิ้งหินก้อนนี้ไว้ข้างๆ หญ้าโลกาสวรรค์ ด้วยอยากจะรู้ว่าหินก้อนนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร

หากเป็นเพียงหินวิญญาณ เช่นนั้นคงไม่คู่ควรที่เทพเซียนจะถืออยู่ในมือทุกวัน

หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกฝนต่อไป

ขณะที่เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนนั้น แดนบำเพ็ญพรตในใต้หล้ากลับเกิดเหตุการณ์ราวกับกระแสคลื่นพัดโหมกระหน่ำ

ยิ่งผู้บำเพ็ญสายมารคึกคัก ยิ่งทำให้สายหลักเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

ตอนที่พญาอสรพิษหยกม้วนตัวเข้ามาในใต้หล้าก่อนหน้านี้ สำนักสายมารต่างก็พากันดอดหนี ที่เปิดศึกกับพญาอสรพิษหยกส่วนใหญ่เป็นสำนักสายหลัก เพราะอย่างนั้นหลังจากพญาอสรพิษหยกตายแล้ว สายหลักจึงอ่อนแอกว่าสายมาร

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความคึกคักของผู้บำเพ็ญสายมารจึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

กระทั่งมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วแดนบำเพ็ญพรต

จักรพรรดิมารเมื่อหลายพันปีก่อนฟื้นคืนชีพแล้ว!

จักรพรรดิมารปรารถนาจะสถาปนาราชวงศ์ฝ่ายมาร ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งจากกลุ่มผู้บำเพ็ญสายมาร!

เขากำลังรับสมัครผู้บำเพ็ญสายมารทั่วทั้งใต้หล้าเพื่อเข้าร่วมกับเขา!

ชั่วขณะนั้น ตำนานรูปแบบต่างๆ ของจักรพรรดิมารก็ถูกเล่าลือไปทั่วโลกมนุษย์

เจ็ดปีหลังจากนั้น

ข่าวเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของจักพรรดิมารถูกเล่าลือมาถึงต้าเยี่ยน

ขณะนี้ ราชวงศ์ฝ่ายมารได้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และประกาศศักดาเป็นใหญ่อยู่อีกด้านหนึ่ง

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเรียกรวมบรรดาผู้อาวุโสมาที่ตำหนักหอประชุมใหญ่บนยอดเขาหลัก หลี่ชิงจื่อเองก็มาด้วย

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินว่าจักรพรรดิมารฟื้นคืนชีพ สีหน้าก็แปลกประหลาด

“เฮ้อ! ใต้หล้าจะวุ่นวายอีกครั้งแล้ว”

“กลัวอะไรกัน จักรพรรดิมารอยู่ห่างจากพวกเราตั้งไกล”

“เดิมทีแดนบำเพ็ญพรตก็เป็นสถานที่ที่สายหลักสายมารผลัดเปลี่ยนกันทรงอำนาจ นี่คือเหตุผลที่มียอดวีรบุรุษปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก”

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นพญาอสรพิษหยกแข็งแกร่งปานนั้นยังตายได้เลย”

“จักรพรรดิมารเคยรวบรวมผู้บำเพ็ญสายมารในใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวมาก่อน แต่นั่นมันเป็นเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว ยุคสมัยได้เปลี่ยนผ่านไปนานแล้ว”

……

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของหลี่ชิงจื่อ ราวกับอยากพูดอะไรออกมาแต่ยั้งเอาไว้

ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “หลายสิบปีก่อนผู้อาวุโสหลี่ก็เคยสืบเรื่องจักรพรรดิมารมาก่อน หรือว่าจะรู้อะไรเข้า”

เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนทั้งหลายก็หันไปทางหลี่ชิงจื่อ

หลี่ชิงจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หลายสิบปีก่อน ผู้อาวุโสสังหารเทพให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องจักรพรรดิมารโดยเฉพาะ บางทีเขาอาจจะคำนวณอะไรออกมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร และหวังว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งขมวดคิ้ว เหล่าผู้อาวุโสก็พากันกระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้

กวนโยวกังกล่าวพึมพำขึ้น “หรือผู้อาวุโสสังหารเทพจะคำนวณได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแดนบำเพ็ญพรตจะมีเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ ที่ไม่เอ่ยปากออกมาเพราะกลัวว่าพวกเราจะกังวลใจ”

เหล่าผู้อาวุโสต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พากันเห็นด้วยในความคิดนี้

พวกเขาต่างรู้ดีว่าเสาหลักที่แท้จริงของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์นั้นคือผู้อาวุโสสังหารเทพ แม้แต่ผู้อาวุโสสังหารเทพยังสืบข่าวเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดูท่าเคราะห์ในครั้งจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภารกิจคุณูปการของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ล้วนจำกัดให้อยู่ในต้าเยี่ยนทั้งหมด ศิษย์ที่อยู่นอกต้าเยี่ยนให้เรียกตัวกลับมาให้หมด” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งออกคำสั่ง

หลิ่วปู๋เมี่ยเอ่ยปากกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก ข้าอยากจะย้ายสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตมาที่ต้าเยี่ยนทันที ได้หรือไม่”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งส่ายหน้ากล่าว “ต้าเยี่ยนไม่ได้มีสถานที่ให้พวกเจ้าฝึกฝนได้มากเพียงนั้น สร้างค่ายกลส่งตัวเถิด”

“ตกลง!”

วันนั้น เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็เริ่มทำงานหนัก

หานเจวี๋ยไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

เขายังคงฝึกฝน ซึ่งอยู่ห่างจากระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่สักระยะหนึ่ง

วันนี้

หญ้าโลกาสวรรค์จะแปลงกายแล้ว!

ที่แปลกก็คือ ตอนที่มันแปลงกายกลับไม่ได้เผชิญกับเคราะห์สวรรค์ใด

ปีศาจเมื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ ล้วนต้องฝ่าเคราะห์สวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น

หานเจวี๋ยมองดูหินสีม่วงเข้มที่อยู่ข้างกายมัน ‘หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้’

หญ้าโลกาสวรรค์เปล่งประกายแสงสีขาวเจิดจ้า พลังวิญญาณภายในถ้ำทะลักทลายเข้าร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง

‘วิธีการแปลงกายนี้คือโปเกมอนหรือว่าดิจิมอนกันแน่’

หานเจวี๋ยแอบหยอกล้อ ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนที่แสนน่าเบื่อ เขาก็ชอบนึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว เพื่อนำมาเติมเต็มสิ่งที่ว่างเปล่า

เวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม

ในที่สุดหญ้าโลกาสวรรค์ก็แปลงกายสำเร็จ ต่างจากที่หานเจวี๋ยคาดคิดไว้อยู่บ้าง ไม่ใช่ดรุณีน้อยที่ร่าเริงบ๊องแบ๊ว กลับเป็นสตรีที่สูงส่งเย็นชายิ่งนักนางหนึ่ง

หานเจวี๋ยนำชุดนักพรตออกมาจากเข็มขัดเก็บสมบัติ ก่อนที่จะโยนไปให้นางสวมใส่โดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย

หลังจากหญ้าโลกาสวรรค์ใส่ชุดนักพรตแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน รูปลักษณ์นี้ของข้าเป็นเช่นไร”

หานเจวี๋ยกล่าว “พอใช้ได้กระมัง”

ยามที่บุรุษวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของสตรี คำว่าพอใช้นั่นก็หมายถึงสวย

“นี่คือรูปร่างหน้าตาของนายท่านคนก่อนของข้า” หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น มองประเมินหญ้าโลกาสวรรค์อีกครั้งอย่างอดไม่ได้

นางที่ใส่ชุดสีขาวยิ่งทำให้ดูเย็นชามากกว่าเดิม ผมสีดำปล่อยยาวสยายอย่างลวกๆ ใบหน้างดงามเลิศล้ำ ดวงตาทั้งคู่ราวกับมีประกายแสงระยิบระยับ คิ้วตางดงาม ปากกับจมูกได้รูปพอดี

จำต้องพูดว่า ใบหน้ากับรูปร่างเช่นนี้ก็คู่ควรกับหญิงสาวเทพเซียนจริงๆ

ในหมู่สตรีที่หานเจวี๋ยรู้จักทั้งหมด มีเพียงเซียนซีเสวียนเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้

“นายท่าน หลังจากนี้ข้าชื่อว่าอู้เต้าเจี้ยนเป็นอย่างไร”

หญ้าโลกาสวรรค์บิดตัวเอ่ย นางเองก็กำลังสำรวจรูปร่างของตัวเองอยู่เช่นกัน

ใบหน้าของหานเจวี๋ยกระตุกเล็กน้อย

อู้เต้าเจี้ยน…

นางเซียนก็ใช้ชื่อนี้ด้วย?

ช่างเถิด อันนี้แหละ

คร้านที่จะคิดแล้ว

ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่หญ้าต้นหนึ่ง

“อืม” หานเจวี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย

นับจากนี้ หญ้าโลกาสวรรค์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอู้เต้าเจี้ยน

อู้เต้าเจี้ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามขึ้นว่า “นายท่านควรจะถ่ายทอดมรรคากระบี่ให้ข้าหรือไม่”

หานเจวี๋ยรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนหน้านั้นหญ้าโลกาสวรรค์เอาแต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วราวกับหนูน้อย ตอนนี้พูดจาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดดรรชนีกระบี่เทพให้เจ้าก่อน”

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงเริ่มถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับอู้เต้าเจี้ยนด้วยตัวเอง

……

กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงของแดนบำเพ็ญพรตราวกับคงคามหาสมุทร บางครั้งก็เงียบสงบ บางครั้งก็โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อยู่ในความเงียบสงบมาโดยตลอด

สิบสามปีผ่านไป

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่

เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าหลังจากหินสีม่วงเข้มปรากฏขึ้น พลังวิญญาณในถ้ำเทวาฟ้าประทานก็เพิ่มระดับขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ระดับความเร็วในการทะลวงของเขาไม่ได้ช้ากว่าแต่ก่อนมากจนเกินไปนัก

คุณสมบัติของอู้เต้าเจี้ยนเองก็ทำให้หานเจวี๋ยแปลกใจอยู่บ้าง หลังจากแปลงกายแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของนางก็เร็วขึ้นกว่าเดิม นางมีพรสวรรค์ทางมรรคกระบี่จริงๆ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าศิษย์และศิษย์หลานของหานเจวี๋ยยิ่งนัก

ขณะนี้นางเข้าใจดรรชนีกระบี่เทพและสามกระบี่แยกเงาแล้ว

หานเจวี๋ยไม่ได้ถ่ายทอดให้นางต่อ เหตุผลหลักเพราะว่าตบะของนางยังไม่แข็งแรงพอ ไม่อาจควบคุมวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้

เวลาผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งปี

สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว

เมื่อนางเห็นอู้เต้าเจี้ยน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี เอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม “เจ้าเป็นใคร”

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยตอบ “อู้เต้าเจี้ยน”

ชื่อบ้าอะไรกัน

สิงหงเสวียนไม่พอใจอย่างมาก นางหันไปหาหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าออกไปฝึกฝนที่นอกถ้ำก่อน”

ออกไป?

อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกหานเจวี๋ยไล่ออกไปเช่นนี้

แต่นางไม่กล้าขัดความตั้งใจของหานเจวี๋ย ทำได้เพียงออกไปอย่างไม่เต็มใจ

พอนางออกไปก็ทำให้พวกหยางเทียนตงตกใจเป็นอย่างมาก

เหตุใดถึงมีเซียนนางหนึ่งออกมาจากถ้ำเทวาของอาจารย์ได้

“นางคือร่างกลายของหญ้าวิญญาณต้นหนึ่งที่ข้าบ่มเพาะไว้ก่อนหน้านี้ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณในถ้ำเทวาของข้าได้” หานเจวี๋ยเอ่ยอธิบายอย่างเรียบง่าย ซึ่งคำพูดทุกประโยคล้วนเป็นความจริง

หญ้าวิญญาณ?

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยความขมขื่น “สามี หากท่านต้องการสตรีก็บอกข้าสิ… ต่อไปข้าจะไม่ออกไปแล้ว ย้ายเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านก็ได้”

“อย่าได้คิดเชียว ห้ามรบกวนการฝึกฝนของข้า!”

“แต่ข้าคิดถึงท่านนี่”

“เจ้ามีหุ่นเชิดสวรรค์แล้วยังไม่พออีกหรือ”

“หา?”

ใบหน้างดงามของสิงหงเสวียนแดงก่ำ หรือตอนที่นางทำเรื่องเหล่านั้นก็ถูกหานเจวี๋ยสังเกตเห็นเข้าแล้ว

หานเจวี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นว่า “หลายปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เขาอยากจะถามว่ามีของล้ำค่าหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่าตรงเกินไปไม่ค่อยดี

ทำร้ายความรู้สึก!

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+