การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่

 

ร่างกายของผมมันร้อนเหมือนกับไฟกำลังเผาไหม้ร่างอยู่เลย

 

 

พลังคิที่แผ่ซ่านอยู่ภายในร่างมากพอๆ กับน้ำทะเล มันกำลังไหลผ่านทุกซอกมุมของร่างกายผม

 

รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เอ่อล้น อาการตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนเมาเลยแฮะ เหมือนมีอะไรมาคลุมร่างกายกับจิตใจเอาไว้

 

หากเป็นตอนนี้ละก็ไม่ว่าใครผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะเอาชนะได้หมดจะ มังกร เทพปีศาจ นักบุญดาบ – จิตใจของผมมันมั่นใจถึงระดับนั้นเลย

 

ก่อนที่จะรู้ตัวผมก็หัวเราะออกมาดังลั่น

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

ไม่ไหวแฮะ ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ

 

แม้ในหัวของผมบางส่วนจะส่งเสียงเตือนกับผมว่าอย่าได้มั่นใจในตัวเองนัก เสียงในหัวใจของผมก็บอกว่าไม่ควรลดการระวังลง

 

แต่ผมรู้สึกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องฟังเสียงพวกนั้นเลยสักนิดและไม่คิดจะสนด้วย

 

 

หากมีพลังที่ทำได้กระทั่งสั่นสะเทือนแผ่นดิน เพียงแค่ปลดปล่อยพลังคิออกมา พอมีพลังที่ฆ่าได้กระทั่งพระเจ้าอยู่ในมือแบบนั้นแล้วจะไม่ให้ตัวเองมั่นใจหน่อยได้ยังไงกัน

 

ไม่ระวังตัว? แล้วมันยังไงล่ะ หากผมไม่แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาสักหน่อยเดี๋ยวไอ้เจ้าโง่คลิมที่อยู่ตรงหน้าผมมันก็หมดโอกาสจะแสดงความโง่แบบนี้ออกมากันพอดี

 

ของแบบนี้เค้าเรียกว่าต่อให้เว้ย!

 

 

“ฮ่าๆๆๆ! คลิม คิดจะยืนเหม่อไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

 

ผมเหวี่ยงอาภรณ์วิญญาณออกไปเป็นเส้นตรง ชี้ไปทางคลิม แต่แน่นอนว่าระยะดาบของผมไม่ถึงตัวของเขา และผมก็ไม่ได้ใช้วายุในการโจมตีเขาด้วย ผมเพียงแค่เหวี่ยงดาบเบาๆ ตรงไปทางนั้นระหว่างพูด

 

ทว่าถึงแม้ผมจะเหวี่ยงออกไปเบาๆ แต่พลังคิที่พุ่งออกไปตามสายลมมันก็ระเบิดตัวออกมาจนผลักร่างของคลิมให้กระเด็นออกไปเล็กน้อย

 

 

“-อึก!?”

 

หลังจากเขาได้สติ สีหน้าของคลิมก็บิดเบี้ยว ตัวเขาตอนนี้เต็มไปด้วยช่องว่าง หากผมต้องการก็คงจะฟันร่างเขาขาดได้ง่ายๆ แต่ผมไม่ทำหรอกนะ จะบอกว่าผมความประมาทและผยองก็เชิญเลย

 

ผมเฝ้าดูคลิมที่พยายามดึงสติจัดท่าทางของตนใหม่ด้วยรอยยิ้ม พอเขาเห็นผมทำแบบนั้น คลิมก็บ่นออกมา

 

 

“…โซระ นี่นาย…”

 

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ? สีหน้านายดูไม่ดีนะคลิม อยากให้ฉันสอนถึงเรื่องที่นายไม่รู้ไม่ใช่หรือไง ฉันก็สอนอยู่นี่ไงเรื่องความต่างระหว่างพลังของพวกเรา อ๋อหรือมันยากเกินไปสำหรับคนอย่างนายที่จะเข้าใจ?”

 

ผมเห็นผมเยาะเย้ยเขาอย่างตรงไปตรงมา คลิมก็ได้แต่ยืนกัดฟัน

 

หากเป็นตอนนี้จะให้ผมพุ่งเข้าไปฟันเขาตรงๆ หรือจะปล่อยการโจมตีระยะไกลก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด

 

ร่างกายของคลิมถูกออร่าของผมโจมตีเข้าไปจนไม่สามารถหลบหนีการโจมตีอะไรได้อีกแล้ว

 

แถมเขาก็น่าจะรู้ตัวแล้วด้วยว่าผมออมมือเอาไว้อยู่ สีหน้าของเขามันบอกมาหมดแล้วน่ะสิ

 

กับคู่ต่อสู้ประเภทนี้ คำพูดนี่แหละได้ผลที่สุดแล้วขอบอก

 

“เห็นแบบนี้ฉันก็ดีใจนะที่คนอย่างนายยังเข้าใจบ้าง เอ้ามีอะไรอยากจะบ่นอีกไหมล่ะ ไม่ใช่แค่นายนะ ไคลอาหรือโกซุก็ด้วยอยากจะพูดอะไรไหม ฉันรอฟังอยู่”

 

ผมเหลือบมองไปยังอีก 2 คนที่อยู่ใกล้ๆ กับคลิม และก็เป็นทางไคลอาที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

 

“อนิม่าของคุณโซระ––คืออะไรกันแน่คะ? ฉันเข้าใจนะคะว่าคุณที่จัดการกับสิ่งมีชีวิตในตำนานลงได้เลเวลก็ย่อมสูงขึ้น แต่การที่จะปลดปล่อยพลังคิและแผ่ออร่ากดดันถึงขั้นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะเป็นอนิม่าระดับชิโช (สัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์) หรือฮัคเกะ (ดาราแปดแฉก) ก็เถอะ..!”

 

 

“ชิโช…ฮัคเกะ ถ้าไม่ใช่พวกนั้นก็ต้องเป็นเรียวกิ (หยินหยาง ตะวันจันทรา) ไม่ก็ไทเคียวคุ (ต้นกำเนิดสรรพสิ่ง) สินะ? เอาเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็รู้เองแหละว่ามันคืออะไรกันแน่”

 

 

“หมายความว่ายังไงกันคะ…?”

 

 

ไคลอาทำท่าเหมือนไม่เข้าใจที่ผมพูด ก่อนที่ผมจะเบนสายตาไปทางโกซุบ้างโดยไม่ได้สนใจเธอ

 

ตามที่คิดเอาไว้ดูเหมือนโกซุจะเริ่มรู้แล้วว่าระดับพลังของผมอยู่ขั้นไหน นอกจากนี้เขาก็เหมือนจะไม่พยายามต่อต้านโดยใช้พลังของจูสุมารุเลย

 

จูสุมารุพลังที่สามารถผนึกพลังอาภรณ์วิญญาณเอาไว้ได้ พลังที่ใช้ผนึกโซลอีทเตอร์ในการต่อสู้ครั้งก่อน

 

ทว่าหากเป็นในตอนนี้โกซุคงรู้ตัวแล้วว่า ถึงเขาจะใช้พลังนั้นไปก็ไม่มีทางที่จะผนึกพลังของโซลอีกเตอร์ได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่ได้คิดจะใช้มัน

 

ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายของเขาก็คืออาภรณ์แห่งความว่างเปล่า ผมหัวเราะใส่โกซุและเริ่มพูดกับเขาต่อ

 

 

“เร็วเข้าสิโกซุ รีบใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของนายซะ สองพี่น้องเบิร์ชก็ด้วยถ้าใช้ได้ก็รีบๆ งัดออกมา หากไม่ไหวก็ดึงพลังอาภรณ์วิญญาณออกมาให้หมดเท่าที่มีเสีย ก็ขอบใจหรอกนะที่ช่วยจัดการมอนสเตอร์ให้ ดังนั้นตลอดช่วง 1 นาทีต่อจากนี้ฉันจะไม่โจมตีอะไรพวกนายเลย เพราะถ้าไม่มีพวกนายฉันคงไม่สามารถได้พลังขนาดนี้มาได้นี่เนอะ เพราะงั้น 1 นาทีต่อจากนี้แหละคือช่วงเวลาที่ฉันอยากจะมอบเป็นคำขอบคุณให้”

 

 

“…ท่านโซระ ท่านกำลังจะบอกว่าท่านสามารถช่วงชิงพลังของสิ่งมีชีวิตในตำนานั่นมาได้แล้วงั้นเหรอครับ….เหมือนกับที่ท่านทำกับผมตอนอยู่ที่อิชกะ”

 

“อะไรของนายเนี่ย กะรวบรวมข้อมูลอยู่หรือไง…เอาเถอะก็ตามนั้นแหละ ตลอด 3 วันที่พวกนายไปรับมือกับมอนสเตอร์ไม่ให้หลุดออกจากป่าทีทิส ฉันได้กลืนกินเจ้าไฮดราจนหนำใจเลย พลังที่มีตอนนี้ก็คือผลจากการกลืนกินมันเข้าไป”

 

“ขอบพระคุณสำหรับมื้ออาหารจริงๆ” ผมกล่าวเสริมออกมาอย่างขอบคุณ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็อยากทำไปเพื่อประชดด้วยอ่ะนะ

 

เพื่อที่จะกำจัดไฮดราที่สามารถฟื้นฟูร่างของตัวเองได้ตลอดเวลา ผมจึงได้ทำการกินวิญญาณของมันไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างของมันจะฟื้นฟูต่อไม่ได้อีก กับเจ้าตัวที่ถึงจะโดนตัดหัวตัดหางไปก็ยังงอกใหม่ได้ มันก็เหลือแต่วิธีนี้เท่านั้นแหละ

 

ด้วยเหตุนี้เองกว่าจะกินได้จนหมด ก็ปาเข้าไปถึง 3 วัน 3 คืน

 

ดังนั้นบุญคุณส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้เต็มอิ่มกับมื้ออาหารโดยไม่ต้องกังวลอะไรก็ต้องขอขอบคุณพวกโกซุนี่แหละ

 

ดังนั้นแค่ให้ข้อมูลกับพวกเขาไปบ้างผมไม่คิดจะงกหรอก นอกจากนี้หากพวกเขาเอาข้อมูลของผมไปบอกกับพวกบนเกาะว่าผมเอาชนะไฮดราได้ยังไง รวมไปถึงข้อมูลอาภรณ์วิญญาณของผมด้วย จากนี้ผมคงทำอะไรง่ายขึ้น

 

หมดเวลาที่จะมาซ่อนตัวแล้ว

 

 

“ฉันจะพูดอีกทีนะ รีบใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าซะ โกซุ ชิมะ จากนั้นฉันจะได้บดขยี้นายที่ทุ่มสุดตัวแล้วก้าวข้ามนายไปได้สักที คราวนี้ฉันไม่ยอมให้นายออมมือเอาไว้อีกแน่”

 

◆◆

 

“มายาดาบเดียว เพลิงรุกไล่!” 

 

คลิมเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามาโจมตีผม เปลวเพลิงที่รุนแรงได้วนล้อมรอบตัวเขา ด้วยความน่าสะพรึง

 

อาภรณ์วิญญาณของคลิมอย่าง คุริคาระคือดาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นหากใช้มันประสานเข้ากับเทคนิคที่มีไฟเป็นพื้นฐานพลังทำลายล้างก็ย่อมสูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและพลังที่เขาใช้ออกมานั้นทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า ถึงจะเป็นไฮดราก็คงจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

 

ทว่าก็เหมือนกับที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ขนาดพลังของจูสึมารุยังใช้ไม่ได้ผลกับผม ดังนั้นคิดเหรอว่าพลังของคลิมจะทำอะไรผมได้ สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงถือโซลอีทเตอร์ไว้ในมือขวาและเตรียมรับการโจมตี

 

จากนั้นก็มีเสียงที่ทรงพลังดังขึ้นมาจากทิศของไคลอา 

 

“มายาดาบเดียว ตัดวายุ”

 

คลื่นวายุคลั่งถูกปลดปล่อยออกมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว ก็เหมือนกับอาภรณ์วิญญาณของคลิมที่ใช้ได้ผลดีขึ้นกับเทคนิคประเภทไฟ ทางอาภรณ์วิญญาณของไคลอาอย่างคุซานางิก็ใช้ได้ผลดีกับเทคนิคประเภทลม หากเป็นการโจมตีนี้ละก็ คงสามารถระเบิดหัวออกไฮดราออกได้โดยง่าย

 

จังหวะการโจมตีประสานกันช่างสมบูรณ์ เธอคงคาดการเอาไว้แล้วว่าหากเธอชะลอการใช้เทคนิคหลังการโจมตีของคลิมไปเล็กน้อย ผมคงไม่มีทางยกเลิกผลการโจมตีดังกล่าวได้แน่

 

ไม่สิ บางทีที่คลิมใช้เทคนิคที่ดูอลังการในการโจมตีแรกก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้พี่สาวของเขาใช้เทคนิคดังกล่าวโจมตีเสริมก็เป็นได้

 

เอาเถอะ จะแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก

 

“ฮ่า!” 

 

หากผมกันมันด้วยอาภรณ์วิญญาณไม่ได้ ผมก็ใช้อย่างอื่นแทนสิ ผมได้ทำการระเบิดพลังคิออกมาเพื่อปัดป้องสายลมที่ไคลอาใช้โจมตีเข้ามา

 

พลังคิที่ระเบิดออกมามีความรุนแรงดุจดั่งการระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ตามที่เรียกของมัน คลื่นวายุที่ยิงเข้ามาได้ปะทะกับคิของผมเหมือนกำลังต้านพลังกันอยู่ แต่มันก็ทำได้ไม่นานนักก่อนจะสลายไป

 

สองพี่น้องเบิร์ชแสดงสีหน้าที่บิดเบี้ยวออกมาขณะดูการโจมตีของพวกเขาที่สลายไป พอเห็นแบบนี้ผมก็กะจะเย้ยพวกเขาอีกสักหน่อยหรอก แต่พอผมมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นคู่ต่อสู้คนที่ 3 ของผม ผมก็ได้สติ ทันใดนั้นก็มีเสียงอันหนักแน่นดังขึ้นจากบนหัวของผม

 

 

“ศาสตร์ลับมายาดาบเดียว――” 

 

 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าโกซุได้สวมชุดเกราะอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว ราชาวัวได้ทำการจุติมายังร่างของเขา  ตอนนี้เขาได้ทำการยกดาบมังกรฟ้าของตนขึ้นจากนั้น――

 

 

“กระบวนท่าสั่นสะท้าน อัสนีคำราม!!” 

 

เขาฟาดดาบลงมาด้วยความรุนแรง

 

คมดาบที่ส่งประกายราวกับสายฟ้าได้กระแทกลงมาเพื่อหมายกลืนกินร่างของผม ทั้งความเร็วและความรุนแรงที่โถมเข้ามามันไม่ใช่ของที่จะรับมือได้โดยง่ายเลย

 

ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะใช้ระเบิดคิอีกครั้งแล้ว ไม่สิถึงจะใช้ไปก็คงกันไว้ไม่อยู่ สถานการณ์ในตอนนี้มันต่างจากตอนรับมือกับไคลอา พลังอันท่วมท้นนี้คือของจริง

 

ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยกมือซ้ายขึ้นเหนือหัวของตนเอง―

 

 

 

“อึก…!” 

 

―และรับการโจมตีจากสายฟ้าของโกซุเข้าไปตรงๆ

 

 

ไม่ว่าบาเรียคิที่ใช้ป้องกันจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงรับการโจมตีนี้ไม่อยู่หรอก เลือดได้สาดกระเซ็นออกมา คมดาบของเขาเจาะทะลวงเข้ามาถึงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของผม

 

ชิ้นเนื้อและกระดูกของผมแตกเป็นเสี่ยงๆ เส้นประสาทบริเวณนั้นก็เสียหาย ความเจ็บปวดได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างของผม ทว่าดาบมังกรฟ้าของโกซุก็ยังไม่หยุด มันได้ทำการโจมตีลากยาวลึกลงไปถึงข้อมือของผมเลย ถึงจะบอกว่ามันอาจจะดีกว่าถูกตัดมือทิ้งไปเลย แต่ตอนนี้มือซ้ายของผมก็ใช้ไม่ได้แล้วแหละ

 

ว่ากันตามตรง ผมก็คงจะมั่นใจในตัวเองเกินไปหน่อยที่คิดว่าคิของตัวเองจะเอาอยู่ แต่ดูเหมือนจะดูถูกพลังที่แท้จริงของโกซุไปหน่อยแฮะ

 

 

พอรับรู้ได้ถึงความจริงดังกล่าว มันก็อดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้

 

“ฮ่าๆๆๆ! เยี่ยมยอดมาก โกซุ! ไอ้ท่าเมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ ศาสตร์ลับงั้นเหรอ กระบวนท่าสั่นสะท้าน เห้ยๆ ไม่เคยได้ยินว่ามีของแบบนั้นมาก่อนเลยนะ! แต่มันก็สุดยอดจริงๆ นั่นแหละ นี่สินะการทุ่มสุดตัวของนาย พลังทั้งหมดของโกซุ…ที่เคยมองฉันด้วยความสงสารตอนยังอยู่ที่เกาะ…มาตอนนี้กลับใส่ฉันอย่างเต็มแรงแล้ว! ในที่สุดนายก็ยอมใช้พลังทั้งหมดที่มีกับฉันสักที! ฮ่าๆๆๆๆ!!”

 

ผมหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า จากนั้นก็ใช้พลังของอาภรณ์วิญญาณในการฟื้นฟูบาดแผล ขนาดแขนขาขาดผมยังงอกใหม่ได้เลย ดังนั้นแค่ชิ้นเนื้อถูกฟัน กระดูกแตก เส้นประสาทเสียหายน่ะของกล้วยๆ

 

ถึงมันจะเจ็บมากก็เถอะตอนโดนคมดาบฟันเข้าไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ขนาดความเจ็บปวดยังทำให้ผมรู้สึกดีจนหยุดขำออกมาไม่ได้เลย

 

การที่โกซุแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาให้ผมได้เห็นมันทำให้ผมดีใจมากจริงๆ เพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่า ถึงเขาจะใช้พลังทั้งหมดของเขาแล้วก็ยังไม่สามารถตัดแขนของผมได้สักข้างเลยยังไงล่ะ

 

ผมสัมผัสได้แล้วจริงๆ ว่าตัวผมตอนนี้เหนือกว่าโกซุ ชิมะ

 

บอกกันตามตรงเลยนะว่า ผมไม่เคยคิดว่าเลยผมจะมีความรู้สึกที่บิดเบี้ยวขนาดนี้กับโกซุ

 

ความรู้สึกที่มีต่อเขาในอดีตก็คือความสมเพชในตัวเองที่ถูกเขามองด้วยความสงสาร แต่ผมก็เข้าใจได้แหละนะว่าเพราะเขาต้องดูแลผมในฐานะผู้ดูแล

 

ในตอนที่ผมต่อสู้กับเขาที่เมืองอิชกะยังไม่มีอารมณ์ขนาดนี้เลยแท้ๆ …ไม่สิ คงจะเป็นเพราะตอนนั้นผมยังอ่อนแอกว่าโกซุมากกว่า ถึงแม้ผมจะสามารถพลิกเกมเอาชนะเขาได้ตอนหลังก็เถอะ แต่ตอนนั้นใจของผมก็ยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองเหนือกว่าโกซุไปแล้ว แถมการต่อสู้ก็ถูกขัดจังหวะเพราะไฮดราด้วย

 

ตอนนี้แหละในที่สุดก็มั่นใจได้สักที หลังจากต่อสู้กับไฮดราเสร็จ ผมก็มั่นใจแล้วว่าผมเหนือกว่าโกซุแล้ว จะได้ฝังความผิดหวังในอดีตลงหลุมไปสักที

 

ขอบอกไว้ก่อนนะว่ามือซ้ายของผมตอนนี้ยังถูกคมดาบของโซกุฝังเอาไว้อยู่

 

ภายใต้หมวกหัววัวที่โกซุสวมเอาไว้กำลังเฝ้ามองดูผมด้วยความเงียบงัน ทว่าพอผ่านไปสักพักก็มีเสียงสั่นออกมาจากภายในหมวก เพราะเขาพยายามจะดึงดาบของตนกลับไปแต่ทว่าดาบที่ฝังอยู่ในมือของผมกลับไม่ขยับเลยสักนิด

 

“อึก…”

 

โกซุส่งเสียงออกมา ส่วนทางผมก็ยิ้มด้วยความดีใจและล็อกดาบให้แน่นยิ่งขึ้น

 

ไม่เพียงเท่านั้นผมยังเพิ่มแรงที่ส่งลงไปอีกเรื่อยๆ แกรก…มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังแตกหัก

 

“นะ…นายน้อย” 

 

“หุหุหุ ดูจากเสียงดูท่าภายใต้หมวกนั่นนายเหมือนจะเหนื่อยๆ นะ ชักจะอยากเห็นหน้าแล้วสิ”

 

ผมได้ทำการเพิ่มแรงมากขึ้น และมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง…

 

เกิดเสียงแตกของบางสิ่งขึ้น เสียงที่แตกสลายออกมาเหมือนคริสทัลชิ้นเล็กๆ

 

มันคือดาบของโกซุที่แตกออกไปเป็นทางตั้งแต่ส่วนปลายของดาบ

“เป็นไปไม่ได้…!”

 

“ฮ่าๆๆๆ! เปราะบาง ช่างเปราะบางเสียจริงๆ โกซุ! นี่น่ะเหรอสิ่งที่ผู้เข้าถึงห้วงแห่งความว่างเปล่าทำได้? นี่น่ะเหรอที่สุดของแก่นแท้แห่งมายาดาบเดียว? ไอ้ท่าทางที่บอกจะบดขยี้ความผยองของฉันทิ้งมันหายไปไหนหมดแล้ว แสดงให้ดูหน่อยสิ!?”

 

ผมพูดขณะที่เพ่งสมาธิส่งพลังคิไปยังมือซ้ายมากขึ้น เพื่อจะทำลายดาบของโกซุด้วยแรงที่มากกว่าเดิม

 

จากนั้นผมก็ได้ทำการปล่อยมือซ้ายของผมที่เคยมีดาบของโกซุฝังอยู่เอาไว้และหมุนตัวก่อนจะเตะเข้าไปที่กลางท้องของโกซุเหมือนกับหอกแทง โกซุที่สวมหมวกเอาไว้อยู่คงจะตะลึงน่าดู

 

เมื่อรับการโจมตีที่เสริมพลังคิของผมเข้าไป ร่างกายที่ใหญ่โตของโกซุซึ่งสวมชุดเกราะไว้อยู่ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ

 

พอได้เห็นร่างกายที่ใหญ่โตขณะสวมเกราะของเขาลอยขึ้นไปในอากาศเพราะพลังคิของผมแล้ว

 

ผมก็ยิ้มออกมาที่มุมปาก สัญญาสงบศึกของพวกเรามันผ่านไปนานแล้วนี่เนอะ

 

——–

อธิบายท้ายตอนของผู้เขียน

ไทเคียวคุ เรียวกิ ชิโช ฮัคเกะ

เป็นระดับที่บ่งบองถึงอนิม่าของแต่ละบุคคล ถ้าจะให้พูดง่ายๆ  

ไทเคียวคุคือ อนิม่าระดับ S  

เรียวกิ ระดับ AAA

ชิโช ระดับ AA

ฮัคเกะ ระดับ A  

ขอแค่อยู่ในระดับ ฮัคเกะ คนพวกนั้นก็สามารถเป็นหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 ไปสบายๆ และหากสามารถไปถึงระดับชิโชได้ความใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นนักบุญดาบก็คงไม่ไกลแล้ว หากอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิกว่า 300 ปี จะพบได้ว่าผู้ที่มีอนิม่าถึงระดับไทเคียวคุ หากนับรวมผู้ก่อตั้งตระกูลรุ่นแรกแล้วก็มีแค่ผู้นำตระกูลเพียง 3 รุ่นเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนั่นเอง

Note 1 : ระดับพวกนี้ผู้เขียนอ้างอิงมาจากแนวคิดของเต๋านะครับ ภาพมันจะประมาณนี้แหละ // ว่าแต่ที่บอกไคลอาว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวรู้นี่ยังไงซิ!!

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่

 

ร่างกายของผมมันร้อนเหมือนกับไฟกำลังเผาไหม้ร่างอยู่เลย

 

 

พลังคิที่แผ่ซ่านอยู่ภายในร่างมากพอๆ กับน้ำทะเล มันกำลังไหลผ่านทุกซอกมุมของร่างกายผม

 

รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เอ่อล้น อาการตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนเมาเลยแฮะ เหมือนมีอะไรมาคลุมร่างกายกับจิตใจเอาไว้

 

หากเป็นตอนนี้ละก็ไม่ว่าใครผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะเอาชนะได้หมดจะ มังกร เทพปีศาจ นักบุญดาบ – จิตใจของผมมันมั่นใจถึงระดับนั้นเลย

 

ก่อนที่จะรู้ตัวผมก็หัวเราะออกมาดังลั่น

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

ไม่ไหวแฮะ ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ

 

แม้ในหัวของผมบางส่วนจะส่งเสียงเตือนกับผมว่าอย่าได้มั่นใจในตัวเองนัก เสียงในหัวใจของผมก็บอกว่าไม่ควรลดการระวังลง

 

แต่ผมรู้สึกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องฟังเสียงพวกนั้นเลยสักนิดและไม่คิดจะสนด้วย

 

 

หากมีพลังที่ทำได้กระทั่งสั่นสะเทือนแผ่นดิน เพียงแค่ปลดปล่อยพลังคิออกมา พอมีพลังที่ฆ่าได้กระทั่งพระเจ้าอยู่ในมือแบบนั้นแล้วจะไม่ให้ตัวเองมั่นใจหน่อยได้ยังไงกัน

 

ไม่ระวังตัว? แล้วมันยังไงล่ะ หากผมไม่แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาสักหน่อยเดี๋ยวไอ้เจ้าโง่คลิมที่อยู่ตรงหน้าผมมันก็หมดโอกาสจะแสดงความโง่แบบนี้ออกมากันพอดี

 

ของแบบนี้เค้าเรียกว่าต่อให้เว้ย!

 

 

“ฮ่าๆๆๆ! คลิม คิดจะยืนเหม่อไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

 

ผมเหวี่ยงอาภรณ์วิญญาณออกไปเป็นเส้นตรง ชี้ไปทางคลิม แต่แน่นอนว่าระยะดาบของผมไม่ถึงตัวของเขา และผมก็ไม่ได้ใช้วายุในการโจมตีเขาด้วย ผมเพียงแค่เหวี่ยงดาบเบาๆ ตรงไปทางนั้นระหว่างพูด

 

ทว่าถึงแม้ผมจะเหวี่ยงออกไปเบาๆ แต่พลังคิที่พุ่งออกไปตามสายลมมันก็ระเบิดตัวออกมาจนผลักร่างของคลิมให้กระเด็นออกไปเล็กน้อย

 

 

“-อึก!?”

 

หลังจากเขาได้สติ สีหน้าของคลิมก็บิดเบี้ยว ตัวเขาตอนนี้เต็มไปด้วยช่องว่าง หากผมต้องการก็คงจะฟันร่างเขาขาดได้ง่ายๆ แต่ผมไม่ทำหรอกนะ จะบอกว่าผมความประมาทและผยองก็เชิญเลย

 

ผมเฝ้าดูคลิมที่พยายามดึงสติจัดท่าทางของตนใหม่ด้วยรอยยิ้ม พอเขาเห็นผมทำแบบนั้น คลิมก็บ่นออกมา

 

 

“…โซระ นี่นาย…”

 

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ? สีหน้านายดูไม่ดีนะคลิม อยากให้ฉันสอนถึงเรื่องที่นายไม่รู้ไม่ใช่หรือไง ฉันก็สอนอยู่นี่ไงเรื่องความต่างระหว่างพลังของพวกเรา อ๋อหรือมันยากเกินไปสำหรับคนอย่างนายที่จะเข้าใจ?”

 

ผมเห็นผมเยาะเย้ยเขาอย่างตรงไปตรงมา คลิมก็ได้แต่ยืนกัดฟัน

 

หากเป็นตอนนี้จะให้ผมพุ่งเข้าไปฟันเขาตรงๆ หรือจะปล่อยการโจมตีระยะไกลก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด

 

ร่างกายของคลิมถูกออร่าของผมโจมตีเข้าไปจนไม่สามารถหลบหนีการโจมตีอะไรได้อีกแล้ว

 

แถมเขาก็น่าจะรู้ตัวแล้วด้วยว่าผมออมมือเอาไว้อยู่ สีหน้าของเขามันบอกมาหมดแล้วน่ะสิ

 

กับคู่ต่อสู้ประเภทนี้ คำพูดนี่แหละได้ผลที่สุดแล้วขอบอก

 

“เห็นแบบนี้ฉันก็ดีใจนะที่คนอย่างนายยังเข้าใจบ้าง เอ้ามีอะไรอยากจะบ่นอีกไหมล่ะ ไม่ใช่แค่นายนะ ไคลอาหรือโกซุก็ด้วยอยากจะพูดอะไรไหม ฉันรอฟังอยู่”

 

ผมเหลือบมองไปยังอีก 2 คนที่อยู่ใกล้ๆ กับคลิม และก็เป็นทางไคลอาที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

 

“อนิม่าของคุณโซระ––คืออะไรกันแน่คะ? ฉันเข้าใจนะคะว่าคุณที่จัดการกับสิ่งมีชีวิตในตำนานลงได้เลเวลก็ย่อมสูงขึ้น แต่การที่จะปลดปล่อยพลังคิและแผ่ออร่ากดดันถึงขั้นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะเป็นอนิม่าระดับชิโช (สัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์) หรือฮัคเกะ (ดาราแปดแฉก) ก็เถอะ..!”

 

 

“ชิโช…ฮัคเกะ ถ้าไม่ใช่พวกนั้นก็ต้องเป็นเรียวกิ (หยินหยาง ตะวันจันทรา) ไม่ก็ไทเคียวคุ (ต้นกำเนิดสรรพสิ่ง) สินะ? เอาเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็รู้เองแหละว่ามันคืออะไรกันแน่”

 

 

“หมายความว่ายังไงกันคะ…?”

 

 

ไคลอาทำท่าเหมือนไม่เข้าใจที่ผมพูด ก่อนที่ผมจะเบนสายตาไปทางโกซุบ้างโดยไม่ได้สนใจเธอ

 

ตามที่คิดเอาไว้ดูเหมือนโกซุจะเริ่มรู้แล้วว่าระดับพลังของผมอยู่ขั้นไหน นอกจากนี้เขาก็เหมือนจะไม่พยายามต่อต้านโดยใช้พลังของจูสุมารุเลย

 

จูสุมารุพลังที่สามารถผนึกพลังอาภรณ์วิญญาณเอาไว้ได้ พลังที่ใช้ผนึกโซลอีทเตอร์ในการต่อสู้ครั้งก่อน

 

ทว่าหากเป็นในตอนนี้โกซุคงรู้ตัวแล้วว่า ถึงเขาจะใช้พลังนั้นไปก็ไม่มีทางที่จะผนึกพลังของโซลอีกเตอร์ได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่ได้คิดจะใช้มัน

 

ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายของเขาก็คืออาภรณ์แห่งความว่างเปล่า ผมหัวเราะใส่โกซุและเริ่มพูดกับเขาต่อ

 

 

“เร็วเข้าสิโกซุ รีบใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของนายซะ สองพี่น้องเบิร์ชก็ด้วยถ้าใช้ได้ก็รีบๆ งัดออกมา หากไม่ไหวก็ดึงพลังอาภรณ์วิญญาณออกมาให้หมดเท่าที่มีเสีย ก็ขอบใจหรอกนะที่ช่วยจัดการมอนสเตอร์ให้ ดังนั้นตลอดช่วง 1 นาทีต่อจากนี้ฉันจะไม่โจมตีอะไรพวกนายเลย เพราะถ้าไม่มีพวกนายฉันคงไม่สามารถได้พลังขนาดนี้มาได้นี่เนอะ เพราะงั้น 1 นาทีต่อจากนี้แหละคือช่วงเวลาที่ฉันอยากจะมอบเป็นคำขอบคุณให้”

 

 

“…ท่านโซระ ท่านกำลังจะบอกว่าท่านสามารถช่วงชิงพลังของสิ่งมีชีวิตในตำนานั่นมาได้แล้วงั้นเหรอครับ….เหมือนกับที่ท่านทำกับผมตอนอยู่ที่อิชกะ”

 

“อะไรของนายเนี่ย กะรวบรวมข้อมูลอยู่หรือไง…เอาเถอะก็ตามนั้นแหละ ตลอด 3 วันที่พวกนายไปรับมือกับมอนสเตอร์ไม่ให้หลุดออกจากป่าทีทิส ฉันได้กลืนกินเจ้าไฮดราจนหนำใจเลย พลังที่มีตอนนี้ก็คือผลจากการกลืนกินมันเข้าไป”

 

“ขอบพระคุณสำหรับมื้ออาหารจริงๆ” ผมกล่าวเสริมออกมาอย่างขอบคุณ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็อยากทำไปเพื่อประชดด้วยอ่ะนะ

 

เพื่อที่จะกำจัดไฮดราที่สามารถฟื้นฟูร่างของตัวเองได้ตลอดเวลา ผมจึงได้ทำการกินวิญญาณของมันไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างของมันจะฟื้นฟูต่อไม่ได้อีก กับเจ้าตัวที่ถึงจะโดนตัดหัวตัดหางไปก็ยังงอกใหม่ได้ มันก็เหลือแต่วิธีนี้เท่านั้นแหละ

 

ด้วยเหตุนี้เองกว่าจะกินได้จนหมด ก็ปาเข้าไปถึง 3 วัน 3 คืน

 

ดังนั้นบุญคุณส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้เต็มอิ่มกับมื้ออาหารโดยไม่ต้องกังวลอะไรก็ต้องขอขอบคุณพวกโกซุนี่แหละ

 

ดังนั้นแค่ให้ข้อมูลกับพวกเขาไปบ้างผมไม่คิดจะงกหรอก นอกจากนี้หากพวกเขาเอาข้อมูลของผมไปบอกกับพวกบนเกาะว่าผมเอาชนะไฮดราได้ยังไง รวมไปถึงข้อมูลอาภรณ์วิญญาณของผมด้วย จากนี้ผมคงทำอะไรง่ายขึ้น

 

หมดเวลาที่จะมาซ่อนตัวแล้ว

 

 

“ฉันจะพูดอีกทีนะ รีบใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าซะ โกซุ ชิมะ จากนั้นฉันจะได้บดขยี้นายที่ทุ่มสุดตัวแล้วก้าวข้ามนายไปได้สักที คราวนี้ฉันไม่ยอมให้นายออมมือเอาไว้อีกแน่”

 

◆◆

 

“มายาดาบเดียว เพลิงรุกไล่!” 

 

คลิมเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามาโจมตีผม เปลวเพลิงที่รุนแรงได้วนล้อมรอบตัวเขา ด้วยความน่าสะพรึง

 

อาภรณ์วิญญาณของคลิมอย่าง คุริคาระคือดาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นหากใช้มันประสานเข้ากับเทคนิคที่มีไฟเป็นพื้นฐานพลังทำลายล้างก็ย่อมสูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและพลังที่เขาใช้ออกมานั้นทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า ถึงจะเป็นไฮดราก็คงจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

 

ทว่าก็เหมือนกับที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ขนาดพลังของจูสึมารุยังใช้ไม่ได้ผลกับผม ดังนั้นคิดเหรอว่าพลังของคลิมจะทำอะไรผมได้ สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงถือโซลอีทเตอร์ไว้ในมือขวาและเตรียมรับการโจมตี

 

จากนั้นก็มีเสียงที่ทรงพลังดังขึ้นมาจากทิศของไคลอา 

 

“มายาดาบเดียว ตัดวายุ”

 

คลื่นวายุคลั่งถูกปลดปล่อยออกมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว ก็เหมือนกับอาภรณ์วิญญาณของคลิมที่ใช้ได้ผลดีขึ้นกับเทคนิคประเภทไฟ ทางอาภรณ์วิญญาณของไคลอาอย่างคุซานางิก็ใช้ได้ผลดีกับเทคนิคประเภทลม หากเป็นการโจมตีนี้ละก็ คงสามารถระเบิดหัวออกไฮดราออกได้โดยง่าย

 

จังหวะการโจมตีประสานกันช่างสมบูรณ์ เธอคงคาดการเอาไว้แล้วว่าหากเธอชะลอการใช้เทคนิคหลังการโจมตีของคลิมไปเล็กน้อย ผมคงไม่มีทางยกเลิกผลการโจมตีดังกล่าวได้แน่

 

ไม่สิ บางทีที่คลิมใช้เทคนิคที่ดูอลังการในการโจมตีแรกก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้พี่สาวของเขาใช้เทคนิคดังกล่าวโจมตีเสริมก็เป็นได้

 

เอาเถอะ จะแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก

 

“ฮ่า!” 

 

หากผมกันมันด้วยอาภรณ์วิญญาณไม่ได้ ผมก็ใช้อย่างอื่นแทนสิ ผมได้ทำการระเบิดพลังคิออกมาเพื่อปัดป้องสายลมที่ไคลอาใช้โจมตีเข้ามา

 

พลังคิที่ระเบิดออกมามีความรุนแรงดุจดั่งการระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ตามที่เรียกของมัน คลื่นวายุที่ยิงเข้ามาได้ปะทะกับคิของผมเหมือนกำลังต้านพลังกันอยู่ แต่มันก็ทำได้ไม่นานนักก่อนจะสลายไป

 

สองพี่น้องเบิร์ชแสดงสีหน้าที่บิดเบี้ยวออกมาขณะดูการโจมตีของพวกเขาที่สลายไป พอเห็นแบบนี้ผมก็กะจะเย้ยพวกเขาอีกสักหน่อยหรอก แต่พอผมมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นคู่ต่อสู้คนที่ 3 ของผม ผมก็ได้สติ ทันใดนั้นก็มีเสียงอันหนักแน่นดังขึ้นจากบนหัวของผม

 

 

“ศาสตร์ลับมายาดาบเดียว――” 

 

 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าโกซุได้สวมชุดเกราะอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว ราชาวัวได้ทำการจุติมายังร่างของเขา  ตอนนี้เขาได้ทำการยกดาบมังกรฟ้าของตนขึ้นจากนั้น――

 

 

“กระบวนท่าสั่นสะท้าน อัสนีคำราม!!” 

 

เขาฟาดดาบลงมาด้วยความรุนแรง

 

คมดาบที่ส่งประกายราวกับสายฟ้าได้กระแทกลงมาเพื่อหมายกลืนกินร่างของผม ทั้งความเร็วและความรุนแรงที่โถมเข้ามามันไม่ใช่ของที่จะรับมือได้โดยง่ายเลย

 

ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะใช้ระเบิดคิอีกครั้งแล้ว ไม่สิถึงจะใช้ไปก็คงกันไว้ไม่อยู่ สถานการณ์ในตอนนี้มันต่างจากตอนรับมือกับไคลอา พลังอันท่วมท้นนี้คือของจริง

 

ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยกมือซ้ายขึ้นเหนือหัวของตนเอง―

 

 

 

“อึก…!” 

 

―และรับการโจมตีจากสายฟ้าของโกซุเข้าไปตรงๆ

 

 

ไม่ว่าบาเรียคิที่ใช้ป้องกันจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงรับการโจมตีนี้ไม่อยู่หรอก เลือดได้สาดกระเซ็นออกมา คมดาบของเขาเจาะทะลวงเข้ามาถึงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของผม

 

ชิ้นเนื้อและกระดูกของผมแตกเป็นเสี่ยงๆ เส้นประสาทบริเวณนั้นก็เสียหาย ความเจ็บปวดได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างของผม ทว่าดาบมังกรฟ้าของโกซุก็ยังไม่หยุด มันได้ทำการโจมตีลากยาวลึกลงไปถึงข้อมือของผมเลย ถึงจะบอกว่ามันอาจจะดีกว่าถูกตัดมือทิ้งไปเลย แต่ตอนนี้มือซ้ายของผมก็ใช้ไม่ได้แล้วแหละ

 

ว่ากันตามตรง ผมก็คงจะมั่นใจในตัวเองเกินไปหน่อยที่คิดว่าคิของตัวเองจะเอาอยู่ แต่ดูเหมือนจะดูถูกพลังที่แท้จริงของโกซุไปหน่อยแฮะ

 

 

พอรับรู้ได้ถึงความจริงดังกล่าว มันก็อดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้

 

“ฮ่าๆๆๆ! เยี่ยมยอดมาก โกซุ! ไอ้ท่าเมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ ศาสตร์ลับงั้นเหรอ กระบวนท่าสั่นสะท้าน เห้ยๆ ไม่เคยได้ยินว่ามีของแบบนั้นมาก่อนเลยนะ! แต่มันก็สุดยอดจริงๆ นั่นแหละ นี่สินะการทุ่มสุดตัวของนาย พลังทั้งหมดของโกซุ…ที่เคยมองฉันด้วยความสงสารตอนยังอยู่ที่เกาะ…มาตอนนี้กลับใส่ฉันอย่างเต็มแรงแล้ว! ในที่สุดนายก็ยอมใช้พลังทั้งหมดที่มีกับฉันสักที! ฮ่าๆๆๆๆ!!”

 

ผมหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า จากนั้นก็ใช้พลังของอาภรณ์วิญญาณในการฟื้นฟูบาดแผล ขนาดแขนขาขาดผมยังงอกใหม่ได้เลย ดังนั้นแค่ชิ้นเนื้อถูกฟัน กระดูกแตก เส้นประสาทเสียหายน่ะของกล้วยๆ

 

ถึงมันจะเจ็บมากก็เถอะตอนโดนคมดาบฟันเข้าไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ขนาดความเจ็บปวดยังทำให้ผมรู้สึกดีจนหยุดขำออกมาไม่ได้เลย

 

การที่โกซุแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาให้ผมได้เห็นมันทำให้ผมดีใจมากจริงๆ เพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่า ถึงเขาจะใช้พลังทั้งหมดของเขาแล้วก็ยังไม่สามารถตัดแขนของผมได้สักข้างเลยยังไงล่ะ

 

ผมสัมผัสได้แล้วจริงๆ ว่าตัวผมตอนนี้เหนือกว่าโกซุ ชิมะ

 

บอกกันตามตรงเลยนะว่า ผมไม่เคยคิดว่าเลยผมจะมีความรู้สึกที่บิดเบี้ยวขนาดนี้กับโกซุ

 

ความรู้สึกที่มีต่อเขาในอดีตก็คือความสมเพชในตัวเองที่ถูกเขามองด้วยความสงสาร แต่ผมก็เข้าใจได้แหละนะว่าเพราะเขาต้องดูแลผมในฐานะผู้ดูแล

 

ในตอนที่ผมต่อสู้กับเขาที่เมืองอิชกะยังไม่มีอารมณ์ขนาดนี้เลยแท้ๆ …ไม่สิ คงจะเป็นเพราะตอนนั้นผมยังอ่อนแอกว่าโกซุมากกว่า ถึงแม้ผมจะสามารถพลิกเกมเอาชนะเขาได้ตอนหลังก็เถอะ แต่ตอนนั้นใจของผมก็ยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองเหนือกว่าโกซุไปแล้ว แถมการต่อสู้ก็ถูกขัดจังหวะเพราะไฮดราด้วย

 

ตอนนี้แหละในที่สุดก็มั่นใจได้สักที หลังจากต่อสู้กับไฮดราเสร็จ ผมก็มั่นใจแล้วว่าผมเหนือกว่าโกซุแล้ว จะได้ฝังความผิดหวังในอดีตลงหลุมไปสักที

 

ขอบอกไว้ก่อนนะว่ามือซ้ายของผมตอนนี้ยังถูกคมดาบของโซกุฝังเอาไว้อยู่

 

ภายใต้หมวกหัววัวที่โกซุสวมเอาไว้กำลังเฝ้ามองดูผมด้วยความเงียบงัน ทว่าพอผ่านไปสักพักก็มีเสียงสั่นออกมาจากภายในหมวก เพราะเขาพยายามจะดึงดาบของตนกลับไปแต่ทว่าดาบที่ฝังอยู่ในมือของผมกลับไม่ขยับเลยสักนิด

 

“อึก…”

 

โกซุส่งเสียงออกมา ส่วนทางผมก็ยิ้มด้วยความดีใจและล็อกดาบให้แน่นยิ่งขึ้น

 

ไม่เพียงเท่านั้นผมยังเพิ่มแรงที่ส่งลงไปอีกเรื่อยๆ แกรก…มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังแตกหัก

 

“นะ…นายน้อย” 

 

“หุหุหุ ดูจากเสียงดูท่าภายใต้หมวกนั่นนายเหมือนจะเหนื่อยๆ นะ ชักจะอยากเห็นหน้าแล้วสิ”

 

ผมได้ทำการเพิ่มแรงมากขึ้น และมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง…

 

เกิดเสียงแตกของบางสิ่งขึ้น เสียงที่แตกสลายออกมาเหมือนคริสทัลชิ้นเล็กๆ

 

มันคือดาบของโกซุที่แตกออกไปเป็นทางตั้งแต่ส่วนปลายของดาบ

“เป็นไปไม่ได้…!”

 

“ฮ่าๆๆๆ! เปราะบาง ช่างเปราะบางเสียจริงๆ โกซุ! นี่น่ะเหรอสิ่งที่ผู้เข้าถึงห้วงแห่งความว่างเปล่าทำได้? นี่น่ะเหรอที่สุดของแก่นแท้แห่งมายาดาบเดียว? ไอ้ท่าทางที่บอกจะบดขยี้ความผยองของฉันทิ้งมันหายไปไหนหมดแล้ว แสดงให้ดูหน่อยสิ!?”

 

ผมพูดขณะที่เพ่งสมาธิส่งพลังคิไปยังมือซ้ายมากขึ้น เพื่อจะทำลายดาบของโกซุด้วยแรงที่มากกว่าเดิม

 

จากนั้นผมก็ได้ทำการปล่อยมือซ้ายของผมที่เคยมีดาบของโกซุฝังอยู่เอาไว้และหมุนตัวก่อนจะเตะเข้าไปที่กลางท้องของโกซุเหมือนกับหอกแทง โกซุที่สวมหมวกเอาไว้อยู่คงจะตะลึงน่าดู

 

เมื่อรับการโจมตีที่เสริมพลังคิของผมเข้าไป ร่างกายที่ใหญ่โตของโกซุซึ่งสวมชุดเกราะไว้อยู่ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ

 

พอได้เห็นร่างกายที่ใหญ่โตขณะสวมเกราะของเขาลอยขึ้นไปในอากาศเพราะพลังคิของผมแล้ว

 

ผมก็ยิ้มออกมาที่มุมปาก สัญญาสงบศึกของพวกเรามันผ่านไปนานแล้วนี่เนอะ

 

——–

อธิบายท้ายตอนของผู้เขียน

ไทเคียวคุ เรียวกิ ชิโช ฮัคเกะ

เป็นระดับที่บ่งบองถึงอนิม่าของแต่ละบุคคล ถ้าจะให้พูดง่ายๆ  

ไทเคียวคุคือ อนิม่าระดับ S  

เรียวกิ ระดับ AAA

ชิโช ระดับ AA

ฮัคเกะ ระดับ A  

ขอแค่อยู่ในระดับ ฮัคเกะ คนพวกนั้นก็สามารถเป็นหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 ไปสบายๆ และหากสามารถไปถึงระดับชิโชได้ความใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นนักบุญดาบก็คงไม่ไกลแล้ว หากอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิกว่า 300 ปี จะพบได้ว่าผู้ที่มีอนิม่าถึงระดับไทเคียวคุ หากนับรวมผู้ก่อตั้งตระกูลรุ่นแรกแล้วก็มีแค่ผู้นำตระกูลเพียง 3 รุ่นเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนั่นเอง

Note 1 : ระดับพวกนี้ผู้เขียนอ้างอิงมาจากแนวคิดของเต๋านะครับ ภาพมันจะประมาณนี้แหละ // ว่าแต่ที่บอกไคลอาว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวรู้นี่ยังไงซิ!!

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+