ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 426 สิ้นจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน กลายเป็นมรรคาสวรรค์

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 426 สิ้นจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน กลายเป็นมรรคาสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 426 สิ้นจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน กลายเป็นมรรคาสวรรค์

เมื่อได้ฟังคำพูดของฟางเหลียง หลี่เสวียนเอ้าก็หน้าถอดสี คล้ายกับถูกขยี้บาดแผล

จริงๆ แล้วตัวเขาเองก็เคยตั้งคำถามเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงต้องยอมล้มเลิกไป

หลี่เสวียนเอ้าและหลี่เต้าคงนั้นเข้าสู่เคราะห์แล้ว แม้คิดอยากจะถอนตัว แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว

หลี่เต้าคงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงต่อสู้เพื่อตนเอง หรือต่อสู้เพื่ออริยบุคคกันแน่”

ฟางเหลียงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะกล่าว “เหตุใดต้องถามออกมาตรงๆ ด้วยเล่า พวกเจ้าทั้งสองต่างก็ได้รับการปกป้องจากนิกายเหรินมาโดยตลอด จึงเติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างราบรื่นไร้กังวล เรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วตัวเรานั้นต้องการสิ่งใด พวกเจ้าเองก็คงจะรับรู้ได้เช่นกัน”

หลี่เต้าคงขมวดคิ้ว

หลี่เสวียนเอ้ารู้สึกโกรธจัด จึงชักกระบี่ออกมาและพูดว่า “ฟางเหลียง เจ้าชักจะเกินไปแล้ว เจ้าคิดว่าเราสองคนเป็นบริวารของเจ้าหรือไร”

ฟางเหลียงส่ายหน้าและกล่าวว่า “เรายังให้การเคารพยกย่องพวกเจ้าทั้งสองไม่พออีกหรือแผนการของอริยะไม่อาจก้าวล่วงได้ ตัวเราเองก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้”

หลี่เต้าคงหมุนตัวเดินจากไปทันที “ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถิด”

หลี่เสวียนเอ้าจ้องมองฟางเหลียงก่อนครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามเขาออกไป

หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเหลียงก็พลันหุบลง ฝ่ามือใต้แขนเสื้อกำแน่น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

สิบปีต่อมา

งานประลองประจำศตวรรษเพิ่งจบลง ในบรรดาศิษย์ของหานเจวี๋ย ไม่มีใครสามารถเอาชนะลี่เหยาได้

เจียงอี้เองก็สู้ต่อกับลี่เหยาหนึ่งยก เป็นการต่อสู้ที่กินเวลายาวนาน

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านพ้นไป เจียงอี้ก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป

เขาเป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งเชียวนะ จะพ่ายแพ้ให้กับเด็กเมื่อวานซืนได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงผู้หญิง

สิงหงเสวียนไม่ได้เข้าร่วมการประลอง แต่นางรู้สึกทึ่งกับแบบจำลองการทดสอบ พร้อมกับสงสัยในตบะของหานเจวี๋ยมากยิ่งขึ้น

นางไม่เคยเห็นพลังวิเศษระดับนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อน

ก่อนหน้านี้นางได้ยินมาว่าหานเจวี๋ยพิสูจน์ต้าหลัวแล้ว

‘เร็วขนาดนี้เชียว…ช่างเก่งกาจเกินใครจริงๆ!’

สิงหงเสวียนเป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์ แต่หานเจวี๋ยไม่ใช่ ทั้งยังอายุน้อยกว่าตนมาก

ตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก หานเจวี๋ยยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจงานประลองประจำศตวรรษในครั้งนี้ งานนี้มู่หรงฉี่เป็นคนจัด และไม่มีของรางวัลอะไร แต่ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นก็ยังคงตั้งตาคอยกันเช่นเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง

หานเจวี๋ยหยุดฝึกบำเพ็ญ เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู และอ่านจดหมายไปด้วย

สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และวังสวรรค์ยังคงดำเนินต่อไป เวลานี้ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ

หลี่เต้าคงยังคงต่อสู้กับเจียงตู๋กูอย่างเอาเป็นเอาตาย จนตนเองบาดเจ็บสาหัสอยู่ครั้งหนึ่ง

หานเจวี๋ยไม่เข้าใจความคิดของผู้บำเพ็ญในนิกายเหริน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้นกับการสู้กับคนของตนเองเหลือเกิน

ครั้งนี้ หานเจวี๋ยตั้งใจจะใช้อายุขัยห้าหมื่นล้านปีสาปแช่งจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน

ในตอนที่อายุขัยของเขาลดลงเหลือสี่หมื่นล้านปี เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง

[จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนศัตรูคู่อาฆาตของท่านถูกแรงกรรมพันพัวกาย พลังเวทปะทุ เจตจำนงสุดท้ายถูกมารสวรรค์กลืนกิน ตัวตายมรรคผลสลาย เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]

‘ในที่สุดก็ตายแล้วอย่างนั้นหรือ’

หานเจวี๋ยรีบเปิดดูค่าความสัมพันธ์ และเห็นภาพประจำตัวของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนหายไปโดยสมบูรณ์

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ผู้ที่เกลียดชังเขาในระดับหกดาว สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือเขาอีกคนแล้ว

นี่แหละมรรควิถี สหายเต๋าตายแต่เราต้องรอด!

หานเจวี๋ยท่องบทสวดพระไวโรจนพุทธะท่อนหนึ่ง เพื่อเป็นการส่งวิญญาณของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน

แม้ว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนจะสูญสิ้นทั้งร่างกายและจิตวิญญาณไปทั้งหมดแล้ว แต่หานเจวี๋ยก็รู้สึกดีขึ้น หากได้ทำเช่นนี้

อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็เป็นถึงผู้ทรงพลังคนหนึ่ง เป็นถึงมหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต เป็นตัวตนที่สั่นสะเทือนโลกาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

หานเจวี๋ยรู้สึกผิดต่อเขาเล็กน้อย ที่เขาต้องตายไปโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้

แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่ายก็คงอยู่ไม่นานนัก

‘ยังมีอีกคน ต้าจิ่วเทียน! ต้องสาปแช่งเขาต่อ!’

ห้าวันให้หลัง หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลงอีกครั้ง และกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อเพื่อทะลวงระดับเซียนทองต้าหลัวระยะกลาง

ในขณะเดียวกันปราณเทพมารทั้งสองกลุ่มก็ยังคงดูดซับปราณอนธการภายในโลกดารา

นอกจากโลกเขย่าพิภพ ดาวดวงอื่นยังไม่ได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา นั่นจึงเปรียบเสมือนกับคลังที่สะสมพลังเวทเอาไว้

หานเจวี๋ยเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ถ้าหากโลกดาราแห่งนี้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยตัวมันเอง เช่นนั้นแล้วเขาจะกลายเป็นมรรคาสวรรค์หรือไม่

เป็นไปได้หรือไม่ว่าดินแดนที่ว่านี้ แท้จริงแล้วเป็นร่างกายของตัวตนอันลึกลับสุดจะจินตนาการถึง

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว เขาก็อดสั่นกลัวขึ้นมาไม่ได้

ตัวตนเช่นนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน

ในฐานะเซียนทองต้าหลัว หานเจวี๋ยไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังสามารถมองเห็นกฎเกณฑ์ของมรรคาสวรรค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ผลกรรมโชคชะตา แต่ในขณะเดียวกันเขากลับไม่อาจสัมผัสได้ว่าภายนอกมรรคาสวรรค์นั้นคืออะไร เช่นเดียวกับแดนต้องห้ามอันธการ เพราะทันทีที่ก้าวออกมานอกเขตมรรคาสวรรค์แล้ว เขาก็สัมผัสถึงสิ่งใดไม่ได้อีกเลย

นี่คือช่องว่างของขอบเขตพลัง

บางทีหากเขาพิสูจน์มรรคและกลายเป็นอริยะแล้ว เขาอาจจะสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตนอกมรรคาสวรรค์ได้

ว่ากันว่าแดนเทพหวนปัจฉิมซ่อนเร้นอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ แต่หานเจวี๋ยกลับไม่เคยพบแดนเทพหวนปัจฉิมเลยสักครั้ง

ณ แดนเซียน เผ่าพันธุ์มนุษย์

โจวฝานยืนอยู่อยู่บนแท่นบูชาแห่งหนึ่งอย่างผ่าเผย เมฆฝนบนท้องฟ้าบิดเกลียวก่อตัวเป็นคลื่นวนขนาดใหญ่ ดูน่าสะพรึงกลัว

โม่ฟู่โฉวและบุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่เบื้องล่างของแท่นบูชา กำลังถกเกียงกันยกใหญ่

“สหายโจวช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ที่สามารถกระตุ้นมรรคาสวรรค์ได้”

“ว่ากันว่าเขาได้รับวิชาสืบทอดจากจักรพรรดิมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นจักรพรรดิมนุษย์ท่านใด”

“นี่คือยุครุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ วิชาสืบทอดของจักรพรรดิมนุษย์ที่ผ่านมาต่างตกทอดมาสู่เราทั้งสิ้น พวกเราต้องเอาชนะวังสวรรค์ได้อย่างแน่นอน”

“อนิจจา สมรภูมิสวรรค์ชั้นเจ็ดมีคนตายหลายสิบล้านคน ช่างน่าเศร้านัก”

“ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาเจราจากันไม่ได้เลยหรือ”

“เจรจากันคงเป็นไปไม่ได้ ว่ากันว่าอริยะมรรคาสวรรค์ต้องการจะเปลี่ยนตัวเอกมรรคาสวรรค์ พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกทอดทิ้งแล้ว”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาของบุตรแห่งสวรรค์ โม่ฟู่โฉวก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้

เขาไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทะเยอทะยานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ใครถูกใครผิดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

โจวฝานหันไปมองโม่ฟู่โฉวอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่โม่ เจ้าเห็นว่าพลังของมรรคาสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง สามารถเอาชนะหานเจวี๋ยได้หรือไม่”

เพียงเขายกมือขวาขึ้น อัสนีบาตมรรคาสวรรค์ก็เกี่ยวกระหวัดอยู่กลางฝ่ามือของเขา

ท่าทางของเขาในตอนนี้ทำให้ดูราวกับทพเจ้าก็ไม่ปาน

โม่ฟู่โฉวยิ้มและเอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้าต้องหมกมุ่นอยู่แต่กับการเอาชนะเขาด้วย เจ้าได้รับโอกาสวาสนาตั้งมากมายถึงเพียงนี้ ส่วนเขาเอาแต่ปิดด่านฝึกฝน การคิดแต่จะเอาชนะเขานั้น ดูออกจะข่มเหงผู้คนไปหน่อยกระมัง”

โจวฝานได้เป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว คู่ต่อสู้ในระดับจักรพรรดินั้นมีเพียงหยิบมือ ต่อให้พรสวรรค์ของหานเจวี๋ยจะเลิศเลอปานใด แต่การที่เขาเอาแต่ปิดด่านฝึกฝน จะเทียบกับโจวฝานได้อย่างไร

“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ข้าถึงรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาสักที” โจวฝานส่ายหน้า พลางกล่าวยิ้มๆ

เขารู้สึกว่าตนเองถูกทำร้ายจนเสียสติไปแล้ว

นอกจากหานเจวี๋ยแล้ว ไม่ว่าจะต่อสู้กับใครก็ตาม หรือแม้แต่กับผู้ทรงพลังนับแต่บรรพกาลเขาก็ล้วนมั่นใจในชัยชนะทั้งสิ้น หากแต่ทุกครั้งที่คิดถึงหานเจวี๋ย เขากลับรู้สึกสูญเสียความมั่นใจไปเสียอย่างนั้น

