การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 163 นางฟ้าตกสวรรค์

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 163 นางฟ้าตกสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 163 นางฟ้าตกสวรรค์

 

 

――จุดประสงค์ของผมงั้นเหรอ?

 

วิสทีเรียสงสัยว่าทำไมผมถึงเข้ามาช่วยเธอ

 

คำตอบมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

 

 

 

「ฉันสนใจสิ่งที่เธอเรียกมันว่าปีศาจร้ายน่ะ」

 

 

 

「สนใจงั้นเหรอ? 」

 

 

「อื้อ ฉันสนใจพอสมควรเลย ก็เลยไว้ชีวิตเธอเพื่อมาฟังเรื่องราวจากปากของนี่แหละ」

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้นวิสทีเรียก็ขมวดคิ้วขึ้นและถาม

 

 

 

 

「คุณไม่คิดว่าสิ่งนี้มันจะอันตรายเกินไปหน่อยหรือ? 」

 

 

「ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องกลัวอนิม่าที่หลุดการควบคุมเสียหน่อย」

 

 

 

「…อนิม่า คำนั้นคือคำที่คุณพูดก่อนหน้านี้สินะ」

 

 

 

「อื้อ ฉันคิดว่ามันคือสิ่งเดียวกันกับที่เธอเรียกว่าปีศาจร้าย」

 

 

วิสทีเรียฟังสิ่งที่ผมพูดด้วยใบหน้าจริงจัง ใบหน้าของเธอที่ไร้ซึ่งร่องรอยของเทพปีศาจมันงดงามเสียจนผมอดชื่นชมไม่ไหวจริงๆ

 

 

ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาราวกับนางฟ้า รูปร่างของเธอก็สมส่วน หน้าอกและเอวก็อวบอิ่มมีน้ำมีนวล――ให้ตายสิ มานึกอะไรเอาตอนนี้นะ――เห็นทีผมคงต้องระวังความคิดแปลกๆ ในหัวตัวเองด้วยแล้วสิ

 

 

แต่ก็นั่นแหละ สายตาของผมมันไม่ยอมออกห่างไปจากหน้าอกกับเอวของเธอได้เลย

 

 

ก็ไม่รู้หรอกว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่า แต่วิสทีเรียก็เปิดปากพูดต่อโดยไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจผม

 

 

 

 

「ที่คุณบอกว่าไม่จำเป็นต้องกลัวอนิม่าที่หลุดการควบคุม หรือก็คือคุณมองว่าอนิม่าและปีศาจร้ายนี้คือสิ่งเดียวกัน หมายความว่าตอนนี้คุณก็สามารถควบคุมปีศาจร้ายนั่นได้สินะ? 」

 

 

 

「ก็ต้องได้อยู่แล้วสิ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของแต่ละคนด้วยนะ」

 

 

「….ความพยายามงั้นเหรอ ตั้งแต่ที่ฉันถูกมันสิงสู่ ฉันก็พยายามทุกวิธีแล้วในการขับไล่มันออกไป ถึงจะต้องเสี่ยงชีวิตบ้าง แต่สุดท้ายฉันก็ทำไม่สำเร็จ นี่โซระ คุณรู้วิธีการนั้นใช่ไหม ช่วยบอกทีสิ? 」

 

 

 

 

น้ำเสียงของวิสทีเรียเต็มไปด้วยความขื่นขม

 

 

เธอคงต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเธออย่าสิ้นหวังจนต้องพูดแบบนี้ออกมา เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามมากสักแค่ไหน สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์

 

แต่จากที่ผมเห็นวิธีการพยายามของเธอนี่แหละที่เป็นปัญหา

 

 

 

อนิม่าคือตัวตนที่อาศัยอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา จิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดมาเจือปนและมีเจตจำนงของตัวเอง

 

 

มันไม่ใช่สิ่งที่คืบคลานออกมาจากหุบเหวอย่างที่เธอกล่าว แต่มันคือตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเธอ มันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าการครอบงำตั้งแต่แรก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่เธอจะขับไล่มันออกไปได้ เธอต้องหาทางอยู่ร่วมกับมัน

 

 

ก็หมายความว่าการพยายามขับไล่มันออกไปจากตัวของตัวคือวิธีการที่ผิด

 

 

 

ผมใช้เวลาในการอธิบายเรื่องพวกนี้ให้วิสทีเรียฟัง ระหว่างนั้นผมก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองและเรื่องบนเกาะด้วย

 

 

จากมุมของวิสทีเรีย ผมก็คิดว่าเธอคงไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้ง่ายๆ หรอก แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็คือผมสามารถเอาชนะสิ่งที่เธอเรียกว่าปีศาจร้ายได้ ดังนั้นไม่ว่าจะน่าสงสัยขนาดไหนเธอก็ต้องรับฟัง

 

 

เพื่อทำให้เธอเข้าใจ ผมก็เลยต้องอธิบายถึงเรื่องอาภรณ์วิญญาณให้ชัด

 

 

 

และเหมือนจะได้ผลในที่สุดวิสทีเรียก็ยอมรับคำอธิบายของผม แต่แน่นอนว่าคงจะยากที่จะให้เธอทำใจยอมรับว่าเทพปีศาจคืออนิม่าของเธอ เอาเถอะสุดท้ายเธอก็หนีไม่พ้นหรอก

 

 

พอฟังเรื่องราวทั้งหมดจด วิสทีเรียก็เปิดปากพูดด้วยความเหนื่อยล้า

 

 

 

「อนิม่า――การปรับตัวควบคุมสิ่งนี้และแสดงรูปร่างมันออกมาในฐานะอาวุธ มันคือศาสตร์ลับแห่งมายาดาบเดียว อาภรณ์วิญญาณ….หากเป็นอย่างที่โซระพูด ปีศาจร้ายก็คืออนิม่า สิ่งที่ฉันต้องทำต่อจากนี้ก็คือการปรับตัวและอยู่กับมันให้ได้สินะ」

 

 

 

「อื้อ ถ้าเธอไม่ทำแบบนั้น ฉันว่าคงไม่มีทางจะควบคุมมันได้หรอก」

 

 

 

「การประสานกับปีศาจร้ายนี่น่ะเหรอ..」

 

 

 

เอลฟ์สาวผมเงินดูเหมือนจะหนักอกหนักใจพอสมควร ก็ไม่แปลกอะไรมั้งเพราะมันคือการบอกให้เธอใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นรางเหง้าแห่งความชั่วร้าย

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมต้องการจะบอกคือไม่ใช่แค่เพียงอยู่ร่วมกันให้ได้เฉยๆ

 

เพราะการประสานอนิม่านั้นคือการเข้าใจถึงสิ่งที่มีต้นกำเนิดแบบเดียวกับตัวผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด

 

แม้ว่าอนิม่ากับตัวผู้ใช้จะมีต้นกำเนิดแบบเดียวกัน แต่บุคลิกของพวกเขาก็ย่อมแตกต่างกันออกไป ในหมู่ของอนิม่าก็มีประเภทที่ดุร้ายและหมายจะฆ่าผู้ใช้อยู่ด้วย ไม่ก็ชอบโจมตีคนรอบข้างผู้ใช้

 

 

 

 

สำหรับการควบคุมอนิม่า ไม่เพียงแค่ผู้ใช้ต้องพยายามเข้าหาตัวอนิม่า แต่พวกเขายังต้องสนองความต้องการของอนิม่าอีกด้วย มิเช่นนั้นอนิม่าก็จะต่อต้านตัวของผู้ใช้ในที่สุด

 

 

ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่านี่เป็นงานที่ท้าทายมาก ความแข็งแกร่งของอาภรณ์วิญญาณก็จะขึ้นอยู่กับตัวของอนิม่า ไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเลยว่ายิ่งอนิม่าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ความยากในการทำให้มันยอมจำนนต่อผู้ใช้ก็ยากขึ้นตาม

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนิม่าของวิสทีเรีย เห็นได้ชัดเลยว่ามันแสดงเจตนาร้ายต่อตัวผู้ใช้เองและพยายามกลืนกินร่างของวิสทีเรียเหมือนเมื่อคืน มันคงพยายามจะจัดการกับเธอก่อนที่เธอจะควบคุมมันได้ในที่สุด

 

 

แล้วตรงจุดนี้ก็เป็นจังหวะของผมพอดี

 

 

 

เอาง่ายๆ ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่มันพยายามจะครอบครองร่างของวิสทีเรีย ผมก็จะทำการกระทืบมันแล้วชิงพลังออกมาจากร่างของเธอ พอเจ้านี่มันหนีกลับไปข้างในเพื่อฟื้นพลัง วิสทีเรียก็จะมีเวลาในการท้าทายและกำราบมันวนไปเรื่อยๆ

 

 

นั่นคือสิ่งที่ผมแนะนำวิสทีเรีย

 

 

 

แน่นอนว่าหากจิตวิญญาณของเธอไม่สามารถท้าทายมันได้ไหวอีกต่อไป ผมก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าเธอไปพร้อมกับมัน ผมเสริมตอนท้าย

 

 

 

มันคล้ายกับบทสนทนาที่ผมพูดกับอิเรียตอนที่เธอถูกพิษของไฮดรา และท่าทางมันจะไปจับใจของวิสทีเรียเข้าอย่างจัง เธอจึงก้มหน้าลงไปก่อนที่น้ำตาจะไหลรินออกมา

 

 

นี่เลยเป็นสาเหตุที่วิสทีเรียตัดสินใจมาร่วมปาร์ตี้กับผม

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

หลังจากนั้นผมก็ปล่อยวิสทีเรียไว้บนเขา แล้วกลับเบลก้าเพื่อพาลูนามาเรียมาด้วยกันอีกที

 

สาเหตุที่ผมเลือกเธอก็เป็นเพราะเธอเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับวิสทีเรีย แล้วก็อยากจะฟังความเห็นของปราชญ์เกี่ยวกับเรื่องของวิสทีเรียด้วย ส่วนอีกอย่างก็คือพวกเธอสองคนมีหลายๆ อย่างคล้ายกัน

 

 

ตอนนี้ผมได้นำเสื้อผ้าเสื้อผ้าของลูนามาเรียมาให้กับทางวิสทีเรียใส่ชั่วคราวก่อน เพราะ คงไม่มีทางปล่อยให้เธอสวมเสื้อคลุมเปล่าๆ กลับเบลก้าได้หรอกเรื่องเมื่อคืนคงทำให้เมืองปั่นป่วนมากด้วย

 

 

 

แล้วก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกเพราะตอนที่ผมแอบกลับไปยังวิหาร ก็พบว่าลูนามาเรียได้รอผมอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้เธอก็เตรียมของต่างๆ ไว้พร้อมสำหรับการเดินทางด้วย

 

 

ดูเหมือนเธอจะเชื่อมโยงเรื่องความต่างๆ ได้ในทันทีเมื่อพบว่าเมื่อคืนผมไม่อยู่ที่ห้อง แล้วมองว่าผมคงจะกลับมาพร้อมกับปัญหาแน่ๆ โชคดีที่ในกระเป๋าของเธอมีชุดสำรองอยู่ด้วย พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเธออาจจะปลุกพลังในการหยั่งรู้อนาคตมาด้วยหรือเปล่านะ

 

 

….แต่คงไม่หรอก ต่อให้เป็นซูซูเมะหรืออิเรียเองก็คงจะเดาเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยากเหมือนกันเนื่องจากอยู่กับผมมานาน

 

เอาเป็นว่าพวกผมก็เดินทางกลับไปหาวิสทีเรีย โดยระหว่างทางลูนามาเรียก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับตำนานเอลฟ์ผิวสีแทนและผมสีเงินให้ผมฟัง

 

 

ว่ากันว่าในช่วงสมัยยุคแห่งทวยเทพได้มีเอลฟ์กลุ่มหนึ่งที่ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากการขายวิญญาณให้กับปีศาจ พวกเขาคือกบฏที่ทรยศต่อเผ่าพันธุ์และแยกเขี้ยวใส่โลกใบนี้

 

 

 

พวกเขาได้รับพรจากปีศาจและคำสาปจากโลกใบนี้ จนทำให้ผิวสีขาวและเส้นผมสีทองต้องแปรเปลี่ยนไป

 

 

เหล่าเอลฟ์ต่างก็เกลียดชังและขยะแขยงต่ออดีตเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เหล่านางฟ้าตกสวรรค์――จนเกิดการแบ่งแยกว่าอีกฝ่ายคือดาร์คเอลฟ์แล้วเข้ารบราฆ่าฟันกัน

 

หลังจากการต่อสู้ที่แสนดุเดือดจนทวีปแยกออกจากกัน ดาร์คเอลฟ์ก็ได้สูญสิ้นลงไปพร้อมกับพวกปีศาจตลอดกาล….นั่นคือสิ่งที่อยู่ในตำนาน

 

ลูนามาเรียบอกว่าเธอฟังมาจากพวกผู้อาวุโสในหมู่บ้านของเธอ

 

 

 

แต่จากที่เธอบอกดูเหมือนพ่อแม่ หรือปูย่าของเธอก็ไม่เคยเห็นดาร์คเอลฟ์ตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง ขนาดว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวแท้ๆ ดังนั้นหากพวกเขาคิดว่ามันก็เป็นแค่ตำนานคงไม่แปลกอะไร

 

 

 

หลักฐานก็คือพอลูนามาเรียกับวิสทีเรียเจอกันเป็นครั้งแรก ลูนามาเรียไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ต่อเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่มีสีผิวต่างกันเลย แต่กลับรู้สึกทึ่งมากกว่าถึงเรื่องที่เชื้อสายของอีกฝ่ายมาจากพวกขายวิญญาณให้กับปีศาจ

 

ในอดีตลูนามาเรียเองก็เคยคาดเดาเอาไว้ว่าความสัมพันธ์ของอนิม่ากับรังมังกรนั้นน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ต้นกำเนิดของอนิม่านั้นคือการกลายพันธุ์ของคนที่ได้รับผลจากสิ่งที่คล้ายรังมังกร แทนที่จะเป็นเหตุผลอย่างการเข้าถึงมายาดาบเดียว

 

 

การมีอยู่ของปีศาจร้ายและหุบเหวที่วิสทีเรียเจอสามารถเป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีของลูนามาเรียได้ ผมมองว่าเธอคงจะตื่นเต้นเรื่องนี้ด้วย

 

 

กลับกันทางวิสทีเรียเองก็เหมือนจะแปลกใจเมื่อพบกับลูนามาเรียผู้มีสีผิวและเส้นผมแตกต่างจากตัวเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ออกมาเหมือนกัน

 

วิสทีเรียมองว่าตัวเองก็เป็นแค่เอลฟ์ธรรมดาคนหนึ่ง เอลฟ์ในแอนดร้าก็เช่นกัน ไม่มีใครเรียกตัวเองว่าดาร์คเอลฟ์เลยสักคน นั่นยิ่งทำให้ผมตกใจว่ามีอาณาจักรอยู่ในผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้ด้วยหรือ นอกจากนี้หากคิดให้ดีๆ ก็ไม่เห็นจะมีเหตุผลให้พวกเธอเป็นศัตรูกันด้วยนี่เนอะ

 

วิสทีเรียตอบคำถามของลูนมาเรียอย่างสุภาพ นอกจากนี้ยังแสดงความสนใจในเรื่องต่างๆ ที่ลูนามาเรียถามด้วย

 

 

 

หากเรื่องราวของทั้งสองคนถูกเรียบเรียงและทำเป็นหนังสือ ผมว่ามันอาจจะกลายเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลิกโฉมประวัติศาสตร์ของทวีปนี้ได้เลยนะ

 

นอกจากนี้ ตัวตนของแอนดร้าก็คือสิ่งที่มวลมนุษย์เรียกกันว่าอาณาจักรทองคำ หากผมประกาศเรื่องนี้ออกไปให้โลกได้รับรู้ ชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยของผมคงพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมแน่

 

ก็นะ ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ด้วย ช่างมันละกัน

 

 

เมื่อดูจากที่วิสทีเรียบอก แอนดร้าคือสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ถึงมนุษย์จะพยายามเข้าไปได้สำเร็จ แต่เลวร้ายสุดก็คงจะถูกพวกเขาขับไล่ออกมาด้วยกำลัง

 

เป้าหมายของผมก็เป็นการหาเขาเบฮีมอธไม่ใช่การค้นหาอาณาจักรทองคำหรือสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับดาร์คเอลฟ์ด้วย

 

 

หากไม่ได้มีความตั้งใจจะแบกภาระนี้ไปจนจบ การค้นพบพวกนี้ก็ปิดมันเอาไว้เหมือนเดิมแหละดีแล้ว

 

 

หลังจากคิดเรื่องนี้จบ ผมก็พาพวกเธอกลับไปยังเบลก้า

 

 

――ในตอนนั้นผมไม่ได้รู้เลยว่า กลุ่มคนที่เกลียดชังดาร์คเอลฟ์นั้นหาใช่เอลฟ์ด้วยกัน แต่เป็นพวกมนุษย์ต่างหาก

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 163 นางฟ้าตกสวรรค์

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 163 นางฟ้าตกสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 163 นางฟ้าตกสวรรค์

 

 

――จุดประสงค์ของผมงั้นเหรอ?

 

วิสทีเรียสงสัยว่าทำไมผมถึงเข้ามาช่วยเธอ

 

คำตอบมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

 

 

 

「ฉันสนใจสิ่งที่เธอเรียกมันว่าปีศาจร้ายน่ะ」

 

 

 

「สนใจงั้นเหรอ? 」

 

 

「อื้อ ฉันสนใจพอสมควรเลย ก็เลยไว้ชีวิตเธอเพื่อมาฟังเรื่องราวจากปากของนี่แหละ」

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้นวิสทีเรียก็ขมวดคิ้วขึ้นและถาม

 

 

 

 

「คุณไม่คิดว่าสิ่งนี้มันจะอันตรายเกินไปหน่อยหรือ? 」

 

 

「ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องกลัวอนิม่าที่หลุดการควบคุมเสียหน่อย」

 

 

 

「…อนิม่า คำนั้นคือคำที่คุณพูดก่อนหน้านี้สินะ」

 

 

 

「อื้อ ฉันคิดว่ามันคือสิ่งเดียวกันกับที่เธอเรียกว่าปีศาจร้าย」

 

 

วิสทีเรียฟังสิ่งที่ผมพูดด้วยใบหน้าจริงจัง ใบหน้าของเธอที่ไร้ซึ่งร่องรอยของเทพปีศาจมันงดงามเสียจนผมอดชื่นชมไม่ไหวจริงๆ

 

 

ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาราวกับนางฟ้า รูปร่างของเธอก็สมส่วน หน้าอกและเอวก็อวบอิ่มมีน้ำมีนวล――ให้ตายสิ มานึกอะไรเอาตอนนี้นะ――เห็นทีผมคงต้องระวังความคิดแปลกๆ ในหัวตัวเองด้วยแล้วสิ

 

 

แต่ก็นั่นแหละ สายตาของผมมันไม่ยอมออกห่างไปจากหน้าอกกับเอวของเธอได้เลย

 

 

ก็ไม่รู้หรอกว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่า แต่วิสทีเรียก็เปิดปากพูดต่อโดยไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจผม

 

 

 

 

「ที่คุณบอกว่าไม่จำเป็นต้องกลัวอนิม่าที่หลุดการควบคุม หรือก็คือคุณมองว่าอนิม่าและปีศาจร้ายนี้คือสิ่งเดียวกัน หมายความว่าตอนนี้คุณก็สามารถควบคุมปีศาจร้ายนั่นได้สินะ? 」

 

 

 

「ก็ต้องได้อยู่แล้วสิ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของแต่ละคนด้วยนะ」

 

 

「….ความพยายามงั้นเหรอ ตั้งแต่ที่ฉันถูกมันสิงสู่ ฉันก็พยายามทุกวิธีแล้วในการขับไล่มันออกไป ถึงจะต้องเสี่ยงชีวิตบ้าง แต่สุดท้ายฉันก็ทำไม่สำเร็จ นี่โซระ คุณรู้วิธีการนั้นใช่ไหม ช่วยบอกทีสิ? 」

 

 

 

 

น้ำเสียงของวิสทีเรียเต็มไปด้วยความขื่นขม

 

 

เธอคงต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเธออย่าสิ้นหวังจนต้องพูดแบบนี้ออกมา เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามมากสักแค่ไหน สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์

 

แต่จากที่ผมเห็นวิธีการพยายามของเธอนี่แหละที่เป็นปัญหา

 

 

 

อนิม่าคือตัวตนที่อาศัยอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา จิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดมาเจือปนและมีเจตจำนงของตัวเอง

 

 

มันไม่ใช่สิ่งที่คืบคลานออกมาจากหุบเหวอย่างที่เธอกล่าว แต่มันคือตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเธอ มันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าการครอบงำตั้งแต่แรก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่เธอจะขับไล่มันออกไปได้ เธอต้องหาทางอยู่ร่วมกับมัน

 

 

ก็หมายความว่าการพยายามขับไล่มันออกไปจากตัวของตัวคือวิธีการที่ผิด

 

 

 

ผมใช้เวลาในการอธิบายเรื่องพวกนี้ให้วิสทีเรียฟัง ระหว่างนั้นผมก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองและเรื่องบนเกาะด้วย

 

 

จากมุมของวิสทีเรีย ผมก็คิดว่าเธอคงไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้ง่ายๆ หรอก แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็คือผมสามารถเอาชนะสิ่งที่เธอเรียกว่าปีศาจร้ายได้ ดังนั้นไม่ว่าจะน่าสงสัยขนาดไหนเธอก็ต้องรับฟัง

 

 

เพื่อทำให้เธอเข้าใจ ผมก็เลยต้องอธิบายถึงเรื่องอาภรณ์วิญญาณให้ชัด

 

 

 

และเหมือนจะได้ผลในที่สุดวิสทีเรียก็ยอมรับคำอธิบายของผม แต่แน่นอนว่าคงจะยากที่จะให้เธอทำใจยอมรับว่าเทพปีศาจคืออนิม่าของเธอ เอาเถอะสุดท้ายเธอก็หนีไม่พ้นหรอก

 

 

พอฟังเรื่องราวทั้งหมดจด วิสทีเรียก็เปิดปากพูดด้วยความเหนื่อยล้า

 

 

 

「อนิม่า――การปรับตัวควบคุมสิ่งนี้และแสดงรูปร่างมันออกมาในฐานะอาวุธ มันคือศาสตร์ลับแห่งมายาดาบเดียว อาภรณ์วิญญาณ….หากเป็นอย่างที่โซระพูด ปีศาจร้ายก็คืออนิม่า สิ่งที่ฉันต้องทำต่อจากนี้ก็คือการปรับตัวและอยู่กับมันให้ได้สินะ」

 

 

 

「อื้อ ถ้าเธอไม่ทำแบบนั้น ฉันว่าคงไม่มีทางจะควบคุมมันได้หรอก」

 

 

 

「การประสานกับปีศาจร้ายนี่น่ะเหรอ..」

 

 

 

เอลฟ์สาวผมเงินดูเหมือนจะหนักอกหนักใจพอสมควร ก็ไม่แปลกอะไรมั้งเพราะมันคือการบอกให้เธอใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นรางเหง้าแห่งความชั่วร้าย

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมต้องการจะบอกคือไม่ใช่แค่เพียงอยู่ร่วมกันให้ได้เฉยๆ

 

เพราะการประสานอนิม่านั้นคือการเข้าใจถึงสิ่งที่มีต้นกำเนิดแบบเดียวกับตัวผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด

 

แม้ว่าอนิม่ากับตัวผู้ใช้จะมีต้นกำเนิดแบบเดียวกัน แต่บุคลิกของพวกเขาก็ย่อมแตกต่างกันออกไป ในหมู่ของอนิม่าก็มีประเภทที่ดุร้ายและหมายจะฆ่าผู้ใช้อยู่ด้วย ไม่ก็ชอบโจมตีคนรอบข้างผู้ใช้

 

 

 

 

สำหรับการควบคุมอนิม่า ไม่เพียงแค่ผู้ใช้ต้องพยายามเข้าหาตัวอนิม่า แต่พวกเขายังต้องสนองความต้องการของอนิม่าอีกด้วย มิเช่นนั้นอนิม่าก็จะต่อต้านตัวของผู้ใช้ในที่สุด

 

 

ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่านี่เป็นงานที่ท้าทายมาก ความแข็งแกร่งของอาภรณ์วิญญาณก็จะขึ้นอยู่กับตัวของอนิม่า ไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเลยว่ายิ่งอนิม่าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ความยากในการทำให้มันยอมจำนนต่อผู้ใช้ก็ยากขึ้นตาม

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนิม่าของวิสทีเรีย เห็นได้ชัดเลยว่ามันแสดงเจตนาร้ายต่อตัวผู้ใช้เองและพยายามกลืนกินร่างของวิสทีเรียเหมือนเมื่อคืน มันคงพยายามจะจัดการกับเธอก่อนที่เธอจะควบคุมมันได้ในที่สุด

 

 

แล้วตรงจุดนี้ก็เป็นจังหวะของผมพอดี

 

 

 

เอาง่ายๆ ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่มันพยายามจะครอบครองร่างของวิสทีเรีย ผมก็จะทำการกระทืบมันแล้วชิงพลังออกมาจากร่างของเธอ พอเจ้านี่มันหนีกลับไปข้างในเพื่อฟื้นพลัง วิสทีเรียก็จะมีเวลาในการท้าทายและกำราบมันวนไปเรื่อยๆ

 

 

นั่นคือสิ่งที่ผมแนะนำวิสทีเรีย

 

 

 

แน่นอนว่าหากจิตวิญญาณของเธอไม่สามารถท้าทายมันได้ไหวอีกต่อไป ผมก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าเธอไปพร้อมกับมัน ผมเสริมตอนท้าย

 

 

 

มันคล้ายกับบทสนทนาที่ผมพูดกับอิเรียตอนที่เธอถูกพิษของไฮดรา และท่าทางมันจะไปจับใจของวิสทีเรียเข้าอย่างจัง เธอจึงก้มหน้าลงไปก่อนที่น้ำตาจะไหลรินออกมา

 

 

นี่เลยเป็นสาเหตุที่วิสทีเรียตัดสินใจมาร่วมปาร์ตี้กับผม

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

หลังจากนั้นผมก็ปล่อยวิสทีเรียไว้บนเขา แล้วกลับเบลก้าเพื่อพาลูนามาเรียมาด้วยกันอีกที

 

สาเหตุที่ผมเลือกเธอก็เป็นเพราะเธอเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับวิสทีเรีย แล้วก็อยากจะฟังความเห็นของปราชญ์เกี่ยวกับเรื่องของวิสทีเรียด้วย ส่วนอีกอย่างก็คือพวกเธอสองคนมีหลายๆ อย่างคล้ายกัน

 

 

ตอนนี้ผมได้นำเสื้อผ้าเสื้อผ้าของลูนามาเรียมาให้กับทางวิสทีเรียใส่ชั่วคราวก่อน เพราะ คงไม่มีทางปล่อยให้เธอสวมเสื้อคลุมเปล่าๆ กลับเบลก้าได้หรอกเรื่องเมื่อคืนคงทำให้เมืองปั่นป่วนมากด้วย

 

 

 

แล้วก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกเพราะตอนที่ผมแอบกลับไปยังวิหาร ก็พบว่าลูนามาเรียได้รอผมอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้เธอก็เตรียมของต่างๆ ไว้พร้อมสำหรับการเดินทางด้วย

 

 

ดูเหมือนเธอจะเชื่อมโยงเรื่องความต่างๆ ได้ในทันทีเมื่อพบว่าเมื่อคืนผมไม่อยู่ที่ห้อง แล้วมองว่าผมคงจะกลับมาพร้อมกับปัญหาแน่ๆ โชคดีที่ในกระเป๋าของเธอมีชุดสำรองอยู่ด้วย พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเธออาจจะปลุกพลังในการหยั่งรู้อนาคตมาด้วยหรือเปล่านะ

 

 

….แต่คงไม่หรอก ต่อให้เป็นซูซูเมะหรืออิเรียเองก็คงจะเดาเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยากเหมือนกันเนื่องจากอยู่กับผมมานาน

 

เอาเป็นว่าพวกผมก็เดินทางกลับไปหาวิสทีเรีย โดยระหว่างทางลูนามาเรียก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับตำนานเอลฟ์ผิวสีแทนและผมสีเงินให้ผมฟัง

 

 

ว่ากันว่าในช่วงสมัยยุคแห่งทวยเทพได้มีเอลฟ์กลุ่มหนึ่งที่ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากการขายวิญญาณให้กับปีศาจ พวกเขาคือกบฏที่ทรยศต่อเผ่าพันธุ์และแยกเขี้ยวใส่โลกใบนี้

 

 

 

พวกเขาได้รับพรจากปีศาจและคำสาปจากโลกใบนี้ จนทำให้ผิวสีขาวและเส้นผมสีทองต้องแปรเปลี่ยนไป

 

 

เหล่าเอลฟ์ต่างก็เกลียดชังและขยะแขยงต่ออดีตเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เหล่านางฟ้าตกสวรรค์――จนเกิดการแบ่งแยกว่าอีกฝ่ายคือดาร์คเอลฟ์แล้วเข้ารบราฆ่าฟันกัน

 

หลังจากการต่อสู้ที่แสนดุเดือดจนทวีปแยกออกจากกัน ดาร์คเอลฟ์ก็ได้สูญสิ้นลงไปพร้อมกับพวกปีศาจตลอดกาล….นั่นคือสิ่งที่อยู่ในตำนาน

 

ลูนามาเรียบอกว่าเธอฟังมาจากพวกผู้อาวุโสในหมู่บ้านของเธอ

 

 

 

แต่จากที่เธอบอกดูเหมือนพ่อแม่ หรือปูย่าของเธอก็ไม่เคยเห็นดาร์คเอลฟ์ตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง ขนาดว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวแท้ๆ ดังนั้นหากพวกเขาคิดว่ามันก็เป็นแค่ตำนานคงไม่แปลกอะไร

 

 

 

หลักฐานก็คือพอลูนามาเรียกับวิสทีเรียเจอกันเป็นครั้งแรก ลูนามาเรียไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ต่อเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่มีสีผิวต่างกันเลย แต่กลับรู้สึกทึ่งมากกว่าถึงเรื่องที่เชื้อสายของอีกฝ่ายมาจากพวกขายวิญญาณให้กับปีศาจ

 

ในอดีตลูนามาเรียเองก็เคยคาดเดาเอาไว้ว่าความสัมพันธ์ของอนิม่ากับรังมังกรนั้นน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ต้นกำเนิดของอนิม่านั้นคือการกลายพันธุ์ของคนที่ได้รับผลจากสิ่งที่คล้ายรังมังกร แทนที่จะเป็นเหตุผลอย่างการเข้าถึงมายาดาบเดียว

 

 

การมีอยู่ของปีศาจร้ายและหุบเหวที่วิสทีเรียเจอสามารถเป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีของลูนามาเรียได้ ผมมองว่าเธอคงจะตื่นเต้นเรื่องนี้ด้วย

 

 

กลับกันทางวิสทีเรียเองก็เหมือนจะแปลกใจเมื่อพบกับลูนามาเรียผู้มีสีผิวและเส้นผมแตกต่างจากตัวเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ออกมาเหมือนกัน

 

วิสทีเรียมองว่าตัวเองก็เป็นแค่เอลฟ์ธรรมดาคนหนึ่ง เอลฟ์ในแอนดร้าก็เช่นกัน ไม่มีใครเรียกตัวเองว่าดาร์คเอลฟ์เลยสักคน นั่นยิ่งทำให้ผมตกใจว่ามีอาณาจักรอยู่ในผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้ด้วยหรือ นอกจากนี้หากคิดให้ดีๆ ก็ไม่เห็นจะมีเหตุผลให้พวกเธอเป็นศัตรูกันด้วยนี่เนอะ

 

วิสทีเรียตอบคำถามของลูนมาเรียอย่างสุภาพ นอกจากนี้ยังแสดงความสนใจในเรื่องต่างๆ ที่ลูนามาเรียถามด้วย

 

 

 

หากเรื่องราวของทั้งสองคนถูกเรียบเรียงและทำเป็นหนังสือ ผมว่ามันอาจจะกลายเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลิกโฉมประวัติศาสตร์ของทวีปนี้ได้เลยนะ

 

นอกจากนี้ ตัวตนของแอนดร้าก็คือสิ่งที่มวลมนุษย์เรียกกันว่าอาณาจักรทองคำ หากผมประกาศเรื่องนี้ออกไปให้โลกได้รับรู้ ชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยของผมคงพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมแน่

 

ก็นะ ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ด้วย ช่างมันละกัน

 

 

เมื่อดูจากที่วิสทีเรียบอก แอนดร้าคือสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ถึงมนุษย์จะพยายามเข้าไปได้สำเร็จ แต่เลวร้ายสุดก็คงจะถูกพวกเขาขับไล่ออกมาด้วยกำลัง

 

เป้าหมายของผมก็เป็นการหาเขาเบฮีมอธไม่ใช่การค้นหาอาณาจักรทองคำหรือสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับดาร์คเอลฟ์ด้วย

 

 

หากไม่ได้มีความตั้งใจจะแบกภาระนี้ไปจนจบ การค้นพบพวกนี้ก็ปิดมันเอาไว้เหมือนเดิมแหละดีแล้ว

 

 

หลังจากคิดเรื่องนี้จบ ผมก็พาพวกเธอกลับไปยังเบลก้า

 

 

――ในตอนนั้นผมไม่ได้รู้เลยว่า กลุ่มคนที่เกลียดชังดาร์คเอลฟ์นั้นหาใช่เอลฟ์ด้วยกัน แต่เป็นพวกมนุษย์ต่างหาก

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+