ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะบทที่ 950 เจียงเจวี๋ยซื่อในอนาคต คนละเรื่องกัน

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 950 เจียงเจวี๋ยซื่อในอนาคต คนละเรื่องกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 950 เจียงเจวี๋ยซื่อในอนาคต คนละเรื่องกัน

“ต้องการให้พ่อมารับพวกเจ้าเลยหรือไม่”

หานเจวี๋ยถาม ระยะเวลาหนึ่งแสนปีเพียงพอให้ตกตะกอนความคิดแล้ว

เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ทำได้เพียงตั้งคำถามกับใจตน

หานชิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก เอ่ยไปว่า “ยังไม่ต้องก็ได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากเอาแต่ใจกับท่านเท่านั้น ตอนนี้พวกเราปลอดภัยดี อีกทั้งพี่รองและศิษย์พี่เจียงก็กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งแล้ว กำลังทะลวงขั้นอยู่เจ้าค่ะ”

“โอ้ ทะลวงขั้นหรือ ไหนเจ้าเล่ามาให้ละเอียด”

หานเจวี๋ยถามด้วยความอยากรู้ เขาเพียงอยากให้หานฮวงได้ตกตะกอนความคิดเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะค้นพบวิธีฝึกบำเพ็ญ

นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย!

หานชิงเอ๋อร์เอ่ยว่า “ถึงแม้พี่รองจะถูกชิงคุณสมบัติไป แต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เขาฟื้นฟูสายเลือดกลับมาได้อีกครั้งดูเหมือนสายเลือดของเขาก็ก่อกำเนิดขึ้นได้อีกเจ้าค่ะ ส่วนศิษย์พี่เจียงหลังจากเวลาผ่านไปราวสามหมื่นปี จู่ๆ วันหนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นมาว่ามหาโชคกลับมาแล้ว”

หานเจวี๋ยนึกสนใจขึ้นมา

ทางหานฮวงยังพอว่า ถึงอย่างไรก็เป็นเทพมารอนธการ เทพมารอนธการอยู่เหนือกว่าเทพมารฟ้าบุพกาล สายเลือดก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้งก็นับว่าเข้าใจได้

แต่สถานการณ์ของเจียงเจวี๋ยซื่อคืออะไรกัน

มหาโชคก็กำเนิดขึ้นใหม่ได้หรือ

“รอจนคนที่จับตัวพวกเจ้าไปปรากฏตัวขึ้น ค่อยอัญเชิญพ่อไป” หานเจวี๋ยบอก

หานฮวงและเจียงเจวี๋ยซื่อฟื้นฟูความสามารถกลับมาอีกครั้ง หากอีกฝ่ายสังเกตเห็น อาจจะใช้ประโยชน์จากสองคนนี้สร้างกองกำลังที่ทรงพลังไร้ขีดจำกัดขึ้นก็ได้

นี่มิใช่เรื่องดีเลย!

หากสู้กันตัวต่อตัว หานเจวี๋ยยังสามารถดูแคลนอีกฝ่ายได้

แต่หากว่าอีกฝ่ายอาศัยจุดนี้วางแผนขยายกำลังไปเรื่อยๆ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป รีบกำจัดทิ้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า ป้องกันไม่ให้เรื่องราวบานปลายจนไม่อาจกอบกู้เอาไว้ได้

“เจ้าค่ะ”

หานชิงเอ๋อร์ตอบรับ

สองพ่อลูกไม่ได้คุยไร้สาระกันอีก ความฝันจึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘มหาโชคของเจียงเจวี๋ยซื่อหากถูกแย่งชิงไปเรื่อยๆ ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาเรื่อยๆ ได้ใช่หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

แพงจริงๆ!

แพงเท่ากับค่าตัวของผู้สร้างมรรคาแล้ว!

ดำเนินการต่อ!

[ไม่ใช่]

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเช่นนี้สิถึงจะสมเหตุสมผล

มิเช่นนั้นตัวตนลึกลับนั้นจะไม่สร้างผู้มีชะตามหาโชคเช่นเดียวกับเจียงเจวี๋ยซื่อขึ้นมาเรื่อยๆ หรือ

“จุ๊ๆ ศิษย์คนนี้เลิศล้ำนัก อนาคตไร้ขีดจำกัด!”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างสะท้อนใจ จู่ๆ เขาก็เกิดความสนใจอย่างหนึ่งขึ้นมา

‘ข้าอยากรู้ว่าฉากตอนที่เจียงเจวี๋ยซื่ออยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตเป็นเช่นไร’

หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

แพงขนาดนี้เชียว!

ผู้สร้างมรรคาหรือ

หานเจวี๋ยสะดุ้งโหยง คำถามต่างไปจากก่อนหน้านี้แล้ว คำถามนี้เจาะจงไปที่ตบะ

หรือว่าในอนาคตเจียงเจวี๋ยซื่อจะกลายเป็นผู้สร้างมรรคา

นับแต่โบราณกาลมา มีผู้สร้างมรรคาเพียงห้าคนเท่านั้น ไม่เคยมีเทพมารฟ้าบุพกาลตนไหนทำสำเร็จเลย!

เจียงเจวี๋ยซื่อนอกจากครอบครองมหาโชคแต่กำเนิดแล้ว พื้นเพดั้งเดิมก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสามัญเท่านั้น

จากที่หานเจวี๋ยเคยทำนายถึงหานฮวงก่อนหน้านี้ ก็มีตบะเพียงครึ่งก้าวจะบรรลุสู่ผู้สร้างมรรคาเท่านั้น

หลังจากหานฮวงถือกำเนิด หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ใส่ใจเจียงเจวี๋ยซื่อขนาดนั้นอีก ซ้ำปัจจุบันนี้หานฮวงก็ล้ำหน้าเจียงเจวี๋ยซื่อไปแล้วด้วย

ไม่คิดเลยว่าในอนาคตเจียงเจวี๋ยซื่อจะแข็งแกร่งกว่าหานฮวง!

หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ

จากนั้นจิตนับรู้ของเขาเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือประตูบรรพตส่องแสงเจิดจรัสไปทั่ว มีบันไดยาวที่ขาวผ่องดั่งหยกสายหนึ่งทอดอยู่เบื้องหน้า ทอดขึ้นไปถึงบนเนินเขา บนยอดเขาที่อยู่เหนือบันไดหลายหมื่นขั้น ณ ที่แห่งนั้นมีบัลลังก์ทองคำขาวหลังหนึ่ง มีมังกรทองเก้าตัวขนดเลื้อยพัน ทรงอำนาจน่าเกรงขาม

ที่นี่คือเกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะที่ลอยอยู่ในอวกาศ ไอรีนโนเวล

ด้านนอกคือดินแดนเวิ้งว้าง มีโครงกระดูกลอยอยู่นับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ยักษ์ ล้อมรอบเกาะลอยฟ้าแห่งนี้

‘ดินแดนเวิ้งว้างเช่นนั้นหรือ กลายเป็นผู้สร้างมรรคาจริงๆ เสียด้วย’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเวิ้งว้างได้

เขาเงยหน้ามองออกไป บัลลังก์ทองคำขาวที่อยู่เหนือบันไดหลายหมื่นขั้นสูงใหญ่อย่างยิ่ง มีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนนั้น เมื่อเทียบขนาดตัวกับบัลลังก์แล้ว ช่างมีขนาดแตกต่างกันจนน่าประหลาดใจ

เจียงเจวี๋ยซื่อ!

หานเจวี๋ยมองไปที่เจียงเจวี๋ยซื่อ พบว่าในอนาคตเด็กคนนี้มีท่าทางไม่ต่างไปจากหานฮวงเลย วางตัวสูงส่ง ความหยิ่งทะนงแทบจะพุ่งทะลุฟ้า

ในเวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือยอดศีรษะหานเจวี๋ย ว่ากันตามจริงแล้วเป็นศีรษะหัวหนึ่ง

ศีรษะหัวนี้มีผมสยายยุ่งเหยิง มีดวงตาเก้าดวง ใหญ่โตเท่าภูเขา เปี่ยมด้วยความรู้สึกกดดันน่าหวาดหวั่น

หานเจวี๋ยประหลาดใจ

กลิ่นอายที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนได้เช่นนี้มีเพียงผู้สร้างมรรคาเท่านั้น

ศีรษะเก้าเนตรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เภทภัยแห่งฟ้าบุพกาลถูกแก้ไขตามความประสงค์ของเจ้าแล้ว ตัวประหลาดนั้นถูกเจตจำนงแห่งสรรพสิ่งทำลายล้างแล้ว”

เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “โอ้ เหมือนตอนที่เจ้าจัดการอาจารย์ของข้าเมื่อครั้งอดีตหรือ สิ่งที่เรียกขานว่าเจตจำนงแห่งสรรพสิ่งช่างน่าขบขันโดยแท้”

ศีรษะเก้าเนตรเอ่ยว่า “เรื่องราวของโลกมนุษย์ในกาลก่อนก็เปรียบดั่งหมอกควัน ตอนนี้เจ้าสามารถควบคุมเจตจำนงของสรรพสิ่งได้แล้ว เจ้าน่าจะทราบหลักเหตุผลข้อนี้ดี คงอยู่ถึงจะมีความหมาย หากทุกสิ่งไม่คงอยู่ก็ไร้ซึ่งความหมาย ด้วยระดับของพวกเราจะพูดถึงเรื่องในอดีตไปไย จะพูดถึงเรื่องความชอบธรรมไปไย ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ล้วนมีมีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเรา”

เจียงเจวี๋ยซื่อไม่ตอบ เสมือนตอบรับไปโดยปริยาย

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

นี่คืออนาคตหลังจากเขาถูกเจตจำนงฟ้าบุพกาลสังหารอย่างนั้นหรือ

โอ้!

เช่นนั้นอนาคตนี้ก็ไม่มีทางได้เกิดขึ้นแน่

หานเจวี๋ยสงบใจลง รับชมต่อไป

เจียงเจวี๋ยซื่อเปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “ห้ามผู้ใดแตะต้องเชื้อไขของหานฮวงทั้งสิ้น มิเช่นนั้นต่อให้ต้องล่วงเกินเจ้านวฟ้าบุพกาล ข้าก็จะทำลายฟ้าบุพกาลให้ได้”

ศีรษะเก้าเนตรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้สร้างมรรคาอย่างพวกเราไม่มีทางพุ่งเป้าไปที่สิ่งมีชีวิตใดอย่างเฉพาะเจาะจง แม้ว่าจะเป็นเทพมารอนธการก็ไม่ทำแน่นอน เจ้าวางใจได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อหลับตาลง

ศีรษะเก้าเนตรยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เลือนหายไป

จากนั้นภาพลวงตาก็สิ้นสุดลง

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่โลกแห่งความจริง

เขาลืมตาขึ้น ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ถึงแม้ภาพลวงตาเมื่อครู่จะสั้นยิ่ง แต่ก็เพียงพอจะมองออกว่าผู้สร้างมรรคาให้ความยำเกรงต่อเจียงเจวี๋ยซื่อมาก

เพียงแต่บทสนทนาระหว่างผู้สร้างมรรคาทั้งสองทำให้หานเจวี๋ยตื่นตัวยิ่งนัก

เขาอาจจะตาย!

ตายด้วยแผนการของเจตจำนงฟ้าบุพกาล!

เจตจำนงฟ้าบุพกาลอันเป็นเจตจำนงแห่งสรรพสิ่ง!

“ต้องหาทางพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้ ต่อไปไม่อาจหย่อนยานได้อีก ต้องรื้อฟื้นแนวคิดแห่งการบากบั่นเพียรบำเพ็ญเช่นก่อนหน้านี้กลับมา ข้าไม่อาจชะล่าใจเอาแต่พึ่งพาอาณาเขตเต๋าได้”

แววตาของหานเจวี๋ยพลันแปรเปลี่ยน มรรคจิตแน่วแน่

ไม่มีใครสามารถสังหารข้าได้ทั้งนั้น!

เจตจำนงแห่งสรรพสิ่งก็เช่นกัน!

….

ณ ตำหนักหลังหนึ่งในอาณาเขตเต๋า ชิงเทียนเสวียนจีกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่

ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงฝีเท้า อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมองออกไป จากนั้นก็ผุดลุกทันที เอ่ยถามเสียงเข้ม “เจ้าคิดจะทำอะไร!”

เห็นเพียงว่าเซียนพเนจรยืนอยู่ในตำหนัก จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มละไม

เซียนพเนจรสวมชุดขาว รอบกายมีปราณม่วงพัวพันอยู่ ดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง

เซียนพเนจรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย เจ้าวางใจเถิด ตำหนักหลังนี้ถูกข้าปิดกั้นแล้ว ไม่มีผู้ใดได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเราแน่”

ชิงเทียนเสวียนจีโมโหขึ้นมา ตวาดด้วยความโกรธ “พวกเราก็อย่าพูดจาไร้สาระกันอีกเลย จะสู้ก็เข้ามา! ข้าไม่มีทางไปเป็นพวกเดียวกับเจ้า ยิ่งไม่มีทางร่วมมือกับเจ้าเพื่อกำจัดอริยะสวรรค์เกรียงไกรด้วย!”

เซียนพเนจรฟังแล้วยังคงเฉยเมยไม่แยแส เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อริยะสวรรค์เกรียงไกรจำเป็นต้องตายอย่างแน่นอน หากว่าเจ้ามาเข้าร่วม เจ้าจะมีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง นับจากนี้จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาล”

ชิงเทียนเสวียนจีร้องด่า “ไสหัวกลับไปหามารดาเจ้าซะ ให้ข้าไปกำจัดอริยะสวรรค์เกรียงไกร นี่มิใช่เป็นการหลงลืมโคตรเหง้าบรรพชนหรอกหรือ”

เขาซัดฝ่ามือออกไปทันที ผลคือยังไม่ทันได้เหยียดแขนตรงๆ เซียนพเนจรก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาอย่างกะทันหัน คว้าข้อมือเขาเอาไว้

ชิงเทียนเสวียนจีถลึงตามอง

เซียนพเนจรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลืมบอกเจ้าไป ตบะข้าก้าวข้ามเหนือจากฟ้าบุพกาลแล้ว ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลหามีผู้ใดสู้ข้าได้ไม่ รวมถึงอริยะสวรรค์เกรียงไกรด้วย แต่ข้าเป็นเพียงคนพเนจรไม่สะดวกจะลงมือเอง อีกอย่างต่อให้เจ้าปฏิเสธ แต่ในไม่ช้าสรรพสิ่งก็จะกำจัดอริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะทำเช่นกัน เจ้าอาจจะไม่เข้าใจแต่นี่คือความจริง ข้าเพียงเห็นแววในตัวเจ้า ดังนั้นจึงให้โอกาสเจ้าได้เลือก

“เลือกที่จะทำกับถูกบังคับให้ทำมันเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง”

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด