ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ
เย่ซานหลางที่ถูกมหาวายุอัสนีกักขังไว้รู้สึกหมดหวังเป็นที่สุด เขารีบหันขวับไปตะโกนว่า “ข้ายอมจำนน! ข้ายอมจำนน! อย่าได้สังหารข้าเลย!”

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาดูดวิญญาณหกสาย ดูดจิตดั้งเดิมของเขามาไว้ในมือ

พลังวิญญาณทั้งหกสายห่อหุ้มจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางเอาไว้ ราวกับเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้เย่ซานหลางไม่อาจเคลื่อนไหวได้

หานเจวี๋ยหันกายกลับไปยังสถานที่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก่อนจะพบแหวนเก็บสมบัติของเย่ซานหลาง จากนั้นจึงย้อนกลับไปถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลลืมตาขึ้น มองคนตัวจ้อยที่อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ยอย่างสงสัย

เย่ซานหลางรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด จิตดั้งเดิมดวงน้อยกำลังสั่นเทา

หานเจวี๋ยวางเขาลงกับพื้น ขณะที่ตนเองนั่งลงบนตั่งไม้ ก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกัดฟันตอบ “ยึดครองสำนักหยกพิสุทธิ์ จับผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์มาไว้รวมกัน หลังจากสำนักหยกพิสุทธิ์ล่มสลาย เมื่อนั้นผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้จะไร้ทางไป ทำได้เพียงเข้าร่วมกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

หานเจวี๋ยถามต่อ “เป้าหมายเฉพาะแค่สำนักหยกพิสุทธิ์ หรือทั้งแดนบำเพ็ญพรต”

“ทั้งแดนบำเพ็ญพรต…”

“พวกเจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณของพวกเจ้ามีระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่หรือ”

“แน่นอนว่ามี…”

เย่ซานหลางตอบตามจริง เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาไม่สนใจอะไรมากนักแล้ว

“ระดับสุญตาเล่ามีหรือไม่” หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกล่าวอย่างไร้ทางเลี่ยง “ระดับเช่นนั้นเป็นระดับในตำนาน อย่างน้อยในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน เพียงแต่ตบะของเจ้าลัทธิอยู่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสูงมานานแล้ว”

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดต้องหลบซ่อนอยู่ในที่มืดมาโดยตลอดเล่า”

“ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อกรทั้งแดนบำเพ็ญพรตทั้งหมดได้โดยตรง บทเรียนอันแสนเจ็บปวดเมื่อพันปีก่อนทำให้เจ้าลัทธิของเราระวังมากยิ่งขึ้น”

“เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ถูกขังไว้ที่ใด”

“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลธรรมดา…”

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ดยังนับว่าธรรมดา?

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณช่างอันตรายยิ่งนัก

ทำเอาข้าตกใจจริงๆ!

เย่ซานหลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…ข้าสาบาน ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบสำนักหยกพิสุทธิ์อีก!”

[เย่ซานหลางเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว ไม่ตายไม่เลิกรา]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

‘เจ้าหนู หนทางของเจ้าลำบากแล้ว!’

หานเจวี๋ยยกมือขึ้นทันที ส่งดรรชนีกระบี่เทพออกไป ทำลายจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางทันที

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ไก่คุกรัตติกาลตกใจจนตัวสั่นงันงก

นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นหานเจวี๋ยลงมือสังหารศัตรูเช่นนี้

หลังจากที่เย่ซานเทียนตายแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มตรวจสอบแหวนเก็บสมบัติของฝ่ายตรงข้าม

สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด สิ่งของในแหวนเก็บสมบัติช่างมากมายยิ่งนัก

แหวนเก็บสมบัตินี้มีขนาดใหญ่มาก หินวิญญาณกองสะสมเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สิ่งที่ควรจะมีก็มี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท เคล็ดวิชายุทธ์ โอสถ ทั้งยังมีของล้ำค่าฟ้าดินจำนวนไม่น้อย

หานเจวี๋ยดูเคล็ดวิชายุทธ์เป็นอันดับแรก ทั้งหมดล้วนเป็นวิชายุทธ์และวิชาเวทสายมารที่เขาไม่สนใจ

สำหรับอาวุธเวท ก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญสายมารเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูโอสถ

ไม่ช้า เขาก็พบโอสถที่สามารถเพิ่มตบะระดับปราณก่อกำเนิด เมื่อพลังวิญญาณหกสายผสานเข้าไปในโอสถนี้ ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่าน

หานเจวี๋ยเริ่มใช้งานมันทันที

สองปีต่อมา

หานเจวี๋ยบรรลุตบะถึงระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหก

ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นไก่เทพตัวผู้พันธุ์ดีตัวหนึ่ง ในที่สุดสติปัญญาของมันก็เติบโตเทียบเท่ากับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ สามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้

สิ่งที่จำต้องเอ่ยถึงคือ ยามที่ไก่คุกรัตติกาลฝึกฝนพลังปีศาจออกมานั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายทอดวิชายุทธ์ของเผ่าปีศาจ ตัวมันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

แต่หานเจวี๋ยกลับเข้าใจทันที นี่เป็นวิชายุทธ์เทพปีศาจของมันในภพก่อน

เช่นนี้ก็ดี หานเจวี๋ยจะได้ไม่ต้องชี้แนะอะไรมากนัก

หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยือนหานเจวี๋ยอีกครั้ง สิ่งที่พูดคุยล้วนเป็นเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ช่วงนี้ราวกับว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหายไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มาวุ่นวายกับสำนักหยกพิสุทธิ์อีก และในที่สุดหลี่ชิงจื่อก็ตรวจพบที่คุมขังเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์

หลี่ชิงจื่ออยากให้หานเจวี๋ยลงมือ

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “บางทีอาจจะเป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ ทันทีที่ข้าออกไป หากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณเข้ามาโจมตี พวกท่านต้านไหวหรือ ท่านต้องรู้ว่าระดับปราณก่อกำเนิดฝีมือดีถึงจะเป็นผู้ดูแลในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณได้

หลี่ชิงจื่อนิ่งเงียบ

นี่ก็มีความเป็นไปได้

หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ แม้จะช่วยผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นได้ก็ไร้ประโยชน์

“เช่นนั้นให้ข้าออกไปจะดีกว่า ผู้อาวุโสหาน สำนักหยกพิสุทธิ์ต้องมอบให้ท่านดูแลแล้ว” หลี่ชิงจื่อกล่าวอย่างจริงจัง

หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “นอกเสียจากว่าจะไปพบผู้แข็งแกร่งระดับสุญตาเข้า มิเช่นนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าแม้แต่จะคิดโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์!”

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พรายยิ้ม

ดูเหมือนช่วงนี้หานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!

หลี่ชิงจื่อจากไปด้วยความพึงพอใจ

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดแบบการจำลองการทดสอบ

เขาตั้งค่าตบะของต้วนทงเทียนเป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า

หานเจวี๋ยพยายามต่อสู้กับระดับเดียวกัน

สิ่งนี้ทำให้หานเจวี๋ยเป็นกังวล

จำต้องรู้ไว้ว่า แบบจำลองการทดสอบสามารถตั้งค่าได้เพียงตบะเท่านั้น วิชายุทธ์และวิชาเวทของระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้ากับระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่งก็แตกต่างกันมาก

หากรอให้ต้วนทงเทียนฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้าจริงๆ พลังที่แท้จริงของเขาจะแกร่งยิ่งกว่าในแบบจำลองการทำสอบเสียอีก

นอกจากนี้ ต้วนทงเทียนยังต้องอาศัยเซียวเอ้อร์เพื่อทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ นั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง

‘ต้องรีบทำเวลาทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะนอนหลับอย่างเป็นสุข’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อดูความเคลื่อนไหวของสหาย

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x29

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x48

……

ศิษย์ที่น่าสงสารยังคงถูกโจมตี

ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่เป็นกังวล ถูกโจมตีหลายครั้งเช่นนี้แต่ยังไม่ตาย!

นั่นก็หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณชื่นชอบผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงได้ตัดใจฆ่าไม่ลง

‘หรือลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะไม่ใช่สายมาร?’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ไม่นานจากนั้น เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ศิษย์เอ๋ยอดทนเข้าไว้!

อาจารย์กำลังฝึกอย่างหนัก รออาจารย์กระจ่างทุกสิ่งก่อน ต้องรีบไปช่วยเจ้าแน่!

ภายในหอมืดสลัวแห่งหนึ่ง คนในชุดคลุมกันฝนสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ

พวกเขาต่างสวมหมวกฟางเพื่อปิดบังใบหน้าไว้

หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงขรึม “เหตุใดเย่ซานหลางยังไม่กลับมาอีก”

คนอื่นๆ ก็เริ่มเอ่ยวาจาออกมาตามกัน

“หรือจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”

“เย่ซานหลางเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด นอกจากผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ อีกทั้งยังมีผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแฝงตัวอยู่ภายในนั้น”

“ผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณที่ว่านั่น แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน”

“ไม่แน่ใจ มีเพียงเย่ซานหลางที่รู้ นอกจากเจ้าลัทธิแล้วมีเพียงคนเดียวที่จะติดต่อกับผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณทุกคน”

“เจ้าลัทธิระวังเกินไป ตามความเห็นข้า มิสู้เหยียบสำนักยกพิสุทธิ์ให้จมดินไปเลยจะดีกว่า ไหนจะศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์พวกนั้นอีก หากไม่ยอมก็ฆ่าทิ้งไปเสียเถิด!”

ทั้งสี่คนเริ่มเอ่ยวาจาค่อนแคะเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าลัทธิอย่างแน่นอน อีกอย่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณคนอื่นอยู่อีกนอกจากเจ้าลัทธิ

ปึง!

ประตูพลันถูกถีบให้เปิดออก

บุรุษในอาภรณ์สีทองเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึมสง่างาม บนอาภรณ์สีทองปักด้วยลวดลายเสือดาว สวมมงกฏหยกสีเงินประกายครามราวกับกริชบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว ท่าทางโอหังอวดดี

คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน

“บังอาจ!”

หนึ่งในนั้นชักดาบตรงข้างเอวออกมา เตรียมจะฟันไปที่บุรุษชุดทอง

แววตาของบุรุษชุดทองพลันเย็นเยียบ ความกดดันและความน่ากลัวแผ่ออกมา ทั้งหอสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่คนตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับกาย

หนึ่งในนั้นกัดฟันเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร”

บุรุษชุดทองกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าคือหวงจี๋เฮ่าแห่งสำนักกระบี่วิหคชาด ได้ยินว่าพวกเจ้ามาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ บังเอิญนัก ข้ากำลังอยากประมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพอดี พวกเจ้าจงเอ่ยมา แท้จริงแล้วลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอยู่ที่ใดกันแน่”

หวงจี๋เฮ่า!

คนทั้งสี่ยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของหวงจี๋เฮ่าก็เป็นที่เลื่องลือจริงๆ!

คนในเสื้อคลุมกันฝนผู้หนึ่งพลันกล่าว “หากพวกข้าบอกไปจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากท่านไปประมือสำนักหยกพิสุทธิ์เสียก่อน เช่นนั้นพวกข้าจะยอมบอกตำแหน่งทางเข้าลัทธิแก่ท่าน…”

…………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ
เย่ซานหลางที่ถูกมหาวายุอัสนีกักขังไว้รู้สึกหมดหวังเป็นที่สุด เขารีบหันขวับไปตะโกนว่า “ข้ายอมจำนน! ข้ายอมจำนน! อย่าได้สังหารข้าเลย!”

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาดูดวิญญาณหกสาย ดูดจิตดั้งเดิมของเขามาไว้ในมือ

พลังวิญญาณทั้งหกสายห่อหุ้มจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางเอาไว้ ราวกับเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้เย่ซานหลางไม่อาจเคลื่อนไหวได้

หานเจวี๋ยหันกายกลับไปยังสถานที่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก่อนจะพบแหวนเก็บสมบัติของเย่ซานหลาง จากนั้นจึงย้อนกลับไปถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลลืมตาขึ้น มองคนตัวจ้อยที่อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ยอย่างสงสัย

เย่ซานหลางรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด จิตดั้งเดิมดวงน้อยกำลังสั่นเทา

หานเจวี๋ยวางเขาลงกับพื้น ขณะที่ตนเองนั่งลงบนตั่งไม้ ก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกัดฟันตอบ “ยึดครองสำนักหยกพิสุทธิ์ จับผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์มาไว้รวมกัน หลังจากสำนักหยกพิสุทธิ์ล่มสลาย เมื่อนั้นผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้จะไร้ทางไป ทำได้เพียงเข้าร่วมกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

หานเจวี๋ยถามต่อ “เป้าหมายเฉพาะแค่สำนักหยกพิสุทธิ์ หรือทั้งแดนบำเพ็ญพรต”

“ทั้งแดนบำเพ็ญพรต…”

“พวกเจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณของพวกเจ้ามีระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่หรือ”

“แน่นอนว่ามี…”

เย่ซานหลางตอบตามจริง เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาไม่สนใจอะไรมากนักแล้ว

“ระดับสุญตาเล่ามีหรือไม่” หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกล่าวอย่างไร้ทางเลี่ยง “ระดับเช่นนั้นเป็นระดับในตำนาน อย่างน้อยในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน เพียงแต่ตบะของเจ้าลัทธิอยู่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสูงมานานแล้ว”

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดต้องหลบซ่อนอยู่ในที่มืดมาโดยตลอดเล่า”

“ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อกรทั้งแดนบำเพ็ญพรตทั้งหมดได้โดยตรง บทเรียนอันแสนเจ็บปวดเมื่อพันปีก่อนทำให้เจ้าลัทธิของเราระวังมากยิ่งขึ้น”

“เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ถูกขังไว้ที่ใด”

“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลธรรมดา…”

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ดยังนับว่าธรรมดา?

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณช่างอันตรายยิ่งนัก

ทำเอาข้าตกใจจริงๆ!

เย่ซานหลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…ข้าสาบาน ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบสำนักหยกพิสุทธิ์อีก!”

[เย่ซานหลางเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว ไม่ตายไม่เลิกรา]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

‘เจ้าหนู หนทางของเจ้าลำบากแล้ว!’

หานเจวี๋ยยกมือขึ้นทันที ส่งดรรชนีกระบี่เทพออกไป ทำลายจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางทันที

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ไก่คุกรัตติกาลตกใจจนตัวสั่นงันงก

นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นหานเจวี๋ยลงมือสังหารศัตรูเช่นนี้

หลังจากที่เย่ซานเทียนตายแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มตรวจสอบแหวนเก็บสมบัติของฝ่ายตรงข้าม

สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด สิ่งของในแหวนเก็บสมบัติช่างมากมายยิ่งนัก

แหวนเก็บสมบัตินี้มีขนาดใหญ่มาก หินวิญญาณกองสะสมเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สิ่งที่ควรจะมีก็มี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท เคล็ดวิชายุทธ์ โอสถ ทั้งยังมีของล้ำค่าฟ้าดินจำนวนไม่น้อย

หานเจวี๋ยดูเคล็ดวิชายุทธ์เป็นอันดับแรก ทั้งหมดล้วนเป็นวิชายุทธ์และวิชาเวทสายมารที่เขาไม่สนใจ

สำหรับอาวุธเวท ก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญสายมารเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูโอสถ

ไม่ช้า เขาก็พบโอสถที่สามารถเพิ่มตบะระดับปราณก่อกำเนิด เมื่อพลังวิญญาณหกสายผสานเข้าไปในโอสถนี้ ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่าน

หานเจวี๋ยเริ่มใช้งานมันทันที

สองปีต่อมา

หานเจวี๋ยบรรลุตบะถึงระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหก

ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นไก่เทพตัวผู้พันธุ์ดีตัวหนึ่ง ในที่สุดสติปัญญาของมันก็เติบโตเทียบเท่ากับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ สามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้

สิ่งที่จำต้องเอ่ยถึงคือ ยามที่ไก่คุกรัตติกาลฝึกฝนพลังปีศาจออกมานั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายทอดวิชายุทธ์ของเผ่าปีศาจ ตัวมันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

แต่หานเจวี๋ยกลับเข้าใจทันที นี่เป็นวิชายุทธ์เทพปีศาจของมันในภพก่อน

เช่นนี้ก็ดี หานเจวี๋ยจะได้ไม่ต้องชี้แนะอะไรมากนัก

หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยือนหานเจวี๋ยอีกครั้ง สิ่งที่พูดคุยล้วนเป็นเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ช่วงนี้ราวกับว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหายไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มาวุ่นวายกับสำนักหยกพิสุทธิ์อีก และในที่สุดหลี่ชิงจื่อก็ตรวจพบที่คุมขังเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์

หลี่ชิงจื่ออยากให้หานเจวี๋ยลงมือ

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “บางทีอาจจะเป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ ทันทีที่ข้าออกไป หากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณเข้ามาโจมตี พวกท่านต้านไหวหรือ ท่านต้องรู้ว่าระดับปราณก่อกำเนิดฝีมือดีถึงจะเป็นผู้ดูแลในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณได้

หลี่ชิงจื่อนิ่งเงียบ

นี่ก็มีความเป็นไปได้

หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ แม้จะช่วยผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นได้ก็ไร้ประโยชน์

“เช่นนั้นให้ข้าออกไปจะดีกว่า ผู้อาวุโสหาน สำนักหยกพิสุทธิ์ต้องมอบให้ท่านดูแลแล้ว” หลี่ชิงจื่อกล่าวอย่างจริงจัง

หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “นอกเสียจากว่าจะไปพบผู้แข็งแกร่งระดับสุญตาเข้า มิเช่นนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าแม้แต่จะคิดโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์!”

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พรายยิ้ม

ดูเหมือนช่วงนี้หานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!

หลี่ชิงจื่อจากไปด้วยความพึงพอใจ

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดแบบการจำลองการทดสอบ

เขาตั้งค่าตบะของต้วนทงเทียนเป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า

หานเจวี๋ยพยายามต่อสู้กับระดับเดียวกัน

สิ่งนี้ทำให้หานเจวี๋ยเป็นกังวล

จำต้องรู้ไว้ว่า แบบจำลองการทดสอบสามารถตั้งค่าได้เพียงตบะเท่านั้น วิชายุทธ์และวิชาเวทของระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้ากับระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่งก็แตกต่างกันมาก

หากรอให้ต้วนทงเทียนฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้าจริงๆ พลังที่แท้จริงของเขาจะแกร่งยิ่งกว่าในแบบจำลองการทำสอบเสียอีก

นอกจากนี้ ต้วนทงเทียนยังต้องอาศัยเซียวเอ้อร์เพื่อทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ นั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง

‘ต้องรีบทำเวลาทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะนอนหลับอย่างเป็นสุข’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อดูความเคลื่อนไหวของสหาย

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x29

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x48

……

ศิษย์ที่น่าสงสารยังคงถูกโจมตี

ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่เป็นกังวล ถูกโจมตีหลายครั้งเช่นนี้แต่ยังไม่ตาย!

นั่นก็หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณชื่นชอบผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงได้ตัดใจฆ่าไม่ลง

‘หรือลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะไม่ใช่สายมาร?’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ไม่นานจากนั้น เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ศิษย์เอ๋ยอดทนเข้าไว้!

อาจารย์กำลังฝึกอย่างหนัก รออาจารย์กระจ่างทุกสิ่งก่อน ต้องรีบไปช่วยเจ้าแน่!

ภายในหอมืดสลัวแห่งหนึ่ง คนในชุดคลุมกันฝนสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ

พวกเขาต่างสวมหมวกฟางเพื่อปิดบังใบหน้าไว้

หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงขรึม “เหตุใดเย่ซานหลางยังไม่กลับมาอีก”

คนอื่นๆ ก็เริ่มเอ่ยวาจาออกมาตามกัน

“หรือจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”

“เย่ซานหลางเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด นอกจากผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ อีกทั้งยังมีผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแฝงตัวอยู่ภายในนั้น”

“ผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณที่ว่านั่น แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน”

“ไม่แน่ใจ มีเพียงเย่ซานหลางที่รู้ นอกจากเจ้าลัทธิแล้วมีเพียงคนเดียวที่จะติดต่อกับผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณทุกคน”

“เจ้าลัทธิระวังเกินไป ตามความเห็นข้า มิสู้เหยียบสำนักยกพิสุทธิ์ให้จมดินไปเลยจะดีกว่า ไหนจะศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์พวกนั้นอีก หากไม่ยอมก็ฆ่าทิ้งไปเสียเถิด!”

ทั้งสี่คนเริ่มเอ่ยวาจาค่อนแคะเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าลัทธิอย่างแน่นอน อีกอย่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณคนอื่นอยู่อีกนอกจากเจ้าลัทธิ

ปึง!

ประตูพลันถูกถีบให้เปิดออก

บุรุษในอาภรณ์สีทองเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึมสง่างาม บนอาภรณ์สีทองปักด้วยลวดลายเสือดาว สวมมงกฏหยกสีเงินประกายครามราวกับกริชบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว ท่าทางโอหังอวดดี

คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน

“บังอาจ!”

หนึ่งในนั้นชักดาบตรงข้างเอวออกมา เตรียมจะฟันไปที่บุรุษชุดทอง

แววตาของบุรุษชุดทองพลันเย็นเยียบ ความกดดันและความน่ากลัวแผ่ออกมา ทั้งหอสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่คนตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับกาย

หนึ่งในนั้นกัดฟันเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร”

บุรุษชุดทองกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าคือหวงจี๋เฮ่าแห่งสำนักกระบี่วิหคชาด ได้ยินว่าพวกเจ้ามาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ บังเอิญนัก ข้ากำลังอยากประมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพอดี พวกเจ้าจงเอ่ยมา แท้จริงแล้วลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอยู่ที่ใดกันแน่”

หวงจี๋เฮ่า!

คนทั้งสี่ยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของหวงจี๋เฮ่าก็เป็นที่เลื่องลือจริงๆ!

คนในเสื้อคลุมกันฝนผู้หนึ่งพลันกล่าว “หากพวกข้าบอกไปจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากท่านไปประมือสำนักหยกพิสุทธิ์เสียก่อน เช่นนั้นพวกข้าจะยอมบอกตำแหน่งทางเข้าลัทธิแก่ท่าน…”

…………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ
เย่ซานหลางที่ถูกมหาวายุอัสนีกักขังไว้รู้สึกหมดหวังเป็นที่สุด เขารีบหันขวับไปตะโกนว่า “ข้ายอมจำนน! ข้ายอมจำนน! อย่าได้สังหารข้าเลย!”

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาดูดวิญญาณหกสาย ดูดจิตดั้งเดิมของเขามาไว้ในมือ

พลังวิญญาณทั้งหกสายห่อหุ้มจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางเอาไว้ ราวกับเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้เย่ซานหลางไม่อาจเคลื่อนไหวได้

หานเจวี๋ยหันกายกลับไปยังสถานที่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก่อนจะพบแหวนเก็บสมบัติของเย่ซานหลาง จากนั้นจึงย้อนกลับไปถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลลืมตาขึ้น มองคนตัวจ้อยที่อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ยอย่างสงสัย

เย่ซานหลางรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด จิตดั้งเดิมดวงน้อยกำลังสั่นเทา

หานเจวี๋ยวางเขาลงกับพื้น ขณะที่ตนเองนั่งลงบนตั่งไม้ ก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกัดฟันตอบ “ยึดครองสำนักหยกพิสุทธิ์ จับผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์มาไว้รวมกัน หลังจากสำนักหยกพิสุทธิ์ล่มสลาย เมื่อนั้นผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้จะไร้ทางไป ทำได้เพียงเข้าร่วมกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

หานเจวี๋ยถามต่อ “เป้าหมายเฉพาะแค่สำนักหยกพิสุทธิ์ หรือทั้งแดนบำเพ็ญพรต”

“ทั้งแดนบำเพ็ญพรต…”

“พวกเจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณของพวกเจ้ามีระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่หรือ”

“แน่นอนว่ามี…”

เย่ซานหลางตอบตามจริง เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาไม่สนใจอะไรมากนักแล้ว

“ระดับสุญตาเล่ามีหรือไม่” หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกล่าวอย่างไร้ทางเลี่ยง “ระดับเช่นนั้นเป็นระดับในตำนาน อย่างน้อยในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน เพียงแต่ตบะของเจ้าลัทธิอยู่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสูงมานานแล้ว”

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดต้องหลบซ่อนอยู่ในที่มืดมาโดยตลอดเล่า”

“ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อกรทั้งแดนบำเพ็ญพรตทั้งหมดได้โดยตรง บทเรียนอันแสนเจ็บปวดเมื่อพันปีก่อนทำให้เจ้าลัทธิของเราระวังมากยิ่งขึ้น”

“เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ถูกขังไว้ที่ใด”

“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลธรรมดา…”

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ดยังนับว่าธรรมดา?

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณช่างอันตรายยิ่งนัก

ทำเอาข้าตกใจจริงๆ!

เย่ซานหลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…ข้าสาบาน ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบสำนักหยกพิสุทธิ์อีก!”

[เย่ซานหลางเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว ไม่ตายไม่เลิกรา]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

‘เจ้าหนู หนทางของเจ้าลำบากแล้ว!’

หานเจวี๋ยยกมือขึ้นทันที ส่งดรรชนีกระบี่เทพออกไป ทำลายจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางทันที

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ไก่คุกรัตติกาลตกใจจนตัวสั่นงันงก

นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นหานเจวี๋ยลงมือสังหารศัตรูเช่นนี้

หลังจากที่เย่ซานเทียนตายแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มตรวจสอบแหวนเก็บสมบัติของฝ่ายตรงข้าม

สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด สิ่งของในแหวนเก็บสมบัติช่างมากมายยิ่งนัก

แหวนเก็บสมบัตินี้มีขนาดใหญ่มาก หินวิญญาณกองสะสมเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สิ่งที่ควรจะมีก็มี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท เคล็ดวิชายุทธ์ โอสถ ทั้งยังมีของล้ำค่าฟ้าดินจำนวนไม่น้อย

หานเจวี๋ยดูเคล็ดวิชายุทธ์เป็นอันดับแรก ทั้งหมดล้วนเป็นวิชายุทธ์และวิชาเวทสายมารที่เขาไม่สนใจ

สำหรับอาวุธเวท ก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญสายมารเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูโอสถ

ไม่ช้า เขาก็พบโอสถที่สามารถเพิ่มตบะระดับปราณก่อกำเนิด เมื่อพลังวิญญาณหกสายผสานเข้าไปในโอสถนี้ ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่าน

หานเจวี๋ยเริ่มใช้งานมันทันที

สองปีต่อมา

หานเจวี๋ยบรรลุตบะถึงระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหก

ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นไก่เทพตัวผู้พันธุ์ดีตัวหนึ่ง ในที่สุดสติปัญญาของมันก็เติบโตเทียบเท่ากับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ สามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้

สิ่งที่จำต้องเอ่ยถึงคือ ยามที่ไก่คุกรัตติกาลฝึกฝนพลังปีศาจออกมานั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายทอดวิชายุทธ์ของเผ่าปีศาจ ตัวมันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

แต่หานเจวี๋ยกลับเข้าใจทันที นี่เป็นวิชายุทธ์เทพปีศาจของมันในภพก่อน

เช่นนี้ก็ดี หานเจวี๋ยจะได้ไม่ต้องชี้แนะอะไรมากนัก

หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยือนหานเจวี๋ยอีกครั้ง สิ่งที่พูดคุยล้วนเป็นเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ช่วงนี้ราวกับว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหายไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มาวุ่นวายกับสำนักหยกพิสุทธิ์อีก และในที่สุดหลี่ชิงจื่อก็ตรวจพบที่คุมขังเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์

หลี่ชิงจื่ออยากให้หานเจวี๋ยลงมือ

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “บางทีอาจจะเป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ ทันทีที่ข้าออกไป หากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณเข้ามาโจมตี พวกท่านต้านไหวหรือ ท่านต้องรู้ว่าระดับปราณก่อกำเนิดฝีมือดีถึงจะเป็นผู้ดูแลในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณได้

หลี่ชิงจื่อนิ่งเงียบ

นี่ก็มีความเป็นไปได้

หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ แม้จะช่วยผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นได้ก็ไร้ประโยชน์

“เช่นนั้นให้ข้าออกไปจะดีกว่า ผู้อาวุโสหาน สำนักหยกพิสุทธิ์ต้องมอบให้ท่านดูแลแล้ว” หลี่ชิงจื่อกล่าวอย่างจริงจัง

หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “นอกเสียจากว่าจะไปพบผู้แข็งแกร่งระดับสุญตาเข้า มิเช่นนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าแม้แต่จะคิดโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์!”

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พรายยิ้ม

ดูเหมือนช่วงนี้หานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!

หลี่ชิงจื่อจากไปด้วยความพึงพอใจ

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดแบบการจำลองการทดสอบ

เขาตั้งค่าตบะของต้วนทงเทียนเป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า

หานเจวี๋ยพยายามต่อสู้กับระดับเดียวกัน

สิ่งนี้ทำให้หานเจวี๋ยเป็นกังวล

จำต้องรู้ไว้ว่า แบบจำลองการทดสอบสามารถตั้งค่าได้เพียงตบะเท่านั้น วิชายุทธ์และวิชาเวทของระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้ากับระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่งก็แตกต่างกันมาก

หากรอให้ต้วนทงเทียนฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้าจริงๆ พลังที่แท้จริงของเขาจะแกร่งยิ่งกว่าในแบบจำลองการทำสอบเสียอีก

นอกจากนี้ ต้วนทงเทียนยังต้องอาศัยเซียวเอ้อร์เพื่อทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ นั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง

‘ต้องรีบทำเวลาทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะนอนหลับอย่างเป็นสุข’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อดูความเคลื่อนไหวของสหาย

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x29

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x48

……

ศิษย์ที่น่าสงสารยังคงถูกโจมตี

ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่เป็นกังวล ถูกโจมตีหลายครั้งเช่นนี้แต่ยังไม่ตาย!

นั่นก็หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณชื่นชอบผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงได้ตัดใจฆ่าไม่ลง

‘หรือลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะไม่ใช่สายมาร?’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ไม่นานจากนั้น เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ศิษย์เอ๋ยอดทนเข้าไว้!

อาจารย์กำลังฝึกอย่างหนัก รออาจารย์กระจ่างทุกสิ่งก่อน ต้องรีบไปช่วยเจ้าแน่!

ภายในหอมืดสลัวแห่งหนึ่ง คนในชุดคลุมกันฝนสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ

พวกเขาต่างสวมหมวกฟางเพื่อปิดบังใบหน้าไว้

หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงขรึม “เหตุใดเย่ซานหลางยังไม่กลับมาอีก”

คนอื่นๆ ก็เริ่มเอ่ยวาจาออกมาตามกัน

“หรือจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”

“เย่ซานหลางเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด นอกจากผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ อีกทั้งยังมีผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแฝงตัวอยู่ภายในนั้น”

“ผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณที่ว่านั่น แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน”

“ไม่แน่ใจ มีเพียงเย่ซานหลางที่รู้ นอกจากเจ้าลัทธิแล้วมีเพียงคนเดียวที่จะติดต่อกับผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณทุกคน”

“เจ้าลัทธิระวังเกินไป ตามความเห็นข้า มิสู้เหยียบสำนักยกพิสุทธิ์ให้จมดินไปเลยจะดีกว่า ไหนจะศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์พวกนั้นอีก หากไม่ยอมก็ฆ่าทิ้งไปเสียเถิด!”

ทั้งสี่คนเริ่มเอ่ยวาจาค่อนแคะเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าลัทธิอย่างแน่นอน อีกอย่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณคนอื่นอยู่อีกนอกจากเจ้าลัทธิ

ปึง!

ประตูพลันถูกถีบให้เปิดออก

บุรุษในอาภรณ์สีทองเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึมสง่างาม บนอาภรณ์สีทองปักด้วยลวดลายเสือดาว สวมมงกฏหยกสีเงินประกายครามราวกับกริชบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว ท่าทางโอหังอวดดี

คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน

“บังอาจ!”

หนึ่งในนั้นชักดาบตรงข้างเอวออกมา เตรียมจะฟันไปที่บุรุษชุดทอง

แววตาของบุรุษชุดทองพลันเย็นเยียบ ความกดดันและความน่ากลัวแผ่ออกมา ทั้งหอสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่คนตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับกาย

หนึ่งในนั้นกัดฟันเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร”

บุรุษชุดทองกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าคือหวงจี๋เฮ่าแห่งสำนักกระบี่วิหคชาด ได้ยินว่าพวกเจ้ามาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ บังเอิญนัก ข้ากำลังอยากประมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพอดี พวกเจ้าจงเอ่ยมา แท้จริงแล้วลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอยู่ที่ใดกันแน่”

หวงจี๋เฮ่า!

คนทั้งสี่ยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของหวงจี๋เฮ่าก็เป็นที่เลื่องลือจริงๆ!

คนในเสื้อคลุมกันฝนผู้หนึ่งพลันกล่าว “หากพวกข้าบอกไปจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากท่านไปประมือสำนักหยกพิสุทธิ์เสียก่อน เช่นนั้นพวกข้าจะยอมบอกตำแหน่งทางเข้าลัทธิแก่ท่าน…”

…………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ
เย่ซานหลางที่ถูกมหาวายุอัสนีกักขังไว้รู้สึกหมดหวังเป็นที่สุด เขารีบหันขวับไปตะโกนว่า “ข้ายอมจำนน! ข้ายอมจำนน! อย่าได้สังหารข้าเลย!”

หานเจวี๋ยสำแดงวิชาดูดวิญญาณหกสาย ดูดจิตดั้งเดิมของเขามาไว้ในมือ

พลังวิญญาณทั้งหกสายห่อหุ้มจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางเอาไว้ ราวกับเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้เย่ซานหลางไม่อาจเคลื่อนไหวได้

หานเจวี๋ยหันกายกลับไปยังสถานที่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก่อนจะพบแหวนเก็บสมบัติของเย่ซานหลาง จากนั้นจึงย้อนกลับไปถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลลืมตาขึ้น มองคนตัวจ้อยที่อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ยอย่างสงสัย

เย่ซานหลางรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด จิตดั้งเดิมดวงน้อยกำลังสั่นเทา

หานเจวี๋ยวางเขาลงกับพื้น ขณะที่ตนเองนั่งลงบนตั่งไม้ ก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกัดฟันตอบ “ยึดครองสำนักหยกพิสุทธิ์ จับผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์มาไว้รวมกัน หลังจากสำนักหยกพิสุทธิ์ล่มสลาย เมื่อนั้นผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้จะไร้ทางไป ทำได้เพียงเข้าร่วมกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

หานเจวี๋ยถามต่อ “เป้าหมายเฉพาะแค่สำนักหยกพิสุทธิ์ หรือทั้งแดนบำเพ็ญพรต”

“ทั้งแดนบำเพ็ญพรต…”

“พวกเจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณของพวกเจ้ามีระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่หรือ”

“แน่นอนว่ามี…”

เย่ซานหลางตอบตามจริง เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาไม่สนใจอะไรมากนักแล้ว

“ระดับสุญตาเล่ามีหรือไม่” หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยถาม

เย่ซานหลางกล่าวอย่างไร้ทางเลี่ยง “ระดับเช่นนั้นเป็นระดับในตำนาน อย่างน้อยในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน เพียงแต่ตบะของเจ้าลัทธิอยู่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสูงมานานแล้ว”

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดต้องหลบซ่อนอยู่ในที่มืดมาโดยตลอดเล่า”

“ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อกรทั้งแดนบำเพ็ญพรตทั้งหมดได้โดยตรง บทเรียนอันแสนเจ็บปวดเมื่อพันปีก่อนทำให้เจ้าลัทธิของเราระวังมากยิ่งขึ้น”

“เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ถูกขังไว้ที่ใด”

“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลธรรมดา…”

ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ดยังนับว่าธรรมดา?

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณช่างอันตรายยิ่งนัก

ทำเอาข้าตกใจจริงๆ!

เย่ซานหลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…ข้าสาบาน ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบสำนักหยกพิสุทธิ์อีก!”

[เย่ซานหลางเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว ไม่ตายไม่เลิกรา]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

‘เจ้าหนู หนทางของเจ้าลำบากแล้ว!’

หานเจวี๋ยยกมือขึ้นทันที ส่งดรรชนีกระบี่เทพออกไป ทำลายจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางทันที

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ไก่คุกรัตติกาลตกใจจนตัวสั่นงันงก

นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นหานเจวี๋ยลงมือสังหารศัตรูเช่นนี้

หลังจากที่เย่ซานเทียนตายแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มตรวจสอบแหวนเก็บสมบัติของฝ่ายตรงข้าม

สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด สิ่งของในแหวนเก็บสมบัติช่างมากมายยิ่งนัก

แหวนเก็บสมบัตินี้มีขนาดใหญ่มาก หินวิญญาณกองสะสมเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สิ่งที่ควรจะมีก็มี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท เคล็ดวิชายุทธ์ โอสถ ทั้งยังมีของล้ำค่าฟ้าดินจำนวนไม่น้อย

หานเจวี๋ยดูเคล็ดวิชายุทธ์เป็นอันดับแรก ทั้งหมดล้วนเป็นวิชายุทธ์และวิชาเวทสายมารที่เขาไม่สนใจ

สำหรับอาวุธเวท ก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญสายมารเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูโอสถ

ไม่ช้า เขาก็พบโอสถที่สามารถเพิ่มตบะระดับปราณก่อกำเนิด เมื่อพลังวิญญาณหกสายผสานเข้าไปในโอสถนี้ ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่าน

หานเจวี๋ยเริ่มใช้งานมันทันที

สองปีต่อมา

หานเจวี๋ยบรรลุตบะถึงระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหก

ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นไก่เทพตัวผู้พันธุ์ดีตัวหนึ่ง ในที่สุดสติปัญญาของมันก็เติบโตเทียบเท่ากับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ สามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้

สิ่งที่จำต้องเอ่ยถึงคือ ยามที่ไก่คุกรัตติกาลฝึกฝนพลังปีศาจออกมานั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายทอดวิชายุทธ์ของเผ่าปีศาจ ตัวมันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

แต่หานเจวี๋ยกลับเข้าใจทันที นี่เป็นวิชายุทธ์เทพปีศาจของมันในภพก่อน

เช่นนี้ก็ดี หานเจวี๋ยจะได้ไม่ต้องชี้แนะอะไรมากนัก

หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยือนหานเจวี๋ยอีกครั้ง สิ่งที่พูดคุยล้วนเป็นเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ช่วงนี้ราวกับว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหายไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มาวุ่นวายกับสำนักหยกพิสุทธิ์อีก และในที่สุดหลี่ชิงจื่อก็ตรวจพบที่คุมขังเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์

หลี่ชิงจื่ออยากให้หานเจวี๋ยลงมือ

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “บางทีอาจจะเป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ ทันทีที่ข้าออกไป หากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณเข้ามาโจมตี พวกท่านต้านไหวหรือ ท่านต้องรู้ว่าระดับปราณก่อกำเนิดฝีมือดีถึงจะเป็นผู้ดูแลในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณได้

หลี่ชิงจื่อนิ่งเงียบ

นี่ก็มีความเป็นไปได้

หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ แม้จะช่วยผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นได้ก็ไร้ประโยชน์

“เช่นนั้นให้ข้าออกไปจะดีกว่า ผู้อาวุโสหาน สำนักหยกพิสุทธิ์ต้องมอบให้ท่านดูแลแล้ว” หลี่ชิงจื่อกล่าวอย่างจริงจัง

หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “นอกเสียจากว่าจะไปพบผู้แข็งแกร่งระดับสุญตาเข้า มิเช่นนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าแม้แต่จะคิดโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์!”

เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พรายยิ้ม

ดูเหมือนช่วงนี้หานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!

หลี่ชิงจื่อจากไปด้วยความพึงพอใจ

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดแบบการจำลองการทดสอบ

เขาตั้งค่าตบะของต้วนทงเทียนเป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า

หานเจวี๋ยพยายามต่อสู้กับระดับเดียวกัน

สิ่งนี้ทำให้หานเจวี๋ยเป็นกังวล

จำต้องรู้ไว้ว่า แบบจำลองการทดสอบสามารถตั้งค่าได้เพียงตบะเท่านั้น วิชายุทธ์และวิชาเวทของระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้ากับระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่งก็แตกต่างกันมาก

หากรอให้ต้วนทงเทียนฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้าจริงๆ พลังที่แท้จริงของเขาจะแกร่งยิ่งกว่าในแบบจำลองการทำสอบเสียอีก

นอกจากนี้ ต้วนทงเทียนยังต้องอาศัยเซียวเอ้อร์เพื่อทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ นั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง

‘ต้องรีบทำเวลาทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะนอนหลับอย่างเป็นสุข’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อดูความเคลื่อนไหวของสหาย

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x29

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x48

……

ศิษย์ที่น่าสงสารยังคงถูกโจมตี

ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่เป็นกังวล ถูกโจมตีหลายครั้งเช่นนี้แต่ยังไม่ตาย!

นั่นก็หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณชื่นชอบผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงได้ตัดใจฆ่าไม่ลง

‘หรือลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะไม่ใช่สายมาร?’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ไม่นานจากนั้น เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ศิษย์เอ๋ยอดทนเข้าไว้!

อาจารย์กำลังฝึกอย่างหนัก รออาจารย์กระจ่างทุกสิ่งก่อน ต้องรีบไปช่วยเจ้าแน่!

ภายในหอมืดสลัวแห่งหนึ่ง คนในชุดคลุมกันฝนสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ

พวกเขาต่างสวมหมวกฟางเพื่อปิดบังใบหน้าไว้

หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงขรึม “เหตุใดเย่ซานหลางยังไม่กลับมาอีก”

คนอื่นๆ ก็เริ่มเอ่ยวาจาออกมาตามกัน

“หรือจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”

“เย่ซานหลางเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด นอกจากผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ อีกทั้งยังมีผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแฝงตัวอยู่ภายในนั้น”

“ผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณที่ว่านั่น แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน”

“ไม่แน่ใจ มีเพียงเย่ซานหลางที่รู้ นอกจากเจ้าลัทธิแล้วมีเพียงคนเดียวที่จะติดต่อกับผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณทุกคน”

“เจ้าลัทธิระวังเกินไป ตามความเห็นข้า มิสู้เหยียบสำนักยกพิสุทธิ์ให้จมดินไปเลยจะดีกว่า ไหนจะศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์พวกนั้นอีก หากไม่ยอมก็ฆ่าทิ้งไปเสียเถิด!”

ทั้งสี่คนเริ่มเอ่ยวาจาค่อนแคะเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ

ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าลัทธิอย่างแน่นอน อีกอย่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณคนอื่นอยู่อีกนอกจากเจ้าลัทธิ

ปึง!

ประตูพลันถูกถีบให้เปิดออก

บุรุษในอาภรณ์สีทองเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึมสง่างาม บนอาภรณ์สีทองปักด้วยลวดลายเสือดาว สวมมงกฏหยกสีเงินประกายครามราวกับกริชบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว ท่าทางโอหังอวดดี

คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน

“บังอาจ!”

หนึ่งในนั้นชักดาบตรงข้างเอวออกมา เตรียมจะฟันไปที่บุรุษชุดทอง

แววตาของบุรุษชุดทองพลันเย็นเยียบ ความกดดันและความน่ากลัวแผ่ออกมา ทั้งหอสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่คนตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับกาย

หนึ่งในนั้นกัดฟันเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร”

บุรุษชุดทองกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าคือหวงจี๋เฮ่าแห่งสำนักกระบี่วิหคชาด ได้ยินว่าพวกเจ้ามาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ บังเอิญนัก ข้ากำลังอยากประมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพอดี พวกเจ้าจงเอ่ยมา แท้จริงแล้วลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอยู่ที่ใดกันแน่”

หวงจี๋เฮ่า!

คนทั้งสี่ยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของหวงจี๋เฮ่าก็เป็นที่เลื่องลือจริงๆ!

คนในเสื้อคลุมกันฝนผู้หนึ่งพลันกล่าว “หากพวกข้าบอกไปจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากท่านไปประมือสำนักหยกพิสุทธิ์เสียก่อน เช่นนั้นพวกข้าจะยอมบอกตำแหน่งทางเข้าลัทธิแก่ท่าน…”

…………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+