ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง
อาจารย์รีบช่วยข้าด้วย!

พอได้ยินซูฉีตะโกนประโยคนี้ออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายก็พากันหยุดมือ มอบดูรอบด้านด้วยความประหม่า

ซูฉีมักจะพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ เหล่าผู้บำเพ็ญที่ตามล่าเขาล้วนตายลงอย่างน่าอนาถ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสงสัยมาโดยตลอดว่ามีคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของซูฉี

ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ของเขานั่นเอง!

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่ตะโกนด่าทอซูฉีด้วยความโมโหก่อนหน้านี้ตะคอกเสียงดังว่า “สหายเต๋า! เหตุใดต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือว่าจะใจฝ่อเสียแล้ว”

แต่ทว่า

ไม่มีผู้ใดตอบเขา

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนมองไปทางซูฉีอีกครั้ง

เขาค้นพบว่าซูฉีมีสีหน้าเย้ยหยัน ภาคภูมิใจ ราวกับว่าคนที่ตายจะไม่ใช่ตนเอง แค่กลับเป็นพวกเขา

ความมั่นใจเช่นนี้ของซูฉี ทำให้ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม

เปรี้ยงปราง

เมฆอัสนีรวมตัวกันในฉับพลัน ท้องฟ้ามืดลงในบัดดล

ผู้คนทั้งหลายต่างก็มองซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก

ฟู่ๆ

พายุบ้าระห่ำโหมพัดเข้ามา และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญหวาดกลัวเมื่อพบว่าพายุลูกนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยคมมีดวายุที่ตาเปล่ายากจะแยกแยะได้ แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง บาดจนเสื้อผ้าของพวกเขาถูกตัดขาดจนกระจุยกระจาย ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนต้องกระตุ้นพลังวิญญาณต้านทานไว้

นอกจากซูฉีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนประสบกับมหันตภัยกันหมดสิ้น

ซูฉีเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใสออกมา

สมกับเป็นผู้อาวุโส…

ไม่ใช่สิ!

อาจารย์!

อาจารย์ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!

เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง พายุโหมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาพฉากเช่นนี้ดูราวกับจุดสิ้นสุดของโลก

ยามที่สายฟ้าแรกฟาดลงมานั้น ทั้งเจ็ดสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝันร้ายได้มาถึงแล้ว

สิ่งที่มามันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา

แต่กลับเป็นสายฟ้าสวรรค์!

……

หนึ่งขวบปีฤดูกาลผ่านพ้น สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว เวลาหนึ่งปีก็ยาวนานมาก

เวลาสิบแปดเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเติบโต แต่สำหรับหานเจวี๋ย เวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับฝันหนึ่งตื่น

ตบะของเขาบรรลุระดับสุญตาขั้นห้าแล้ว!

การทะลวงระดับของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก จำต้องรู้ว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังติดอยู่ที่ระดับสุญตาขั้นแปด เซียวเอ้อร์ยังอยู่ระดับสุญตาขั้นสอง

เวลาที่ว่างจากการฝึกฝน หานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดวิชากระบี่บินไร้หัวใจให้กับสวินฉางอัน

หลังจากฝึกฝนกระบี่บินไร้หัวใจมาสิบปี สวินฉางอันต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตนเองดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องรักข้างเดียวในอดีตอีก

หารู้ไม่ว่าความรู้สึกของเขาได้ลดระดับลงแล้ว

หลังจากบรรลุระดับ หานเจวี๋ยก็คุ้นชินกับการนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งเซียวเอ้อร์

ในจดหมายสามารถเห็นได้เพียงสถานความสัมพันธ์ในทางที่ดีเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ของศัตรูหานเจวี๋ยไม่อาจมองเห็นได้ แต่ทว่ารูปของเซียวเอ้อร์ยังคงอยู่มาโดยตลอด เป็นการประจักษ์ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังคงมีชีวิตอยู่ดี

ก่อนที่เซียวเอ้อร์จะเสียชีวิต หานเจวี๋ยจะไม่เลิกสาปแช่งเขาอย่างแน่นอน

ใครใช้ให้เจ้านี่มีความอาฆาตแค้นเขาสูงเช่นนี้เล่า ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้กลับไม่มีทีท่าลดลงแม้แต่น้อย

ขณะที่หานเจวี๋ยทำการสาปแช่งอยู่นั้น เขาก็ตรวจสอบดูจดหมายในค่าความสัมพันธ์ไปด้วย

คนส่วนใหญ่ล้วนเผชิญกับการโจมตีในช่วงสิบแปดปีมานี้

หากจะบอกว่าเป็นการโจมตี ไม่สู้พูดว่าเป็นการต่อสู้กันจะดีกว่า

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถูกโจมตี คาดว่าคงมีหลายครั้งที่พวกเขาชิงลงมือก่อน

ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย จำต้องหลบหนีให้ไกล

บางทีระดับตบะของหานเจวี๋ยในตอนนี้อาจจะไม่กลัวการถูกโจมตี แต่หากมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนได้

ก็เหมือนกับหยางเทียนตงและโจวฝาน ที่มักจะครอบครองสถิติจำนวนครั้งในการถูกโจมตีเป็นสามอันดับแรกตลอด

ส่วนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมาทีหลังแต่กลับแซงหน้าไปก่อน และมีแนวโน้มที่จะกระโดดข้ามไปเหนือกว่าด้วย

ทุกครั้งที่เห็นสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นถูกโจมตี หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก

ใครใช้ให้เจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า!

แม้ว่าสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจะถูกตีอยู่ตลอด แต่ตบะของมันกลับทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ของคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าล้วนกำลังช่วงชิงโอกาสกันอยู่

หลายวันต่อมา

สิงหงเสวียนมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยไล่สวินฉางอันออกไป และให้สิงหงเสวียนเข้ามา

“สามี หลายสิบปีมานี้ข้าได้โอกาสวาสนาครั้งใหญ่ เข้าใจพลังเทพ ท่านอยากเรียนหรือไม่ ข้าสามารถถ่ายทอดให้ท่านได้!”

สิงหงเสวียนวิ่งเข้ามาตรงหน้าหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนกล่าวขึ้น ท่าทางราวกับจะมอบของที่ล้ำค่าให้เขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ข้ามีพลังเทพ ไม่ต้องการ”

สิงหงเสวียนได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่จริงๆ ตบะของนางบรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นแปดแล้ว

เกือบจะตามผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอย่างโจวฝานทันแล้ว

เมื่อสิงหงเสวียนพลิกมือขวา ผลสีเขียวสองลูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ปรากฏบนมือ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือผลมหัศจรรย์ที่ข้าพบในแดนลึกลับบรรพกาล หลังจากรับประทานไปแล้วจะสามารถบำรุงเลือดลม เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลัง น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ข้ารับประทานไปแค่ลูกเดียวก็สามารถสั่นสะเทือนเขาลูกเล็กๆ จนพังทลายได้ในกำปั้นเดียว”

พอหานเจวี๋ยมองดู ก็พบว่าผลสีเขียวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา

เขายื่นมือไปหยิบผลสีเขียวใส่ปากทันที

ชั่วพริบตาที่เข้าไปในปาก เนื้อของมันก็ละลายกลายเป็นกระแสไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายของหานเจวี๋ย

จากนั้นหานเจวี๋ยก็รู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วทั้งร่าง

ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก!

ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็กินผลสีเขียวที่เหลืออยู่ในมือจนหมด

สิงหงเสวียนยื่นผลสีเขียวที่เหลืออีกหนึ่งลูกให้หานเจวี๋ย

“นี่ไม่ดีกระมัง”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนใจ จากนั้นก็รับผลสีเขียวมาทานอย่างว่าง่าย

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ช่วยสามี ข้าก็ดีใจแล้ว”

หลังจากทานผลสีเขียวไปสองลูก หานเจวี๋ยก็นำอาวุธเวทจำนวนหนึ่งส่งให้กับสิงหงเสวียน

ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่เขาได้มาจากการสังหารศัตรูในตอนนั้น

ตอนแรกสิงหงเสวียนคิดจะปฏิเสธ แต่หานเจวี๋ยยังคงดื้อดึงที่จะให้ นางจึงได้แต่รับเอาไว้

สิงหงเสวียนรู้สึกหวานชื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้

“นำหุ่นเชิดสวรรค์ของเจ้าออกมา ข้าจะยกระดับเสียหน่อย” หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว

พอได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของสิงหงเสวียนก็แดงระเรื่อ นางนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมาด้วยท่าทีขวยเขิน

ทว่าหานเจวี๋ยกลับมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา

หุ่นเชิดสวรรค์นั้นกลับถูกสลักใบหน้าเอาไว้ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของหานเจวี๋ย แม้ว่ารูปหน้าจะต่างกันมาก แต่อวัยวะทั้งห้ากลับดูคล้ายคลึง

ที่แปลกประหลาดก็คือ บริเวณปากของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นั้นออกจะแดงๆ อยู่บ้าง ราวกับจะถูกทาทับด้วยชาด

หรือว่า…

หานเจวี๋ยไม่กล้าคิดลึก

เขาแสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และรับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์มาใส่พลังวิญญาณหกสายเข้าไปในนั้น

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ไม่มีขอบเขตพลัง เพียงแค่สับเปลี่ยนพลังวิญญาณหกสายที่อยู่ในนั้นก็จะสามารถยกระดับเป็นพลังต่อสู้ระดับสุญตาได้แล้ว

แน่นอนว่ามีแค่หานเจวี๋ยเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้ พลังวิญญาณของคนอื่นๆ จะไม่มีผลต่อมันเลยแม้แต่น้อย

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ก็เทียบเท่ากับร่างแยกพลังวิญญาณที่หานเจวี๋ยปล่อยออกไป

การเปลี่ยนพลังวิญญาณให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ใหม่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด และก็ใช้เวลาไม่มากนัก

สิงหงเสวียนนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “ช่วงนี้โม่จู๋มาหาท่านบ้างหรือไม่”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์จากไปแล้ว แต่นางยังมีศัตรูหัวใจอีกหนึ่งคน

หายไปหลายปีเพียงนี้ นางไม่รู้ว่าโม่จู๋ได้เปิดฉากรุกหานเจวี๋ยบ้างหรือไม่

“มา”

หานเจวี๋ยตอบกลับ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้นางฟังอีกรอบ

สิงหงเสวียนฟังแล้วก็กล่าวด้วยความเสียดายว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

“เสียดายอะไร”

“ไม่มีอะไร”

สิงหงเสวียนโบกมือตอบ

ทั้งสองเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ สิงหงเสวียนพูดถึงประสบการณ์ที่พบเจอในหลายปีมานี้ หานเจวี๋ยจึงได้ทราบทิศทางของแดนบำเพ็ญพรตจากปากนาง

สิบกว่าวันต่อมา

สิงหงเสวียนเดินไปถึงปากถ้ำ หลังจากมั่นใจแล้วว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว จึงจากไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ

หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตั่ง เขาดึงมุมผ้าที่มีรอยย่นเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา

ทว่าบนใบหน้าของเขายังเผยรอยยิ้มให้เห็นเล็กน้อย

……

ห้าปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อเดินทางมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยให้สวินฉางอันออกไป หลังจากนั้นให้หลี่ชิงจื่อเข้ามา

เมื่อเห็นสีหน้าที่กลัดกลุ้มของหลี่ชิงจื่อ หานเจวี๋ยก็ใจเต้นตึกตักทันที

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?

เพิ่งจะสงบสุขได้ไม่กี่สิบปีเองนะ!

หลี่ชิงจื่อหาเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามหานเจวี๋ยด้วยตนเอง ถอนหายใจกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหาน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยที่อยู่ข้างๆ ได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว ผู้นำคือสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ไม่รู้ว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตสรรหาแขกผู้ทรงพลังท่านหนึ่งมาจากที่ใด อีกทั้งยังได้ทิ้งคำพูดไว้ว่าต้องการรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต่างๆ ที่อยู่รอบด้านให้เป็นหนึ่งเดียว”

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ปิดด่านฝึกฝนดีๆ เพื่อซาบซึ้งกับสัจธรรมฟ้าดิน เสาะแสวงหาความอมตะนิจนิรันดร์ เหตุใดถึงแย่งชิงพื้นที่ราวกับชาวบ้านธรรมดา”

หลี่ชิงจื่อส่ายหน้ากล่าวว่า “ความทะเยอทะยานของสายมารมีแต่จะเพิ่มขึ้นตามตบะ อีกทั้งการครอบครองแดนบำเพ็ญพรตยิ่งมาก ก็สามารถยึดกุมทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรได้มาก”

“แขกผู้ทรงพลังท่านนั้นแข็งแกร่งเพียงใด”

“ไม่ชัดเจน ต่ำสุดก็ระดับสุญตา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยได้เร็วเช่นนี้”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นระดับรวมกายา”

“หากเป็นไปได้เล่า ผู้อาวุโสหาน ท่านจะทำเช่นไร”

“ดูว่าเขาจะมาโจมตีเมื่อไร หากเป็นพรุ่งนี้ เช่นนั้นข้าคงจะต้องหนีแล้ว”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง
อาจารย์รีบช่วยข้าด้วย!

พอได้ยินซูฉีตะโกนประโยคนี้ออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายก็พากันหยุดมือ มอบดูรอบด้านด้วยความประหม่า

ซูฉีมักจะพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ เหล่าผู้บำเพ็ญที่ตามล่าเขาล้วนตายลงอย่างน่าอนาถ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสงสัยมาโดยตลอดว่ามีคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของซูฉี

ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ของเขานั่นเอง!

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่ตะโกนด่าทอซูฉีด้วยความโมโหก่อนหน้านี้ตะคอกเสียงดังว่า “สหายเต๋า! เหตุใดต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือว่าจะใจฝ่อเสียแล้ว”

แต่ทว่า

ไม่มีผู้ใดตอบเขา

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนมองไปทางซูฉีอีกครั้ง

เขาค้นพบว่าซูฉีมีสีหน้าเย้ยหยัน ภาคภูมิใจ ราวกับว่าคนที่ตายจะไม่ใช่ตนเอง แค่กลับเป็นพวกเขา

ความมั่นใจเช่นนี้ของซูฉี ทำให้ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม

เปรี้ยงปราง

เมฆอัสนีรวมตัวกันในฉับพลัน ท้องฟ้ามืดลงในบัดดล

ผู้คนทั้งหลายต่างก็มองซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก

ฟู่ๆ

พายุบ้าระห่ำโหมพัดเข้ามา และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญหวาดกลัวเมื่อพบว่าพายุลูกนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยคมมีดวายุที่ตาเปล่ายากจะแยกแยะได้ แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง บาดจนเสื้อผ้าของพวกเขาถูกตัดขาดจนกระจุยกระจาย ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนต้องกระตุ้นพลังวิญญาณต้านทานไว้

นอกจากซูฉีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนประสบกับมหันตภัยกันหมดสิ้น

ซูฉีเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใสออกมา

สมกับเป็นผู้อาวุโส…

ไม่ใช่สิ!

อาจารย์!

อาจารย์ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!

เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง พายุโหมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาพฉากเช่นนี้ดูราวกับจุดสิ้นสุดของโลก

ยามที่สายฟ้าแรกฟาดลงมานั้น ทั้งเจ็ดสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝันร้ายได้มาถึงแล้ว

สิ่งที่มามันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา

แต่กลับเป็นสายฟ้าสวรรค์!

……

หนึ่งขวบปีฤดูกาลผ่านพ้น สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว เวลาหนึ่งปีก็ยาวนานมาก

เวลาสิบแปดเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเติบโต แต่สำหรับหานเจวี๋ย เวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับฝันหนึ่งตื่น

ตบะของเขาบรรลุระดับสุญตาขั้นห้าแล้ว!

การทะลวงระดับของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก จำต้องรู้ว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังติดอยู่ที่ระดับสุญตาขั้นแปด เซียวเอ้อร์ยังอยู่ระดับสุญตาขั้นสอง

เวลาที่ว่างจากการฝึกฝน หานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดวิชากระบี่บินไร้หัวใจให้กับสวินฉางอัน

หลังจากฝึกฝนกระบี่บินไร้หัวใจมาสิบปี สวินฉางอันต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตนเองดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องรักข้างเดียวในอดีตอีก

หารู้ไม่ว่าความรู้สึกของเขาได้ลดระดับลงแล้ว

หลังจากบรรลุระดับ หานเจวี๋ยก็คุ้นชินกับการนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งเซียวเอ้อร์

ในจดหมายสามารถเห็นได้เพียงสถานความสัมพันธ์ในทางที่ดีเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ของศัตรูหานเจวี๋ยไม่อาจมองเห็นได้ แต่ทว่ารูปของเซียวเอ้อร์ยังคงอยู่มาโดยตลอด เป็นการประจักษ์ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังคงมีชีวิตอยู่ดี

ก่อนที่เซียวเอ้อร์จะเสียชีวิต หานเจวี๋ยจะไม่เลิกสาปแช่งเขาอย่างแน่นอน

ใครใช้ให้เจ้านี่มีความอาฆาตแค้นเขาสูงเช่นนี้เล่า ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้กลับไม่มีทีท่าลดลงแม้แต่น้อย

ขณะที่หานเจวี๋ยทำการสาปแช่งอยู่นั้น เขาก็ตรวจสอบดูจดหมายในค่าความสัมพันธ์ไปด้วย

คนส่วนใหญ่ล้วนเผชิญกับการโจมตีในช่วงสิบแปดปีมานี้

หากจะบอกว่าเป็นการโจมตี ไม่สู้พูดว่าเป็นการต่อสู้กันจะดีกว่า

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถูกโจมตี คาดว่าคงมีหลายครั้งที่พวกเขาชิงลงมือก่อน

ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย จำต้องหลบหนีให้ไกล

บางทีระดับตบะของหานเจวี๋ยในตอนนี้อาจจะไม่กลัวการถูกโจมตี แต่หากมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนได้

ก็เหมือนกับหยางเทียนตงและโจวฝาน ที่มักจะครอบครองสถิติจำนวนครั้งในการถูกโจมตีเป็นสามอันดับแรกตลอด

ส่วนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมาทีหลังแต่กลับแซงหน้าไปก่อน และมีแนวโน้มที่จะกระโดดข้ามไปเหนือกว่าด้วย

ทุกครั้งที่เห็นสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นถูกโจมตี หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก

ใครใช้ให้เจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า!

แม้ว่าสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจะถูกตีอยู่ตลอด แต่ตบะของมันกลับทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ของคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าล้วนกำลังช่วงชิงโอกาสกันอยู่

หลายวันต่อมา

สิงหงเสวียนมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยไล่สวินฉางอันออกไป และให้สิงหงเสวียนเข้ามา

“สามี หลายสิบปีมานี้ข้าได้โอกาสวาสนาครั้งใหญ่ เข้าใจพลังเทพ ท่านอยากเรียนหรือไม่ ข้าสามารถถ่ายทอดให้ท่านได้!”

สิงหงเสวียนวิ่งเข้ามาตรงหน้าหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนกล่าวขึ้น ท่าทางราวกับจะมอบของที่ล้ำค่าให้เขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ข้ามีพลังเทพ ไม่ต้องการ”

สิงหงเสวียนได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่จริงๆ ตบะของนางบรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นแปดแล้ว

เกือบจะตามผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอย่างโจวฝานทันแล้ว

เมื่อสิงหงเสวียนพลิกมือขวา ผลสีเขียวสองลูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ปรากฏบนมือ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือผลมหัศจรรย์ที่ข้าพบในแดนลึกลับบรรพกาล หลังจากรับประทานไปแล้วจะสามารถบำรุงเลือดลม เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลัง น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ข้ารับประทานไปแค่ลูกเดียวก็สามารถสั่นสะเทือนเขาลูกเล็กๆ จนพังทลายได้ในกำปั้นเดียว”

พอหานเจวี๋ยมองดู ก็พบว่าผลสีเขียวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา

เขายื่นมือไปหยิบผลสีเขียวใส่ปากทันที

ชั่วพริบตาที่เข้าไปในปาก เนื้อของมันก็ละลายกลายเป็นกระแสไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายของหานเจวี๋ย

จากนั้นหานเจวี๋ยก็รู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วทั้งร่าง

ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก!

ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็กินผลสีเขียวที่เหลืออยู่ในมือจนหมด

สิงหงเสวียนยื่นผลสีเขียวที่เหลืออีกหนึ่งลูกให้หานเจวี๋ย

“นี่ไม่ดีกระมัง”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนใจ จากนั้นก็รับผลสีเขียวมาทานอย่างว่าง่าย

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ช่วยสามี ข้าก็ดีใจแล้ว”

หลังจากทานผลสีเขียวไปสองลูก หานเจวี๋ยก็นำอาวุธเวทจำนวนหนึ่งส่งให้กับสิงหงเสวียน

ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่เขาได้มาจากการสังหารศัตรูในตอนนั้น

ตอนแรกสิงหงเสวียนคิดจะปฏิเสธ แต่หานเจวี๋ยยังคงดื้อดึงที่จะให้ นางจึงได้แต่รับเอาไว้

สิงหงเสวียนรู้สึกหวานชื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้

“นำหุ่นเชิดสวรรค์ของเจ้าออกมา ข้าจะยกระดับเสียหน่อย” หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว

พอได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของสิงหงเสวียนก็แดงระเรื่อ นางนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมาด้วยท่าทีขวยเขิน

ทว่าหานเจวี๋ยกลับมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา

หุ่นเชิดสวรรค์นั้นกลับถูกสลักใบหน้าเอาไว้ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของหานเจวี๋ย แม้ว่ารูปหน้าจะต่างกันมาก แต่อวัยวะทั้งห้ากลับดูคล้ายคลึง

ที่แปลกประหลาดก็คือ บริเวณปากของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นั้นออกจะแดงๆ อยู่บ้าง ราวกับจะถูกทาทับด้วยชาด

หรือว่า…

หานเจวี๋ยไม่กล้าคิดลึก

เขาแสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และรับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์มาใส่พลังวิญญาณหกสายเข้าไปในนั้น

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ไม่มีขอบเขตพลัง เพียงแค่สับเปลี่ยนพลังวิญญาณหกสายที่อยู่ในนั้นก็จะสามารถยกระดับเป็นพลังต่อสู้ระดับสุญตาได้แล้ว

แน่นอนว่ามีแค่หานเจวี๋ยเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้ พลังวิญญาณของคนอื่นๆ จะไม่มีผลต่อมันเลยแม้แต่น้อย

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ก็เทียบเท่ากับร่างแยกพลังวิญญาณที่หานเจวี๋ยปล่อยออกไป

การเปลี่ยนพลังวิญญาณให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ใหม่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด และก็ใช้เวลาไม่มากนัก

สิงหงเสวียนนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “ช่วงนี้โม่จู๋มาหาท่านบ้างหรือไม่”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์จากไปแล้ว แต่นางยังมีศัตรูหัวใจอีกหนึ่งคน

หายไปหลายปีเพียงนี้ นางไม่รู้ว่าโม่จู๋ได้เปิดฉากรุกหานเจวี๋ยบ้างหรือไม่

“มา”

หานเจวี๋ยตอบกลับ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้นางฟังอีกรอบ

สิงหงเสวียนฟังแล้วก็กล่าวด้วยความเสียดายว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

“เสียดายอะไร”

“ไม่มีอะไร”

สิงหงเสวียนโบกมือตอบ

ทั้งสองเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ สิงหงเสวียนพูดถึงประสบการณ์ที่พบเจอในหลายปีมานี้ หานเจวี๋ยจึงได้ทราบทิศทางของแดนบำเพ็ญพรตจากปากนาง

สิบกว่าวันต่อมา

สิงหงเสวียนเดินไปถึงปากถ้ำ หลังจากมั่นใจแล้วว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว จึงจากไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ

หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตั่ง เขาดึงมุมผ้าที่มีรอยย่นเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา

ทว่าบนใบหน้าของเขายังเผยรอยยิ้มให้เห็นเล็กน้อย

……

ห้าปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อเดินทางมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยให้สวินฉางอันออกไป หลังจากนั้นให้หลี่ชิงจื่อเข้ามา

เมื่อเห็นสีหน้าที่กลัดกลุ้มของหลี่ชิงจื่อ หานเจวี๋ยก็ใจเต้นตึกตักทันที

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?

เพิ่งจะสงบสุขได้ไม่กี่สิบปีเองนะ!

หลี่ชิงจื่อหาเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามหานเจวี๋ยด้วยตนเอง ถอนหายใจกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหาน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยที่อยู่ข้างๆ ได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว ผู้นำคือสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ไม่รู้ว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตสรรหาแขกผู้ทรงพลังท่านหนึ่งมาจากที่ใด อีกทั้งยังได้ทิ้งคำพูดไว้ว่าต้องการรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต่างๆ ที่อยู่รอบด้านให้เป็นหนึ่งเดียว”

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ปิดด่านฝึกฝนดีๆ เพื่อซาบซึ้งกับสัจธรรมฟ้าดิน เสาะแสวงหาความอมตะนิจนิรันดร์ เหตุใดถึงแย่งชิงพื้นที่ราวกับชาวบ้านธรรมดา”

หลี่ชิงจื่อส่ายหน้ากล่าวว่า “ความทะเยอทะยานของสายมารมีแต่จะเพิ่มขึ้นตามตบะ อีกทั้งการครอบครองแดนบำเพ็ญพรตยิ่งมาก ก็สามารถยึดกุมทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรได้มาก”

“แขกผู้ทรงพลังท่านนั้นแข็งแกร่งเพียงใด”

“ไม่ชัดเจน ต่ำสุดก็ระดับสุญตา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยได้เร็วเช่นนี้”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นระดับรวมกายา”

“หากเป็นไปได้เล่า ผู้อาวุโสหาน ท่านจะทำเช่นไร”

“ดูว่าเขาจะมาโจมตีเมื่อไร หากเป็นพรุ่งนี้ เช่นนั้นข้าคงจะต้องหนีแล้ว”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง
อาจารย์รีบช่วยข้าด้วย!

พอได้ยินซูฉีตะโกนประโยคนี้ออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายก็พากันหยุดมือ มอบดูรอบด้านด้วยความประหม่า

ซูฉีมักจะพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ เหล่าผู้บำเพ็ญที่ตามล่าเขาล้วนตายลงอย่างน่าอนาถ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสงสัยมาโดยตลอดว่ามีคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของซูฉี

ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ของเขานั่นเอง!

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่ตะโกนด่าทอซูฉีด้วยความโมโหก่อนหน้านี้ตะคอกเสียงดังว่า “สหายเต๋า! เหตุใดต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือว่าจะใจฝ่อเสียแล้ว”

แต่ทว่า

ไม่มีผู้ใดตอบเขา

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนมองไปทางซูฉีอีกครั้ง

เขาค้นพบว่าซูฉีมีสีหน้าเย้ยหยัน ภาคภูมิใจ ราวกับว่าคนที่ตายจะไม่ใช่ตนเอง แค่กลับเป็นพวกเขา

ความมั่นใจเช่นนี้ของซูฉี ทำให้ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม

เปรี้ยงปราง

เมฆอัสนีรวมตัวกันในฉับพลัน ท้องฟ้ามืดลงในบัดดล

ผู้คนทั้งหลายต่างก็มองซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก

ฟู่ๆ

พายุบ้าระห่ำโหมพัดเข้ามา และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญหวาดกลัวเมื่อพบว่าพายุลูกนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยคมมีดวายุที่ตาเปล่ายากจะแยกแยะได้ แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง บาดจนเสื้อผ้าของพวกเขาถูกตัดขาดจนกระจุยกระจาย ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนต้องกระตุ้นพลังวิญญาณต้านทานไว้

นอกจากซูฉีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนประสบกับมหันตภัยกันหมดสิ้น

ซูฉีเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใสออกมา

สมกับเป็นผู้อาวุโส…

ไม่ใช่สิ!

อาจารย์!

อาจารย์ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!

เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง พายุโหมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาพฉากเช่นนี้ดูราวกับจุดสิ้นสุดของโลก

ยามที่สายฟ้าแรกฟาดลงมานั้น ทั้งเจ็ดสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝันร้ายได้มาถึงแล้ว

สิ่งที่มามันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา

แต่กลับเป็นสายฟ้าสวรรค์!

……

หนึ่งขวบปีฤดูกาลผ่านพ้น สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว เวลาหนึ่งปีก็ยาวนานมาก

เวลาสิบแปดเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเติบโต แต่สำหรับหานเจวี๋ย เวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับฝันหนึ่งตื่น

ตบะของเขาบรรลุระดับสุญตาขั้นห้าแล้ว!

การทะลวงระดับของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก จำต้องรู้ว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังติดอยู่ที่ระดับสุญตาขั้นแปด เซียวเอ้อร์ยังอยู่ระดับสุญตาขั้นสอง

เวลาที่ว่างจากการฝึกฝน หานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดวิชากระบี่บินไร้หัวใจให้กับสวินฉางอัน

หลังจากฝึกฝนกระบี่บินไร้หัวใจมาสิบปี สวินฉางอันต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตนเองดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องรักข้างเดียวในอดีตอีก

หารู้ไม่ว่าความรู้สึกของเขาได้ลดระดับลงแล้ว

หลังจากบรรลุระดับ หานเจวี๋ยก็คุ้นชินกับการนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งเซียวเอ้อร์

ในจดหมายสามารถเห็นได้เพียงสถานความสัมพันธ์ในทางที่ดีเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ของศัตรูหานเจวี๋ยไม่อาจมองเห็นได้ แต่ทว่ารูปของเซียวเอ้อร์ยังคงอยู่มาโดยตลอด เป็นการประจักษ์ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังคงมีชีวิตอยู่ดี

ก่อนที่เซียวเอ้อร์จะเสียชีวิต หานเจวี๋ยจะไม่เลิกสาปแช่งเขาอย่างแน่นอน

ใครใช้ให้เจ้านี่มีความอาฆาตแค้นเขาสูงเช่นนี้เล่า ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้กลับไม่มีทีท่าลดลงแม้แต่น้อย

ขณะที่หานเจวี๋ยทำการสาปแช่งอยู่นั้น เขาก็ตรวจสอบดูจดหมายในค่าความสัมพันธ์ไปด้วย

คนส่วนใหญ่ล้วนเผชิญกับการโจมตีในช่วงสิบแปดปีมานี้

หากจะบอกว่าเป็นการโจมตี ไม่สู้พูดว่าเป็นการต่อสู้กันจะดีกว่า

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถูกโจมตี คาดว่าคงมีหลายครั้งที่พวกเขาชิงลงมือก่อน

ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย จำต้องหลบหนีให้ไกล

บางทีระดับตบะของหานเจวี๋ยในตอนนี้อาจจะไม่กลัวการถูกโจมตี แต่หากมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนได้

ก็เหมือนกับหยางเทียนตงและโจวฝาน ที่มักจะครอบครองสถิติจำนวนครั้งในการถูกโจมตีเป็นสามอันดับแรกตลอด

ส่วนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมาทีหลังแต่กลับแซงหน้าไปก่อน และมีแนวโน้มที่จะกระโดดข้ามไปเหนือกว่าด้วย

ทุกครั้งที่เห็นสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นถูกโจมตี หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก

ใครใช้ให้เจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า!

แม้ว่าสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจะถูกตีอยู่ตลอด แต่ตบะของมันกลับทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ของคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าล้วนกำลังช่วงชิงโอกาสกันอยู่

หลายวันต่อมา

สิงหงเสวียนมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยไล่สวินฉางอันออกไป และให้สิงหงเสวียนเข้ามา

“สามี หลายสิบปีมานี้ข้าได้โอกาสวาสนาครั้งใหญ่ เข้าใจพลังเทพ ท่านอยากเรียนหรือไม่ ข้าสามารถถ่ายทอดให้ท่านได้!”

สิงหงเสวียนวิ่งเข้ามาตรงหน้าหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนกล่าวขึ้น ท่าทางราวกับจะมอบของที่ล้ำค่าให้เขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ข้ามีพลังเทพ ไม่ต้องการ”

สิงหงเสวียนได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่จริงๆ ตบะของนางบรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นแปดแล้ว

เกือบจะตามผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอย่างโจวฝานทันแล้ว

เมื่อสิงหงเสวียนพลิกมือขวา ผลสีเขียวสองลูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ปรากฏบนมือ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือผลมหัศจรรย์ที่ข้าพบในแดนลึกลับบรรพกาล หลังจากรับประทานไปแล้วจะสามารถบำรุงเลือดลม เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลัง น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ข้ารับประทานไปแค่ลูกเดียวก็สามารถสั่นสะเทือนเขาลูกเล็กๆ จนพังทลายได้ในกำปั้นเดียว”

พอหานเจวี๋ยมองดู ก็พบว่าผลสีเขียวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา

เขายื่นมือไปหยิบผลสีเขียวใส่ปากทันที

ชั่วพริบตาที่เข้าไปในปาก เนื้อของมันก็ละลายกลายเป็นกระแสไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายของหานเจวี๋ย

จากนั้นหานเจวี๋ยก็รู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วทั้งร่าง

ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก!

ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็กินผลสีเขียวที่เหลืออยู่ในมือจนหมด

สิงหงเสวียนยื่นผลสีเขียวที่เหลืออีกหนึ่งลูกให้หานเจวี๋ย

“นี่ไม่ดีกระมัง”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนใจ จากนั้นก็รับผลสีเขียวมาทานอย่างว่าง่าย

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ช่วยสามี ข้าก็ดีใจแล้ว”

หลังจากทานผลสีเขียวไปสองลูก หานเจวี๋ยก็นำอาวุธเวทจำนวนหนึ่งส่งให้กับสิงหงเสวียน

ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่เขาได้มาจากการสังหารศัตรูในตอนนั้น

ตอนแรกสิงหงเสวียนคิดจะปฏิเสธ แต่หานเจวี๋ยยังคงดื้อดึงที่จะให้ นางจึงได้แต่รับเอาไว้

สิงหงเสวียนรู้สึกหวานชื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้

“นำหุ่นเชิดสวรรค์ของเจ้าออกมา ข้าจะยกระดับเสียหน่อย” หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว

พอได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของสิงหงเสวียนก็แดงระเรื่อ นางนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมาด้วยท่าทีขวยเขิน

ทว่าหานเจวี๋ยกลับมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา

หุ่นเชิดสวรรค์นั้นกลับถูกสลักใบหน้าเอาไว้ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของหานเจวี๋ย แม้ว่ารูปหน้าจะต่างกันมาก แต่อวัยวะทั้งห้ากลับดูคล้ายคลึง

ที่แปลกประหลาดก็คือ บริเวณปากของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นั้นออกจะแดงๆ อยู่บ้าง ราวกับจะถูกทาทับด้วยชาด

หรือว่า…

หานเจวี๋ยไม่กล้าคิดลึก

เขาแสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และรับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์มาใส่พลังวิญญาณหกสายเข้าไปในนั้น

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ไม่มีขอบเขตพลัง เพียงแค่สับเปลี่ยนพลังวิญญาณหกสายที่อยู่ในนั้นก็จะสามารถยกระดับเป็นพลังต่อสู้ระดับสุญตาได้แล้ว

แน่นอนว่ามีแค่หานเจวี๋ยเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้ พลังวิญญาณของคนอื่นๆ จะไม่มีผลต่อมันเลยแม้แต่น้อย

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ก็เทียบเท่ากับร่างแยกพลังวิญญาณที่หานเจวี๋ยปล่อยออกไป

การเปลี่ยนพลังวิญญาณให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ใหม่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด และก็ใช้เวลาไม่มากนัก

สิงหงเสวียนนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “ช่วงนี้โม่จู๋มาหาท่านบ้างหรือไม่”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์จากไปแล้ว แต่นางยังมีศัตรูหัวใจอีกหนึ่งคน

หายไปหลายปีเพียงนี้ นางไม่รู้ว่าโม่จู๋ได้เปิดฉากรุกหานเจวี๋ยบ้างหรือไม่

“มา”

หานเจวี๋ยตอบกลับ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้นางฟังอีกรอบ

สิงหงเสวียนฟังแล้วก็กล่าวด้วยความเสียดายว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

“เสียดายอะไร”

“ไม่มีอะไร”

สิงหงเสวียนโบกมือตอบ

ทั้งสองเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ สิงหงเสวียนพูดถึงประสบการณ์ที่พบเจอในหลายปีมานี้ หานเจวี๋ยจึงได้ทราบทิศทางของแดนบำเพ็ญพรตจากปากนาง

สิบกว่าวันต่อมา

สิงหงเสวียนเดินไปถึงปากถ้ำ หลังจากมั่นใจแล้วว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว จึงจากไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ

หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตั่ง เขาดึงมุมผ้าที่มีรอยย่นเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา

ทว่าบนใบหน้าของเขายังเผยรอยยิ้มให้เห็นเล็กน้อย

……

ห้าปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อเดินทางมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยให้สวินฉางอันออกไป หลังจากนั้นให้หลี่ชิงจื่อเข้ามา

เมื่อเห็นสีหน้าที่กลัดกลุ้มของหลี่ชิงจื่อ หานเจวี๋ยก็ใจเต้นตึกตักทันที

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?

เพิ่งจะสงบสุขได้ไม่กี่สิบปีเองนะ!

หลี่ชิงจื่อหาเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามหานเจวี๋ยด้วยตนเอง ถอนหายใจกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหาน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยที่อยู่ข้างๆ ได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว ผู้นำคือสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ไม่รู้ว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตสรรหาแขกผู้ทรงพลังท่านหนึ่งมาจากที่ใด อีกทั้งยังได้ทิ้งคำพูดไว้ว่าต้องการรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต่างๆ ที่อยู่รอบด้านให้เป็นหนึ่งเดียว”

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ปิดด่านฝึกฝนดีๆ เพื่อซาบซึ้งกับสัจธรรมฟ้าดิน เสาะแสวงหาความอมตะนิจนิรันดร์ เหตุใดถึงแย่งชิงพื้นที่ราวกับชาวบ้านธรรมดา”

หลี่ชิงจื่อส่ายหน้ากล่าวว่า “ความทะเยอทะยานของสายมารมีแต่จะเพิ่มขึ้นตามตบะ อีกทั้งการครอบครองแดนบำเพ็ญพรตยิ่งมาก ก็สามารถยึดกุมทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรได้มาก”

“แขกผู้ทรงพลังท่านนั้นแข็งแกร่งเพียงใด”

“ไม่ชัดเจน ต่ำสุดก็ระดับสุญตา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยได้เร็วเช่นนี้”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นระดับรวมกายา”

“หากเป็นไปได้เล่า ผู้อาวุโสหาน ท่านจะทำเช่นไร”

“ดูว่าเขาจะมาโจมตีเมื่อไร หากเป็นพรุ่งนี้ เช่นนั้นข้าคงจะต้องหนีแล้ว”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 69 ระดับสุญตาขั้นห้า แขกผู้ทรงพลัง
อาจารย์รีบช่วยข้าด้วย!

พอได้ยินซูฉีตะโกนประโยคนี้ออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายก็พากันหยุดมือ มอบดูรอบด้านด้วยความประหม่า

ซูฉีมักจะพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ เหล่าผู้บำเพ็ญที่ตามล่าเขาล้วนตายลงอย่างน่าอนาถ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสงสัยมาโดยตลอดว่ามีคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของซูฉี

ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ของเขานั่นเอง!

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่ตะโกนด่าทอซูฉีด้วยความโมโหก่อนหน้านี้ตะคอกเสียงดังว่า “สหายเต๋า! เหตุใดต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือว่าจะใจฝ่อเสียแล้ว”

แต่ทว่า

ไม่มีผู้ใดตอบเขา

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนมองไปทางซูฉีอีกครั้ง

เขาค้นพบว่าซูฉีมีสีหน้าเย้ยหยัน ภาคภูมิใจ ราวกับว่าคนที่ตายจะไม่ใช่ตนเอง แค่กลับเป็นพวกเขา

ความมั่นใจเช่นนี้ของซูฉี ทำให้ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม

เปรี้ยงปราง

เมฆอัสนีรวมตัวกันในฉับพลัน ท้องฟ้ามืดลงในบัดดล

ผู้คนทั้งหลายต่างก็มองซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก

ฟู่ๆ

พายุบ้าระห่ำโหมพัดเข้ามา และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญหวาดกลัวเมื่อพบว่าพายุลูกนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยคมมีดวายุที่ตาเปล่ายากจะแยกแยะได้ แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง บาดจนเสื้อผ้าของพวกเขาถูกตัดขาดจนกระจุยกระจาย ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนต้องกระตุ้นพลังวิญญาณต้านทานไว้

นอกจากซูฉีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนประสบกับมหันตภัยกันหมดสิ้น

ซูฉีเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใสออกมา

สมกับเป็นผู้อาวุโส…

ไม่ใช่สิ!

อาจารย์!

อาจารย์ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!

เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง พายุโหมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาพฉากเช่นนี้ดูราวกับจุดสิ้นสุดของโลก

ยามที่สายฟ้าแรกฟาดลงมานั้น ทั้งเจ็ดสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝันร้ายได้มาถึงแล้ว

สิ่งที่มามันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา

แต่กลับเป็นสายฟ้าสวรรค์!

……

หนึ่งขวบปีฤดูกาลผ่านพ้น สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว เวลาหนึ่งปีก็ยาวนานมาก

เวลาสิบแปดเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเติบโต แต่สำหรับหานเจวี๋ย เวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับฝันหนึ่งตื่น

ตบะของเขาบรรลุระดับสุญตาขั้นห้าแล้ว!

การทะลวงระดับของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก จำต้องรู้ว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังติดอยู่ที่ระดับสุญตาขั้นแปด เซียวเอ้อร์ยังอยู่ระดับสุญตาขั้นสอง

เวลาที่ว่างจากการฝึกฝน หานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดวิชากระบี่บินไร้หัวใจให้กับสวินฉางอัน

หลังจากฝึกฝนกระบี่บินไร้หัวใจมาสิบปี สวินฉางอันต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตนเองดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องรักข้างเดียวในอดีตอีก

หารู้ไม่ว่าความรู้สึกของเขาได้ลดระดับลงแล้ว

หลังจากบรรลุระดับ หานเจวี๋ยก็คุ้นชินกับการนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งเซียวเอ้อร์

ในจดหมายสามารถเห็นได้เพียงสถานความสัมพันธ์ในทางที่ดีเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ของศัตรูหานเจวี๋ยไม่อาจมองเห็นได้ แต่ทว่ารูปของเซียวเอ้อร์ยังคงอยู่มาโดยตลอด เป็นการประจักษ์ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังคงมีชีวิตอยู่ดี

ก่อนที่เซียวเอ้อร์จะเสียชีวิต หานเจวี๋ยจะไม่เลิกสาปแช่งเขาอย่างแน่นอน

ใครใช้ให้เจ้านี่มีความอาฆาตแค้นเขาสูงเช่นนี้เล่า ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้กลับไม่มีทีท่าลดลงแม้แต่น้อย

ขณะที่หานเจวี๋ยทำการสาปแช่งอยู่นั้น เขาก็ตรวจสอบดูจดหมายในค่าความสัมพันธ์ไปด้วย

คนส่วนใหญ่ล้วนเผชิญกับการโจมตีในช่วงสิบแปดปีมานี้

หากจะบอกว่าเป็นการโจมตี ไม่สู้พูดว่าเป็นการต่อสู้กันจะดีกว่า

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถูกโจมตี คาดว่าคงมีหลายครั้งที่พวกเขาชิงลงมือก่อน

ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย จำต้องหลบหนีให้ไกล

บางทีระดับตบะของหานเจวี๋ยในตอนนี้อาจจะไม่กลัวการถูกโจมตี แต่หากมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนได้

ก็เหมือนกับหยางเทียนตงและโจวฝาน ที่มักจะครอบครองสถิติจำนวนครั้งในการถูกโจมตีเป็นสามอันดับแรกตลอด

ส่วนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมาทีหลังแต่กลับแซงหน้าไปก่อน และมีแนวโน้มที่จะกระโดดข้ามไปเหนือกว่าด้วย

ทุกครั้งที่เห็นสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นถูกโจมตี หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก

ใครใช้ให้เจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า!

แม้ว่าสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจะถูกตีอยู่ตลอด แต่ตบะของมันกลับทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ของคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าล้วนกำลังช่วงชิงโอกาสกันอยู่

หลายวันต่อมา

สิงหงเสวียนมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยไล่สวินฉางอันออกไป และให้สิงหงเสวียนเข้ามา

“สามี หลายสิบปีมานี้ข้าได้โอกาสวาสนาครั้งใหญ่ เข้าใจพลังเทพ ท่านอยากเรียนหรือไม่ ข้าสามารถถ่ายทอดให้ท่านได้!”

สิงหงเสวียนวิ่งเข้ามาตรงหน้าหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนกล่าวขึ้น ท่าทางราวกับจะมอบของที่ล้ำค่าให้เขา

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ข้ามีพลังเทพ ไม่ต้องการ”

สิงหงเสวียนได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่จริงๆ ตบะของนางบรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นแปดแล้ว

เกือบจะตามผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอย่างโจวฝานทันแล้ว

เมื่อสิงหงเสวียนพลิกมือขวา ผลสีเขียวสองลูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ปรากฏบนมือ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือผลมหัศจรรย์ที่ข้าพบในแดนลึกลับบรรพกาล หลังจากรับประทานไปแล้วจะสามารถบำรุงเลือดลม เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลัง น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ข้ารับประทานไปแค่ลูกเดียวก็สามารถสั่นสะเทือนเขาลูกเล็กๆ จนพังทลายได้ในกำปั้นเดียว”

พอหานเจวี๋ยมองดู ก็พบว่าผลสีเขียวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา

เขายื่นมือไปหยิบผลสีเขียวใส่ปากทันที

ชั่วพริบตาที่เข้าไปในปาก เนื้อของมันก็ละลายกลายเป็นกระแสไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายของหานเจวี๋ย

จากนั้นหานเจวี๋ยก็รู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วทั้งร่าง

ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก!

ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็กินผลสีเขียวที่เหลืออยู่ในมือจนหมด

สิงหงเสวียนยื่นผลสีเขียวที่เหลืออีกหนึ่งลูกให้หานเจวี๋ย

“นี่ไม่ดีกระมัง”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนใจ จากนั้นก็รับผลสีเขียวมาทานอย่างว่าง่าย

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ช่วยสามี ข้าก็ดีใจแล้ว”

หลังจากทานผลสีเขียวไปสองลูก หานเจวี๋ยก็นำอาวุธเวทจำนวนหนึ่งส่งให้กับสิงหงเสวียน

ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่เขาได้มาจากการสังหารศัตรูในตอนนั้น

ตอนแรกสิงหงเสวียนคิดจะปฏิเสธ แต่หานเจวี๋ยยังคงดื้อดึงที่จะให้ นางจึงได้แต่รับเอาไว้

สิงหงเสวียนรู้สึกหวานชื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้

“นำหุ่นเชิดสวรรค์ของเจ้าออกมา ข้าจะยกระดับเสียหน่อย” หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว

พอได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของสิงหงเสวียนก็แดงระเรื่อ นางนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมาด้วยท่าทีขวยเขิน

ทว่าหานเจวี๋ยกลับมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา

หุ่นเชิดสวรรค์นั้นกลับถูกสลักใบหน้าเอาไว้ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของหานเจวี๋ย แม้ว่ารูปหน้าจะต่างกันมาก แต่อวัยวะทั้งห้ากลับดูคล้ายคลึง

ที่แปลกประหลาดก็คือ บริเวณปากของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นั้นออกจะแดงๆ อยู่บ้าง ราวกับจะถูกทาทับด้วยชาด

หรือว่า…

หานเจวี๋ยไม่กล้าคิดลึก

เขาแสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และรับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์มาใส่พลังวิญญาณหกสายเข้าไปในนั้น

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ไม่มีขอบเขตพลัง เพียงแค่สับเปลี่ยนพลังวิญญาณหกสายที่อยู่ในนั้นก็จะสามารถยกระดับเป็นพลังต่อสู้ระดับสุญตาได้แล้ว

แน่นอนว่ามีแค่หานเจวี๋ยเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้ พลังวิญญาณของคนอื่นๆ จะไม่มีผลต่อมันเลยแม้แต่น้อย

หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ก็เทียบเท่ากับร่างแยกพลังวิญญาณที่หานเจวี๋ยปล่อยออกไป

การเปลี่ยนพลังวิญญาณให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ใหม่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด และก็ใช้เวลาไม่มากนัก

สิงหงเสวียนนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “ช่วงนี้โม่จู๋มาหาท่านบ้างหรือไม่”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์จากไปแล้ว แต่นางยังมีศัตรูหัวใจอีกหนึ่งคน

หายไปหลายปีเพียงนี้ นางไม่รู้ว่าโม่จู๋ได้เปิดฉากรุกหานเจวี๋ยบ้างหรือไม่

“มา”

หานเจวี๋ยตอบกลับ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้นางฟังอีกรอบ

สิงหงเสวียนฟังแล้วก็กล่าวด้วยความเสียดายว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

“เสียดายอะไร”

“ไม่มีอะไร”

สิงหงเสวียนโบกมือตอบ

ทั้งสองเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ สิงหงเสวียนพูดถึงประสบการณ์ที่พบเจอในหลายปีมานี้ หานเจวี๋ยจึงได้ทราบทิศทางของแดนบำเพ็ญพรตจากปากนาง

สิบกว่าวันต่อมา

สิงหงเสวียนเดินไปถึงปากถ้ำ หลังจากมั่นใจแล้วว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว จึงจากไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ

หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตั่ง เขาดึงมุมผ้าที่มีรอยย่นเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา

ทว่าบนใบหน้าของเขายังเผยรอยยิ้มให้เห็นเล็กน้อย

……

ห้าปีต่อมา

หลี่ชิงจื่อเดินทางมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยให้สวินฉางอันออกไป หลังจากนั้นให้หลี่ชิงจื่อเข้ามา

เมื่อเห็นสีหน้าที่กลัดกลุ้มของหลี่ชิงจื่อ หานเจวี๋ยก็ใจเต้นตึกตักทันที

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?

เพิ่งจะสงบสุขได้ไม่กี่สิบปีเองนะ!

หลี่ชิงจื่อหาเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามหานเจวี๋ยด้วยตนเอง ถอนหายใจกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหาน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยที่อยู่ข้างๆ ได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว ผู้นำคือสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ไม่รู้ว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตสรรหาแขกผู้ทรงพลังท่านหนึ่งมาจากที่ใด อีกทั้งยังได้ทิ้งคำพูดไว้ว่าต้องการรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต่างๆ ที่อยู่รอบด้านให้เป็นหนึ่งเดียว”

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ปิดด่านฝึกฝนดีๆ เพื่อซาบซึ้งกับสัจธรรมฟ้าดิน เสาะแสวงหาความอมตะนิจนิรันดร์ เหตุใดถึงแย่งชิงพื้นที่ราวกับชาวบ้านธรรมดา”

หลี่ชิงจื่อส่ายหน้ากล่าวว่า “ความทะเยอทะยานของสายมารมีแต่จะเพิ่มขึ้นตามตบะ อีกทั้งการครอบครองแดนบำเพ็ญพรตยิ่งมาก ก็สามารถยึดกุมทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรได้มาก”

“แขกผู้ทรงพลังท่านนั้นแข็งแกร่งเพียงใด”

“ไม่ชัดเจน ต่ำสุดก็ระดับสุญตา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถรวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต้าเว่ยได้เร็วเช่นนี้”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นระดับรวมกายา”

“หากเป็นไปได้เล่า ผู้อาวุโสหาน ท่านจะทำเช่นไร”

“ดูว่าเขาจะมาโจมตีเมื่อไร หากเป็นพรุ่งนี้ เช่นนั้นข้าคงจะต้องหนีแล้ว”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+