โม่ฟู่โฉวไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงแต่มองขึ้นไปยังเมฆพายุที่หมุนวนเบื้องบน ในดวงตาฉายแววริษยาออกมา

เขาเองก็อยากจะอยู่ในระดับเดียวกับโจวฝาน แต่ดวงชะตาของเขาไม่ดีเท่ากับโจวฝาน และเขาเองก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเท่าโจวฝาน

เคยมีครั้งหนึ่งที่โอกาสวาสนาปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง ทั้งคู่ทนทุกข์ทรมานไปด้วยกัน ทว่ากลับเขาถอนตัวเสียก่อน ส่วนโจวฝานยังคงกัดฟันทนทุกข์ต่อไป จนในที่สุดก็ได้รับวิชาสืบทอดมาครอบครอง

หลังจากนั้น โม่ฟู่โฉวก็เข้าใจแล้วว่าตนเองไม่มีทางไล่ตามอีกฝ่ายได้ทันอีกตลอดไป

เขาเองก็คาดหวังในตัวโจวฝานอย่างมาก ขอเพียงรอดพ้นจากมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้ โจวฝานก็จะผงาดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาทั้งสองคนก็จะเป็นจริง

ในขณะนี้เอง ก็มีใครคนหนึ่งขี่กระบี่มา อานุภาพอันทรงพลังทำให้เมฆพายุมรรคาสวรรค์กระจัดกระจายไปในทันที คนทั้งหมดล้วนหันไปมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว

“นั่นมันจ้าวเซวียนหยวน!”

ใครบางคนอุทานขึ้น เมื่อชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมา ผู้คนต่างก็พากันส่งเสียงอื้ออึงทันที

โจวฝานหันไปมอง คิ้วขมวดแน่น

จ้าวเซวียนหยวนหน้าตาหล่อเหลา สง่างามราวกับเซียนจากสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์

เขามาหยุดอยู่เหนือศีรษะของโจวฝาน และเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งยโส “เจ้า มากับข้า ข้าจะมอบโอกาสวาสนาให้แก่เจ้า”

………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 426 สิ้นจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน กลายเป็นมรรคาสวรรค์

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 426 สิ้นจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน กลายเป็นมรรคาสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 426 สิ้นจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน กลายเป็นมรรคาสวรรค์

เมื่อได้ฟังคำพูดของฟางเหลียง หลี่เสวียนเอ้าก็หน้าถอดสี คล้ายกับถูกขยี้บาดแผล

จริงๆ แล้วตัวเขาเองก็เคยตั้งคำถามเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงต้องยอมล้มเลิกไป

หลี่เสวียนเอ้าและหลี่เต้าคงนั้นเข้าสู่เคราะห์แล้ว แม้คิดอยากจะถอนตัว แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว

หลี่เต้าคงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงต่อสู้เพื่อตนเอง หรือต่อสู้เพื่ออริยบุคคกันแน่”

ฟางเหลียงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะกล่าว “เหตุใดต้องถามออกมาตรงๆ ด้วยเล่า พวกเจ้าทั้งสองต่างก็ได้รับการปกป้องจากนิกายเหรินมาโดยตลอด จึงเติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างราบรื่นไร้กังวล เรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วตัวเรานั้นต้องการสิ่งใด พวกเจ้าเองก็คงจะรับรู้ได้เช่นกัน”

หลี่เต้าคงขมวดคิ้ว

หลี่เสวียนเอ้ารู้สึกโกรธจัด จึงชักกระบี่ออกมาและพูดว่า “ฟางเหลียง เจ้าชักจะเกินไปแล้ว เจ้าคิดว่าเราสองคนเป็นบริวารของเจ้าหรือไร”

ฟางเหลียงส่ายหน้าและกล่าวว่า “เรายังให้การเคารพยกย่องพวกเจ้าทั้งสองไม่พออีกหรือแผนการของอริยะไม่อาจก้าวล่วงได้ ตัวเราเองก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้”

หลี่เต้าคงหมุนตัวเดินจากไปทันที “ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถิด”

หลี่เสวียนเอ้าจ้องมองฟางเหลียงก่อนครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามเขาออกไป

หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเหลียงก็พลันหุบลง ฝ่ามือใต้แขนเสื้อกำแน่น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

สิบปีต่อมา

งานประลองประจำศตวรรษเพิ่งจบลง ในบรรดาศิษย์ของหานเจวี๋ย ไม่มีใครสามารถเอาชนะลี่เหยาได้

เจียงอี้เองก็สู้ต่อกับลี่เหยาหนึ่งยก เป็นการต่อสู้ที่กินเวลายาวนาน

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านพ้นไป เจียงอี้ก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป

เขาเป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งเชียวนะ จะพ่ายแพ้ให้กับเด็กเมื่อวานซืนได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงผู้หญิง

สิงหงเสวียนไม่ได้เข้าร่วมการประลอง แต่นางรู้สึกทึ่งกับแบบจำลองการทดสอบ พร้อมกับสงสัยในตบะของหานเจวี๋ยมากยิ่งขึ้น

นางไม่เคยเห็นพลังวิเศษระดับนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อน

ก่อนหน้านี้นางได้ยินมาว่าหานเจวี๋ยพิสูจน์ต้าหลัวแล้ว

‘เร็วขนาดนี้เชียว…ช่างเก่งกาจเกินใครจริงๆ!’

สิงหงเสวียนเป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์ แต่หานเจวี๋ยไม่ใช่ ทั้งยังอายุน้อยกว่าตนมาก

ตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก หานเจวี๋ยยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจงานประลองประจำศตวรรษในครั้งนี้ งานนี้มู่หรงฉี่เป็นคนจัด และไม่มีของรางวัลอะไร แต่ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นก็ยังคงตั้งตาคอยกันเช่นเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง

หานเจวี๋ยหยุดฝึกบำเพ็ญ เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู และอ่านจดหมายไปด้วย

สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และวังสวรรค์ยังคงดำเนินต่อไป เวลานี้ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ

หลี่เต้าคงยังคงต่อสู้กับเจียงตู๋กูอย่างเอาเป็นเอาตาย จนตนเองบาดเจ็บสาหัสอยู่ครั้งหนึ่ง

หานเจวี๋ยไม่เข้าใจความคิดของผู้บำเพ็ญในนิกายเหริน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้นกับการสู้กับคนของตนเองเหลือเกิน

ครั้งนี้ หานเจวี๋ยตั้งใจจะใช้อายุขัยห้าหมื่นล้านปีสาปแช่งจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน

ในตอนที่อายุขัยของเขาลดลงเหลือสี่หมื่นล้านปี เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง

[จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนศัตรูคู่อาฆาตของท่านถูกแรงกรรมพันพัวกาย พลังเวทปะทุ เจตจำนงสุดท้ายถูกมารสวรรค์กลืนกิน ตัวตายมรรคผลสลาย เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]

‘ในที่สุดก็ตายแล้วอย่างนั้นหรือ’

หานเจวี๋ยรีบเปิดดูค่าความสัมพันธ์ และเห็นภาพประจำตัวของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนหายไปโดยสมบูรณ์

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ผู้ที่เกลียดชังเขาในระดับหกดาว สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือเขาอีกคนแล้ว

นี่แหละมรรควิถี สหายเต๋าตายแต่เราต้องรอด!

หานเจวี๋ยท่องบทสวดพระไวโรจนพุทธะท่อนหนึ่ง เพื่อเป็นการส่งวิญญาณของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน

แม้ว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนจะสูญสิ้นทั้งร่างกายและจิตวิญญาณไปทั้งหมดแล้ว แต่หานเจวี๋ยก็รู้สึกดีขึ้น หากได้ทำเช่นนี้

อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็เป็นถึงผู้ทรงพลังคนหนึ่ง เป็นถึงมหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต เป็นตัวตนที่สั่นสะเทือนโลกาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

หานเจวี๋ยรู้สึกผิดต่อเขาเล็กน้อย ที่เขาต้องตายไปโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้

แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่ายก็คงอยู่ไม่นานนัก

‘ยังมีอีกคน ต้าจิ่วเทียน! ต้องสาปแช่งเขาต่อ!’

ห้าวันให้หลัง หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลงอีกครั้ง และกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อเพื่อทะลวงระดับเซียนทองต้าหลัวระยะกลาง

ในขณะเดียวกันปราณเทพมารทั้งสองกลุ่มก็ยังคงดูดซับปราณอนธการภายในโลกดารา

นอกจากโลกเขย่าพิภพ ดาวดวงอื่นยังไม่ได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา นั่นจึงเปรียบเสมือนกับคลังที่สะสมพลังเวทเอาไว้

หานเจวี๋ยเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ถ้าหากโลกดาราแห่งนี้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยตัวมันเอง เช่นนั้นแล้วเขาจะกลายเป็นมรรคาสวรรค์หรือไม่

เป็นไปได้หรือไม่ว่าดินแดนที่ว่านี้ แท้จริงแล้วเป็นร่างกายของตัวตนอันลึกลับสุดจะจินตนาการถึง

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว เขาก็อดสั่นกลัวขึ้นมาไม่ได้

ตัวตนเช่นนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน

ในฐานะเซียนทองต้าหลัว หานเจวี๋ยไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังสามารถมองเห็นกฎเกณฑ์ของมรรคาสวรรค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ผลกรรมโชคชะตา แต่ในขณะเดียวกันเขากลับไม่อาจสัมผัสได้ว่าภายนอกมรรคาสวรรค์นั้นคืออะไร เช่นเดียวกับแดนต้องห้ามอันธการ เพราะทันทีที่ก้าวออกมานอกเขตมรรคาสวรรค์แล้ว เขาก็สัมผัสถึงสิ่งใดไม่ได้อีกเลย

นี่คือช่องว่างของขอบเขตพลัง

บางทีหากเขาพิสูจน์มรรคและกลายเป็นอริยะแล้ว เขาอาจจะสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตนอกมรรคาสวรรค์ได้

ว่ากันว่าแดนเทพหวนปัจฉิมซ่อนเร้นอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ แต่หานเจวี๋ยกลับไม่เคยพบแดนเทพหวนปัจฉิมเลยสักครั้ง

ณ แดนเซียน เผ่าพันธุ์มนุษย์

โจวฝานยืนอยู่อยู่บนแท่นบูชาแห่งหนึ่งอย่างผ่าเผย เมฆฝนบนท้องฟ้าบิดเกลียวก่อตัวเป็นคลื่นวนขนาดใหญ่ ดูน่าสะพรึงกลัว

โม่ฟู่โฉวและบุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่เบื้องล่างของแท่นบูชา กำลังถกเกียงกันยกใหญ่

“สหายโจวช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ที่สามารถกระตุ้นมรรคาสวรรค์ได้”

“ว่ากันว่าเขาได้รับวิชาสืบทอดจากจักรพรรดิมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นจักรพรรดิมนุษย์ท่านใด”

“นี่คือยุครุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ วิชาสืบทอดของจักรพรรดิมนุษย์ที่ผ่านมาต่างตกทอดมาสู่เราทั้งสิ้น พวกเราต้องเอาชนะวังสวรรค์ได้อย่างแน่นอน”

“อนิจจา สมรภูมิสวรรค์ชั้นเจ็ดมีคนตายหลายสิบล้านคน ช่างน่าเศร้านัก”

“ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาเจราจากันไม่ได้เลยหรือ”

“เจรจากันคงเป็นไปไม่ได้ ว่ากันว่าอริยะมรรคาสวรรค์ต้องการจะเปลี่ยนตัวเอกมรรคาสวรรค์ พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกทอดทิ้งแล้ว”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาของบุตรแห่งสวรรค์ โม่ฟู่โฉวก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้

เขาไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทะเยอทะยานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ใครถูกใครผิดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

โจวฝานหันไปมองโม่ฟู่โฉวอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่โม่ เจ้าเห็นว่าพลังของมรรคาสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง สามารถเอาชนะหานเจวี๋ยได้หรือไม่”

เพียงเขายกมือขวาขึ้น อัสนีบาตมรรคาสวรรค์ก็เกี่ยวกระหวัดอยู่กลางฝ่ามือของเขา

ท่าทางของเขาในตอนนี้ทำให้ดูราวกับทพเจ้าก็ไม่ปาน

โม่ฟู่โฉวยิ้มและเอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้าต้องหมกมุ่นอยู่แต่กับการเอาชนะเขาด้วย เจ้าได้รับโอกาสวาสนาตั้งมากมายถึงเพียงนี้ ส่วนเขาเอาแต่ปิดด่านฝึกฝน การคิดแต่จะเอาชนะเขานั้น ดูออกจะข่มเหงผู้คนไปหน่อยกระมัง”

โจวฝานได้เป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว คู่ต่อสู้ในระดับจักรพรรดินั้นมีเพียงหยิบมือ ต่อให้พรสวรรค์ของหานเจวี๋ยจะเลิศเลอปานใด แต่การที่เขาเอาแต่ปิดด่านฝึกฝน จะเทียบกับโจวฝานได้อย่างไร

“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ข้าถึงรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาสักที” โจวฝานส่ายหน้า พลางกล่าวยิ้มๆ

เขารู้สึกว่าตนเองถูกทำร้ายจนเสียสติไปแล้ว

นอกจากหานเจวี๋ยแล้ว ไม่ว่าจะต่อสู้กับใครก็ตาม หรือแม้แต่กับผู้ทรงพลังนับแต่บรรพกาลเขาก็ล้วนมั่นใจในชัยชนะทั้งสิ้น หากแต่ทุกครั้งที่คิดถึงหานเจวี๋ย เขากลับรู้สึกสูญเสียความมั่นใจไปเสียอย่างนั้น

โม่ฟู่โฉวไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงแต่มองขึ้นไปยังเมฆพายุที่หมุนวนเบื้องบน ในดวงตาฉายแววริษยาออกมา

เขาเองก็อยากจะอยู่ในระดับเดียวกับโจวฝาน แต่ดวงชะตาของเขาไม่ดีเท่ากับโจวฝาน และเขาเองก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเท่าโจวฝาน

เคยมีครั้งหนึ่งที่โอกาสวาสนาปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง ทั้งคู่ทนทุกข์ทรมานไปด้วยกัน ทว่ากลับเขาถอนตัวเสียก่อน ส่วนโจวฝานยังคงกัดฟันทนทุกข์ต่อไป จนในที่สุดก็ได้รับวิชาสืบทอดมาครอบครอง

หลังจากนั้น โม่ฟู่โฉวก็เข้าใจแล้วว่าตนเองไม่มีทางไล่ตามอีกฝ่ายได้ทันอีกตลอดไป

เขาเองก็คาดหวังในตัวโจวฝานอย่างมาก ขอเพียงรอดพ้นจากมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้ โจวฝานก็จะผงาดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาทั้งสองคนก็จะเป็นจริง

ในขณะนี้เอง ก็มีใครคนหนึ่งขี่กระบี่มา อานุภาพอันทรงพลังทำให้เมฆพายุมรรคาสวรรค์กระจัดกระจายไปในทันที คนทั้งหมดล้วนหันไปมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว

“นั่นมันจ้าวเซวียนหยวน!”

ใครบางคนอุทานขึ้น เมื่อชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมา ผู้คนต่างก็พากันส่งเสียงอื้ออึงทันที

โจวฝานหันไปมอง คิ้วขมวดแน่น

จ้าวเซวียนหยวนหน้าตาหล่อเหลา สง่างามราวกับเซียนจากสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์

เขามาหยุดอยู่เหนือศีรษะของโจวฝาน และเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งยโส “เจ้า มากับข้า ข้าจะมอบโอกาสวาสนาให้แก่เจ้า”

………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+