การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 112.1 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 2

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 112.1 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 112.1 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 2

 

「ให้ตายสิ ข้าละตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ โกซุ ชิมะเอ๋ย!!」

 

คนที่พูดแบบนั้นออกมา ก่อนจะเอากำปั้นกระแทกลงไปยังพื้นเสื่อทาทามิก็คือชิโตะ 1 ใน 4 เสาหลักที่รับใช้ตระกูลมิตสึรุกิในด้านการบริหารอย่างกิลมอร์ เบิร์ช

 

กิลมอร์เป็นผู้นำตระกูลเบิร์ชที่สร้างฐานอำนาจขึ้นมาใหม่ภายในเกาะอสูรยักษ์ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและเขาได้กลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักที่คอยดูแลทั้งการเงินและบุคลากรของตระกูลมิตสึรุกิ อีกทั้งยังเป็นพ่อบุญธรรมของคลิมที่กำลังก้มหมอบกับพื้นข้างหลังโกซุอีกด้วย

 

และถึงแม้จะมีคลิมอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย แต่สายตาของกิลมอร์ก็จ้องมองแค่เพียงโกซุ

 

เขาเริ่มพูดต่ออย่างลื่นไหล

 

「ข้าจะขอพักเรื่องไคลอาลูกสาวของข้าเอาไว้ก่อนแล้วกันเนื่องจากนี่เป็นการตัดสินในที่สาธารณะ แต่เรื่องที่นักรบจากธงแห่งผืนป่าซึ่งครอบครองตำแหน่งชิบะ กลับแพ้คนที่ถูกเนรเทศออกจากเกาะแล้วหนีกลับมาเนี่ยมันหมายความว่ายังไงกัน!? แทนที่จะยอมรับความล้มเหลวของตนกลับมาพูดจาไร้สาระกับท่านผู้นำเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตัวเองอีก!」

 

 

「นั่นคือเรื่องจริง」

 

โกซุพูดออกมาด้วยความเยือกเย็น เพื่อตอบสนองต่อเสียงแห่งความโกระของกิลมอร์

 

「ข้ายอมรับว่าข้าได้พ่ายแพ้และหนีกลับมายังเกาะ สำหรับเรื่องดังกล่าวข้าไม่มีข้อแก้ตัว ทว่าข้าขอยืนยันว่าข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระกับนายท่านเลยแม้แต่น้อย」

 

「หุบปากเสีย ใครมันจะไปเชื่อได้ลงกันว่าคนไร้ประโยชน์ที่ถูกเนรเทศออกไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนเพราะไม่สามารถผ่านพิธีทดสอบ จะสามารถเอาชนะนักรบแห่งผืนป่าได้พร้อมกันถึง 3 คน ยิ่งไปกว่านั้นยังจะมาบอกว่าอีกเขาสามารถโค่นสิ่งมีชีวิตในตำนานได้ด้วยตัวคนเดียว หากไม่เรียกว่าไร้สาระจะเรียกว่าอะไรได้อีกกัน?!」

 

「นั่นคือเรื่องจริง ข้าขอยืนยัน」

 

คำพูดและท่าทางของโกซุไม่ได้แยแสคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วภายในของเขาหาได้สงบเหมือนท่าทางที่แสดงออกมา

 

หลังจากพ่ายแพ้โซระที่อาณาจักรคานาเรีย เขาก็รีบมุ่งตรงมาหานายท่านของเขาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้ใช้เวลาในการพักรักษาตัวเลยแม้แต่น้อย เขาเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อมาถึงยังที่แห่งนี้ ถ้าให้พูดกันตามตรงสภาพของเขาตอนนี้อยากจะทิ้งตัวลงบนหมอนแทบแย่แล้ว

 

แต่เขาจะแสดงท่าทีที่นาสมเพชต่อหน้าผู้คนและเสาหลักคนอื่นของตระกูลมิตสึรุกิไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามแสร้งเป็นสงบนิ่งต่อไป

 

บางทีกิลมอร์อาจจะสัมผัสถึงความคิดของโกซุได้ ดวงตาของเขาจึงส่องประกายออกมา

 

「โกซุ ชิมะ ส่วนตัวแล้วข้ามองว่าเจ้าอาจจะต้องการใช้ความเมตตาแบบผิดๆ ในการช่วยเหลือคนไร้ความสามารถแบบนั้น และเจ้ากำลังวางแผนอยากจะคืนสถานะทายาทที่ชอบธรรมให้กับเขา ยิ่งกับเจ้าที่เป็นอดีตผู้ดูแลเขาแล้ว มันยิ่งสามารถอธิบายคำพูดไร้สาระของเจ้าได้หมดเลยนะ!」

 

พอโกซุได้ยินแบบนั้นเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปและตอบกลับในทันที

 

 

「ประเดี๋ยวก่อนท่านชิโตะ ข้าว่านั่นถือเป็นการใส่ร้ายโดยขาดหลักฐานนะ หากเป็นเช่นนั้นจริงถึงข้าจะนำท่านโซระกลับมาได้ แต่สุดท้ายพอเผชิญกับพิธีทดสอบ ความสามารถของเขาก็จะถูกเผยออกมาอยู่ดี ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่ข้าจำเป็นต้องจะใช้กลลวงอะไรแบบนั้นเลยสักนิด」

 

「ก็ถ้าเป็นคนมีสติดีอยู่มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ทว่าเจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าสติของเจ้ายังครบถ้วนดี? คนที่แม้แต่นักรบเขี้ยวมังกรยังไม่สามารถเอาชนะได้ จะสามารถโค่นเจ้าที่เป็นลำดับ 3 ของธงแรกและนักรบแห่งผืนป่าอีก 2 คนโดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปีได้จริงหรือ แถมยังเป็นตอนที่เจ้าใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าอีกด้วย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เจ้าบอกว่าเขาสามารถโค่นราชาของสิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างมังกรลงได้ ขนาดพวกเด็กๆ ยังปั้นเรื่องได้ดีกว่าเจ้าเสียอีกแล้วแบบนี้จะไม่ให้ข้าถามได้อย่างไรว่าเจ้ายังสติดีอยู่หรือเปล่า」

 

「หากท่านยังยืนยันในคำพูด ทำไมเราไม่ลองมาโหวตตัดสินดูล่ะ」

 

กิลมอร์กล่าว

 

ในที่แห่งนี้มีทั้งผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอย่างชิกิบุ และสี่เสาหลักของตระกูลอย่างชิโตะ ชิโก ชิคุ และชิบะ รวมไปถึงหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 แห่งผืนป่าและรองหัวหน้าของแต่ละธง พวกเขาทั้งหมดคือขุมอำนาจที่ได้รับการยอมรับมาแล้วจากตระกูลมิตสึรุกิ

 

กิลมอร์ทำการตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวโกซุ ชิมะว่าเขายังมีสติดีอยู่หรือเปล่าต่อหน้าบุคคลสำคัญเหล่านี้ เพราะตัวเขามั่นใจมากว่าสิ่งที่โกซุรายงานมานั้นไร้สาระและเชื่อถือไม่ได้

 

สำหรับกิลมอร์แล้วนี่ยังเป็นโอกาสในการเตะตัดขาโกซุที่ครองตำแหน่งชิบะเอาไว้อยู่ นี่ก็เพื่อดันคนในตระกูลของตัวเองให้ได้ตำแหน่งนั้นมาแทน ในปัจจุบันตระกูลเบิร์ชนั้นได้ครอบครองตำแหน่งใน 4 เสาหลักถึง 2 ตำแหน่งด้วยกันนั่นก็คือชิโตะกับชิโก ถ้าหากพวกเขาได้ตำแหน่งชิบะมาครอบครองอีก พลังอำนาจของตระกูลเบิร์ชในเกาะอสูรยักษ์ก็จะไม่มีวันสั่นคลอนแล้วเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงอยากจะกำจัดโกซุออกไปให้พ้นทางโดยเร็ว

 

ในขณะที่โกซุและกิลมอร์กำลังพูดคุยกันคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่แห่งนั้นก็ทำเพียงแค่เฝ้ามอง

 

แน่นอนว่าหลายคนในที่นี้ไม่พอใจการแสดงออกของกิลมอร์ที่พยายามจะควบคุมและสร้างอิทธิพลขึ้นโดยใช้คนในตระกูลไปในส่วนต่างๆ ของระบบ ทว่าพวกกเขาก็ไม่อาจจะทำใจยอมรับให้สนับสนุนโกซุที่พูดเรื่องไร้สาระออกมาได้จริงๆ เห็นได้จากใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนที่ไม่รู้จะต้องเข้าข้างฝ่ายไหนดี

 

ด้วยเหตุนี้เองทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังผู้นำของพวกเขาอย่างมิตสึรุกิ ชิกิบุที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งยกสูง

 

ตอนนี้มีเพียงแค่ผู้นำไม่ก็เสาหลักคนอื่นๆ เท่านั้นที่จะสามารถหยุดข้อพิพาทระหว่างชิโตะกับชิบะลงได้

 

ไม่รู้ว่าเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของเหล่าข้ารับใช้ที่จ้องมองมายังเขาหรือเขาตั้งใจจะให้ทั้งสองคนนั้นพูดกันจบเสียก่อน ในที่สุดนักบุญดาบก็ได้เริ่มเปิดปากพูดออกมา

 

 

「โกซุ ฉันมีคำถามจะถามนายสักหน่อย」

 

ทันทีที่ชิกิบุพูด โกซุและกิลมอร์ก็ยืนตัวตรงขึ้นก่อนจะก้มศีรษะลงตรงจุดที่พวกเขาอยู่ทันที

 

 

「ฮ่ะ ตามประสงค์ของท่าน」

 

 

「นายได้ต่อสู้อย่างจริงหรือเปล่าที่อาณาจักรคานาเรีย? 」

 

โกซุอยากจะตอบกลับไปจริงๆ ว่า เขาได้สู้อย่างจริงจังแล้ว――ทว่าในใจของเขาก็เกิดความลังเลขึ้น

 

หลังจากหายใจเข้าออกได้ครู่หนึ่ง โกซุก็เปิดปากพูดถึงการต่อสู้ที่อยู่ในความทรงจำของเขา

 

「ข้าได้ทำการต่อสู้กับท่านโซระเพื่อจะนำตัวเขามาให้นายท่าน ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าสู้กับเขาอย่างจริงจังเหมือนตอนที่เข้าไปยังประตูปีศาจ」

 

โกซุไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีวิตของโซระและเขาก็ไม่สามารถมองโซระเป็นศัตรูไปได้จริงๆ

 

เพราะเขาคือคนที่คอยดูแลโซระมาตั้งแต่เด็ก ในฐานะผู้ดูแลแล้ว ใครมันจะไปสามารถแสดงความเป็นปรปักษ์หรืออยากจะฆ่าเขาได้กัน

 

――แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต่อสู้กับครึ่งๆ กลางๆ

 

「สิ่งที่ข้าบอกได้ก็มีเพียงแค่ ข้าได้ทำการต่อสู้กับท่านโซระอย่างสุดกำลังและพ่ายแพ้ครับ」

 

「…งั้นเหรอ」

 

ชิกิบุพยักหน้าหนึ่งครั้งเพื่อตอบกลับโกซุและหลับตาลง

 

สิ่งที่โซระเรียกร้องต่อตระกูลมิตสึรุกิก็คือ――ทางตระกูลจะต้องไม่มายุ่งกับซูซูเมะ การที่นายท่านของเขาหลับตาลงไปอาจจะเป็นเพราะเขากำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นคือสิ่งที่โกซุเชื่อ

โกซุก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าคอยคำตอบของเจ้านายเขา

 

ถึงจะเป็นตัวโกซุเองเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าชิกิบุจะให้คำตอบแบบไหน เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับคิจินด้วย ดังนั้นข้อเรียกร้องของโซระก็อาจจะถูกปฏิเสธไป ทว่าหากเขาต้องการกำจัดซูซูเมะ สุดท้ายเขาก็จำเป็นต้องสู้กับโซระด้วย

 

และการที่เขาจะจัดการกับโซระ มันก็หมายความว่าเขาต้องใช้กำลังจำนวนมากส่งออกเกาะไปสู้กับโซระ สำหรับตระกูลมิตสึรุกิที่ต้องรับมือกับประตูปีศาจแล้วสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะเอาชนะโซระลงได้ แต่ผลประโยชน์ทางการทหารที่พวกเขาจะได้ก็มีเพียงแค่คิจินตนเดียวเท่านั้น มันจึงไม่คุ้มค่าที่จะลงแรงไป

 

ไม่จำเป็นต้องไปตามล่าคิจินอย่างซูซูเมะจนต้องทำให้เกาะอสูรยักษ์ของเราเกิดความเสียหาย――นั่นคือสิ่งที่โกซุอยากจะได้ยินจากชิกิบุมากที่สุด

 

การพบเจอกับโซระที่อาณาจักรคานาเรียมันได้สร้างปัญหาตามหลังมามากมาย แต่ถ้าทางนี้ให้เวลากับโกซุอีกสักหน่อย การพูดคุยกันในอนาคตอาจจะเปลี่ยนไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้เขายังมองว่าถึงซูซูเมะจะกลายเป็นภาชนะของเทพปีศาจจริง โซระก็คงจะสามารถจัดการได้โดยไม่ก่อปัญหาใดๆ

 

ทว่าสิ่งที่โกซุเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ เขารู้ดีว่ามันมีวิธีในการแก้ไขปัญหาของโซระโดยใช้กำลังให้น้อยที่สุดอยู่ด้วย

 

หากทางตระกูลมีเป้าหมายจะกำจัดโซระจริงๆ

 

ภายในตระกูลมิตสึรุกิก็มีอยู่ด้วยกันถึง 3 คนที่พอจะทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้

 

โกซุจ้องมองไปยังผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอย่างมิตสึรุกิ ชิกิบุ และนักดาบอีกสองคนที่นั่งขนาบข้างของเขา

 

คนที่นั่งอยู่ทางด้านขวานั้นมีผิวที่ขาวจนเปล่งประกายออกไปอีกทั้งยังมีเส้นผมสีดำยาวสลวยจนสามารถทำให้คิดว่าเขาเป็นผู้หญิงได้อย่างง่ายดาย

 

ส่วนคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมีผิวสีน้ำตาลอ่อนและผมดำเข้มราวกับเหล็ก

 

ทั้งสองคือนักดาบที่ยอดเยี่ยมหาเทียบเคียงได้ยาก จนสามารถพูดได้ว่าแม้จะรวบรวมเหล่ายอดฝีมือจากธงแห่งผืนป่ามาก็คงรับมือกับพวกเขาไม่ไหว

 

ว่ากันว่าหากพวกเขาไม่ได้เกิดมาในยุคเดียวกันกับ มิตสึรุกิ ชิกิบุ พวกเขาทั้งคู่ก็คงได้กลายเป็นนักบุญดาบไปแล้ว

 

ดังนั้น ชิกิบุจึงได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากที่สามารถครอบครองอัญมณีทั้งสองนี้ได้ และก็เป็น 3 คนนี้แหละที่มีความสามารถพอจะโค่นโซระลงได้ด้วยตัวคนเดียว โกซุมองว่าหากพวกเขาเดินทางจากเกาะไปจัดการกับโซระ จากนั้นก็เดินทางกลับมายังเกาะ เหตุการณ์ทั้งหมดที่ว่ามาคงใช้เวลาไม่เกิน 3 วันเป็นแน่

 

นี่แหละความกังวลของโกซุ

 

 

ก็จริงว่าผู้นำของตระกูลอย่างชิกิบุไม่สามารถออกจากเกาะได้ นอกจากนี้อีก 2 คนก็เป็นถึงหัวหน้าและรองหัวหน้าของธงแรกดังนั้นคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกันที่จะต้องออกจากเกาะไปเพียงเพราะต้องการกำจัดคิจินสาวตนเดียว

 

แต่ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับชิกิบุว่าจะมองเห็นการเติบโตของลูกชายเขามากแค่ไหนและเขารู้สึกอย่างไรกับคำขอของลูกชายเขา ซึ่งเป็นเหมือนการดูหมิ่นคนบนเกาะ

 

โกซุ กิลมอร์และคนอื่นๆ ก็ต่างกลั้นหายใจรอคำตอบจากชิกิบุ

 

ทว่าก็ได้มีคนผู้หนึ่งเคลื่อนไหวออกมาก่อนที่จะได้ยินคำตอบจากผู้นำ เขาคนนั้นคือคลิมที่ยืนอยู่ด้านหลังของโกซุ

 

หากจะให้พูด คนที่มีสิทธิ์ในการพูด ณ ที่แห่งนี้นอกจากผู้นำแล้วก็คงมีเพียงแค่ 4 เสาหลักกับหัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยจากธงแห่งผืนป่า ที่เหลือนอกจากนั้นทำได้แค่นั่งฟังโดยไม่มีสิทธิ์เสียงใดๆ

 

นี่เป็นกฎเหล็กที่ไม่มีข้อยกเว้นแม้จะเป็นคนของตระกูลมิตสึรุกิ เห็นได้จากท่าทีของรากุนะที่กัดฟันและกำฮากามะของตนเอาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรออกมาในสถานการณ์นี้

 

ในตอนนี้ ที่ประชุมดังกล่าวกลับมีเสียงของคลิมดังขึ้นมาอย่างสิ้นหวังต่อหน้าผู้นำตระกูล

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 112.1 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 2

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 112.1 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 112.1 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 2

 

「ให้ตายสิ ข้าละตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ โกซุ ชิมะเอ๋ย!!」

 

คนที่พูดแบบนั้นออกมา ก่อนจะเอากำปั้นกระแทกลงไปยังพื้นเสื่อทาทามิก็คือชิโตะ 1 ใน 4 เสาหลักที่รับใช้ตระกูลมิตสึรุกิในด้านการบริหารอย่างกิลมอร์ เบิร์ช

 

กิลมอร์เป็นผู้นำตระกูลเบิร์ชที่สร้างฐานอำนาจขึ้นมาใหม่ภายในเกาะอสูรยักษ์ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและเขาได้กลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักที่คอยดูแลทั้งการเงินและบุคลากรของตระกูลมิตสึรุกิ อีกทั้งยังเป็นพ่อบุญธรรมของคลิมที่กำลังก้มหมอบกับพื้นข้างหลังโกซุอีกด้วย

 

และถึงแม้จะมีคลิมอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย แต่สายตาของกิลมอร์ก็จ้องมองแค่เพียงโกซุ

 

เขาเริ่มพูดต่ออย่างลื่นไหล

 

「ข้าจะขอพักเรื่องไคลอาลูกสาวของข้าเอาไว้ก่อนแล้วกันเนื่องจากนี่เป็นการตัดสินในที่สาธารณะ แต่เรื่องที่นักรบจากธงแห่งผืนป่าซึ่งครอบครองตำแหน่งชิบะ กลับแพ้คนที่ถูกเนรเทศออกจากเกาะแล้วหนีกลับมาเนี่ยมันหมายความว่ายังไงกัน!? แทนที่จะยอมรับความล้มเหลวของตนกลับมาพูดจาไร้สาระกับท่านผู้นำเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตัวเองอีก!」

 

 

「นั่นคือเรื่องจริง」

 

โกซุพูดออกมาด้วยความเยือกเย็น เพื่อตอบสนองต่อเสียงแห่งความโกระของกิลมอร์

 

「ข้ายอมรับว่าข้าได้พ่ายแพ้และหนีกลับมายังเกาะ สำหรับเรื่องดังกล่าวข้าไม่มีข้อแก้ตัว ทว่าข้าขอยืนยันว่าข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระกับนายท่านเลยแม้แต่น้อย」

 

「หุบปากเสีย ใครมันจะไปเชื่อได้ลงกันว่าคนไร้ประโยชน์ที่ถูกเนรเทศออกไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนเพราะไม่สามารถผ่านพิธีทดสอบ จะสามารถเอาชนะนักรบแห่งผืนป่าได้พร้อมกันถึง 3 คน ยิ่งไปกว่านั้นยังจะมาบอกว่าอีกเขาสามารถโค่นสิ่งมีชีวิตในตำนานได้ด้วยตัวคนเดียว หากไม่เรียกว่าไร้สาระจะเรียกว่าอะไรได้อีกกัน?!」

 

「นั่นคือเรื่องจริง ข้าขอยืนยัน」

 

คำพูดและท่าทางของโกซุไม่ได้แยแสคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วภายในของเขาหาได้สงบเหมือนท่าทางที่แสดงออกมา

 

หลังจากพ่ายแพ้โซระที่อาณาจักรคานาเรีย เขาก็รีบมุ่งตรงมาหานายท่านของเขาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้ใช้เวลาในการพักรักษาตัวเลยแม้แต่น้อย เขาเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อมาถึงยังที่แห่งนี้ ถ้าให้พูดกันตามตรงสภาพของเขาตอนนี้อยากจะทิ้งตัวลงบนหมอนแทบแย่แล้ว

 

แต่เขาจะแสดงท่าทีที่นาสมเพชต่อหน้าผู้คนและเสาหลักคนอื่นของตระกูลมิตสึรุกิไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามแสร้งเป็นสงบนิ่งต่อไป

 

บางทีกิลมอร์อาจจะสัมผัสถึงความคิดของโกซุได้ ดวงตาของเขาจึงส่องประกายออกมา

 

「โกซุ ชิมะ ส่วนตัวแล้วข้ามองว่าเจ้าอาจจะต้องการใช้ความเมตตาแบบผิดๆ ในการช่วยเหลือคนไร้ความสามารถแบบนั้น และเจ้ากำลังวางแผนอยากจะคืนสถานะทายาทที่ชอบธรรมให้กับเขา ยิ่งกับเจ้าที่เป็นอดีตผู้ดูแลเขาแล้ว มันยิ่งสามารถอธิบายคำพูดไร้สาระของเจ้าได้หมดเลยนะ!」

 

พอโกซุได้ยินแบบนั้นเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปและตอบกลับในทันที

 

 

「ประเดี๋ยวก่อนท่านชิโตะ ข้าว่านั่นถือเป็นการใส่ร้ายโดยขาดหลักฐานนะ หากเป็นเช่นนั้นจริงถึงข้าจะนำท่านโซระกลับมาได้ แต่สุดท้ายพอเผชิญกับพิธีทดสอบ ความสามารถของเขาก็จะถูกเผยออกมาอยู่ดี ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่ข้าจำเป็นต้องจะใช้กลลวงอะไรแบบนั้นเลยสักนิด」

 

「ก็ถ้าเป็นคนมีสติดีอยู่มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ทว่าเจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าสติของเจ้ายังครบถ้วนดี? คนที่แม้แต่นักรบเขี้ยวมังกรยังไม่สามารถเอาชนะได้ จะสามารถโค่นเจ้าที่เป็นลำดับ 3 ของธงแรกและนักรบแห่งผืนป่าอีก 2 คนโดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปีได้จริงหรือ แถมยังเป็นตอนที่เจ้าใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าอีกด้วย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เจ้าบอกว่าเขาสามารถโค่นราชาของสิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างมังกรลงได้ ขนาดพวกเด็กๆ ยังปั้นเรื่องได้ดีกว่าเจ้าเสียอีกแล้วแบบนี้จะไม่ให้ข้าถามได้อย่างไรว่าเจ้ายังสติดีอยู่หรือเปล่า」

 

「หากท่านยังยืนยันในคำพูด ทำไมเราไม่ลองมาโหวตตัดสินดูล่ะ」

 

กิลมอร์กล่าว

 

ในที่แห่งนี้มีทั้งผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอย่างชิกิบุ และสี่เสาหลักของตระกูลอย่างชิโตะ ชิโก ชิคุ และชิบะ รวมไปถึงหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 แห่งผืนป่าและรองหัวหน้าของแต่ละธง พวกเขาทั้งหมดคือขุมอำนาจที่ได้รับการยอมรับมาแล้วจากตระกูลมิตสึรุกิ

 

กิลมอร์ทำการตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวโกซุ ชิมะว่าเขายังมีสติดีอยู่หรือเปล่าต่อหน้าบุคคลสำคัญเหล่านี้ เพราะตัวเขามั่นใจมากว่าสิ่งที่โกซุรายงานมานั้นไร้สาระและเชื่อถือไม่ได้

 

สำหรับกิลมอร์แล้วนี่ยังเป็นโอกาสในการเตะตัดขาโกซุที่ครองตำแหน่งชิบะเอาไว้อยู่ นี่ก็เพื่อดันคนในตระกูลของตัวเองให้ได้ตำแหน่งนั้นมาแทน ในปัจจุบันตระกูลเบิร์ชนั้นได้ครอบครองตำแหน่งใน 4 เสาหลักถึง 2 ตำแหน่งด้วยกันนั่นก็คือชิโตะกับชิโก ถ้าหากพวกเขาได้ตำแหน่งชิบะมาครอบครองอีก พลังอำนาจของตระกูลเบิร์ชในเกาะอสูรยักษ์ก็จะไม่มีวันสั่นคลอนแล้วเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงอยากจะกำจัดโกซุออกไปให้พ้นทางโดยเร็ว

 

ในขณะที่โกซุและกิลมอร์กำลังพูดคุยกันคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่แห่งนั้นก็ทำเพียงแค่เฝ้ามอง

 

แน่นอนว่าหลายคนในที่นี้ไม่พอใจการแสดงออกของกิลมอร์ที่พยายามจะควบคุมและสร้างอิทธิพลขึ้นโดยใช้คนในตระกูลไปในส่วนต่างๆ ของระบบ ทว่าพวกกเขาก็ไม่อาจจะทำใจยอมรับให้สนับสนุนโกซุที่พูดเรื่องไร้สาระออกมาได้จริงๆ เห็นได้จากใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนที่ไม่รู้จะต้องเข้าข้างฝ่ายไหนดี

 

ด้วยเหตุนี้เองทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังผู้นำของพวกเขาอย่างมิตสึรุกิ ชิกิบุที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งยกสูง

 

ตอนนี้มีเพียงแค่ผู้นำไม่ก็เสาหลักคนอื่นๆ เท่านั้นที่จะสามารถหยุดข้อพิพาทระหว่างชิโตะกับชิบะลงได้

 

ไม่รู้ว่าเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของเหล่าข้ารับใช้ที่จ้องมองมายังเขาหรือเขาตั้งใจจะให้ทั้งสองคนนั้นพูดกันจบเสียก่อน ในที่สุดนักบุญดาบก็ได้เริ่มเปิดปากพูดออกมา

 

 

「โกซุ ฉันมีคำถามจะถามนายสักหน่อย」

 

ทันทีที่ชิกิบุพูด โกซุและกิลมอร์ก็ยืนตัวตรงขึ้นก่อนจะก้มศีรษะลงตรงจุดที่พวกเขาอยู่ทันที

 

 

「ฮ่ะ ตามประสงค์ของท่าน」

 

 

「นายได้ต่อสู้อย่างจริงหรือเปล่าที่อาณาจักรคานาเรีย? 」

 

โกซุอยากจะตอบกลับไปจริงๆ ว่า เขาได้สู้อย่างจริงจังแล้ว――ทว่าในใจของเขาก็เกิดความลังเลขึ้น

 

หลังจากหายใจเข้าออกได้ครู่หนึ่ง โกซุก็เปิดปากพูดถึงการต่อสู้ที่อยู่ในความทรงจำของเขา

 

「ข้าได้ทำการต่อสู้กับท่านโซระเพื่อจะนำตัวเขามาให้นายท่าน ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าสู้กับเขาอย่างจริงจังเหมือนตอนที่เข้าไปยังประตูปีศาจ」

 

โกซุไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีวิตของโซระและเขาก็ไม่สามารถมองโซระเป็นศัตรูไปได้จริงๆ

 

เพราะเขาคือคนที่คอยดูแลโซระมาตั้งแต่เด็ก ในฐานะผู้ดูแลแล้ว ใครมันจะไปสามารถแสดงความเป็นปรปักษ์หรืออยากจะฆ่าเขาได้กัน

 

――แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต่อสู้กับครึ่งๆ กลางๆ

 

「สิ่งที่ข้าบอกได้ก็มีเพียงแค่ ข้าได้ทำการต่อสู้กับท่านโซระอย่างสุดกำลังและพ่ายแพ้ครับ」

 

「…งั้นเหรอ」

 

ชิกิบุพยักหน้าหนึ่งครั้งเพื่อตอบกลับโกซุและหลับตาลง

 

สิ่งที่โซระเรียกร้องต่อตระกูลมิตสึรุกิก็คือ――ทางตระกูลจะต้องไม่มายุ่งกับซูซูเมะ การที่นายท่านของเขาหลับตาลงไปอาจจะเป็นเพราะเขากำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นคือสิ่งที่โกซุเชื่อ

โกซุก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าคอยคำตอบของเจ้านายเขา

 

ถึงจะเป็นตัวโกซุเองเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าชิกิบุจะให้คำตอบแบบไหน เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับคิจินด้วย ดังนั้นข้อเรียกร้องของโซระก็อาจจะถูกปฏิเสธไป ทว่าหากเขาต้องการกำจัดซูซูเมะ สุดท้ายเขาก็จำเป็นต้องสู้กับโซระด้วย

 

และการที่เขาจะจัดการกับโซระ มันก็หมายความว่าเขาต้องใช้กำลังจำนวนมากส่งออกเกาะไปสู้กับโซระ สำหรับตระกูลมิตสึรุกิที่ต้องรับมือกับประตูปีศาจแล้วสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะเอาชนะโซระลงได้ แต่ผลประโยชน์ทางการทหารที่พวกเขาจะได้ก็มีเพียงแค่คิจินตนเดียวเท่านั้น มันจึงไม่คุ้มค่าที่จะลงแรงไป

 

ไม่จำเป็นต้องไปตามล่าคิจินอย่างซูซูเมะจนต้องทำให้เกาะอสูรยักษ์ของเราเกิดความเสียหาย――นั่นคือสิ่งที่โกซุอยากจะได้ยินจากชิกิบุมากที่สุด

 

การพบเจอกับโซระที่อาณาจักรคานาเรียมันได้สร้างปัญหาตามหลังมามากมาย แต่ถ้าทางนี้ให้เวลากับโกซุอีกสักหน่อย การพูดคุยกันในอนาคตอาจจะเปลี่ยนไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้เขายังมองว่าถึงซูซูเมะจะกลายเป็นภาชนะของเทพปีศาจจริง โซระก็คงจะสามารถจัดการได้โดยไม่ก่อปัญหาใดๆ

 

ทว่าสิ่งที่โกซุเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ เขารู้ดีว่ามันมีวิธีในการแก้ไขปัญหาของโซระโดยใช้กำลังให้น้อยที่สุดอยู่ด้วย

 

หากทางตระกูลมีเป้าหมายจะกำจัดโซระจริงๆ

 

ภายในตระกูลมิตสึรุกิก็มีอยู่ด้วยกันถึง 3 คนที่พอจะทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้

 

โกซุจ้องมองไปยังผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอย่างมิตสึรุกิ ชิกิบุ และนักดาบอีกสองคนที่นั่งขนาบข้างของเขา

 

คนที่นั่งอยู่ทางด้านขวานั้นมีผิวที่ขาวจนเปล่งประกายออกไปอีกทั้งยังมีเส้นผมสีดำยาวสลวยจนสามารถทำให้คิดว่าเขาเป็นผู้หญิงได้อย่างง่ายดาย

 

ส่วนคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมีผิวสีน้ำตาลอ่อนและผมดำเข้มราวกับเหล็ก

 

ทั้งสองคือนักดาบที่ยอดเยี่ยมหาเทียบเคียงได้ยาก จนสามารถพูดได้ว่าแม้จะรวบรวมเหล่ายอดฝีมือจากธงแห่งผืนป่ามาก็คงรับมือกับพวกเขาไม่ไหว

 

ว่ากันว่าหากพวกเขาไม่ได้เกิดมาในยุคเดียวกันกับ มิตสึรุกิ ชิกิบุ พวกเขาทั้งคู่ก็คงได้กลายเป็นนักบุญดาบไปแล้ว

 

ดังนั้น ชิกิบุจึงได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากที่สามารถครอบครองอัญมณีทั้งสองนี้ได้ และก็เป็น 3 คนนี้แหละที่มีความสามารถพอจะโค่นโซระลงได้ด้วยตัวคนเดียว โกซุมองว่าหากพวกเขาเดินทางจากเกาะไปจัดการกับโซระ จากนั้นก็เดินทางกลับมายังเกาะ เหตุการณ์ทั้งหมดที่ว่ามาคงใช้เวลาไม่เกิน 3 วันเป็นแน่

 

นี่แหละความกังวลของโกซุ

 

 

ก็จริงว่าผู้นำของตระกูลอย่างชิกิบุไม่สามารถออกจากเกาะได้ นอกจากนี้อีก 2 คนก็เป็นถึงหัวหน้าและรองหัวหน้าของธงแรกดังนั้นคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกันที่จะต้องออกจากเกาะไปเพียงเพราะต้องการกำจัดคิจินสาวตนเดียว

 

แต่ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับชิกิบุว่าจะมองเห็นการเติบโตของลูกชายเขามากแค่ไหนและเขารู้สึกอย่างไรกับคำขอของลูกชายเขา ซึ่งเป็นเหมือนการดูหมิ่นคนบนเกาะ

 

โกซุ กิลมอร์และคนอื่นๆ ก็ต่างกลั้นหายใจรอคำตอบจากชิกิบุ

 

ทว่าก็ได้มีคนผู้หนึ่งเคลื่อนไหวออกมาก่อนที่จะได้ยินคำตอบจากผู้นำ เขาคนนั้นคือคลิมที่ยืนอยู่ด้านหลังของโกซุ

 

หากจะให้พูด คนที่มีสิทธิ์ในการพูด ณ ที่แห่งนี้นอกจากผู้นำแล้วก็คงมีเพียงแค่ 4 เสาหลักกับหัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยจากธงแห่งผืนป่า ที่เหลือนอกจากนั้นทำได้แค่นั่งฟังโดยไม่มีสิทธิ์เสียงใดๆ

 

นี่เป็นกฎเหล็กที่ไม่มีข้อยกเว้นแม้จะเป็นคนของตระกูลมิตสึรุกิ เห็นได้จากท่าทีของรากุนะที่กัดฟันและกำฮากามะของตนเอาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรออกมาในสถานการณ์นี้

 

ในตอนนี้ ที่ประชุมดังกล่าวกลับมีเสียงของคลิมดังขึ้นมาอย่างสิ้นหวังต่อหน้าผู้นำตระกูล

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+