ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 835 เทพมารอนธการระดับยอดมหามรรค!

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 835 เทพมารอนธการระดับยอดมหามรรค! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 835 เทพมารอนธการระดับยอดมหามรรค!

ห้าหมื่นปีผ่านไป

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ดวงดาวนับไม่ถ้วนในดวงตาส่องประกายสะท้อนกันและกัน ราวกับมีโลกกว้างใหญ่สองใบซุกซ่อนอยู่ด้านใน

เวลานี้ ภายในโลกอนธการ ดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงล้วนกลายเป็นสีม่วงคราม ส่องประกายระยิบระยับชวนหลงใหลอยู่ในโลกอนธการที่เต็มไปด้วยหมอกม่วง

ระหว่างที่ฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาหลายแสนปี ดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงนี้ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเก้าครั้ง บรรลุถึงขีดจำกัด ไม่อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อีก!

ในดาวแต่ละดวงล้วนแฝงพลังเวทแกร่งกล้าไร้ที่สิ้นสุดไว้

หลังจากนั้นเรื่องที่หานเจวี๋ยต้องใคร่ครวญถึงก็คือทำอย่างไรกายเนื้อและวิญญาณของตนถึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นพร้อมกัน ก้าวเข้าสู่ระดับยอดมหามรรคอย่างแท้จริง!

เขามีความมั่นใจแล้ว

จากนั้น เขาผสานมหามรรคต้นกำเนิดเข้าไปในดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงนี้ ดำเนินการทดสอบดู สุดท้ายแล้วยอดมหามรรคก็ยังคงเป็นมหามรรคอยู่ คาดว่าคงมีความเกี่ยวข้องกับมหามรรคอยู่บ้าง ขอเพียงก้าวข้ามยอดมหามรรคไปได้ บรรลุถึงระดับผู้สร้างมรรคา ถึงจะหลุดพ้นจากมหามรรค หรืออย่างน้อยมหามรรคก็ไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้นอีก

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู อยากเห็นสถานการณ์ของฟ้าบุพกาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

[นักพรตมิ่งอวิ้นสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[เทพสูงสุดหยวนสื่อสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[ผานกู่สหายของท่านฟื้นคืนชีพ]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านรับสืบทอดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค]

[หานทั่วบุตรชายของท่านครอบครองพลังวิเศษอำนาจศักดิ์สิทธิ์]

[อี๋เทียนสหายของท่านครอบครองพลังวิเศษอำนาจศักดิ์สิทธิ์]

[นักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่านได้รับการเข้าฝันจากผู้ทรงพลังลึกลับ วิญญาณได้รับความเสียหาย]

….

นับตั้งแต่ผานกู่มาเข้าฝันหานเจวี๋ย ค่าความเกลียดชังก็กลายเป็นค่าความประทับใจ เพียงแต่ระดับความประทับใจไม่สูงนัก

สำหรับการฟื้นคืนชีพของผานกู่ หานเจวี๋ยไม่ได้ประหลาดใจ ถึงขั้นที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

แต่หวงจุนเทียนกลับทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจ

คนผู้นี้มีความสามารถในการแทรกซึมจริงๆ!

หานทั่วและอี๋เทียนถูกสะกดไว้นานหลายปี ขณะนี้ไม่สิ้นชีพ กลับได้เรียนรู้พลังวิเศษ ก็นับว่าสมเหตุสมผล

มองจากจุดนี้ บางทีผู้นำเหล่าดวงจิตอาจจะมีแผนการอื่นสำหรับพวกเขา

หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่ไม่ได้ถูกทุบตีแล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

หลังอ่านจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็สอดส่องมรรคาสวรรค์ต่อ พบว่าพวกเต้าจื้อจุนรออยู่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสามแล้ว เนื่องจากแดนเซียนไม่อนุญาตให้อริยะเข้ามา พวกเขาจึงกลับเข้าสู่เขตเซียนร้อยคีรีไม่ได้

เหล่าตานก็มาด้วย กำลังรออยู่ที่ตำหนักเอกภพ

ภายในแดนเซียน มหาเคราะห์ระเบิดขึ้นแล้ว!

