การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 83 การติดต่อ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 83 การติดต่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 83 การติดต่อ

 

คงต้องย้อนความกลับไปก่อนหน้านี้สักนิด

 

แนวป้องกันที่ตั้งขึ้นบริเวณทางเหนือของเมืองอิชกะยังสามารถต้านทานการบุกรุกของเหล่ามอนสเตอร์ได้ไม่ว่าพวกมันจะโถมมามากแค่ไหน

 

 

 

ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยทหารของอาณาจักรคานาเรียและเหล่านักผจญภัยที่ช่วยกันต่อสู้ ถ้าหากไม่นับมอนสเตอร์ที่สามารถบินได้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนสามารถบุกมาถึงหน้าประตูเมืองอิชกะได้เลย

 

 

แน่นอนว่าทางเมืองอิชกะและกิลด์นักผจญภัยก็ได้ส่งทั้งเสบียงและคำชมเชยไปให้คนเหล่านั้นอย่างเต็มที่

 

 

พนักงานต้อนรับสองคนนี้ก็ได้รับคำสั่งลับจากทางกิลด์มาสเตอร์ระหว่างที่พวกเธอไปส่งเสบียงให้กับแนวหน้าด้วย

 

 

 

「พอเห็นมาสเตอร์ทำหน้าเครียดขนาดนั้น ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่ามันจะเป็นภารกิจอะไร..แต่ก็น่าแปลกที่ดันง่ายขนาดนี้เนอะรุ่นพี่」

 

 

 

ลิดเดลก็ได้แค่ขมวดคิ้วให้กับคำพูดของรุ่นน้องเธอที่ไม่ได้คิดมากอะไรกับภารกิจที่ได้ระหว่างที่ทั้งสองนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับของรถม้าซึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังปราการด่านแรก

 

 

 

ในฐานะพนักงานต้อนรับหรืออีกมุมหนึ่งก็คือตัวแทนของกิลด์ อันที่จริงเธอก็สามารถนั่งในรถม้าจิบชารอสวยๆ ระหว่างเดินทางไปยังแนวหน้าได้ แต่นั่นไม่ตรงกับนิสัยของเธอเลย เธอก็เลยเลือกที่จะมานั่งกุมบังเหียนเพื่อช่วยเหลือในการขนส่งเสบียงแทน

 

 

 

ส่วนพาร์เฟตที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ทำตัวสบายๆ

 

 

จนทำให้ลิดเดลต้องเปิดปากตำหนิการมองโลกในแง่ดีของเธอ

 

 

「อย่าทำตัวสบายขนาดนั้นสิพาร์เฟต มาสเตอร์ก็เคยบอกไปแล้วนี่ ว่าฝูงมอนสเตอร์ที่บอกเข้ามาจนถึงตอนนี้ยังเป็นพวกที่อยู่รอบๆ ป่า พวกเรายังไม่เคยเจอพวกที่อยู่ในส่วนลึกของป่าหลุดออกมาเลยนะ」

 

 

「เอ๋ーก่อนหน้านี้พวกเราก็เจอทั้งศพของสกิลล่า เจนรอน แมนติคอร์นี่คะ ไอ้เจ้าตัวพวกนั้นมันก็มาจากส่วนลึกของป่านี่ แต่ปราการแรกก็ยังไม่เห็นจะเป็นไรเลย นอกจากนี้ปราการ 2 3 4 ที่เหลืออยู่ก็พร้อมรับมือมากแล้วด้วย จะไม่ให้มองว่าภัยครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายชนะได้ไงกัน!」

 

 

 

「เธอนี่นะ……」

 

 

ลิดเดลถอนหายใจออกมาหลังจากฟังพาร์เฟตพูดโดยพยายามดันหน้าออกของเธอออกมาด้วย

 

ก็จริงว่าที่พาร์เฟตบอกมันก็ถูกต้อง บางเรื่องลิดเดลก็เห็นด้วยกับเธอ แต่หากคนนอกมาได้ยินพนักงานต้อนรับกิลด์บอกว่า ยังไงเราก็เป็นฝ่ายชนะแล้ว พวกเขาจะมองเราเสียๆ หายๆ ว่าเป็นพวกประมาทเลินเล่อแทน

 

 

และผลของการไม่ระมัดระวังตัวให้ดีมันไม่มีอะไรดีๆ ตามมาหรอก

 

 

ที่ลิดเดลอยากจะบอกกับรุ่นน้องของเธอก็คือถึงพวกเธอจะมีโอกาสชนะในการต่อสู้ครั้งนี้สูงมากแล้วแต่พวกเธอก็จำเป็นต้องปกปิดคำพูดหรืออารมณ์พวกนี้ไว้ ก็จริงว่าพาร์เฟตไม่ใช่คนโง่อะไร เธอรู้ตัวดีอยู่แล้วจึงเลือกพูดเรื่องนี้ตอนที่อยู่กับลิดเดลตามลำพัง

 

 

 

ตอนนี้ก็เช่นนั้นนอกจากเธอทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงคนขับ ก็มีเพียงเสบียงอย่างถังไวน์เท่านั้นที่ติดมากับรถม้า ดังนั้นคงไม่มีใครมาได้ยินเรื่องที่พาร์เฟตกับลิดเดลพูดกันหรอก หรือถ้าจะให้บอกว่ามีก็คงเป็นเพียงม้าที่เหงื่อไหล่ออกมาเล็กน้อยระหว่างวิ่งไปตามทาง

 

 

 

เพราะเรื่องนี้มันก็จริงจนทำให้ลิดเดลบ่นอะไรกับรุ่นน้องของเธอได้ยาก เธอก็เลยทำได้แค่ถอนหายใจให้กับรุ่นน้องขี้แกล้งของเธอ

 

 

「จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ฉันได้เห็นตัวอย่างเจนรอน! รุ่นพี่เคยเห็นพวกมันมาก่อนไหมคะ? 」

 

「ก็คงสองครั้งได้ แต่สองครั้งที่ว่ามันก็ผ่านมาสามปีแล้ว」

 

 

หากจะให้บอกว่าเจนรอนที่พาร์เฟตพูดคืออะไร มันก็คงจะเป็นสัตว์อสูรบินได้ที่มีลักษณะคล้ายกับไวเวิร์นซึ่งถูกจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกับพวกมังกร

 

หาไวเวิร์นคือสัตว์อสูรครึ่งมังกรที่เชี่ยวชาญในการบิน เจนรอนก็คงจะเป็นครึ่งมังกรที่มีความแข็งแกร่งด้านการป้องกัน ด้วยเกล็ดที่ยื่นออกมาจากร่างมันเหมือนใบดาบที่แหลมคม ซึ่งมีร่างกายอันมหึมาที่ลำตัวยาวกว่า 10 เมตร หรือให้เทียบก็เหมือนกับภูเขาลูกเล็กๆ เดินได้

 

เกล็ดของเจนรอนนั้นเป็นวัตถุดิบชั้นสูงในการสร้างอาวุธระดับสูง ดังนั้นหากใครสามารถล่าพวกมันมาได้ ความมั่งคั่งที่จะตามมาของพวกเขาก็คงไม่ต้องกล่าวถึง

 

 

 

ทว่าเจนรอนก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาพบได้ง่ายๆ พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากแม้จะเป็นในส่วนลึกของป่าทีทิสแถมอาวุธหรือเวทมนตร์ธรรมดาก็ไม่สามารถทะลวงเกล็ดของมันเข้าด้วย

 

 

 

นอกจากนี้นิสัยของพวกมันก็ไม่ได้อ่อนโยนหรือสามารถเชื่องได้กับมนุษย์เลย พวกมันมักจะใช้เกล็ดบนหลังของมันเข้าโจมตีศัตรูของมันทันทีที่พบเห็น และด้วยร่างกายที่ใหญ่โตซึ่งมาพร้อมกับพลังทำลายล้างที่สูง แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวมันก็เพียงพอให้ร่างกายมนุษย์แหลกเป็นชิ้นๆ แล้ว

 

 

 

แล้วพวกมันก็ยังว่องไวถึงแม้จะมีร่างที่ใหญ่แบบนั้นด้วย ถึงมีจะคนได้เจอกับมันจริงๆ อย่างแรกก็คงจะได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ หากอยากจะรวยเพราะการโค่นมัน

 

 

 

ไม่กี่วันก่อนก็มีเจนรอนสองตัวหลุดออกมาโจมตีป้อมปราการแห่งแรกพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็เกือบจะทำให้ปราการแห่งแรกล่มสลายไปแล้ว

 

แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนที่เข้ามาช่วยเหลือไว้ได้ทันเวลา

 

 

 

 

「มีข่าวคือว่าเป็นกลุ่มคนสามคนที่เอาชนะเจนรอนได้ สงสัยจังเลยค่ะว่าพวกเขาจะเป็นคนแบบไหน จากที่ทราบว่าคนแรกชื่อโกซุเหมือนจะสามารถทุบเข้าที่เกล็ดของมันได้ด้วยแรงเปล่าๆ ดังนั้นคงมองได้ว่าเขาเป็นพวกพลังกล้ามเต็มร้อยเลยสินะคะ ฮิฮิ แทบจะรอเจอเขาไม่ไหวแล้วสิ」

 

 

 

「…ตอนแรกก็โซระ ตอนนี้ก็โซกุ เธอนี่มีตัวเลือกในใจอยู่เยอะจังเลยนะ」

 

 

「โถ่ รุ่นพี่ค่ะไม่แรงไปหน่อยเหรอ! จะไม่ให้ฉันมีตัวเลือกเลยหรือไง?! ดาบฮายาบูสะที่พึ่งพาได้ของฉันก็ล่มไปแล้วด้วย หากฉันไม่หาทางออกใหม่ให้ตัวเอง เดี๋ยวเงินเดือนกับโบนัสฤดูร้อนของฉันก็ได้รับผลกระทบกันพอดี มาถึงตอนนี้มันยังต้องเลือกวิธีการอีกเหรอคะ! ความภูมิใจอย่างเดียวมันซื้อข้าวกินไม่ได้หรอกนะคะ!」

 

 

ลิดเดลไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับท่าทางของพาร์เฟต

 

 

ลิดเดลที่เกิดอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางของเมืองอิชกะไม่เคยอดอยู่อย่างอดอยากมากก่อน แต่สำหรับพาร์เฟตซึ่งโตมาในชนบทอันห่างไกลแล้วต่างกัน ลิดเดลยังรู้มาอีกว่าพาร์เฟตไม่เคยที่จะหยุดส่งเงินกลับไปที่บ้านเกิดของเธอเลยแม้แต่เดือนเดียว ถึงลิดเดลจะไม่ได้ยินมันจากปากของพาร์เฟตโดยตรงแต่เธอก็รู้ได้จากจดหมายที่พ่อแม่ของพาร์เฟตส่งมาที่กิลด์

 

 

 

พอเธอคิดแบบนี้ บางทีพาร์เฟตอาจจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เธอเห็นก็ได้ เธอจึงได้ก้มหัวให้กับรุ่นน้องของเธอหลังจากคิดมาดีแล้ว

 

 

「ขอโทษทีแล้วกันนะที่ว่าเธอแรงไปหน่อย」

 

 

 

「ฉันละชอบความจริงใจของรุ่นพี่จริงๆ ได้ค่ะฉันยกโทษให้!」

 

 

ลิดเดลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้มแบบฝืนๆ ออกมา ในขณะที่พาร์เฟตยิ้มด้วยความสนุกสนาน

 

 

ไม่นานนักหอคอยสังเกตการณ์ที่ทำมาจากไม้ก็เข้ามาในสายตาของลิดเดล พวกเธอเดินทางมาถึงปราการแห่งแรกแล้ว

 

 

 

◆◆◆

 

 

หลังจากลิดเดลได้เผชิญหน้ากับทั้งสามคนอย่าง โกซุ ไคลอา และคลิม เธอก็พูดถึงธุระที่เอลการ์ดฝากมากับเธออย่างรวดเร็ว

 

ข้อเสนอที่อยากจะให้ทั้งสามคนเข้ามาอยู่ภายใต้กิลด์ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่กิลด์จะมอบให้

 

ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือเธอกำลังมองหาขุมกำลังใหม่ แน่นอนว่าตรงจุดนี้ไม่ใช่แค่ความต้องการของกิลด์แต่เป็นความต้องการของที่ว่าการเมืองอิชกะด้วย

 

 

แล้วอย่างหลังมันสำคัญอะไรล่ะ?

 

 

้ก็เพราะในช่วงที่เกิดวิฤกตขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มคนสามคนจากไหนไม่รู้ ซึ่งมีพลังไร้ที่เปรียบมาช่วยรับมือพอดี พวกเบื้องบนของเมืองอิชกะก็ย่อมรู้สึกสงสัยมากกว่าจะดีใจอยู่แล้ว

 

 

เอาง่ายๆ ก็คือพวกเขากังวลว่า สามคนนี้อาจจะเป็นทหารของทางจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่ใช้โอกาสนี้ในการลอบเข้ามายังอาณาจักรคานาเรียก็ได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเรื่องวุ่นวายที่เมืองหลวงขึ้นด้วย จะเพิ่มความระวังก็ไม่แปลก

 

 

คำเชิญชวนเข้ากิลด์เป็นเพียงเหยื่อล่ออย่างแรก พวกเธอจะสามารถรู้ถึงความต้องการเบื้องต้นของพวกเขาได้จากเรื่องนี้ ดังนั้นก็ต้องรอดูว่าทั้งสามจะตอบสนองอย่างไรต่อข้อเสนอที่กิลด์ว่ามา นี่คือเรื่องที่กิลด์และที่ว่าการเมืองอิชกะเห็นตรงกันก่อนจะเลือกเดินหมากถัดไป

 

 

แต่ก็ใช่ว่าโกซุ ชิมะจะอ่านถึงความต้องการอีกฝ่ายไม่ออก

 

 

 

 

สำหรับโกซุแล้วเขาไม่ได้มีแรงจูงใจพิเศษอะไรแอบแฝงในการช่วยเหลือครั้งนี้ ที่เขาทำไปก็เพื่อชดใช้ให้กับการกระทำของจินโบ

 

 

หากเมืองอิชกะจะสงสัยเขาก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้

 

 

อันที่จริงโกซุน่าจะเข้ามาขอโทษเรื่องที่จินโบทำก่อน แล้วค่อยเสนอตัวช่วยเหลือพวกเขาน่าจะดีกว่า

 

 

ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของจักรวรรดิ ที่ทางเจ้าหญิงซากุยะยังต้องแต่งงานกับทางเจ้าชายของอาณาจักร โกซุก็เลยเลือกที่จะต้องไม่แสดงท่าทีอะไรออกไปมาก

 

 

 

สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงการช่วยเหลือป้องกันเมืองจากมอนสเตอร์ เขาไม่ได้ต้องการรางวัลใดๆ จากเมืองเลย แต่ถ้าเขาบอกไปแบบนั้น ความสงสัยในตัวพวกตนคงมากขึ้นกว่าเดิมแทนที่จะลดลง

 

 

“สุดท้ายก็คงต้องรับรางวัลที่กิลด์เสนอให้สินะ” นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ส่วนรางวัลที่ได้เดี๋ยวเขาค่อยเอาไปมอบให้กับครอบครัวของเหยื่อที่ได้รับผลกระทบในเมืองหลวงแล้วกัน

 

 

หลังจากโกซุได้ยินสิ่งที่ลิดเดลพูดเขาก็ทำการคำนวณข้อมูลความเป็นไปได้เพียงไม่กี่วินาที แล้วก็บอกกับพนักงานของกิลด์ที่ถักผมเปียว่าพวกตนจะรับข้อเสนอที่เธอให้มาด้วยรอยยิ้ม

 

 

 

พอพูดจบคนที่แสดงความยินดีออกมามากที่สุดก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นพาร์เฟตที่แทบจะลุกขึ้นมาเต้น พวกเธอสามารถพาคนที่โค่นเจนรอนลงได้มาเป็นพวกแล้ว

 

 

โกซุรู้ดีว่าสองพี่น้องเบิร์ชที่มองเขาจากด้านหลังรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเขาที่เป็นถึงชิบะแห่งตระกูลมิตสึรุกิ แต่ด้วยการแสดงที่สุดแสนจะเป็นธรรมชาตินั้นก็ทำให้แม้จะเป็นลิดเดลก็ไม่รู้สึกถึงความแปลกอะไร

 

 

 

 

กลับกัน ความรู้สึกของอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังเขานี่สิ โดนเฉพาะคนที่ชื่อคลิม ลิดเดลเห็นได้ถึงท่าทางความคิดของเขาที่แตกต่างไป โดยตาขวาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ส่วนตาซ้ายก็เต็มไปด้วยคำดูถูก

 

 

ลิดเดลมองไปว่านี่คงจะเป็นนิสัยที่อยากจะจิกกัดส่วนตัวของเขาเอง

 

ก็จริงว่าท่าทีของโกซุไม่มีอะไรให้สงสัยเลย แต่พอนึกถึงคนที่สามารถจัดการกับตัวตนระดับนั้นได้ในช่วงคลุ้มคลั่งแล้ว มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละที่เขาจะเดินทางไปมาอย่างอิสระโดยไม่ขึ้นตรงหรือรับใช้ใครอยู่เลย

 

 

ก็จริงอยู่ว่าตามกฎของกิลด์แล้วไม่ควรที่จะไปสอบถามขุดลึกอะไรกับอดีตส่วนตัวของนักผจญภัยในสังกัด แต่ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเป็นสายลับของประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่หายไป ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องตรวจสอบทุกความเป็นไปได้

 

「น่าประทับใจมากเลยนะคะ ที่ท่านโกซุสามารถจัดการกับอสูรดาบลงได้ ทางท่านไคลอาที่จัดการสกิลล่ากับท่านคลิมที่จัดการแมนติคอร์ก็เช่นกัน ที่สามารถเผชิญหน้ากับพวกมันได้ตามลำพัง ความสามารถของพวกท่านแม้แต่กิดล์มาสเตอร์เอลการ์ดของเราก็ยังต้องทึ่งเลยค่ะ」

 

 

「หึ ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีแมนติคอร์ 5 หรือ 10 ตัวถึงฆ่าไอพวกนี้ไปก็เอาไปอวดใครไม่ได้ด้วย ดูท่านักผจญภัยของเมืองอิชกะจะอ่อนไปหน่อยนะ」

 

 

 

「คลิมระวังคำพูดคำจาด้วย」

 

 

「ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเองท่านพี่ หากกิลด์มาสเตอร์ชมเรากะอิเรื่องแค่การฆ่าพวกหนอนแมลงอย่างแมนติคอร์กับสกิลล่าจะให้นึกถึงอะไรได้อีกล่ะ? 」

 

 

พอเธอเห็นคลิมพูดออกมาแบบนั้น ลิดเดลก็หรี่ตาลงเล็กน้อยในระดับที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

 

จากนั้นเธอก็พูดออกมาโดยที่บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่

 

 

「รุนแรงจังเลยนะคะ แต่ก็จริงค่ะว่าสำหรับเมืองอิชกะแล้ว แมนติคอร์ สกิลล่า หรืออสูรดาบเจนรอนมีระดับความอันตรายที่สูงมาก จนจำเป็นต้องรับมือเป็นปาร์ตี้ หากมองในมุมท่านแล้วพวกเราก็คงจะอ่อนแอจริงๆ 」

 

 

「หืม ก็รู้ตัวดีนี่ ที่เราช่วยพวกเธอมันก็เพราะเป็นการตัดสินใจของชิบะเองด้วย ดังนั้นบอกไว้เลยนะว่าพวกเธอไม่มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งพวกเรา ฝากบอกเจ้าเอลการ์ดแบบนั้นด้วย」

 

 

 

「เข้าใจแล้วค่ะ」

 

 

หลังจากที่ลิดเดลพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรกลับไปอีก คลิมก็ยังคงบ่นออกมาและไม่หยุดพูดแต่อย่างใด ท่าทางของเขาช่างดูหยาบคายมากจริงๆ แถมไม่มีท่าทีจะหยุดด้วย จากมุมของลิดเดลแล้วเธอเคยรับมือกับพวกนักผจญภัยที่ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้มาเยอะแล้ว วิธีการรับมือก็ง่ายๆ ขอแค่ปล่อยให้เขาได้พูดตามที่ตัวเองต้องการก็ไม่มีอะไรแล้ว

 

 

 

ส่วนพี่สาวเขาอย่างไคลอาก็ได้แสดงท่าทางขอโทษออกมา ลิดเดลก็ได้แค่ยิ้มรับกลับไป เธอเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์และนิสัยของสามคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

คลิมเป็นพวกซื่อตรงเกินกว่าที่จะทำงานสายลับได้ ถึงโกซุกับไคลอาจะดูลึกลับอยู่บ้าง แต่วิธีพูดกับการกระทำของพวกเธอก็แสดงถึงความจริงใจออกมาชัดเจน ดังนั้นลิดเดลจึงมองว่าพวกเขาไม่น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสายลับ

 

 

แต่พลังที่ทั้งสามคนมีนี้ก็เป็นของจริง ถึงพวกเขาไม่ใช่สายลับแต่พวกเขาก็ต้องเก็บงำความลับอะไรไว้อยู่แน่ ลิดเดลกำลังคิดอยู่ว่าเธอควรจะลองขุดไปให้ลึกกว่านี้ก่อนกลับไปรายงานเอลการ์ดดีไหม

 

 

จากนั้นพาร์เฟตก็เปิดปากพูดต่อเหมือนกับเดาความคิดของลิดเดลได้

 

 

「…นี่รุ่นพี่คะ รุ่นพี่! อย่าลืมสิว่าพวกเราก็มีคนที่สามารถโค่นมอนสเตอร์ระดับนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่เหมือนกัน กริฟฟอนกับสกิลล่านั่นไง!」

 

 

พาร์เฟตพูดออกมาด้วยเสียงกระซิบ―แต่ความดังของมันก็เพียงพอให้ทุกคนที่นี่ได้ยิน นั่นคือเรื่องที่เธอตั้งใจให้เป็น

 

 

พาร์เฟตเห็นว่าแก้มของคลิมดูกระตุกไปเล็กน้อย แต่เธอก็เนียนทำเป็นไม่สนใจก่อนจะพูดกับโกซุต่อ

 

 

 

「นักผจญภัยของเมืองอิชกะก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดนะคะ บางทีท่านโกซุอาจจะรู้จักพวกเขาก็ได้ ท่านเคยได้ยินถึงเรื่องอัศวินมังกรที่ขี่ไวเวิร์นครามไหมคะ? 」

 

 

「ไม่เลยนะ พวกข้าไม่ได้รู้จักเขา ถึงจะเคยได้ยินถึงเรื่องอัศวินมังกรมาเยอะก็เถอะ…แต่ชื่อนี้ไม่คุ้นเลย บางทีคงจะเป็นฉายาที่เขาได้ตอนขี่ไวเวิร์นครามในการปราบพวกมอนสเตอร์สินะ ถึงจะยืมพลังมาจากไวเวิร์นแต่การที่สามารถปราบกริฟฟอนลงได้ก็ถือว่าน่าชื่นชมทีเดียว」

 

 

ถึงโซกุจะพูดเหมือนแสดงความประทับใจออกมา แต่ใจจริงเขาไม่สนเลยแม้แต่น้อย

 

 

พวกคนในประเทศนี้ชอบเอาแต่พูดถึงมังกรไม่ก็อัศวินมังกร แต่อยากแรกเลยไอ้ตัวที่พวกเขาเรียกกันว่ามังกรสุดท้ายมันก็แค่ไวเวิร์นเลือดผสมของมังกร หากจะให้ยืมคำพูดของคลิมมาใช้ ไวเวิร์นก็เป็นเหมือนกับหนอนแมลงสำหรับผู้ใช้มายาดาบเดียวนั่นแหละ ไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัวพวกมันเลย ก็หมายความว่าไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลยสักนิด

 

 

นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่โกซุคิดไปคนเดียว เขามั่นใจว่าคลิมและไคลอาก็คิดเหมือนกัน

 

 

เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ดูไม่สนใจอะไรมากนักของทั้งสามพาร์เฟตก็ตระหนักได้ว่าเธอล้มเหลวในการนำหัวข้อสนทนา แต่ถ้าจะให้เธอเปลี่ยนเรื่องคุยไปเลยมันก็จะผิดธรรมชาติไปสักหน่อย เธอจึงเลือกฝืนพูดต่ออีกสักนิด

 

「อัศวินมังกรคนนั้นมีชื่อว่าโซระค่ะ เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอิชกะตอนนะ―」

 

 

พาร์เฟตไม่ทันจะพูดจบประโยคของเธอ อยู่ดีๆ โกซุก็พูดขึ้นมาขัดเธอทันที

 

「เดี๋ยว!」

 

 

「เอ๋?!..คะ-คือว่ามีอะไรเหรอคะ? 」

 

 

 

「…เมื่อกี้พูดว่าโซระสินะ? 」

 

 

「เอ่อ ใช่ค่ะ…นั่นคือชื่อของอัศวินมังกรคนนั้น………」

 

 

 

「โซระ….หรือว่าจะเป็นโซระคนนั้นกัน ว่าแต่เขาอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? 」

 

 

 

「เอ่อ ถ้าจะให้พูดก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับท่านคลิมตรงนั้นค่ะ」

 

 

พอพาร์เฟตตอบท่าทีของโกซุก็เริ่มเปลี่ยนไป

 

 

 

 

「สีผมของเขาล่ะ? ผมของเขาเป็นสีดำใช่ไหม? 」

 

 

 

「ใช่ค่ะ…หรือว่า พวกท่านรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ? 」

 

 

「 …อาจจะใช่ ต้องขออภัยกับท่าทีของข้าด้วย แต่ข้าอยากจะขอฟังเรื่องราวของเขาสักหน่อย เช่นทำไมเขาถึงกลายมาเป็นอัศวินมังกรได้ ทำไมเขาถึงสามารถฆ่าสกิลล่ากับกริฟฟอนได้ด้วย」

 

 

โกซุโน้มตัวไปข้างหน้าและถามพาร์เฟต

 

 

ดวงตาที่แหลมคมของเขาจ้องมองไปยังหน้าของพาร์เฟต ความกดดันมันมากจนไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวได้

 

———

Note 1 : โซระไม่อยู่ที่เมือง โกซุคงไปหาถึงบ้าน ที่บ้านมีมิโร ลูน่า ชีล ซูซูเมะเป็นคิจิน อ้ามีมวยแน่
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 83 การติดต่อ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 83 การติดต่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 83 การติดต่อ

 

คงต้องย้อนความกลับไปก่อนหน้านี้สักนิด

 

แนวป้องกันที่ตั้งขึ้นบริเวณทางเหนือของเมืองอิชกะยังสามารถต้านทานการบุกรุกของเหล่ามอนสเตอร์ได้ไม่ว่าพวกมันจะโถมมามากแค่ไหน

 

 

 

ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยทหารของอาณาจักรคานาเรียและเหล่านักผจญภัยที่ช่วยกันต่อสู้ ถ้าหากไม่นับมอนสเตอร์ที่สามารถบินได้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนสามารถบุกมาถึงหน้าประตูเมืองอิชกะได้เลย

 

 

แน่นอนว่าทางเมืองอิชกะและกิลด์นักผจญภัยก็ได้ส่งทั้งเสบียงและคำชมเชยไปให้คนเหล่านั้นอย่างเต็มที่

 

 

พนักงานต้อนรับสองคนนี้ก็ได้รับคำสั่งลับจากทางกิลด์มาสเตอร์ระหว่างที่พวกเธอไปส่งเสบียงให้กับแนวหน้าด้วย

 

 

 

「พอเห็นมาสเตอร์ทำหน้าเครียดขนาดนั้น ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่ามันจะเป็นภารกิจอะไร..แต่ก็น่าแปลกที่ดันง่ายขนาดนี้เนอะรุ่นพี่」

 

 

 

ลิดเดลก็ได้แค่ขมวดคิ้วให้กับคำพูดของรุ่นน้องเธอที่ไม่ได้คิดมากอะไรกับภารกิจที่ได้ระหว่างที่ทั้งสองนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับของรถม้าซึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังปราการด่านแรก

 

 

 

ในฐานะพนักงานต้อนรับหรืออีกมุมหนึ่งก็คือตัวแทนของกิลด์ อันที่จริงเธอก็สามารถนั่งในรถม้าจิบชารอสวยๆ ระหว่างเดินทางไปยังแนวหน้าได้ แต่นั่นไม่ตรงกับนิสัยของเธอเลย เธอก็เลยเลือกที่จะมานั่งกุมบังเหียนเพื่อช่วยเหลือในการขนส่งเสบียงแทน

 

 

 

ส่วนพาร์เฟตที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ทำตัวสบายๆ

 

 

จนทำให้ลิดเดลต้องเปิดปากตำหนิการมองโลกในแง่ดีของเธอ

 

 

「อย่าทำตัวสบายขนาดนั้นสิพาร์เฟต มาสเตอร์ก็เคยบอกไปแล้วนี่ ว่าฝูงมอนสเตอร์ที่บอกเข้ามาจนถึงตอนนี้ยังเป็นพวกที่อยู่รอบๆ ป่า พวกเรายังไม่เคยเจอพวกที่อยู่ในส่วนลึกของป่าหลุดออกมาเลยนะ」

 

 

「เอ๋ーก่อนหน้านี้พวกเราก็เจอทั้งศพของสกิลล่า เจนรอน แมนติคอร์นี่คะ ไอ้เจ้าตัวพวกนั้นมันก็มาจากส่วนลึกของป่านี่ แต่ปราการแรกก็ยังไม่เห็นจะเป็นไรเลย นอกจากนี้ปราการ 2 3 4 ที่เหลืออยู่ก็พร้อมรับมือมากแล้วด้วย จะไม่ให้มองว่าภัยครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายชนะได้ไงกัน!」

 

 

 

「เธอนี่นะ……」

 

 

ลิดเดลถอนหายใจออกมาหลังจากฟังพาร์เฟตพูดโดยพยายามดันหน้าออกของเธอออกมาด้วย

 

ก็จริงว่าที่พาร์เฟตบอกมันก็ถูกต้อง บางเรื่องลิดเดลก็เห็นด้วยกับเธอ แต่หากคนนอกมาได้ยินพนักงานต้อนรับกิลด์บอกว่า ยังไงเราก็เป็นฝ่ายชนะแล้ว พวกเขาจะมองเราเสียๆ หายๆ ว่าเป็นพวกประมาทเลินเล่อแทน

 

 

และผลของการไม่ระมัดระวังตัวให้ดีมันไม่มีอะไรดีๆ ตามมาหรอก

 

 

ที่ลิดเดลอยากจะบอกกับรุ่นน้องของเธอก็คือถึงพวกเธอจะมีโอกาสชนะในการต่อสู้ครั้งนี้สูงมากแล้วแต่พวกเธอก็จำเป็นต้องปกปิดคำพูดหรืออารมณ์พวกนี้ไว้ ก็จริงว่าพาร์เฟตไม่ใช่คนโง่อะไร เธอรู้ตัวดีอยู่แล้วจึงเลือกพูดเรื่องนี้ตอนที่อยู่กับลิดเดลตามลำพัง

 

 

 

ตอนนี้ก็เช่นนั้นนอกจากเธอทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงคนขับ ก็มีเพียงเสบียงอย่างถังไวน์เท่านั้นที่ติดมากับรถม้า ดังนั้นคงไม่มีใครมาได้ยินเรื่องที่พาร์เฟตกับลิดเดลพูดกันหรอก หรือถ้าจะให้บอกว่ามีก็คงเป็นเพียงม้าที่เหงื่อไหล่ออกมาเล็กน้อยระหว่างวิ่งไปตามทาง

 

 

 

เพราะเรื่องนี้มันก็จริงจนทำให้ลิดเดลบ่นอะไรกับรุ่นน้องของเธอได้ยาก เธอก็เลยทำได้แค่ถอนหายใจให้กับรุ่นน้องขี้แกล้งของเธอ

 

 

「จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ฉันได้เห็นตัวอย่างเจนรอน! รุ่นพี่เคยเห็นพวกมันมาก่อนไหมคะ? 」

 

「ก็คงสองครั้งได้ แต่สองครั้งที่ว่ามันก็ผ่านมาสามปีแล้ว」

 

 

หากจะให้บอกว่าเจนรอนที่พาร์เฟตพูดคืออะไร มันก็คงจะเป็นสัตว์อสูรบินได้ที่มีลักษณะคล้ายกับไวเวิร์นซึ่งถูกจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกับพวกมังกร

 

หาไวเวิร์นคือสัตว์อสูรครึ่งมังกรที่เชี่ยวชาญในการบิน เจนรอนก็คงจะเป็นครึ่งมังกรที่มีความแข็งแกร่งด้านการป้องกัน ด้วยเกล็ดที่ยื่นออกมาจากร่างมันเหมือนใบดาบที่แหลมคม ซึ่งมีร่างกายอันมหึมาที่ลำตัวยาวกว่า 10 เมตร หรือให้เทียบก็เหมือนกับภูเขาลูกเล็กๆ เดินได้

 

เกล็ดของเจนรอนนั้นเป็นวัตถุดิบชั้นสูงในการสร้างอาวุธระดับสูง ดังนั้นหากใครสามารถล่าพวกมันมาได้ ความมั่งคั่งที่จะตามมาของพวกเขาก็คงไม่ต้องกล่าวถึง

 

 

 

ทว่าเจนรอนก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาพบได้ง่ายๆ พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากแม้จะเป็นในส่วนลึกของป่าทีทิสแถมอาวุธหรือเวทมนตร์ธรรมดาก็ไม่สามารถทะลวงเกล็ดของมันเข้าด้วย

 

 

 

นอกจากนี้นิสัยของพวกมันก็ไม่ได้อ่อนโยนหรือสามารถเชื่องได้กับมนุษย์เลย พวกมันมักจะใช้เกล็ดบนหลังของมันเข้าโจมตีศัตรูของมันทันทีที่พบเห็น และด้วยร่างกายที่ใหญ่โตซึ่งมาพร้อมกับพลังทำลายล้างที่สูง แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวมันก็เพียงพอให้ร่างกายมนุษย์แหลกเป็นชิ้นๆ แล้ว

 

 

 

แล้วพวกมันก็ยังว่องไวถึงแม้จะมีร่างที่ใหญ่แบบนั้นด้วย ถึงมีจะคนได้เจอกับมันจริงๆ อย่างแรกก็คงจะได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ หากอยากจะรวยเพราะการโค่นมัน

 

 

 

ไม่กี่วันก่อนก็มีเจนรอนสองตัวหลุดออกมาโจมตีป้อมปราการแห่งแรกพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็เกือบจะทำให้ปราการแห่งแรกล่มสลายไปแล้ว

 

แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนที่เข้ามาช่วยเหลือไว้ได้ทันเวลา

 

 

 

 

「มีข่าวคือว่าเป็นกลุ่มคนสามคนที่เอาชนะเจนรอนได้ สงสัยจังเลยค่ะว่าพวกเขาจะเป็นคนแบบไหน จากที่ทราบว่าคนแรกชื่อโกซุเหมือนจะสามารถทุบเข้าที่เกล็ดของมันได้ด้วยแรงเปล่าๆ ดังนั้นคงมองได้ว่าเขาเป็นพวกพลังกล้ามเต็มร้อยเลยสินะคะ ฮิฮิ แทบจะรอเจอเขาไม่ไหวแล้วสิ」

 

 

 

「…ตอนแรกก็โซระ ตอนนี้ก็โซกุ เธอนี่มีตัวเลือกในใจอยู่เยอะจังเลยนะ」

 

 

「โถ่ รุ่นพี่ค่ะไม่แรงไปหน่อยเหรอ! จะไม่ให้ฉันมีตัวเลือกเลยหรือไง?! ดาบฮายาบูสะที่พึ่งพาได้ของฉันก็ล่มไปแล้วด้วย หากฉันไม่หาทางออกใหม่ให้ตัวเอง เดี๋ยวเงินเดือนกับโบนัสฤดูร้อนของฉันก็ได้รับผลกระทบกันพอดี มาถึงตอนนี้มันยังต้องเลือกวิธีการอีกเหรอคะ! ความภูมิใจอย่างเดียวมันซื้อข้าวกินไม่ได้หรอกนะคะ!」

 

 

ลิดเดลไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับท่าทางของพาร์เฟต

 

 

ลิดเดลที่เกิดอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางของเมืองอิชกะไม่เคยอดอยู่อย่างอดอยากมากก่อน แต่สำหรับพาร์เฟตซึ่งโตมาในชนบทอันห่างไกลแล้วต่างกัน ลิดเดลยังรู้มาอีกว่าพาร์เฟตไม่เคยที่จะหยุดส่งเงินกลับไปที่บ้านเกิดของเธอเลยแม้แต่เดือนเดียว ถึงลิดเดลจะไม่ได้ยินมันจากปากของพาร์เฟตโดยตรงแต่เธอก็รู้ได้จากจดหมายที่พ่อแม่ของพาร์เฟตส่งมาที่กิลด์

 

 

 

พอเธอคิดแบบนี้ บางทีพาร์เฟตอาจจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เธอเห็นก็ได้ เธอจึงได้ก้มหัวให้กับรุ่นน้องของเธอหลังจากคิดมาดีแล้ว

 

 

「ขอโทษทีแล้วกันนะที่ว่าเธอแรงไปหน่อย」

 

 

 

「ฉันละชอบความจริงใจของรุ่นพี่จริงๆ ได้ค่ะฉันยกโทษให้!」

 

 

ลิดเดลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้มแบบฝืนๆ ออกมา ในขณะที่พาร์เฟตยิ้มด้วยความสนุกสนาน

 

 

ไม่นานนักหอคอยสังเกตการณ์ที่ทำมาจากไม้ก็เข้ามาในสายตาของลิดเดล พวกเธอเดินทางมาถึงปราการแห่งแรกแล้ว

 

 

 

◆◆◆

 

 

หลังจากลิดเดลได้เผชิญหน้ากับทั้งสามคนอย่าง โกซุ ไคลอา และคลิม เธอก็พูดถึงธุระที่เอลการ์ดฝากมากับเธออย่างรวดเร็ว

 

ข้อเสนอที่อยากจะให้ทั้งสามคนเข้ามาอยู่ภายใต้กิลด์ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่กิลด์จะมอบให้

 

ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือเธอกำลังมองหาขุมกำลังใหม่ แน่นอนว่าตรงจุดนี้ไม่ใช่แค่ความต้องการของกิลด์แต่เป็นความต้องการของที่ว่าการเมืองอิชกะด้วย

 

 

แล้วอย่างหลังมันสำคัญอะไรล่ะ?

 

 

้ก็เพราะในช่วงที่เกิดวิฤกตขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มคนสามคนจากไหนไม่รู้ ซึ่งมีพลังไร้ที่เปรียบมาช่วยรับมือพอดี พวกเบื้องบนของเมืองอิชกะก็ย่อมรู้สึกสงสัยมากกว่าจะดีใจอยู่แล้ว

 

 

เอาง่ายๆ ก็คือพวกเขากังวลว่า สามคนนี้อาจจะเป็นทหารของทางจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่ใช้โอกาสนี้ในการลอบเข้ามายังอาณาจักรคานาเรียก็ได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเรื่องวุ่นวายที่เมืองหลวงขึ้นด้วย จะเพิ่มความระวังก็ไม่แปลก

 

 

คำเชิญชวนเข้ากิลด์เป็นเพียงเหยื่อล่ออย่างแรก พวกเธอจะสามารถรู้ถึงความต้องการเบื้องต้นของพวกเขาได้จากเรื่องนี้ ดังนั้นก็ต้องรอดูว่าทั้งสามจะตอบสนองอย่างไรต่อข้อเสนอที่กิลด์ว่ามา นี่คือเรื่องที่กิลด์และที่ว่าการเมืองอิชกะเห็นตรงกันก่อนจะเลือกเดินหมากถัดไป

 

 

แต่ก็ใช่ว่าโกซุ ชิมะจะอ่านถึงความต้องการอีกฝ่ายไม่ออก

 

 

 

 

สำหรับโกซุแล้วเขาไม่ได้มีแรงจูงใจพิเศษอะไรแอบแฝงในการช่วยเหลือครั้งนี้ ที่เขาทำไปก็เพื่อชดใช้ให้กับการกระทำของจินโบ

 

 

หากเมืองอิชกะจะสงสัยเขาก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้

 

 

อันที่จริงโกซุน่าจะเข้ามาขอโทษเรื่องที่จินโบทำก่อน แล้วค่อยเสนอตัวช่วยเหลือพวกเขาน่าจะดีกว่า

 

 

ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของจักรวรรดิ ที่ทางเจ้าหญิงซากุยะยังต้องแต่งงานกับทางเจ้าชายของอาณาจักร โกซุก็เลยเลือกที่จะต้องไม่แสดงท่าทีอะไรออกไปมาก

 

 

 

สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงการช่วยเหลือป้องกันเมืองจากมอนสเตอร์ เขาไม่ได้ต้องการรางวัลใดๆ จากเมืองเลย แต่ถ้าเขาบอกไปแบบนั้น ความสงสัยในตัวพวกตนคงมากขึ้นกว่าเดิมแทนที่จะลดลง

 

 

“สุดท้ายก็คงต้องรับรางวัลที่กิลด์เสนอให้สินะ” นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ส่วนรางวัลที่ได้เดี๋ยวเขาค่อยเอาไปมอบให้กับครอบครัวของเหยื่อที่ได้รับผลกระทบในเมืองหลวงแล้วกัน

 

 

หลังจากโกซุได้ยินสิ่งที่ลิดเดลพูดเขาก็ทำการคำนวณข้อมูลความเป็นไปได้เพียงไม่กี่วินาที แล้วก็บอกกับพนักงานของกิลด์ที่ถักผมเปียว่าพวกตนจะรับข้อเสนอที่เธอให้มาด้วยรอยยิ้ม

 

 

 

พอพูดจบคนที่แสดงความยินดีออกมามากที่สุดก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นพาร์เฟตที่แทบจะลุกขึ้นมาเต้น พวกเธอสามารถพาคนที่โค่นเจนรอนลงได้มาเป็นพวกแล้ว

 

 

โกซุรู้ดีว่าสองพี่น้องเบิร์ชที่มองเขาจากด้านหลังรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเขาที่เป็นถึงชิบะแห่งตระกูลมิตสึรุกิ แต่ด้วยการแสดงที่สุดแสนจะเป็นธรรมชาตินั้นก็ทำให้แม้จะเป็นลิดเดลก็ไม่รู้สึกถึงความแปลกอะไร

 

 

 

 

กลับกัน ความรู้สึกของอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังเขานี่สิ โดนเฉพาะคนที่ชื่อคลิม ลิดเดลเห็นได้ถึงท่าทางความคิดของเขาที่แตกต่างไป โดยตาขวาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ส่วนตาซ้ายก็เต็มไปด้วยคำดูถูก

 

 

ลิดเดลมองไปว่านี่คงจะเป็นนิสัยที่อยากจะจิกกัดส่วนตัวของเขาเอง

 

ก็จริงว่าท่าทีของโกซุไม่มีอะไรให้สงสัยเลย แต่พอนึกถึงคนที่สามารถจัดการกับตัวตนระดับนั้นได้ในช่วงคลุ้มคลั่งแล้ว มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละที่เขาจะเดินทางไปมาอย่างอิสระโดยไม่ขึ้นตรงหรือรับใช้ใครอยู่เลย

 

 

ก็จริงอยู่ว่าตามกฎของกิลด์แล้วไม่ควรที่จะไปสอบถามขุดลึกอะไรกับอดีตส่วนตัวของนักผจญภัยในสังกัด แต่ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเป็นสายลับของประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่หายไป ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องตรวจสอบทุกความเป็นไปได้

 

「น่าประทับใจมากเลยนะคะ ที่ท่านโกซุสามารถจัดการกับอสูรดาบลงได้ ทางท่านไคลอาที่จัดการสกิลล่ากับท่านคลิมที่จัดการแมนติคอร์ก็เช่นกัน ที่สามารถเผชิญหน้ากับพวกมันได้ตามลำพัง ความสามารถของพวกท่านแม้แต่กิดล์มาสเตอร์เอลการ์ดของเราก็ยังต้องทึ่งเลยค่ะ」

 

 

「หึ ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีแมนติคอร์ 5 หรือ 10 ตัวถึงฆ่าไอพวกนี้ไปก็เอาไปอวดใครไม่ได้ด้วย ดูท่านักผจญภัยของเมืองอิชกะจะอ่อนไปหน่อยนะ」

 

 

 

「คลิมระวังคำพูดคำจาด้วย」

 

 

「ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเองท่านพี่ หากกิลด์มาสเตอร์ชมเรากะอิเรื่องแค่การฆ่าพวกหนอนแมลงอย่างแมนติคอร์กับสกิลล่าจะให้นึกถึงอะไรได้อีกล่ะ? 」

 

 

พอเธอเห็นคลิมพูดออกมาแบบนั้น ลิดเดลก็หรี่ตาลงเล็กน้อยในระดับที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

 

จากนั้นเธอก็พูดออกมาโดยที่บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่

 

 

「รุนแรงจังเลยนะคะ แต่ก็จริงค่ะว่าสำหรับเมืองอิชกะแล้ว แมนติคอร์ สกิลล่า หรืออสูรดาบเจนรอนมีระดับความอันตรายที่สูงมาก จนจำเป็นต้องรับมือเป็นปาร์ตี้ หากมองในมุมท่านแล้วพวกเราก็คงจะอ่อนแอจริงๆ 」

 

 

「หืม ก็รู้ตัวดีนี่ ที่เราช่วยพวกเธอมันก็เพราะเป็นการตัดสินใจของชิบะเองด้วย ดังนั้นบอกไว้เลยนะว่าพวกเธอไม่มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งพวกเรา ฝากบอกเจ้าเอลการ์ดแบบนั้นด้วย」

 

 

 

「เข้าใจแล้วค่ะ」

 

 

หลังจากที่ลิดเดลพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรกลับไปอีก คลิมก็ยังคงบ่นออกมาและไม่หยุดพูดแต่อย่างใด ท่าทางของเขาช่างดูหยาบคายมากจริงๆ แถมไม่มีท่าทีจะหยุดด้วย จากมุมของลิดเดลแล้วเธอเคยรับมือกับพวกนักผจญภัยที่ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้มาเยอะแล้ว วิธีการรับมือก็ง่ายๆ ขอแค่ปล่อยให้เขาได้พูดตามที่ตัวเองต้องการก็ไม่มีอะไรแล้ว

 

 

 

ส่วนพี่สาวเขาอย่างไคลอาก็ได้แสดงท่าทางขอโทษออกมา ลิดเดลก็ได้แค่ยิ้มรับกลับไป เธอเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์และนิสัยของสามคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

คลิมเป็นพวกซื่อตรงเกินกว่าที่จะทำงานสายลับได้ ถึงโกซุกับไคลอาจะดูลึกลับอยู่บ้าง แต่วิธีพูดกับการกระทำของพวกเธอก็แสดงถึงความจริงใจออกมาชัดเจน ดังนั้นลิดเดลจึงมองว่าพวกเขาไม่น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสายลับ

 

 

แต่พลังที่ทั้งสามคนมีนี้ก็เป็นของจริง ถึงพวกเขาไม่ใช่สายลับแต่พวกเขาก็ต้องเก็บงำความลับอะไรไว้อยู่แน่ ลิดเดลกำลังคิดอยู่ว่าเธอควรจะลองขุดไปให้ลึกกว่านี้ก่อนกลับไปรายงานเอลการ์ดดีไหม

 

 

จากนั้นพาร์เฟตก็เปิดปากพูดต่อเหมือนกับเดาความคิดของลิดเดลได้

 

 

「…นี่รุ่นพี่คะ รุ่นพี่! อย่าลืมสิว่าพวกเราก็มีคนที่สามารถโค่นมอนสเตอร์ระดับนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่เหมือนกัน กริฟฟอนกับสกิลล่านั่นไง!」

 

 

พาร์เฟตพูดออกมาด้วยเสียงกระซิบ―แต่ความดังของมันก็เพียงพอให้ทุกคนที่นี่ได้ยิน นั่นคือเรื่องที่เธอตั้งใจให้เป็น

 

 

พาร์เฟตเห็นว่าแก้มของคลิมดูกระตุกไปเล็กน้อย แต่เธอก็เนียนทำเป็นไม่สนใจก่อนจะพูดกับโกซุต่อ

 

 

 

「นักผจญภัยของเมืองอิชกะก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดนะคะ บางทีท่านโกซุอาจจะรู้จักพวกเขาก็ได้ ท่านเคยได้ยินถึงเรื่องอัศวินมังกรที่ขี่ไวเวิร์นครามไหมคะ? 」

 

 

「ไม่เลยนะ พวกข้าไม่ได้รู้จักเขา ถึงจะเคยได้ยินถึงเรื่องอัศวินมังกรมาเยอะก็เถอะ…แต่ชื่อนี้ไม่คุ้นเลย บางทีคงจะเป็นฉายาที่เขาได้ตอนขี่ไวเวิร์นครามในการปราบพวกมอนสเตอร์สินะ ถึงจะยืมพลังมาจากไวเวิร์นแต่การที่สามารถปราบกริฟฟอนลงได้ก็ถือว่าน่าชื่นชมทีเดียว」

 

 

ถึงโซกุจะพูดเหมือนแสดงความประทับใจออกมา แต่ใจจริงเขาไม่สนเลยแม้แต่น้อย

 

 

พวกคนในประเทศนี้ชอบเอาแต่พูดถึงมังกรไม่ก็อัศวินมังกร แต่อยากแรกเลยไอ้ตัวที่พวกเขาเรียกกันว่ามังกรสุดท้ายมันก็แค่ไวเวิร์นเลือดผสมของมังกร หากจะให้ยืมคำพูดของคลิมมาใช้ ไวเวิร์นก็เป็นเหมือนกับหนอนแมลงสำหรับผู้ใช้มายาดาบเดียวนั่นแหละ ไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัวพวกมันเลย ก็หมายความว่าไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลยสักนิด

 

 

นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่โกซุคิดไปคนเดียว เขามั่นใจว่าคลิมและไคลอาก็คิดเหมือนกัน

 

 

เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ดูไม่สนใจอะไรมากนักของทั้งสามพาร์เฟตก็ตระหนักได้ว่าเธอล้มเหลวในการนำหัวข้อสนทนา แต่ถ้าจะให้เธอเปลี่ยนเรื่องคุยไปเลยมันก็จะผิดธรรมชาติไปสักหน่อย เธอจึงเลือกฝืนพูดต่ออีกสักนิด

 

「อัศวินมังกรคนนั้นมีชื่อว่าโซระค่ะ เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอิชกะตอนนะ―」

 

 

พาร์เฟตไม่ทันจะพูดจบประโยคของเธอ อยู่ดีๆ โกซุก็พูดขึ้นมาขัดเธอทันที

 

「เดี๋ยว!」

 

 

「เอ๋?!..คะ-คือว่ามีอะไรเหรอคะ? 」

 

 

 

「…เมื่อกี้พูดว่าโซระสินะ? 」

 

 

「เอ่อ ใช่ค่ะ…นั่นคือชื่อของอัศวินมังกรคนนั้น………」

 

 

 

「โซระ….หรือว่าจะเป็นโซระคนนั้นกัน ว่าแต่เขาอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? 」

 

 

 

「เอ่อ ถ้าจะให้พูดก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับท่านคลิมตรงนั้นค่ะ」

 

 

พอพาร์เฟตตอบท่าทีของโกซุก็เริ่มเปลี่ยนไป

 

 

 

 

「สีผมของเขาล่ะ? ผมของเขาเป็นสีดำใช่ไหม? 」

 

 

 

「ใช่ค่ะ…หรือว่า พวกท่านรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ? 」

 

 

「 …อาจจะใช่ ต้องขออภัยกับท่าทีของข้าด้วย แต่ข้าอยากจะขอฟังเรื่องราวของเขาสักหน่อย เช่นทำไมเขาถึงกลายมาเป็นอัศวินมังกรได้ ทำไมเขาถึงสามารถฆ่าสกิลล่ากับกริฟฟอนได้ด้วย」

 

 

โกซุโน้มตัวไปข้างหน้าและถามพาร์เฟต

 

 

ดวงตาที่แหลมคมของเขาจ้องมองไปยังหน้าของพาร์เฟต ความกดดันมันมากจนไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวได้

 

———

Note 1 : โซระไม่อยู่ที่เมือง โกซุคงไปหาถึงบ้าน ที่บ้านมีมิโร ลูน่า ชีล ซูซูเมะเป็นคิจิน อ้ามีมวยแน่
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+