ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 842 ผสานรวมยอดสมบัติ มีชีวิตอยู่จริง

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 842 ผสานรวมยอดสมบัติ มีชีวิตอยู่จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 842 ผสานรวมยอดสมบัติ มีชีวิตอยู่จริง

“สู้เถอะ จะกลัวอะไร!”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยขึ้น อริยะคนอื่นๆ ก็พากันเปิดปากเอ่ย เริ่มแสดงความเห็น

ผานซินหัวเราะดังลั่น “ไม่ได้สู้มานานมากแล้ว หวังว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะมีมากพอให้พวกเราได้สู้!”

“ในเมื่ออริยะสวรรค์เกรียงไกรออกปากแล้ว พวกเรายังจะกลัวอะไรอีก”

“ถึงแม้พวกเราจะเป็นอริยะใหม่ แต่ก็ไม่เคยหวั่นเกรงที่จะต้องสู้!”

“ใช้ศึกนี้แสดงพลังของมรรคาสวรรค์ให้ฟ้าบุพกาลได้เห็นสักหน่อย!”

“จุ๊ๆ โลกหลิงหลงส่งคำเชิญให้ข้า แต่ข้าปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใยแล้ว!”

“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงยามใด ข้าอยากสู้เสียตอนนี้เลย!”

เหล่าอริยะต่างแสดงความเห็นของตนออกมา บรรยากาศคึกคักเร่าร้อนนัก

หานเจวี๋ยเหลือบมองจอมอริยะเสวียนตู จอมอริยะเสวียนตูทราบความนัย เริ่มสรุปผลความก้าวหน้าของมรรคาสวรรค์ในระยะนี้ จากนั้นก็เป็นเรื่องการจัดวางห้วงมิติรอบมรรคาสวรรค์

เหล่าตาน เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้รับฟังอย่างสงบ ความรู้สึกของพวกเขาแตกต่างออกไปยิ่งนัก

ไม่คิดเลยว่าอริยะมรรคาสวรรค์จะสมานฉันท์กันได้ขนาดนี้!

มองเผินๆ แล้วดูกลมเกลียวยิ่งกว่าการหารือร่วมกันภายในสำนักเสียอีก มองไม่เห็นการแย่งชิงผลประโยชน์เลย

เหล่าตานสะท้อนใจ ‘อริยะสวรรค์เกรียงไกรผู้นี้ค่อนข้างมีฝีมือเลยทีเดียว ไม่ได้รู้จักแต่ปิดด่านบำเพ็ญเท่านั้น’

เขารู้สึกว่าหานเจวี๋ยอาจเคยข่มขู่เหล่าอริยชนแบบส่วนตัวมาก่อน มิเช่นนั้นจะสมานฉันท์กันขนาดนี้ได้อย่างไร

พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งกว่าเดิม

มรรคาสวรรค์เป็นของสำนักซ่อนเร้นแล้ว!

ไม่แปลกเลยที่หานเจวี๋ยไม่คิดจะพัฒนาสำนักซ่อนเร้น ในเมื่อยึดครองปราการสูงตระหง่านได้แล้ว จะพัฒนารากฐานไปอย่างไรก็ย่อมได้

รอจนจอมอริยะชี้แจงจบ หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าชักจูงอริยะมหามรรคมาเข้าร่วมได้สองราย หนึ่งในนั้นจะนำโลกในการปกครองของตนมาด้วย เมื่อถึงเวลานั้นจงจัดแจงให้อยู่ใกล้กับมรรคาสวรรค์ ในอนาคตจะได้ร่วมพัฒนาไปพร้อมกับมรรคาสวรรค์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

วาจานี้ทำให้เหล่าอริยชนตกตะลึงยิ่ง

อริยะมหามรรคสองรายอย่างนั้นหรือ

พวกเขาทราบถึงการมีอยู่ของอริยะสวีหุนอยู่แล้ว มีมาเพิ่มอีกสองราย ก็เท่ากับมีอริยะมหามรรคสี่รายแล้วไม่ใช่หรือ

เหล่าอริยะที่ถูกคุกสวรรค์อนธการสยบทาสแล้วนึกถึงนักพรตเต๋าเสินเผาขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็ห้ารายแล้ว!

หลี่ไท่กู่เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโสหานร้ายกาจโดยแท้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีความมั่นใจในการต่อกรกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นแล้ว!”

อริยะคนอื่นๆ ก็พากันประจบเอาใจหานเจวี๋ย ล้วนจริงจังตั้งใจยิ่ง

ซย่าจื้อจุนและบรรพชนพุทธโปรดโลกาไม่เข้าใจเกี่ยวกับอริยะมหามรรคมากนัก แต่ก็พอจะทราบว่าอยู่สูงกว่าพวกเขาขึ้นไปสองระดับ ลึกล้ำเกินหยั่งแน่นอน สายตาที่พวกเขามองหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส

จั้งกูซิงมองหานเจวี๋ยที่มีสีหน้าสงบนิ่ง อารมณ์ซับซ้อน

เขานึกถึงกาลก่อนตอนอยู่ที่แม่น้ำมรรคกระบี่

ตอนนั้นไหนเลยจะเคยคิดว่าจะมีวันนี้ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ยามนี้พอนึกย้อนกลับไปดูราวกับความฝันก็มิปาน

เขาพอจะทราบอยู่เรื่องหนึ่ง ได้พบหานเจวี๋ย เคยได้รับความเมตตา นับเป็นวาสนายิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขา

หากไม่มีหานเจวี๋ย เขาจะถูกผลักดันจนสำเร็จเป็นอริยะได้อย่างไร

หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “สรุปคือทุกท่านจงดูแลมรรคาสวรรค์ให้ดี รอจนขุนพลศักดิ์สิทธิ์บุกมาถึง ข้าจะออกโรงแน่นอน ไม่จำเป็นต้องตระหนก ส่วนการติดต่อคบค้ากับโลกอื่นๆ พวกเจ้าจงควบคุมตัวเองให้ดี เลือกเส้นทางให้ดี เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าไม่ถือสา แต่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”

พอสิ้นเสียง หานเจวี๋ยก็เลือนหายไป

เหล่าอริยะมองหน้ากัน อริยะบางส่วนได้แต่แอบโล่งใจ

หากหานเจวี๋ยไม่พูดออกมาเลย พวกเขามักจะรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ตลอด กลัวว่าเรื่องเหล่านั้นจะกลายเป็นจุดอ่อนให้อริยะคนอื่นนำมาเล่นงานตน

สวีตู้เต้ามองไปที่หยางเช่อ เอ่ยอย่างมีเลศนัย “ใครบางคนคงต้องระวังตัวให้มากหน่อยแล้ว”

หยางเช่อแค่นเสียง “เจ้าก็เช่นกัน”

โง่เง่า!

ข้าคือทาสรับใช้ผู้ภักดีของท่านอริยะสวรรค์เกรียงไกรแล้ว ท่านอริยะสวรรค์เกรียงไกรจะเอาโทษข้าได้อย่างไร

ผานซินมองจิ้นเสิน เอ่ยว่า “เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลสายที่สองต้องเร่งดำเนินการแล้ว จงเลือกโลกใดโลกหนึ่งในภาคีร้อยดินแดนเป็นจุดหมายปลายทางเถอะ”

จิ้นเสินพยักหน้า

อริยะคนอื่นๆ ก็เริ่มพูดคุยกันเองเช่นกัน

เหล่าตานมองไปที่จอมอริยะเสวียนตู กล่าวว่า “อริยะสวรรค์เกรียงไกรเลิศล้ำโดยแท้ ดูเหมือนก็ไม่ได้หลับหูหลับตาเลือกมั่วๆ เช่นกัน”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ติดตามสหายเต๋าหาน อย่างน้อยก็ต้องมีความรับผิดชอบ มิใช่อยู่เปล่าๆ”

เหล่าตานขมวดคิ้ว

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างไม่แยแส อริยะคนอื่นๆ ต่างได้ยินเต็มหู ทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

พวกเขารู้อยู่แก่ใจดี จอมอริยะเสวียนตูกำลังแสดงความภักดีต่ออริยะสวรรค์เกรียงไกร!

….

เมื่อกลับมาที่เขตเซียนร้อยคีรี หานเจวี๋ยนั่งสมาธิบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร

เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญในทันที แต่มองดูเตาผสานยอดสมบัติที่อยู่ในหมื่นโลกาฉายชัด

เขามีสมบัติวิเศษมากมายบรรจุอยู่ในระบบ สมควรนำมาผสานรวม

สมบัติชิ้นแรกที่เขานึกถึงคือกระบี่พิพากษาอนธการ

ขวานเบิกฟ้าต่อให้เลิศล้ำเพียงใด แต่ก็เป็นของผานกู่

กระบี่พิพากษาอนธการคือสมบัติวิเศษคู่ชีพของหานเจวี๋ย เหมาะสมกับเทพมารอนธการ เพียงแต่ระดับของมันต่ำกว่าระดับตบะของตัวเขามาตลอด ดังนั้นจึงถูกเขาเก็บไว้ในคลังเสมอมา ไม่ได้ใช้ประโยชน์

เตาผสานยอดสมบัติสามารถผสานรวมสมบัติวิเศษทุกชนิดได้ เช่นนี้อาจจะช่วยยกระดับให้กระบี่พิพากษาอนธการได้

หานเจวี๋ยโบกมือนำสมบัติวิเศษทั้งหมดของตนออกมา

กระบี่กิเลน เชือกพันธนาการปีศาจ ระฆังเพลิงอัคคี สร้อยเซียนคุ้มจิต เบาะสงบจิตใจ กำไลวิเศษบรรลุสวรรค์ เกราะอ่อนทองม่วง กระบี่พิฆาตเทพ กระบี่บุพกาลโลกาสวรรค์ กระบี่เก้าลักษณ์หมื่นชีวิตเป็นต้น

เขาบังเกิดความคิดใจกล้าอย่างหนึ่งขึ้น艾琳小說

หรือจะนำขวานเบิกฟ้ามาผสานรวมเข้ากับกระบี่พิพากษาอนธการดี

เขาถามในใจ ‘หากข้านำขวานเบิกฟ้ามาผสานรวมกับกระบี่พิพากษาอนธการ ข้าจะเสียการควบคุมกระบี่พิพากษาอนธการไปหรือไม่’

[ไม่]

‘เช่นนั้นถ้าผสานรวมเช่นนี้ กระบี่พิพากษาอนธการจะยกระดับเป็นสมบัติเลิศมรรคาหรือไม่’

[มีความเป็นไปได้]

แค่มีความเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มผสานรวม

เตาผสานยอดสมบัติไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงความสามารถอย่างหนึ่ง หานเจวี๋ยให้ระบบเริ่มทำการผสานรวมได้เลยทันที

สมบัติวิเศษหลายสิบชิ้นถูกผสานรวมเข้ากับกระบี่พิพากษาอนธการ รวมถึงขวานเบิกฟ้าด้วย

ใช้กระบี่พิพากษาอนธการเป็นตัวหลัก หลังจากผสานรวมแล้วจะอยู่ในรูปลักษณ์ของกระบี่เล่มนี้

[ต้องการผสานรวมใช่หรือไม่]

ใช่!

จำเป็นต้องทำการยืนยันด้วย กลัวว่าข้าจะเผลอทำโดยไร้สติหรือไร

หานเจวี๋ยรู้สึกขบขัน

[เริ่มการผสานรวม โปรดอดใจรอคอย]

จะยกระดับสู่สมบัติเลิศมรรคา คาดว่าคงต้องใช้เวลาแน่

หานเจวี๋ยก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน เริ่มนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ

….

ภายในตำหนักผานกู่

ผานซินที่เพิ่งนั่งสมาธิได้ไม่นานลืมตาขึ้น

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด จิตใจเขาพลันวูบโหวง ราวกับกำลังจะสูญเสียอะไรไป ความรู้สึกนี้ทำให้เขาอึดอัดนัก

เขาจับสัมผัสดูอย่างละเอียด จะอย่างไรก็ทำนายไม่พบ

ทันใดนั้นเขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา

‘หรือว่าขวานเบิกฟ้ากำลังเรียกหาข้าอยู่’

ผานซินขมวดคิ้ว ถึงอย่างไรเขาก็เคยใช้ขวานเบิกฟ้าอยู่ช่วงหนึ่ง

จนปัญญาที่เขาตามหาขวานเบิกฟ้าไม่พบเลย

‘มิ่งที่สมควรตาย ข้าจะกวาดล้างพวกเจ้าให้สิ้นซากในไม่ช้าก็เร็ว ฆ่าให้หมด!’

ผานซินคิดด้วยความเคียดแค้นชิงชัง เขาได้แต่พยายามทำให้ตนไม่นึกถึง

….

ณ แดนต้องห้ามอันธการ เจดีย์ใหญ่มหึมาหลังหนึ่งเคลื่อนที่ไปด้านหน้า มีผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนห้อมล้อมอยู่รอบข้าง อีกทั้งมีสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลด้วย มุ่งหน้าไปอย่างมิมีผู้ใดหยุดยั้งได้

บนยอดเจดีย์

โจวฝานยืนกอดอก มองไปด้านหน้า เบื้องหน้าคือความมืดมิด แต่สายตาของเขามองเห็นมรรคาสวรรค์แล้ว

“สุดท้ายก็ต้องกลับไป”

โจวฝานพึมพำกับตัวเอง ยิ้มออกมา

โม่ฟู่โฉวยืนอยู่ข้างกายเขา ถามด้วยความสงสัย “จะถึงแล้วหรือ”

โจวฝานพยักหน้า

โม่ฟู่โฉวก็แสดงสีหน้าคาดหวังตั้งตารอขึ้นมา

หลังจากฟื้นคืนชีพเขาคะนึงหามรรคาสวรรค์มาโดยตลอด ยามที่ทราบว่าตนฟื้นคืนชีพขึ้นในฟ้าบุพกาล เขาเหม่อลอยยิ่งนัก รู้สึกแปลกแยกไม่กลมกลืนกับสภาพรอบข้างอยู่เสมอ ทุกอย่างราวกับความฝัน มีเพียงได้กลับไปยังมรรคาสวรรค์ เขาถึงจะรู้สึกว่าตนมีชีวิตอยู่จริงๆ

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด