ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 920 อนธการก่อร่าง ดวงจิตนำโชค

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 920 อนธการก่อร่าง ดวงจิตนำโชค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 920 อนธการก่อร่าง ดวงจิตนำโชค

ภายในอารามเต๋า หานฮวงลืมตาขึ้น ยิ้มออกมาสีหน้าตื่นเต้น

เขาพุ่งออกไปนอกอารามเต๋าทันที มาปรากฏเบื้องหน้าหานชิงเอ๋อร์

“ชิงเอ๋อร์ ข้าได้พบพี่ใหญ่กับพี่ชายบุญธรรมแล้ว!”

หานฮวงกล่าวด้วยความตื่นเต้น หวนนึกถึงตอนที่พบกันก่อนหน้านี้ เขายังคงตื่นเต้นนัก

หานชิงเอ๋อร์ผงะไป เอ่ยถาม “ท่านไปพบที่ใดมา”

หานฮวงมิได้ปิดบัง เล่าเรื่องออกมาจนหมดเปลือก

หลังจากหานชิงเอ๋อร์ได้ฟัง ในใจค่อนข้างซับซ้อน

พี่ใหญ่ที่นางเคารพเลื่อมใสมาโดยตลอดยังทะลวงขั้นช้ากว่าพี่รองอีกหรือ

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกสับสน

เหตุใดพี่รองของตนถึงร้ายกาจขนาดนี้เล่า

หานฮวงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ชิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่พูดเลยล่ะ เจ้าอยากพบพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ได้เห็นเลยว่าพี่ใหญ่สง่างามนัก ตอนที่เขาทะลวงระดับสำเร็จมีอริยะมหามรรคหลายสิบคนไปร่วมแสดงความยินดี แต่ละคนล้วนให้ความเคารพเขายิ่งนัก”

หานชิงเอ๋อร์ถูกกระตุ้นความอยากรู้ จึงซักถามว่า “ไยถึงเป็นเช่นนี้เล่า”

“ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นหัวหน้าหน่วยห้าเทวทัณฑ์ สอดส่องควบคุมดวงจิตมหามรรคทั้งหมด ส่วนดวงจิตมหามรรคก็ดูแลปกครองอาณาเขตฟ้าบุพกาล ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ข้ารู้จักก็เป็นดวงจิตมหามรรค มรรคาสวรรค์ก็อยู่ใต้การปกครองของดวงจิตมหามรรค แต่คิดดูก็รู้แล้วว่าตำแหน่งพี่ใหญ่สูงมากนัก พี่ชายบุญธรรมคนนั้นก็เป็นเทวทัณฑ์เช่นกัน เท่ากับว่าในกลุ่มห้าเทวทัณฑ์มีพี่ชายของพวกเราอยู่ถึงสองคนเชียวนะ”

หานฮวงเล่าพลางยิ้มอย่างภูมิใจ ราวกับเขาก็เป็นเทวทัณฑ์ด้วย

หานชิงเอ๋อร์อยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้นไปอีก เริ่มซักถามถึงเรื่องที่หานฮวงรู้เกี่ยวกับฟ้าบุพกาลต่อ

หานฮวงรอบรู้นัก แม้ตัวเขาก็ไม่เคยไปเยือนฟ้าบุพกาลมาก่อนเช่นกัน แต่ขอบเขตที่สามารถสอดส่องได้กลับกว้างไพศาลกว่าหานชิงเอ๋อร์มากนัก ประกอบกับได้ฟังนักพรตเต๋าเสินเผา หานทั่วและอี๋เทียนบรรยายเรื่องราวมาแล้ว จึงกล่าวได้ว่าเข้าใจฟ้าบุพกาลมากล้นยิ่ง ราวกับเคยประสบด้วยตัวเองมาแล้ว

ผ่านไปเนิ่นนาน

หานชิงเอ๋อร์ถอนหายใจ เอ่ยว่า “เฮ้อ อยากออกไปจริงๆ แต่ท่านพ่อกล่าวถูกต้องแล้ว หากพวกเราออกไปจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านพ่อได้ง่ายๆ”

หานฮวงตบไหล่หานชิงเอ๋อร์ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร รอจนข้าบรรลุยอดมหามรรค ท่านพ่อคงไม่มีเหตุที่จะขวางข้าแล้ว พอถึงเวลานั้นเจ้าอยากไปไหน พี่รองก็ปกป้องเจ้าได้ทั้งนั้น! พี่รองไม่กลัวว่าจะต้องเดือดร้อนเพราะเจ้า!”

หานชิงเอ๋อร์กลอกตา เด็กคนนี้ตอนเล็กๆ อยากจะเป็นน้องชาย ตอนนี้กลับทำตัวเป็นพี่รองเสียแล้ว

ถึงแม้นางจะค่อนข้างอิจฉาหานฮวง แต่ก็เชื่อมั่นในตัวหานฮวงยิ่ง นางเชื่อว่าหานฮวงจะปกป้องตนได้

ตั้งแต่เล็กจนโต หานฮวงไม่เคยทำร้ายนางเลย

สองพี่น้องเริ่มวาดหวังถึงอนาคตที่ได้ออกท่องฟ้าบุพกาล

…..

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ปิดด่านครบอีกหนึ่งแสนปีแล้ว พลังปฐมยุคของเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงที่ฝึกบำเพ็ญนี้ เขาจดจ่อทุ่มสมาธิไปกับพลังในกายเทพมารปฐมยุค

พลังปฐมยุคนอกจากแข็งแกร่งกว่าพลังยอดมหามรรคแล้ว จะต้องมีความสามารถพิเศษอย่างอื่นอยู่แน่ เพียงแต่เขาต้องศึกษาค้นคว้าเท่านั้น

เขาเป็นเทพมารปฐมยุคคนแรกของโลก เพิ่งยกระดับสายเลือดสำเร็จ ไม่มีทางเข้าใจถึงความลึกลับอัศจรรย์ทั้งหมดได้อยู่แล้ว

เทพมารปฐมยุคก็เหมือนแหล่งขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ รอให้หานเจวี๋ยไปขุดค้นอยู่

ในช่วงแสนปีมานี้ เขาค้นพบคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของพลังปฐมยุค

หักล้างพลังกฎเกณฑ์ของมหามรรคสามพันวิถีได้!

แค่คุณสมบัติเดียวก็เผด็จการถึงเพียงนี้แล้ว!

เข้าคู่กับฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรอย่างยิ่ง!

ราวกับฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรถูกสร้างขึ้นสำหรับพลังของเทพมารปฐมยุค

ความมหัศจรรย์ของฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรคือทำลายล้างทุกสิ่ง บังคับทำลายกฎเกณฑ์ได้!

โลกอนธการที่อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดินเช่นกัน ดวงดาวนับไม่ถ้วนเริ่มวิวัฒนาการเป็นทางช้างเผือก ดาวหนึ่งดวงคือทางช้างเผือกหนึ่งแห่ง ทำให้โลกอนธการดูพร่างพราวตระการตา

ปราณเทพมารกว่าสองพันกลุ่มกระจายตัวอยู่ในทางช้างเผือกที่แตกต่างกันไป เพียงแต่พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากอยู่ใกล้กันจะเกิดแรงต่อต้านซึ่งกันและกัน

หานเจวี๋ยรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา

รอจนโลกอนธการเกิดกฎเกณฑ์เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา โลกอนธการจะกลายเป็นความจริง เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนคือสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรก ถึงขั้นที่จะก่อกำเนิดวงศ์เทพขึ้นมาด้วย!

เมื่อถึงเวลานั้น หานเจวี๋ยจะเปรียบได้กับเจ้านวฟ้าบุพกาลที่สร้างฟ้าบุพกาลขึ้น สูงส่งเหนือสรรพสิ่ง ทอดมองสรรพสิ่งอย่างเหยียดหยาม

คิดๆ แล้วช่างน่าลุ้นยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมา เริ่มตรวจดูแวดวงสหายในระยะนี้

เขาสังเกตเห็นว่าหานทั่วและอี๋เทียนพิสูจน์มหามรรคแล้ว

แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจ

ถึงอย่างไรทั้งสองก็ล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ทั้งยังมีดวงชะตาเทวทัณฑ์อยู่กับตัว หากพิสูจน์มหามรรคไม่สำเร็จสิถึงจะน่าเหลือเชื่อ

ระยะนี้โจวฝานและจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว หานเจวี๋ยค่อนข้างคาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถสร้างชื่อเสียงอันใดขึ้นมาได้

เมื่ออ่านจดหมายเสร็จ หลังจากแน่ใจว่าคนใกล้ชิดล้วนยังอยู่ดี หานเจวี๋ยก็ปิดด่านฝึกบำเพ็ญต่อ

ตอนนี้เขามีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมุ่งสู่ยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์!

เขามีลางสังหรณ์ว่าหลังจากบรรลุระยะสมบูรณ์ พลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เทียบได้กับการทะลวงระดับขั้นใหญ่!

….