ฉินหลิงและซย่าจื้อจุนนำเหล่าผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนเปิดศึกกับสำนักพุทธ สำนักดวงชะตามากมายหลายแห่งส่งกำลังไปสนับสนุนสำนักพุทธ สงครามขยายตัวเป็นวงกว้าง เผ่าพันธุ์และกลุ่มอิทธิพลผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเรื่องนี้ หานเจวี๋ยมองอยู่ครู่เดียวก็หมดความสนใจ

อาจเป็นเพราะมหาเคราะห์ถูกวางแผนไว้แล้ว ทำให้ในมุมมองของเขารู้สึกว่ามหาเคราะห์ขาดความตื่นเต้นสดใหม่ไป

จากนั้น หานเจวี๋ยก็เข้าฝันนักพรตเต๋าเสินเผา

ในแดนความฝัน

นักพรตเต๋าเสินเผาลืมตาขึ้น หลังจากมองเห็นหานเจวี๋ยก็รีบคุกเข่าทำความเคารพ

หานเจวี๋ยสอบถามสถานการณ์ที่เขาพบเจอในระยะนี้ นักพรตเต๋าเสินเผาก็ไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าออกมาอย่างละเอียด

ก่อนหน้านี้ผู้นำเหล่าดวงจิตเรียกรวมตัวดวงจิตมหามรรคทั้งหมดให้มุ่งไปสังหารผานกู่ เขาไม่ได้ไป จึงล่วงเกินผู้นำเหล่าดวงจิตเข้า ภายหลังเผชิญการเข้าฝันลงโทษจากผู้นำเหล่าดวงจิต แน่นอนว่าเป็นเพียงการลงโทษเท่านั้น

ผู้นำเหล่าดวงจิตตักเตือนนักพรตเต๋าเสินเผา ว่าอย่าได้ขัดขืนต่อหน้าที่ของดวงจิตมหามรรค

หานเจวี๋ยถาม “ผู้นำเหล่าดวงจิตแข็งแกร่งมากหรือ เทียบกับเทวีตราวินัยแล้วเป็นอย่างไร”

นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ย่อมแข็งแกร่งกว่ามากนักขอรับ ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นตัวตนระดับสุดยอดแข็งแกร่งจากทั่วทั้งฟ้าบุพกาล ตอนแรกเหล่าดวงจิตมหามรรคมิใช่คู่ต่อสู้ของผานกู่เลย ผู้นำเหล่าดวงจิตจำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง สังหารผานกู่ หากเปลี่ยนคำพูดคือ ผานกู่สิ้นชีพด้วยน้ำมือของผู้นำเหล่าดวงจิต”

“เมื่อเอ่ยถึงผู้นำเหล่าดวงจิต มีความลึกลับอย่างยิ่ง พวกเราเหล่าดวงจิตมหามรรคก็ไม่เคยพบตัวจริงของเขามาก่อน ได้ยินว่าเบื้องบนของเขายังมีตัวตนอย่างจอมเทวาฟ้าบุพกาลอยู่ แต่ข้าก็เพียงเคยได้ยินเขาพูดมาเท่านั้น คาดเดาว่าไม่ได้มีจอมเทวาฟ้าบุพกาลอยู่ ตัวเขาต่างหากที่เป็นผู้ปกครองฟ้าบุพกาลที่แท้จริง”

สีหน้าหานเจวี๋ยไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าในใจกลับนึกสงสัยในตัวผู้นำเหล่าดวงจิตยิ่งขึ้น

คนผู้นี้ปกปิดฐานะตัวตนเอาไว้ตลอดมาอย่างนั้นหรือ

น่าสนใจอยู่บ้าง!

นักพรตเต๋าเสินเผากล่าวว่า “ใช่แล้ว ผู้นำเหล่าดวงจิตยังมอบหมายภารกิจอย่างหนึ่งให้พวกเราด้วยขอรับ ให้ตามหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการรวมถึงเทพมารต้องสาป เพียงแต่เทพมารต้องสาปสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าข้าไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อเขา”

ตามหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้น่ะหรือ

ช่างมีความมั่นใจโดยแท้!

ดูเหมือนผู้นำเหล่าดวงจิตจะเชื่อมั่นในตัวหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มที่ คิดว่าเทพมารฟ้าบุพกาลต้องปราชัยแน่นอน ดังนั้นจึงเริ่มสอดส่องควานหาตัวตนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะส่งผลร้ายต่อฟ้าบุพกาล

นักพรตเต๋าเสินเผาอึกอักลังเล

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “อยากพูดอะไรก็พูดมา!”

นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยว่า “เทพมารต้องสาปคล้ายจะทราบแล้วว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือผู้ใด เพียงแต่เป็นตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมพูด ข้าเองก็ไม่สนใจเช่นกัน ดังนั้นจึงได้สังหารเขา”

สำหรับเรื่องนี้หานเจวี๋ยไม่แปลกใจเลย

ที่เทพมารต้องสาปปกปิดว่าเขาคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคาดว่าคงทำเพื่อความปลอดภัยของตน หาไม่คงเปิดเผยไปนานแล้ว

เป็นไปได้ว่าเทพมารต้องสาปจะทราบเรื่องราวมากมายยิ่งนัก

น่าเสียดายที่ตายเร็วเกินไป มิเช่นนั้นคงใช้ประโยชน์ได้บ้าง

นักพรตเต๋าเสินเผากล่าวต่อไปว่า “มหามรรคต้องสาปของเขายังอยู่กับข้า ข้ามีวิธีฟื้นคืนชีพอย่างหนึ่งอยู่ หากท่านต้องการ ข้าสามารถ…”

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง กล่าวว่า “วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ฟ้าบุพกาลปั่นป่วนวุ่นวาย รอให้ทุกอย่างสงบลงแล้วค่อยพิจารณาว่าจะคืนชีพให้เทพมารต้องสาปดีหรือไม่”

“ขอรับ!”

นักพรตเต๋าเสินเผาตอบรับ

หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นก็สิ้นสุดแดนความฝัน

ภายในอารามเต๋า

เขานั่งสมาธิอยู่บนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร ถามในใจ ‘ข้าอยากทราบตบะของผู้นำเหล่าดวงจิต’

[ไม่ทราบถึงนามที่แท้จริงและบ่วงกรรม ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]

หานเจวี๋ยตะลึงงัน

ทันใดนั้นเขาพลันเข้าใจความรู้สึกของศัตรูที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการขึ้นมา

‘เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่าดวงจิตมหามรรคที่แข็งแกร่งที่สุดแข็งแกร่งมากเพียงใด’

[ไม่ทราบถึงนามที่แท้จริงและบ่วงกรรม ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

แบบนี้ก็จัดการยากแล้ว

ไม่ทราบตบะของศัตรู เช่นนั้นก็ไม่สะดวกโจมตี

หานเจวี๋ยทดลองใช้วิธีการรูปแบบอื่นสอบถามดูอีก ยังคงไม่ได้ผลอยู่ดี ทำได้เพียงยอมตัดใจ

หานเจวี๋ยส่ายหน้า เริ่มฝึกบำเพ็ญ

เขาถ่ายทอดมหามรรคต้นกำเนิดเข้าสู่ดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวง ผสานเข้ากับกายเนื้อ ไม่นานนักเขาก็จมจ่อมอยู่ในสภาวะอันน่าอัศจรรย์ประการหนึ่ง

….

ท้องนภาทาบทาแสงสีชาด ระลอกคลื่นปรากฏบนมหาสมุทรกว้างไกลไร้ขอบเขต ร่างกายใหญ่มหึมาร่าง หนึ่ง โผล่พ้นผิวมหาสมุทรขึ้นมา เป็นเทวีตราวินัย

เวลานี้ เงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนบ่าของเทวีตราวินัย มีแสงเทพรายล้อมรอบกาย รูปร่างบางครั้งก็ดูคล้ายมนุษย์ บางครั้งก็คล้ายมังกร แปรเปลี่ยนไปสารพัด อยากจะระบุรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้

เทวีตราวินัยกล่าวขึ้นว่า “ผานกู่คืนชีพแล้ว”

เงาร่างแสงเทพเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าทราบแล้ว แต่เขาตัดขาดบ่วงกรรมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเหล่าดวงจิตมหามรรคไม่อาจสอดส่องฟ้าบุพกาลได้ ทำได้เพียงฝากทุกอย่างไว้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์”

“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะกวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาลได้จริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ขุนพลศักดิ์สิทธิ์คืออำนาจสูงสุดแห่งฟ้าบุพกาล ไม่อาจหยุดยั้งได้ ต่อให้ผานกู่ฟื้นคืนชีพ ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”

“ไม่มีโอกาสแพ้สักนิดเลยหรือ”

“เว้นแต่เทพมารอนธการจะปรากฏตัวขึ้น เพียงแต่อย่างน้อยเทพมารอนธการก็ต้องมีตบะระดับยอดมหามรรคถึงจะใช้ได้ ฟ้าบุพกาลในยามนี้มีเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ถึงสามพันตน ผานกู่ไม่มีทางกลายเป็นเทพมารอนธการได้ ในอดีตทำไม่ได้ ตอนนี้ก็ยิ่งทำไม่ได้”

“เทพมารอนธการ…”

เสียงของเทวีตราวินัยกลายเป็นขบคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด