ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด?

หานเจวี๋ยอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พบเจอผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดมานานแล้ว

เขารีบตรวจสอบที่มาทันที

[มู่หรงฉี่: ระดับรวมแก่นปราณขั้นสี่ เทพสงครามวังเทพสวรรค์กลับชาติมาเกิด ฉายานามคือจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ถูกจักพรรดิเซียนเผ่าปีศาจล้อมโจมตี กายเนื้อถูกทำลายเสียหาย วิญญาณตกอยู่ในวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์ ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดก็ทำการฟื้นฟูจิตเทพอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยมีดวงชะตาของจักรพรรดิเทพ แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ยังคงมีคุณสมบัติไม่เป็นสองรองใคร ท่ามกลางความมืดมิด เขาถูกโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดมายังสำนักหยกพิสุทธิ์]

หานเจวี๋ยอึ้งไปทันที

เทพสงครามวังเทพ?

จักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน?

วังเทพคือกลุ่มอำนาจระดับใดกัน

เทียบกับวังสวรรค์แล้วจะเป็นเช่นไร

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าโลกเบื้องบนอาจจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ ไม่ใช่แค่วังสวรรค์ที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว อาจจะมีกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งเป็นอันมาก อีกทั้งความสัมพันธ์ของกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพที่ตกนรกทั้งเป็น

ตอนนี้รู้แล้วว่ามีวังสวรรค์ วังเทพ และพุทธาเทพ

หานเจวี๋ยหวนคิดอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเขาไม่สามารถตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดได้ เกรงว่าคงจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่อันยอดเยี่ยมเหล่านี้

ในนิยาย ตัวเอกจะได้พบกับบุคคลที่เป็นราวกับบุตรแห่งของสวรรค์ในแบบต่างๆ เพียงแต่ตัวเอกเหล่านั้นมองไม่เห็นชาติกำเนิดของบรรดาศัตรูทั้งหลาย

แม้ว่ามู่หรงฉี่จะเป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิด แต่หากชาตินี้ถูกคนโจมตีจนตาย ก็มีผลกระทบไม่มากนัก ต่อให้จะฟื้นคืนสถานะจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ก็จะไม่ไปแก้แค้น

ใครเล่าจะรู้ว่า มู่หรงฉี่กลับชาติมาเกิดไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ก็เหมือนกับสวินฉางอันที่เป็นชาติที่สามสิบเก้า ภายหน้าทะยานขึ้นไปยังภพเบื้องบน คงไม่อาจมาแก้แค้นในทุกๆ ภพชาติได้

หนึ่งโลกมนุษย์ หนึ่งความแค้น

สวินฉางอันโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดการมาของจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน แล้วต่อไปจะดึงดูดผู้ที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งคนอื่นมาอีกหรือไม่

สวินฉางอันเป็นตือโป้ยก่ายเสียที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นพระถังซัมจั๋ง!

หานเจวี๋ยกวาดพลังจิตออกไปค้นหามู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่กับผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเหาะมาทางสำนักหยกพิสุทธิ์ ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าคือกวนโยวกัง

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนไม่ได้สวมชุดของสำนักหยกพิสุทธิ์ คาดว่าเพิ่งรับเข้ามาใหม่

หานเจวี๋ยเพ่งความสนใจไปที่มู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม ดูแล้วอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี คาดว่าคงรับประทานโอสถชะลอวัยเร็วไปหน่อย

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อให้มู่หรงฉี่คิดจะกินโสมวิญญาณบรรพกาล ตบะระดับรวมแก่นปราณก็ไม่อาจทำให้เขาบรรลุผลได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

สวินฉางอันอัปลักษณ์เช่นนี้ ใครจะกินได้ลง

หานเจวี๋ยเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักว่า ทำอย่างไรดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพถึงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

ขณะที่ผ่านเขาเพียรบำเพ็ญเซียนนั้น มู่หรงฉี่พลันเอ่ยปากถาม “เขาลูกนี้ก็เป็นเขาของสำนักหยกพิสุทธิ์ใช่หรือไม่”

คนอื่นก็มองไปรอบๆ เช่นกัน เพราะเขาลูกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ

“อืม นี่ก็คือเขาของผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้มาบุกรุก มิเช่นนั้นจะถูกขับไล่ออกจากสำนักทันที” กวนโยวกังพยักหน้ากล่าว สายตาที่มองไปทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

มู่หรงฉี่ราวกับกำลังใช้ความคิด

‘ที่นี่แหละ สิ่งที่ข้าต้องการตามหาจะต้องอยู่บนเขาลูกนี้แน่’

มู่หรงฉี่คิดอย่างเงียบๆ

ตั้งแต่เกิดมา เขาก็มีลางสังหรณ์ที่เหนือกว่าคนทั่วไป ซึ่งช่วยเขาหาโอกาสอันดีได้เป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้เขาเคยไปสำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายนอก ยามนี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังในต้าเยี่ยน เขาไม่กล้ารุกล้ำ ดังนั้นจึงหาสถานที่ที่รับผู้บำเพ็ญอิสระเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์ เพื่อสมัครเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์

“ผู้อาวุโสสังหารเทพรับศิษย์หรือไม่” มู่หรงฉี่เอ่ยถาม

กวนโยวกังกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “รับน่ะรับอยู่ แต่ไม่อาจรบกวนผู้อาวุโสสังหารเทพได้ ก่อนหน้านี้มีพระรูปหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนเขาเป็นเวลาห้าปี ถึงจะกราบตัวเป็นศิษย์ได้สำเร็จ”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา เหล่าผู้ฝึกฝนอิสระก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้

คุกเข่าห้าปี?

จิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!

พอมู่หรงฉี่ได้ยินก็จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

กลุ่มคนพากันเหาะอ้อมเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไปยังยอดเขาหลัก

ใต้ต้นฝูซัง

จู่ๆ สวินฉางอันก็ลืมตาขึ้นมา เขาลูบอกตนเองเบาๆ ลอบเกิดความสงสัยขึ้นมา

“เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง…”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่าเขาจะมีมารในใจ?

สวินฉางอันอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาตรวจสอบวิชายุทธ์ของตนเองอีกครั้ง เพื่อดูว่าฝึกฝนผิดตรงไหนไปหรือไม่

……

สองเดือนต่อมา

ท้องนภาเต็มไปด้วยแสงสีม่วงอีกครั้ง ทำให้คนทั่วหล้ารู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

อีกแล้วรึ

ไม่ผิด!

หานเจวี๋ยอาศัยความเข้าใจมรรคกระบี่ขั้นสูงสุดเข้าไปในแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง ฟ้าดินพลันเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นหลังจากนั้น

แม้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพจะเป็นวิชาดรรชนี แต่รากฐานของมันเป็นวิชากระบี่ ซึ่งคล้ายกับดรรชนีกระบี่เทพเป็นอย่างมาก ใช้ดรรชนีเป็นกระบี่ยิงปราณกระบี่ออกไป

ได้มายังแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง เมื่อมองเห็นเงาร่างแต่ละสายที่ตนเองแซงผ่านไป หานเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ครั้งนี้คงไม่พบกับผู้ลึกลับท่านนั้นหรอกนะ

ตอนนี้หานเจวี๋ยควบคุมพลังจิตของตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

แม่น้ำมรรคกระบี่แวววับจับตา ท่ามกลางความเลือนราง หานเจวี๋ยมองเห็นภาพความทรงจำของผู้ฝึกสายกระบี่จำนวนหนึ่ง แต่มันแค่แวบผ่านไปเท่านั้น ซึ่งทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน

ผ่านไปครู่หนึ่ง

เงาร่างสายหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าพลันหยุดชะงักลง

หัวใจของหานเจวี๋ยหล่นวูบ

เจ้านี่มาอีกแล้ว!

เจ้าหมอนี่ไม่ฝึกฝนหรือ เฝ้าอยู่ในแม่น้ำมรรคกระบี่ตลอดเลยหรืออย่างไร

เงาร่างนั้นเต็มไปด้วยแสงกระบี่ ยากที่จะแยกแยะใบหน้าที่แท้จริงได้ เขาหันมามองหานเจวี๋ยแล้วกล่าว “เจ้าอีกแล้ว!”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “ที่นี่คือระดับไท่อี่แล้วหรือ ข้าไม่ได้คิดที่จะล่วงเกิน เพียงแต่ข้าเองหยุดมันไม่ได้ ท่านช่วยข้าหยุดหน่อยเถิด อย่าทำร้ายข้าก็พอ”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

พลังไร้ลักษณ์บางอย่างทำให้หานเจวี๋ยไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้

หานเจวี๋ยรอคอยด้วยความกังวล

“แปลกจริง เจ้าไม่มีตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจ เหตุใดถึงมีความเข้าใจมรรคกระบี่เช่นนี้” ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

หานเจวี๋ยกล่าว “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้น บางทีข้าอาจจะกลายเป็นตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจของคนอื่นในภายหน้า”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับไม่ได้ต่อคำพูดของเขา

หลังจากผ่านไปสามอึดใจ

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับโบกมือกล่าว “ระดับไท่อี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอาจเอื้อมถึงได้ ระวังจะถูกโจมตีกลับ เจ้ากลับไปเสียเถิด”

เกิดเสียงดังตู้ม!

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยรู้สึกราวกับฟ้าหมุนเคว้งคว้าง

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาในถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว

หานเจวี๋ยลูบคางน้อยๆ เหตุใดถึงพบเจอกับเจ้านั่นตลอด วันวันหนึ่งไม่ทำงานทำการเลยหรือ

หานเจวี๋ยเริ่มเปิดแบบจำลองการทดสอบ เขาปรับตบะของเซียวเหยาให้สูงถึงระดับรวมกายาขั้นสาม

อาศัยดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพที่แข็งแกร่ง หานเจวี๋ยสามารถสังหารเซียวเหยาได้ภายในหนึ่งวินาที

น่าเสียดาย

เซียวเหยายังคงอ่อนแอไปหน่อย จู่ๆ หานเจวี๋ยก็คาดหวังให้มีผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาขั้นเก้าแฝงตัวเข้ามาในสำนักหยกพิสุทธิ์ เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าก็หายไป

แต่ว่าแดนบำเพ็ญพรตและราชสำนักทั่วหล้าต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไม่หยุด

ในแดนบำเพ็ญพรต แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังในรุ่นก่อนก็ออกมาพูดเรื่องนี้ว่า ยุคเจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่งกำลังจะมาถึง!

ปรากฏการณ์ฟ้าดินแปลกประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว!

บรรดาผู้บำเพ็ญต่างก็ให้ความเห็นว่า ทั้งสามครั้งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคนคนเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยคนเดียวได้เปิดฉากยุคที่เจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ และกลุ่มบุคคลที่ปรีชาสามารถ!

เพียงไม่นานหานเจวี๋ยก็เข้าสู่การฝึกฝน

หนึ่งปีต่อมา

มีคนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาเพียรบำเพ็ญเซียน และคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะคุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายศิลา

เขาก็คือมู่หรงฉี่ที่เป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิดนั่นเอง

อยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์มาหนึ่งปี มู่หรงฉี่ก็ยังหาวิธีขึ้นเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาเพียรบำเพ็ญเซียน จิตใจของเขาก็เต้นรัว ทำให้เขามีความรู้สึกอยากขึ้นเขาอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีที่กวนโยวกังเคยพูดถึงมากราบตัวเป็นศิษย์

เข้าไปในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

มู่หรงฉี่คุกเข่าตรงหน้าแผ่นศิลา เริ่มคำนับกับพื้น

หานเจวี๋ยจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน กลับไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

เป็นสวินฉางอันที่กลับสังเกตเห็น อย่างไรเสียมู่หรงฉี่ก็เลียนแบบเขา

รอจนมู่หรงฉี่คุกเข่าไปหนึ่งเดือน สวินฉางอันจึงลงเขามา ยืนดูมู่หรงฉี่อยู่ในค่ายกลด้วยรอยยิ้ม

‘คนผู้นี้หน้าตาไม่เลว’ สวินฉางอันคิดอย่างเงียบๆ

ขณะที่มู่หรงฉี่คำนับอยู่นั้น เขาก็สังเกตถึงการมาของสวินฉางอัน

เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ลอบเอ่ยว่า “คนผู้นี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก”

ความอัปลักษณ์ของสวินฉางอันทำให้มู่หรงฉี่รู้สึกคลื่นเหียนเล็กน้อย แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

ทั้งสองความรู้สึกสลับกันไปมาในใจมู่หรงฉี่ ปะทะกันจนกลายเป็นดอกไม้ไฟแปลกประหลาด

หรือคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ?

มิใช่ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพมีรูปโฉมงดงามหรอกหรือ

เขานำพาโอกาสอันยิ่งใหญ่มาให้ข้าได้หรือ

มู่หรงฉี่เก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ กัดฟันเอ่ย “ขอผู้อาวุโสรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด?

หานเจวี๋ยอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พบเจอผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดมานานแล้ว

เขารีบตรวจสอบที่มาทันที

[มู่หรงฉี่: ระดับรวมแก่นปราณขั้นสี่ เทพสงครามวังเทพสวรรค์กลับชาติมาเกิด ฉายานามคือจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ถูกจักพรรดิเซียนเผ่าปีศาจล้อมโจมตี กายเนื้อถูกทำลายเสียหาย วิญญาณตกอยู่ในวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์ ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดก็ทำการฟื้นฟูจิตเทพอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยมีดวงชะตาของจักรพรรดิเทพ แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ยังคงมีคุณสมบัติไม่เป็นสองรองใคร ท่ามกลางความมืดมิด เขาถูกโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดมายังสำนักหยกพิสุทธิ์]

หานเจวี๋ยอึ้งไปทันที

เทพสงครามวังเทพ?

จักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน?

วังเทพคือกลุ่มอำนาจระดับใดกัน

เทียบกับวังสวรรค์แล้วจะเป็นเช่นไร

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าโลกเบื้องบนอาจจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ ไม่ใช่แค่วังสวรรค์ที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว อาจจะมีกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งเป็นอันมาก อีกทั้งความสัมพันธ์ของกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพที่ตกนรกทั้งเป็น

ตอนนี้รู้แล้วว่ามีวังสวรรค์ วังเทพ และพุทธาเทพ

หานเจวี๋ยหวนคิดอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเขาไม่สามารถตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดได้ เกรงว่าคงจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่อันยอดเยี่ยมเหล่านี้

ในนิยาย ตัวเอกจะได้พบกับบุคคลที่เป็นราวกับบุตรแห่งของสวรรค์ในแบบต่างๆ เพียงแต่ตัวเอกเหล่านั้นมองไม่เห็นชาติกำเนิดของบรรดาศัตรูทั้งหลาย

แม้ว่ามู่หรงฉี่จะเป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิด แต่หากชาตินี้ถูกคนโจมตีจนตาย ก็มีผลกระทบไม่มากนัก ต่อให้จะฟื้นคืนสถานะจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ก็จะไม่ไปแก้แค้น

ใครเล่าจะรู้ว่า มู่หรงฉี่กลับชาติมาเกิดไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ก็เหมือนกับสวินฉางอันที่เป็นชาติที่สามสิบเก้า ภายหน้าทะยานขึ้นไปยังภพเบื้องบน คงไม่อาจมาแก้แค้นในทุกๆ ภพชาติได้

หนึ่งโลกมนุษย์ หนึ่งความแค้น

สวินฉางอันโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดการมาของจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน แล้วต่อไปจะดึงดูดผู้ที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งคนอื่นมาอีกหรือไม่

สวินฉางอันเป็นตือโป้ยก่ายเสียที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นพระถังซัมจั๋ง!

หานเจวี๋ยกวาดพลังจิตออกไปค้นหามู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่กับผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเหาะมาทางสำนักหยกพิสุทธิ์ ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าคือกวนโยวกัง

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนไม่ได้สวมชุดของสำนักหยกพิสุทธิ์ คาดว่าเพิ่งรับเข้ามาใหม่

หานเจวี๋ยเพ่งความสนใจไปที่มู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม ดูแล้วอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี คาดว่าคงรับประทานโอสถชะลอวัยเร็วไปหน่อย

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อให้มู่หรงฉี่คิดจะกินโสมวิญญาณบรรพกาล ตบะระดับรวมแก่นปราณก็ไม่อาจทำให้เขาบรรลุผลได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

สวินฉางอันอัปลักษณ์เช่นนี้ ใครจะกินได้ลง

หานเจวี๋ยเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักว่า ทำอย่างไรดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพถึงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

ขณะที่ผ่านเขาเพียรบำเพ็ญเซียนนั้น มู่หรงฉี่พลันเอ่ยปากถาม “เขาลูกนี้ก็เป็นเขาของสำนักหยกพิสุทธิ์ใช่หรือไม่”

คนอื่นก็มองไปรอบๆ เช่นกัน เพราะเขาลูกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ

“อืม นี่ก็คือเขาของผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้มาบุกรุก มิเช่นนั้นจะถูกขับไล่ออกจากสำนักทันที” กวนโยวกังพยักหน้ากล่าว สายตาที่มองไปทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

มู่หรงฉี่ราวกับกำลังใช้ความคิด

‘ที่นี่แหละ สิ่งที่ข้าต้องการตามหาจะต้องอยู่บนเขาลูกนี้แน่’

มู่หรงฉี่คิดอย่างเงียบๆ

ตั้งแต่เกิดมา เขาก็มีลางสังหรณ์ที่เหนือกว่าคนทั่วไป ซึ่งช่วยเขาหาโอกาสอันดีได้เป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้เขาเคยไปสำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายนอก ยามนี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังในต้าเยี่ยน เขาไม่กล้ารุกล้ำ ดังนั้นจึงหาสถานที่ที่รับผู้บำเพ็ญอิสระเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์ เพื่อสมัครเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์

“ผู้อาวุโสสังหารเทพรับศิษย์หรือไม่” มู่หรงฉี่เอ่ยถาม

กวนโยวกังกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “รับน่ะรับอยู่ แต่ไม่อาจรบกวนผู้อาวุโสสังหารเทพได้ ก่อนหน้านี้มีพระรูปหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนเขาเป็นเวลาห้าปี ถึงจะกราบตัวเป็นศิษย์ได้สำเร็จ”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา เหล่าผู้ฝึกฝนอิสระก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้

คุกเข่าห้าปี?

จิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!

พอมู่หรงฉี่ได้ยินก็จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

กลุ่มคนพากันเหาะอ้อมเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไปยังยอดเขาหลัก

ใต้ต้นฝูซัง

จู่ๆ สวินฉางอันก็ลืมตาขึ้นมา เขาลูบอกตนเองเบาๆ ลอบเกิดความสงสัยขึ้นมา

“เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง…”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่าเขาจะมีมารในใจ?

สวินฉางอันอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาตรวจสอบวิชายุทธ์ของตนเองอีกครั้ง เพื่อดูว่าฝึกฝนผิดตรงไหนไปหรือไม่

……

สองเดือนต่อมา

ท้องนภาเต็มไปด้วยแสงสีม่วงอีกครั้ง ทำให้คนทั่วหล้ารู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

อีกแล้วรึ

ไม่ผิด!

หานเจวี๋ยอาศัยความเข้าใจมรรคกระบี่ขั้นสูงสุดเข้าไปในแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง ฟ้าดินพลันเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นหลังจากนั้น

แม้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพจะเป็นวิชาดรรชนี แต่รากฐานของมันเป็นวิชากระบี่ ซึ่งคล้ายกับดรรชนีกระบี่เทพเป็นอย่างมาก ใช้ดรรชนีเป็นกระบี่ยิงปราณกระบี่ออกไป

ได้มายังแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง เมื่อมองเห็นเงาร่างแต่ละสายที่ตนเองแซงผ่านไป หานเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ครั้งนี้คงไม่พบกับผู้ลึกลับท่านนั้นหรอกนะ

ตอนนี้หานเจวี๋ยควบคุมพลังจิตของตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

แม่น้ำมรรคกระบี่แวววับจับตา ท่ามกลางความเลือนราง หานเจวี๋ยมองเห็นภาพความทรงจำของผู้ฝึกสายกระบี่จำนวนหนึ่ง แต่มันแค่แวบผ่านไปเท่านั้น ซึ่งทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน

ผ่านไปครู่หนึ่ง

เงาร่างสายหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าพลันหยุดชะงักลง

หัวใจของหานเจวี๋ยหล่นวูบ

เจ้านี่มาอีกแล้ว!

เจ้าหมอนี่ไม่ฝึกฝนหรือ เฝ้าอยู่ในแม่น้ำมรรคกระบี่ตลอดเลยหรืออย่างไร

เงาร่างนั้นเต็มไปด้วยแสงกระบี่ ยากที่จะแยกแยะใบหน้าที่แท้จริงได้ เขาหันมามองหานเจวี๋ยแล้วกล่าว “เจ้าอีกแล้ว!”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “ที่นี่คือระดับไท่อี่แล้วหรือ ข้าไม่ได้คิดที่จะล่วงเกิน เพียงแต่ข้าเองหยุดมันไม่ได้ ท่านช่วยข้าหยุดหน่อยเถิด อย่าทำร้ายข้าก็พอ”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

พลังไร้ลักษณ์บางอย่างทำให้หานเจวี๋ยไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้

หานเจวี๋ยรอคอยด้วยความกังวล

“แปลกจริง เจ้าไม่มีตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจ เหตุใดถึงมีความเข้าใจมรรคกระบี่เช่นนี้” ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

หานเจวี๋ยกล่าว “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้น บางทีข้าอาจจะกลายเป็นตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจของคนอื่นในภายหน้า”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับไม่ได้ต่อคำพูดของเขา

หลังจากผ่านไปสามอึดใจ

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับโบกมือกล่าว “ระดับไท่อี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอาจเอื้อมถึงได้ ระวังจะถูกโจมตีกลับ เจ้ากลับไปเสียเถิด”

เกิดเสียงดังตู้ม!

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยรู้สึกราวกับฟ้าหมุนเคว้งคว้าง

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาในถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว

หานเจวี๋ยลูบคางน้อยๆ เหตุใดถึงพบเจอกับเจ้านั่นตลอด วันวันหนึ่งไม่ทำงานทำการเลยหรือ

หานเจวี๋ยเริ่มเปิดแบบจำลองการทดสอบ เขาปรับตบะของเซียวเหยาให้สูงถึงระดับรวมกายาขั้นสาม

อาศัยดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพที่แข็งแกร่ง หานเจวี๋ยสามารถสังหารเซียวเหยาได้ภายในหนึ่งวินาที

น่าเสียดาย

เซียวเหยายังคงอ่อนแอไปหน่อย จู่ๆ หานเจวี๋ยก็คาดหวังให้มีผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาขั้นเก้าแฝงตัวเข้ามาในสำนักหยกพิสุทธิ์ เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าก็หายไป

แต่ว่าแดนบำเพ็ญพรตและราชสำนักทั่วหล้าต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไม่หยุด

ในแดนบำเพ็ญพรต แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังในรุ่นก่อนก็ออกมาพูดเรื่องนี้ว่า ยุคเจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่งกำลังจะมาถึง!

ปรากฏการณ์ฟ้าดินแปลกประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว!

บรรดาผู้บำเพ็ญต่างก็ให้ความเห็นว่า ทั้งสามครั้งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคนคนเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยคนเดียวได้เปิดฉากยุคที่เจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ และกลุ่มบุคคลที่ปรีชาสามารถ!

เพียงไม่นานหานเจวี๋ยก็เข้าสู่การฝึกฝน

หนึ่งปีต่อมา

มีคนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาเพียรบำเพ็ญเซียน และคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะคุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายศิลา

เขาก็คือมู่หรงฉี่ที่เป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิดนั่นเอง

อยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์มาหนึ่งปี มู่หรงฉี่ก็ยังหาวิธีขึ้นเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาเพียรบำเพ็ญเซียน จิตใจของเขาก็เต้นรัว ทำให้เขามีความรู้สึกอยากขึ้นเขาอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีที่กวนโยวกังเคยพูดถึงมากราบตัวเป็นศิษย์

เข้าไปในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

มู่หรงฉี่คุกเข่าตรงหน้าแผ่นศิลา เริ่มคำนับกับพื้น

หานเจวี๋ยจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน กลับไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

เป็นสวินฉางอันที่กลับสังเกตเห็น อย่างไรเสียมู่หรงฉี่ก็เลียนแบบเขา

รอจนมู่หรงฉี่คุกเข่าไปหนึ่งเดือน สวินฉางอันจึงลงเขามา ยืนดูมู่หรงฉี่อยู่ในค่ายกลด้วยรอยยิ้ม

‘คนผู้นี้หน้าตาไม่เลว’ สวินฉางอันคิดอย่างเงียบๆ

ขณะที่มู่หรงฉี่คำนับอยู่นั้น เขาก็สังเกตถึงการมาของสวินฉางอัน

เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ลอบเอ่ยว่า “คนผู้นี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก”

ความอัปลักษณ์ของสวินฉางอันทำให้มู่หรงฉี่รู้สึกคลื่นเหียนเล็กน้อย แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

ทั้งสองความรู้สึกสลับกันไปมาในใจมู่หรงฉี่ ปะทะกันจนกลายเป็นดอกไม้ไฟแปลกประหลาด

หรือคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ?

มิใช่ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพมีรูปโฉมงดงามหรอกหรือ

เขานำพาโอกาสอันยิ่งใหญ่มาให้ข้าได้หรือ

มู่หรงฉี่เก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ กัดฟันเอ่ย “ขอผู้อาวุโสรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด?

หานเจวี๋ยอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พบเจอผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดมานานแล้ว

เขารีบตรวจสอบที่มาทันที

[มู่หรงฉี่: ระดับรวมแก่นปราณขั้นสี่ เทพสงครามวังเทพสวรรค์กลับชาติมาเกิด ฉายานามคือจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ถูกจักพรรดิเซียนเผ่าปีศาจล้อมโจมตี กายเนื้อถูกทำลายเสียหาย วิญญาณตกอยู่ในวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์ ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดก็ทำการฟื้นฟูจิตเทพอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยมีดวงชะตาของจักรพรรดิเทพ แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ยังคงมีคุณสมบัติไม่เป็นสองรองใคร ท่ามกลางความมืดมิด เขาถูกโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดมายังสำนักหยกพิสุทธิ์]

หานเจวี๋ยอึ้งไปทันที

เทพสงครามวังเทพ?

จักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน?

วังเทพคือกลุ่มอำนาจระดับใดกัน

เทียบกับวังสวรรค์แล้วจะเป็นเช่นไร

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าโลกเบื้องบนอาจจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ ไม่ใช่แค่วังสวรรค์ที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว อาจจะมีกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งเป็นอันมาก อีกทั้งความสัมพันธ์ของกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพที่ตกนรกทั้งเป็น

ตอนนี้รู้แล้วว่ามีวังสวรรค์ วังเทพ และพุทธาเทพ

หานเจวี๋ยหวนคิดอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเขาไม่สามารถตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดได้ เกรงว่าคงจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่อันยอดเยี่ยมเหล่านี้

ในนิยาย ตัวเอกจะได้พบกับบุคคลที่เป็นราวกับบุตรแห่งของสวรรค์ในแบบต่างๆ เพียงแต่ตัวเอกเหล่านั้นมองไม่เห็นชาติกำเนิดของบรรดาศัตรูทั้งหลาย

แม้ว่ามู่หรงฉี่จะเป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิด แต่หากชาตินี้ถูกคนโจมตีจนตาย ก็มีผลกระทบไม่มากนัก ต่อให้จะฟื้นคืนสถานะจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ก็จะไม่ไปแก้แค้น

ใครเล่าจะรู้ว่า มู่หรงฉี่กลับชาติมาเกิดไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ก็เหมือนกับสวินฉางอันที่เป็นชาติที่สามสิบเก้า ภายหน้าทะยานขึ้นไปยังภพเบื้องบน คงไม่อาจมาแก้แค้นในทุกๆ ภพชาติได้

หนึ่งโลกมนุษย์ หนึ่งความแค้น

สวินฉางอันโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดการมาของจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน แล้วต่อไปจะดึงดูดผู้ที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งคนอื่นมาอีกหรือไม่

สวินฉางอันเป็นตือโป้ยก่ายเสียที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นพระถังซัมจั๋ง!

หานเจวี๋ยกวาดพลังจิตออกไปค้นหามู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่กับผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเหาะมาทางสำนักหยกพิสุทธิ์ ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าคือกวนโยวกัง

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนไม่ได้สวมชุดของสำนักหยกพิสุทธิ์ คาดว่าเพิ่งรับเข้ามาใหม่

หานเจวี๋ยเพ่งความสนใจไปที่มู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม ดูแล้วอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี คาดว่าคงรับประทานโอสถชะลอวัยเร็วไปหน่อย

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อให้มู่หรงฉี่คิดจะกินโสมวิญญาณบรรพกาล ตบะระดับรวมแก่นปราณก็ไม่อาจทำให้เขาบรรลุผลได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

สวินฉางอันอัปลักษณ์เช่นนี้ ใครจะกินได้ลง

หานเจวี๋ยเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักว่า ทำอย่างไรดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพถึงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

ขณะที่ผ่านเขาเพียรบำเพ็ญเซียนนั้น มู่หรงฉี่พลันเอ่ยปากถาม “เขาลูกนี้ก็เป็นเขาของสำนักหยกพิสุทธิ์ใช่หรือไม่”

คนอื่นก็มองไปรอบๆ เช่นกัน เพราะเขาลูกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ

“อืม นี่ก็คือเขาของผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้มาบุกรุก มิเช่นนั้นจะถูกขับไล่ออกจากสำนักทันที” กวนโยวกังพยักหน้ากล่าว สายตาที่มองไปทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

มู่หรงฉี่ราวกับกำลังใช้ความคิด

‘ที่นี่แหละ สิ่งที่ข้าต้องการตามหาจะต้องอยู่บนเขาลูกนี้แน่’

มู่หรงฉี่คิดอย่างเงียบๆ

ตั้งแต่เกิดมา เขาก็มีลางสังหรณ์ที่เหนือกว่าคนทั่วไป ซึ่งช่วยเขาหาโอกาสอันดีได้เป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้เขาเคยไปสำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายนอก ยามนี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังในต้าเยี่ยน เขาไม่กล้ารุกล้ำ ดังนั้นจึงหาสถานที่ที่รับผู้บำเพ็ญอิสระเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์ เพื่อสมัครเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์

“ผู้อาวุโสสังหารเทพรับศิษย์หรือไม่” มู่หรงฉี่เอ่ยถาม

กวนโยวกังกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “รับน่ะรับอยู่ แต่ไม่อาจรบกวนผู้อาวุโสสังหารเทพได้ ก่อนหน้านี้มีพระรูปหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนเขาเป็นเวลาห้าปี ถึงจะกราบตัวเป็นศิษย์ได้สำเร็จ”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา เหล่าผู้ฝึกฝนอิสระก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้

คุกเข่าห้าปี?

จิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!

พอมู่หรงฉี่ได้ยินก็จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

กลุ่มคนพากันเหาะอ้อมเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไปยังยอดเขาหลัก

ใต้ต้นฝูซัง

จู่ๆ สวินฉางอันก็ลืมตาขึ้นมา เขาลูบอกตนเองเบาๆ ลอบเกิดความสงสัยขึ้นมา

“เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง…”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่าเขาจะมีมารในใจ?

สวินฉางอันอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาตรวจสอบวิชายุทธ์ของตนเองอีกครั้ง เพื่อดูว่าฝึกฝนผิดตรงไหนไปหรือไม่

……

สองเดือนต่อมา

ท้องนภาเต็มไปด้วยแสงสีม่วงอีกครั้ง ทำให้คนทั่วหล้ารู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

อีกแล้วรึ

ไม่ผิด!

หานเจวี๋ยอาศัยความเข้าใจมรรคกระบี่ขั้นสูงสุดเข้าไปในแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง ฟ้าดินพลันเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นหลังจากนั้น

แม้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพจะเป็นวิชาดรรชนี แต่รากฐานของมันเป็นวิชากระบี่ ซึ่งคล้ายกับดรรชนีกระบี่เทพเป็นอย่างมาก ใช้ดรรชนีเป็นกระบี่ยิงปราณกระบี่ออกไป

ได้มายังแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง เมื่อมองเห็นเงาร่างแต่ละสายที่ตนเองแซงผ่านไป หานเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ครั้งนี้คงไม่พบกับผู้ลึกลับท่านนั้นหรอกนะ

ตอนนี้หานเจวี๋ยควบคุมพลังจิตของตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

แม่น้ำมรรคกระบี่แวววับจับตา ท่ามกลางความเลือนราง หานเจวี๋ยมองเห็นภาพความทรงจำของผู้ฝึกสายกระบี่จำนวนหนึ่ง แต่มันแค่แวบผ่านไปเท่านั้น ซึ่งทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน

ผ่านไปครู่หนึ่ง

เงาร่างสายหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าพลันหยุดชะงักลง

หัวใจของหานเจวี๋ยหล่นวูบ

เจ้านี่มาอีกแล้ว!

เจ้าหมอนี่ไม่ฝึกฝนหรือ เฝ้าอยู่ในแม่น้ำมรรคกระบี่ตลอดเลยหรืออย่างไร

เงาร่างนั้นเต็มไปด้วยแสงกระบี่ ยากที่จะแยกแยะใบหน้าที่แท้จริงได้ เขาหันมามองหานเจวี๋ยแล้วกล่าว “เจ้าอีกแล้ว!”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “ที่นี่คือระดับไท่อี่แล้วหรือ ข้าไม่ได้คิดที่จะล่วงเกิน เพียงแต่ข้าเองหยุดมันไม่ได้ ท่านช่วยข้าหยุดหน่อยเถิด อย่าทำร้ายข้าก็พอ”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

พลังไร้ลักษณ์บางอย่างทำให้หานเจวี๋ยไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้

หานเจวี๋ยรอคอยด้วยความกังวล

“แปลกจริง เจ้าไม่มีตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจ เหตุใดถึงมีความเข้าใจมรรคกระบี่เช่นนี้” ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

หานเจวี๋ยกล่าว “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้น บางทีข้าอาจจะกลายเป็นตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจของคนอื่นในภายหน้า”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับไม่ได้ต่อคำพูดของเขา

หลังจากผ่านไปสามอึดใจ

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับโบกมือกล่าว “ระดับไท่อี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอาจเอื้อมถึงได้ ระวังจะถูกโจมตีกลับ เจ้ากลับไปเสียเถิด”

เกิดเสียงดังตู้ม!

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยรู้สึกราวกับฟ้าหมุนเคว้งคว้าง

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาในถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว

หานเจวี๋ยลูบคางน้อยๆ เหตุใดถึงพบเจอกับเจ้านั่นตลอด วันวันหนึ่งไม่ทำงานทำการเลยหรือ

หานเจวี๋ยเริ่มเปิดแบบจำลองการทดสอบ เขาปรับตบะของเซียวเหยาให้สูงถึงระดับรวมกายาขั้นสาม

อาศัยดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพที่แข็งแกร่ง หานเจวี๋ยสามารถสังหารเซียวเหยาได้ภายในหนึ่งวินาที

น่าเสียดาย

เซียวเหยายังคงอ่อนแอไปหน่อย จู่ๆ หานเจวี๋ยก็คาดหวังให้มีผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาขั้นเก้าแฝงตัวเข้ามาในสำนักหยกพิสุทธิ์ เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าก็หายไป

แต่ว่าแดนบำเพ็ญพรตและราชสำนักทั่วหล้าต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไม่หยุด

ในแดนบำเพ็ญพรต แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังในรุ่นก่อนก็ออกมาพูดเรื่องนี้ว่า ยุคเจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่งกำลังจะมาถึง!

ปรากฏการณ์ฟ้าดินแปลกประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว!

บรรดาผู้บำเพ็ญต่างก็ให้ความเห็นว่า ทั้งสามครั้งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคนคนเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยคนเดียวได้เปิดฉากยุคที่เจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ และกลุ่มบุคคลที่ปรีชาสามารถ!

เพียงไม่นานหานเจวี๋ยก็เข้าสู่การฝึกฝน

หนึ่งปีต่อมา

มีคนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาเพียรบำเพ็ญเซียน และคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะคุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายศิลา

เขาก็คือมู่หรงฉี่ที่เป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิดนั่นเอง

อยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์มาหนึ่งปี มู่หรงฉี่ก็ยังหาวิธีขึ้นเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาเพียรบำเพ็ญเซียน จิตใจของเขาก็เต้นรัว ทำให้เขามีความรู้สึกอยากขึ้นเขาอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีที่กวนโยวกังเคยพูดถึงมากราบตัวเป็นศิษย์

เข้าไปในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

มู่หรงฉี่คุกเข่าตรงหน้าแผ่นศิลา เริ่มคำนับกับพื้น

หานเจวี๋ยจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน กลับไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

เป็นสวินฉางอันที่กลับสังเกตเห็น อย่างไรเสียมู่หรงฉี่ก็เลียนแบบเขา

รอจนมู่หรงฉี่คุกเข่าไปหนึ่งเดือน สวินฉางอันจึงลงเขามา ยืนดูมู่หรงฉี่อยู่ในค่ายกลด้วยรอยยิ้ม

‘คนผู้นี้หน้าตาไม่เลว’ สวินฉางอันคิดอย่างเงียบๆ

ขณะที่มู่หรงฉี่คำนับอยู่นั้น เขาก็สังเกตถึงการมาของสวินฉางอัน

เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ลอบเอ่ยว่า “คนผู้นี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก”

ความอัปลักษณ์ของสวินฉางอันทำให้มู่หรงฉี่รู้สึกคลื่นเหียนเล็กน้อย แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

ทั้งสองความรู้สึกสลับกันไปมาในใจมู่หรงฉี่ ปะทะกันจนกลายเป็นดอกไม้ไฟแปลกประหลาด

หรือคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ?

มิใช่ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพมีรูปโฉมงดงามหรอกหรือ

เขานำพาโอกาสอันยิ่งใหญ่มาให้ข้าได้หรือ

มู่หรงฉี่เก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ กัดฟันเอ่ย “ขอผู้อาวุโสรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 90 จักพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ยุคเจริญของคนคนหนึ่ง
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด?

หานเจวี๋ยอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พบเจอผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดมานานแล้ว

เขารีบตรวจสอบที่มาทันที

[มู่หรงฉี่: ระดับรวมแก่นปราณขั้นสี่ เทพสงครามวังเทพสวรรค์กลับชาติมาเกิด ฉายานามคือจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ถูกจักพรรดิเซียนเผ่าปีศาจล้อมโจมตี กายเนื้อถูกทำลายเสียหาย วิญญาณตกอยู่ในวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์ ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดก็ทำการฟื้นฟูจิตเทพอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยมีดวงชะตาของจักรพรรดิเทพ แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ยังคงมีคุณสมบัติไม่เป็นสองรองใคร ท่ามกลางความมืดมิด เขาถูกโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดมายังสำนักหยกพิสุทธิ์]

หานเจวี๋ยอึ้งไปทันที

เทพสงครามวังเทพ?

จักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน?

วังเทพคือกลุ่มอำนาจระดับใดกัน

เทียบกับวังสวรรค์แล้วจะเป็นเช่นไร

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าโลกเบื้องบนอาจจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ ไม่ใช่แค่วังสวรรค์ที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว อาจจะมีกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งเป็นอันมาก อีกทั้งความสัมพันธ์ของกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพที่ตกนรกทั้งเป็น

ตอนนี้รู้แล้วว่ามีวังสวรรค์ วังเทพ และพุทธาเทพ

หานเจวี๋ยหวนคิดอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเขาไม่สามารถตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดได้ เกรงว่าคงจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่อันยอดเยี่ยมเหล่านี้

ในนิยาย ตัวเอกจะได้พบกับบุคคลที่เป็นราวกับบุตรแห่งของสวรรค์ในแบบต่างๆ เพียงแต่ตัวเอกเหล่านั้นมองไม่เห็นชาติกำเนิดของบรรดาศัตรูทั้งหลาย

แม้ว่ามู่หรงฉี่จะเป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิด แต่หากชาตินี้ถูกคนโจมตีจนตาย ก็มีผลกระทบไม่มากนัก ต่อให้จะฟื้นคืนสถานะจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน ก็จะไม่ไปแก้แค้น

ใครเล่าจะรู้ว่า มู่หรงฉี่กลับชาติมาเกิดไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ก็เหมือนกับสวินฉางอันที่เป็นชาติที่สามสิบเก้า ภายหน้าทะยานขึ้นไปยังภพเบื้องบน คงไม่อาจมาแก้แค้นในทุกๆ ภพชาติได้

หนึ่งโลกมนุษย์ หนึ่งความแค้น

สวินฉางอันโสมวิญญาณบรรพกาลดึงดูดการมาของจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน แล้วต่อไปจะดึงดูดผู้ที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งคนอื่นมาอีกหรือไม่

สวินฉางอันเป็นตือโป้ยก่ายเสียที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นพระถังซัมจั๋ง!

หานเจวี๋ยกวาดพลังจิตออกไปค้นหามู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่กับผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเหาะมาทางสำนักหยกพิสุทธิ์ ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าคือกวนโยวกัง

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนไม่ได้สวมชุดของสำนักหยกพิสุทธิ์ คาดว่าเพิ่งรับเข้ามาใหม่

หานเจวี๋ยเพ่งความสนใจไปที่มู่หรงฉี่

มู่หรงฉี่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม ดูแล้วอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี คาดว่าคงรับประทานโอสถชะลอวัยเร็วไปหน่อย

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อให้มู่หรงฉี่คิดจะกินโสมวิญญาณบรรพกาล ตบะระดับรวมแก่นปราณก็ไม่อาจทำให้เขาบรรลุผลได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

สวินฉางอันอัปลักษณ์เช่นนี้ ใครจะกินได้ลง

หานเจวี๋ยเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักว่า ทำอย่างไรดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพถึงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

ขณะที่ผ่านเขาเพียรบำเพ็ญเซียนนั้น มู่หรงฉี่พลันเอ่ยปากถาม “เขาลูกนี้ก็เป็นเขาของสำนักหยกพิสุทธิ์ใช่หรือไม่”

คนอื่นก็มองไปรอบๆ เช่นกัน เพราะเขาลูกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ

“อืม นี่ก็คือเขาของผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้มาบุกรุก มิเช่นนั้นจะถูกขับไล่ออกจากสำนักทันที” กวนโยวกังพยักหน้ากล่าว สายตาที่มองไปทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

มู่หรงฉี่ราวกับกำลังใช้ความคิด

‘ที่นี่แหละ สิ่งที่ข้าต้องการตามหาจะต้องอยู่บนเขาลูกนี้แน่’

มู่หรงฉี่คิดอย่างเงียบๆ

ตั้งแต่เกิดมา เขาก็มีลางสังหรณ์ที่เหนือกว่าคนทั่วไป ซึ่งช่วยเขาหาโอกาสอันดีได้เป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้เขาเคยไปสำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายนอก ยามนี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังในต้าเยี่ยน เขาไม่กล้ารุกล้ำ ดังนั้นจึงหาสถานที่ที่รับผู้บำเพ็ญอิสระเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์ เพื่อสมัครเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์

“ผู้อาวุโสสังหารเทพรับศิษย์หรือไม่” มู่หรงฉี่เอ่ยถาม

กวนโยวกังกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “รับน่ะรับอยู่ แต่ไม่อาจรบกวนผู้อาวุโสสังหารเทพได้ ก่อนหน้านี้มีพระรูปหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนเขาเป็นเวลาห้าปี ถึงจะกราบตัวเป็นศิษย์ได้สำเร็จ”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา เหล่าผู้ฝึกฝนอิสระก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้

คุกเข่าห้าปี?

จิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!

พอมู่หรงฉี่ได้ยินก็จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

กลุ่มคนพากันเหาะอ้อมเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไปยังยอดเขาหลัก

ใต้ต้นฝูซัง

จู่ๆ สวินฉางอันก็ลืมตาขึ้นมา เขาลูบอกตนเองเบาๆ ลอบเกิดความสงสัยขึ้นมา

“เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง…”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่าเขาจะมีมารในใจ?

สวินฉางอันอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาตรวจสอบวิชายุทธ์ของตนเองอีกครั้ง เพื่อดูว่าฝึกฝนผิดตรงไหนไปหรือไม่

……

สองเดือนต่อมา

ท้องนภาเต็มไปด้วยแสงสีม่วงอีกครั้ง ทำให้คนทั่วหล้ารู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

อีกแล้วรึ

ไม่ผิด!

หานเจวี๋ยอาศัยความเข้าใจมรรคกระบี่ขั้นสูงสุดเข้าไปในแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง ฟ้าดินพลันเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นหลังจากนั้น

แม้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพจะเป็นวิชาดรรชนี แต่รากฐานของมันเป็นวิชากระบี่ ซึ่งคล้ายกับดรรชนีกระบี่เทพเป็นอย่างมาก ใช้ดรรชนีเป็นกระบี่ยิงปราณกระบี่ออกไป

ได้มายังแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง เมื่อมองเห็นเงาร่างแต่ละสายที่ตนเองแซงผ่านไป หานเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ครั้งนี้คงไม่พบกับผู้ลึกลับท่านนั้นหรอกนะ

ตอนนี้หานเจวี๋ยควบคุมพลังจิตของตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

แม่น้ำมรรคกระบี่แวววับจับตา ท่ามกลางความเลือนราง หานเจวี๋ยมองเห็นภาพความทรงจำของผู้ฝึกสายกระบี่จำนวนหนึ่ง แต่มันแค่แวบผ่านไปเท่านั้น ซึ่งทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน

ผ่านไปครู่หนึ่ง

เงาร่างสายหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าพลันหยุดชะงักลง

หัวใจของหานเจวี๋ยหล่นวูบ

เจ้านี่มาอีกแล้ว!

เจ้าหมอนี่ไม่ฝึกฝนหรือ เฝ้าอยู่ในแม่น้ำมรรคกระบี่ตลอดเลยหรืออย่างไร

เงาร่างนั้นเต็มไปด้วยแสงกระบี่ ยากที่จะแยกแยะใบหน้าที่แท้จริงได้ เขาหันมามองหานเจวี๋ยแล้วกล่าว “เจ้าอีกแล้ว!”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “ที่นี่คือระดับไท่อี่แล้วหรือ ข้าไม่ได้คิดที่จะล่วงเกิน เพียงแต่ข้าเองหยุดมันไม่ได้ ท่านช่วยข้าหยุดหน่อยเถิด อย่าทำร้ายข้าก็พอ”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

พลังไร้ลักษณ์บางอย่างทำให้หานเจวี๋ยไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้

หานเจวี๋ยรอคอยด้วยความกังวล

“แปลกจริง เจ้าไม่มีตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจ เหตุใดถึงมีความเข้าใจมรรคกระบี่เช่นนี้” ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

หานเจวี๋ยกล่าว “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้น บางทีข้าอาจจะกลายเป็นตัวตนในอดีตที่เรืองอำนาจของคนอื่นในภายหน้า”

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับไม่ได้ต่อคำพูดของเขา

หลังจากผ่านไปสามอึดใจ

ผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับโบกมือกล่าว “ระดับไท่อี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอาจเอื้อมถึงได้ ระวังจะถูกโจมตีกลับ เจ้ากลับไปเสียเถิด”

เกิดเสียงดังตู้ม!

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยรู้สึกราวกับฟ้าหมุนเคว้งคว้าง

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาในถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว

หานเจวี๋ยลูบคางน้อยๆ เหตุใดถึงพบเจอกับเจ้านั่นตลอด วันวันหนึ่งไม่ทำงานทำการเลยหรือ

หานเจวี๋ยเริ่มเปิดแบบจำลองการทดสอบ เขาปรับตบะของเซียวเหยาให้สูงถึงระดับรวมกายาขั้นสาม

อาศัยดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพที่แข็งแกร่ง หานเจวี๋ยสามารถสังหารเซียวเหยาได้ภายในหนึ่งวินาที

น่าเสียดาย

เซียวเหยายังคงอ่อนแอไปหน่อย จู่ๆ หานเจวี๋ยก็คาดหวังให้มีผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาขั้นเก้าแฝงตัวเข้ามาในสำนักหยกพิสุทธิ์ เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าก็หายไป

แต่ว่าแดนบำเพ็ญพรตและราชสำนักทั่วหล้าต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไม่หยุด

ในแดนบำเพ็ญพรต แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังในรุ่นก่อนก็ออกมาพูดเรื่องนี้ว่า ยุคเจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่งกำลังจะมาถึง!

ปรากฏการณ์ฟ้าดินแปลกประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว!

บรรดาผู้บำเพ็ญต่างก็ให้ความเห็นว่า ทั้งสามครั้งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคนคนเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยคนเดียวได้เปิดฉากยุคที่เจริญรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ และกลุ่มบุคคลที่ปรีชาสามารถ!

เพียงไม่นานหานเจวี๋ยก็เข้าสู่การฝึกฝน

หนึ่งปีต่อมา

มีคนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาเพียรบำเพ็ญเซียน และคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะคุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายศิลา

เขาก็คือมู่หรงฉี่ที่เป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกลับชาติมาเกิดนั่นเอง

อยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์มาหนึ่งปี มู่หรงฉี่ก็ยังหาวิธีขึ้นเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาเพียรบำเพ็ญเซียน จิตใจของเขาก็เต้นรัว ทำให้เขามีความรู้สึกอยากขึ้นเขาอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีที่กวนโยวกังเคยพูดถึงมากราบตัวเป็นศิษย์

เข้าไปในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

มู่หรงฉี่คุกเข่าตรงหน้าแผ่นศิลา เริ่มคำนับกับพื้น

หานเจวี๋ยจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน กลับไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

เป็นสวินฉางอันที่กลับสังเกตเห็น อย่างไรเสียมู่หรงฉี่ก็เลียนแบบเขา

รอจนมู่หรงฉี่คุกเข่าไปหนึ่งเดือน สวินฉางอันจึงลงเขามา ยืนดูมู่หรงฉี่อยู่ในค่ายกลด้วยรอยยิ้ม

‘คนผู้นี้หน้าตาไม่เลว’ สวินฉางอันคิดอย่างเงียบๆ

ขณะที่มู่หรงฉี่คำนับอยู่นั้น เขาก็สังเกตถึงการมาของสวินฉางอัน

เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ลอบเอ่ยว่า “คนผู้นี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก”

ความอัปลักษณ์ของสวินฉางอันทำให้มู่หรงฉี่รู้สึกคลื่นเหียนเล็กน้อย แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

ทั้งสองความรู้สึกสลับกันไปมาในใจมู่หรงฉี่ ปะทะกันจนกลายเป็นดอกไม้ไฟแปลกประหลาด

หรือคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ?

มิใช่ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพมีรูปโฉมงดงามหรอกหรือ

เขานำพาโอกาสอันยิ่งใหญ่มาให้ข้าได้หรือ

มู่หรงฉี่เก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ กัดฟันเอ่ย “ขอผู้อาวุโสรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+