บนดาวเคราะห์ เจียงเจวี๋ยซื่อพลันลืมตาขึ้น จากนั้นลุกขึ้นยืน

หลิวเป้ยอดถามไม่ได้ “เป็นอะไรไป”

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยว่า “ตามข้ามา”

พอเอ่ยจบ เขาก็หายไปจากจุดเดิม

หลิวเป้ยรีบไล่ตามไป

ทั้งสองมาถึงดาวเคราะห์ที่อยู่ในมุมหนึ่งของจักรวาลดารา ดาวเคราะห์ดวงนี้มีต้นไม้ใบหญ้าเติบโต มีขุนเขาสายธาร กลายเป็นโลกที่สมบูรณ์แล้ว

เจียงเจวี๋ยซื่อยืนอยู่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง สายตามองออกไป เห็นเพียงว่ากลางทะเลสาบมีบงกชดอกหนึ่งกำลังค่อยๆ เบ่งบาน

บงกชดอกนี้เป็นผลึกโปร่งใส มีหิมะขาวโปรยปรายในรัศมีสิบจั้ง ราวกับเป็นเขตอาคม แยกตัวออกจากโลกรอบข้าง

หลิวเป้ยปรากฏตัวขึ้น พินิจดูบงกชดอกนี้ อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

“ไอชีวิต! บงกชดอกนี้จะกำเนิดวิญญาณหรือ”

หลิวเป้ยพึมพำกับตัวเอง

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยยิ้มๆ “ยินดีด้วยพี่หลิว โลกใบนี้สมบูรณ์แบบแล้ว”

วิญญาณจุติจากฟ้า ปฐพีอุดมสมบูรณ์ ก่อกำเนิดสรรพสิ่ง

หลิวเป้ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น่ายินดีจริงๆ หาไม่แล้วเจ้าก็รับเป็นศิษย์เถิด นับว่ารับสืบทอดมรดกต่อ เขานับได้ว่าเป็นบุตรของข้า”

เจียงเจวี๋ยซื่อลังเล

ในเวลานี้เอง ลำแสงสายหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ตกลงบนบงกชขาวดอกนั้น

“นี่คือ…”

เจียงเจวี๋ยซื่อมีสีหน้าตกตะลึง ท่าทางตื่นเต้น

กลิ่นอายแห่งโชค!

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนได้รับมหาโชคในปีนั้น

“ได้ ข้าจะรับศิษย์คนนี้ไว้!” เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยด้วยสายตาวาววับ

หลิวเป้ยด่าในใจว่าไร้ยางอาย

หากไม่มีโชคนี้ เจ้าคงจะปฏิเสธข้าใช่หรือไม่

….

ฟ้าบุพกาล ณ แดนบรรพกาล

ท่ามกลางความเวิ้งว้าง แดนบรรพกาลถูกปราณฟ้าบุพกาลพัวพันผลุบๆ โผล่ๆ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางฟ้าบุพกาลอันกว้างไกลไร้ขอบเขต แต่แดนบรรพกาลก็ดูใหญ่โตอย่างยิ่ง ราวกับสัตว์ร้ายบรรพกาลในสมัยบุกเบิกฟ้าดินอาศัยอยู่ที่นี่

หานอวี้ ฉินหลิงและหลงเฮ่ายืนอยู่บนอุกกาบาตก้อนหนึ่ง มองแดนบรรพกาลที่อยู่ไกลๆ

เหนือแดนบรรพกาลมีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ คำรามอย่างเงียบงันอยู่ท่ามกลางหมอกหนา มองแล้วขนหัวลุก

“ด้านหน้าก็คือแดนบรรพกาลแล้ว จะเข้าไปหรือไม่”

ฉินหลิงเอ่ยถาม เขาชูมือเรียกทวนยาวที่มีมังกรทองเลื้อยพันออกมา

หลงเฮ่าส่ายหน้า “อย่ารีบร้อนไป ดูต่อไปเถอะ ละแวกนี้ยังมีกลิ่นอายอื่นๆ อยู่ ดูเหมือนผู้ที่กริ่งเกรงแดนบรรพกาลจะไม่ได้มีแค่มรรคาสวรรค์”

หานอวี้กล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น เป้าหมายหลักของดวงจิตบรรพกาลคือครอบครองฟ้าบุพกาล ถล่มมรรคาสวรรค์เป็นเพียงการล้างแค้นเท่านั้น เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ผู้ปกครองโลกน่าจะเข้าใจถึงหลักเหตุผลนี้ดี”

ฉินหลิงขมวดคิ้ว “ต้องร่วมมือกับคนอื่นหรือไม่”

ในเวลานี้เอง!

ฟิ้ว!

ศรสีดำดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนลึกของแดนบรรพกาล รวดเร็วสุดขีด พุ่งไกลนับร้อยล้านลี้ในไม่กี่ลมหายใจ พุ่งตรงมาที่ฉินหลิง

ฉินหลิงยกมือขึ้น ใช้ปลายหอกต้านรับศรสีดำ

ศรสีดำสลายไป กลายเป็นหมอกดำเข้าห่อหุ้มฉินหลิง

“แย่แล้ว!”

สีหน้าฉินหลิงแปรเปลี่ยนมหันต์ พบว่าตนดิ้นไม่หลุด ได้แต่เบิกตามองหมอกดำเข้ากลืนกินตน

หานอวี้และหลงเฮ่าลงมือทันที

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด