การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 156 อาณาจักรทองคำ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 156 อาณาจักรทองคำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 156 อาณาจักรทองคำ

 

「สวัสดีค่ะ ดราก้อนสเลเยอร์ ฉันมีชื่อว่าคาเทียค่ะ」

 

นั่นคือสิ่งแรกที่เพื่อนสมัยเด็กของอิเรียกล่าว

 

 

ตำแหน่งที่พวกเราพักกันอยู่ตอนนี้คือห้องชั้นบนสุดของโรงแรม หรือก็คือห้องที่ผมกับอิเรียเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ภายในห้องนี้พวกผมได้มานั่งฟังเรื่องราวของผูหญิงที่ชื่อคาเทีย

 

 

ตอนมองจากไกลๆ เมื่อกี้เห็นไม่ค่อยชัด แต่ว่าพอมาสังเกตดูใบหน้าของคาเทียก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า รอบดวงตามีรอยคล้ำ แก้มดูซูบ เสียงก็แหบแห้ง

 

 

ลักษณะส่วนอื่นของเธอก็คือมีผมสีน้ำตาลที่ม้วนเป็นมวยไว้ด้านหลังหัว บางทีอาจจะเน้นไปที่การเคลื่อนไหวสะดวก แต่การมัดของเธอก็เรียกได้ว่าไม่ดีเท่าไหร่นัก รวมๆ แล้วก็คือสภาพดูไม่ได้ใกล้เคียงกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเลย

 

 

 

 

「ก็อย่างที่เห็น ฉันเป็นผู้รับใช้เทพแห่งกฏหมาย เมื่อตอนยังเด็กฉันได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเมลเทกับคุณอิเรียค่ะ」

 

 

 

เมื่อคาเทียมองไปยังอิเรียนักบวชสายบู้แห่งปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะ อิเรียก็พยักหน้ารับกับคำพูดของคาเทีย

 

 

 

จากที่ผมเดาสัญลักษณ์ดาวที่ติดอยู่บนหน้าอกของเธอ คาเทียเองก็คงจะเป็นอดีตสมาชิกปาร์ตี้ดาราสีเงิน คงจะได้เจอกันตอนที่อิเรียไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเบฮีมอธ ซึ่งก็เป็นตามที่คาด

 

 

เมื่อรู้ว่าดราก้อนสเลเยอร์จะกลับมายังเบลก้าอีกครั้ง คาเทียก็เลยมักจะมาหาอิเรียเป็นประจำเพื่อรอจังหวะที่ผมกลับมา

 

 

คำถามก็คือทำไมคาเทียต้องการเจอผมด้วย ไม่สิคงไม่ต้องถามมั้ง หากผมฆ่าได้กระทั่งมังกร แค่มอนสเตอร์ในทะเลทรายคงไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นเรื่องที่คาเทียคิดผมก็พอจะเดาๆ ได้แล้ว

 

 

และคำพูดต่อมาของคาเทียก็ยืนยันในสิ่งนั้น

 

 

 

「ดราก้อนสเลเยอร์ได้โปรดร่วมมือกับพวกเราในการค้นหาพวกพ้องดาราสีเงินด้วยค่ะ! พื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการสำรวจบริเวณส่วนลึกสุดของทะเลทรายคาตาลาน บริเวณที่มีผู้เคยพบเห็นเบฮีมอธในอดีต ซึ่งจากที่ทราบมาปลายทางของพวกเราก็น่าจะสอดคล้องกันดังนั้นได้โปรด!」

 

 

จากนั้นคาเคียก็ก้มหัวลงด้วยใบหน้าที่ดูสิ้นหวัง

 

 

ผมได้ยินมาว่าหัวหน้าปาร์ตี้ดาราสีเงินคือผู้ที่ปลดปล่อยคาเทียจากการเป็นทาส บุญคุณของเขาที่มีกับเธอคงมากมาย เมื่อพิจารณาถึงสภาพของเธอ เธอคงพยายามเป็นอย่างมากในการเคลื่อนไหวหาทาง

 

 

ช่วงเวลาที่หัวหน้าปาร์ตี้ดาราสีเงินหายตัวไปมันก็หลายเดือนแล้ว แต่คาเทียก็ยังไม่ลดความพยายามเพื่อพวกพ้องของเธอ ไม่ว่ามันจะผ่านมานานเสียจนทุกคนมองว่าไม่มีหวังแล้วก็ตาม

 

 

สิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าผมได้ทำมาสมควรได้รับการตอบแทนนะ ผมคงไม่หน้าด้านพอจะพูดว่า”คงไม่คิดว่าฉันจะทำให้ฟรีๆ ใช่ไหม”ต่อหน้าเธอที่สิ้นหวังหรอก

ก็อย่างที่เธอว่าผมตั้งใจจะเดินทางไปที่ทะเลทรายเพื่อล่าเบฮีมอธอยู่แล้ว คงไม่ได้ยุ่งยากอะไร

 

 

นอกจากนี้หากเธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของราสกับอิเรียก็หมายความว่าเธอรู้จักกับนักบวชซาร่าด้วย ดังนั้นมันก็เลยมีอีกเหตุผลที่ทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้

 

 

 

――จากนั้นใบหน้าของคาเทียก็ดูสดใสขึ้นก่อนจะก้มหัวแล้วพูดขอบคุณผมซ้ำๆ

 

 

 

ทว่าผมก็ได้พูดขัดเธอขึ้นมาก่อนเพื่อแสดงความชัดเจน

 

 

 

 

「แต่อยากให้รู้เอาไว้ก่อนนะ ว่าฉันจะให้ความสำคัญกับงานทางฉันก่อน ช่วยเข้าใจกันด้วยล่ะ」

 

 

 

เอาง่ายๆ ก็อย่างเช่นถ้าผมเจอเบฮีมอธนอกพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจ ผมก็จะกำจัดมันแล้วกลับไปที่อิชกะทันที และไม่สามารถอยู่ที่เบลก้าเพื่อช่วยเธอต่อได้

 

 

 

หลังจากมอบเขาเบฮีมอธให้สันตะปาปาโนอาห์เสร็จแล้ว ผมก็คงไม่กลับมาเบลก้าแล้วด้วย หากคิดดูผู้สูญหายก็ไม่ใช่เมื่อวานหรือวันนี้สักหน่อย การค้นหาต่อไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมายจะกี่เดือนก็ไม่มีประโยชน์หรอก

 

 

 

ก็ขอโทษคาเทียด้วยจริงๆ แต่สมาชิกของดาราสีเงินอาจจะตยไปหมดแล้วก็ได้ แถมศพอาจจะถูกฝังในทรายไม่ก็โดนพวกมอนสเตอร์กินไปแล้ว ดังนั้นจึงยากจะหาเจอ

 

ดังนั้นหากผมคิดดูดีๆ แล้ว การที่คาเทียมาขอให้ผมช่วยคงไม่ใช่การค้นหาดาราสีเงินหรอก แต่เป็นการปลอบประโลมความรู้สึกของเธอเอง หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้เธอคงจะพยายามไขว่คว้าความหวังอันเลือนรางต่อไป จนสุดท้ายก็เป็นเธอเองที่จะหมดแรงลง

 

 

 

……มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าสุดท้ายของเธอ

 

 

ผมถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่ให้คาเทียซึ่งน้ำตาคลอเบ้าสังเกตเห็นถึงเรื่องราวมันจะแตกต่างจากดาบฮายาบูสะไปบ้างแต่ดาราสีเงินก็มีแน้วโน้มจะสร้างความยุ่งยากเหมือนกัน

 

 

 

 

「คือว่า เกี่ยวกับเรื่องของคาเทีย…ขอบคุณนะ」

 

 

เมื่อคาเทียออกไปจากห้อง อิเรียก็ก้มหัวขอบคุณผมด้วยท่าทีที่งุ่มง่าม

 

พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็หรี่ตาลงเล็กน้อย อิเรียนั้นแตกต่างจากลูนามาเรียกับมิโรสลาฟตรงที่เธอยังเป็นนักผจญภัยระดับ 6 ของกิลด์และเป็นสมาชิกของดาบฮายาบูสะอยู่

 

 

 

ตอนที่อยู่เบลก้าก่อนหน้านี้ หลังจากกินวิญญาณของอิเรียเสร็จ ผมก็ปล่อยเธอไว้ที่เบลก้าแล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะ ก็แอบกังวลนิดหน่อยว่าพอผมหายไปนานๆ อิเรียจะทำยังไงต่อ อันที่จริงผมยังคิดเผื่อไม่แล้วด้วยซ้ำว่าเธออาจจะหนีออกจากเบลก้าไปแล้ว

 

แต่สุดท้ายเธอก็ยังอยู่ที่นี่

 

 

 

――ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหากปล่อยเธอไว้ นอกจากนี้ในมุมของเธอที่รับพิษไฮดราไป คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพึ่งยารักษาของผม

 

 

 

ผมซ่อนความคิดในใจเอาไว้และตอบเธอกลับไป

 

 

 

「ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกน่า อย่างที่บอกกับผู้ผญิงคนนั้นไป ลำดับความสำคัญยังไงก็คือเบฮีมอธ จะว่าไปแล้วพวกเธอบอกว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันใช่ไหม แล้วนี่ไปเจอกันได้ยังเหรอ? 」

 

 

「จะว่ายังไงดีล่ะ….ฉันพยายามรวบรวมข้อมูลของเบฮีมอธแล้วไม่นานนักฉันก็ได้เจอเธอเข้าโดยบังเอิญนะ」

 

 

 

「เหรอ แล้วได้บอกราสไปหรือยัง? 」

 

 

ทั้งที่เป็นคำถามที่แสนธรรมดา แต่พออิเรียได้ยินเธอก็กัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลง

 

 

「ไม่หรอก คาเทียเธอห้ามฉันเอาไว้ เธอบอกฉันว่าเธอไม่คิดจะกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทอีกแล้ว เลยไม่อยากให้คนที่นั่นรู้เรื่องของเธอ」

 

 

พอได้ยินผมก็แอบแปลกใจนิดหน่อย ถ้าเป็นผมที่รอดจากการเป็นทาสแล้ว ผมก็สามารถกลับไปบ้านเกิดได้ทุกเมื่อ ก็จริงว่าผมอาจจะออกจากเบลก้าไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากหากจะบอกคนที่หมู่บ้านที่ยังปลอดภัยดี

 

 

 

แต่ในเมื่อคาเทียไม่คิดจะทำแบบนั้นเลยก็หมายความว่าเธอคงไม่อยากจะเจอกับครอบครัวที่ขายเธอไปและไม่อาลัยอะไรกับหมู่บ้าน อันที่จริงราสกับอิเรียก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น….เห็นได้จากการกลับมาพบกันอีกครั้งของทั้งสองที่ไม่ได้รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อะไรนัก

 

 

ต่างจากชีลที่แม้เธอจะกลายเป็นทาส เธอก็ไม่เคยลืมส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว――ความต่างอาจจะอยู่ตรงที่เธอสมัครใจไปเป็นทาสเอง แต่สถานการณ์ของคาเทียมันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

 

และถ้าการสูญเสียเพื่อนสมัยเด็กของอิเรียกับราสส่งผลให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะเป็นนักผจญภัยต่อไป การปรากฏตัวของคาเทียก็ส่งผลกับแผนของผมมากเหมือนกัน

 

 

การที่เจอกับคาเทียในเบลก้าตอนนี้ ไม่รู้ทำไมในใจผมถึงคิดว่ามันแปลกๆ

 

ผมคิดอยู่ในใจก่อนจะทิ้งมันเอาไว้ก่อน ไม่ใช่เพราะเมื่อมองไปยังอิเรียแล้วเห็นเธอแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาหรอกนะ――แต่เป็นเพราะผมต้องทำเพื่อยืนยันเรื่องต่างๆ ในอนาคต

 

 

 

「ว่าแต่ร่างกายของเธอเป็นยังไงแล้วบ้าง? จากที่เห็นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากฉันกลับไปแล้วเธอมีอาการกำเริบหรือเปล่า? 」

 

 

 

อาการที่ว่าก็คงรู้กันดีว่าเป็นพิษของไฮดรา อิเรียที่ได้รับผลกระทบจากพิษของไฮดราจนทำให้ใบหน้าของเธอเละไปครึ่งหนึ่ง ถึงตอนนี้อาการของเธอจะดีขึ้นแล้วจากยารักษาที่ใช้เลือดของผม แต่ความกลัวที่อาการนั้นจะกลับมาก็ใช่จะหายไปจนหมด

 

 

หลังจากเอาชนะเทพปีศาจบนเกาะได้ เลเวลของผมก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ผลลัพธ์ที่กลั่นออกมาจากเลือดของผมก็คงเพิ่มขึ้นด้วยแน่ หากเธอมีอาการกำเริบผมก็คงต้องใช้เลือดตรงๆ เข้าช่วยก่อน ผมก็เลยถามเธอไป คำตอบของอิเรียที่มอบให้ผมก็คือสบายมาก

 

 

 

「นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกว่าสภาพร่างกายตอนนี้มันดีกว่าก่อนที่ถูกพิษซะอีก」

 

 

 

「งั้นเหรอ น่าเสียดายนึกว่าจะได้ฆ่าเธอทิ้งซะแล้วสิ」

 

 

ผมพูดล้อเล่นออกมา ส่วนอิเรียก็ได้แค่เม้มริมฝีปากราวกับอยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ได้ ก็แน่สิครั้งหนึ่งเธอผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับพิษร้าย แต่ไม่อยากจะตายอย่างทรมานเพราะมันจึงได้ขอให้ผมฆ่าเธอทิ้งเลยนี่นะ

 

 

 

แน่นอนว่าสิ่งที่ผมคุยกับเธอตอนนี้ คนอื่นย่อมไม่มีทางได้ยิน และผมก็ไม่มีทางจะปล่อยให้มันหลุดไปถึงนักบวชซาร่ากับพวกเด็กๆ ด้วย นอกจากนี้หากราสรู้เรื่องนี้เข้าคงได้วุ่ยวายอีกพักใหญ่

 

 

เอาเป็นว่าสีหน้าของอิเรียตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว แถมเธอก็ไม่ได้โกรธอะไรที่ผมล้อเธอเล่นด้วย

 

จากนั้นผมก็บอกให้เธอมานั่งข้างๆ ผม จากนั้นอิเรียก็ทำตามโดยไม่พูดอะไรก่อนจะหลับตาลง

 

 

ทางซูซูเมะกับลูนามาเรียก็ย้ายไปพักอีกห้องแล้ว เพราะพวกผม 4 คนคงไม่สามารถยัดกันอยู่ในห้องเดียวได้

 

 

 

ดังนั้นตอนนี้ทั้งห้องก็เลยมีแค่ผมกับอิเรีย เรื่องที่ต้องทำก็รู้ๆ กันนี่เนอะ

 

 

 

◆◆◆

 

 

สามวันหลังจากผมเดินทางมาถึงเบลก้า ตอนนี้ผมกำลังบินอยู่เหนือทะเลทรายคาตาลานด้วยคราว โซราส

 

 

 

ตอนแรกผมก็แอบคิดว่ามันจะเด่นเกินไปไหม จึงได้ซ่อนมันไว้หลังเขาก่อน แต่พอเข้าเมืองมาก็ดันได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเหยี่ยวทะเลทรายและดาราสีเงินทันที ดังนั้นถึงจะไม่อยากเด่นก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว ดังนั้นผมก็เลยใช้ดราก้อนสเลเยอร์มาช่วยซะเลย เพราะหากเป็นสิ่งนี้แม้จะเป็นเหยี่ยวทะเลทรายก็คงไม่อยากมายุ่งกับผม

 

 

คนที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของผมก็คือคาร์ดินัลไซราระ หัวหน้านักบวชที่ดูแลวิหารเทพแห่งกฎหมายในเบลก้า โดยเขาบอกกับผมว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แถมยังอนุญาตให้ผมขี่คราว โซราสเข้าออกเบลก้าได้ตามสะดวกเลย

 

ตอนแรกผมก็แอบคิดว่าที่เขาสุภาพกับผมมากเป็นเพราะจดหมายแนะนำตัวที่สันตะปาปาโนอาห์ให้มา แต่พอได้พูดคุยกันไปสักพัก ผมก็ได้รู้ว่าเขาเองก็ทุกข์ใจกับการหายตัวไปของพวกดาราสีเงินเหมือนกัน แถมยังเป็นห่วงคาเทียเดีย ดังนั้นถึงผมจะไม่มีจดหมายแนะนำนี้ เขาก็คงให้ความร่วมมือกับผมอย่างเต็มที่

 

 

 

『แอโร่เป็นคือที่ดีมากเลยครับ สำหรับชาวเมืองเบลก้าแล้วหากนึกภาพของนักผจญภัยก็จะเป็นภาพแห่งความหยาบกระด้างแข็งกร้าว ทว่าแอโร่กับพรคคพวกของเขาคือข้อยกเว้น』

 

 

ตอนที่ผมเจอกันครั้งแรก คาร์ดินัลไซราระบอกกับผมด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า ส่วนแอโร่ก็คือชื่อของหัวหน้าปาร์ตี้ดาราสีเงิน ซึ่งฉายาที่คนเรียกเขากันก็คืออัศวินสีขาว

 

ดูเหมือนว่าแอโร่จะดูแลผู้คนที่สูญเสียญาติพี่น้องและผู้ถูกขายเป็นทาสอย่างโหดร้ายมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของเขากับทางวิหารก็เป็นไปได้ด้วยดี คาเทียที่สังกัดอยู่ในวิหารตอนนี้ก็คือหนึ่งในคนที่เขาช่วยเอาไว้

 

 

แม้ว่านักผจญภัยจะไม่ได้มีเจ้านายของตน แต่เขาก็ยังได้รับฉายาว่าอัศวินติดในนั้นเห็นได้ชัดว่าผู้คนชื่นชมเขามากขนาดไหน

 

 

 

 

นอกจากนี้ตอนแรกผมก็คิดว่าคาร์ดินัลไซราระจะเป็นผู้หญิงเสียอีกจากชื่อของเขา แต่ทว่าเขากลับเป็นชายที่ดูสง่าแม้จะอายุปาไป 50 แล้วก็ตาม

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังบินอยู่เหนือทะเลทราย คำพูดของคาร์ดินัลไซซาระก็ผุดขึ้นมา

 

 

 

『ตอนที่แอโร่หายไป ทางวิหารเทพแห่งกฏหมายก็พยายามค้นหาเขา….ทว่าจุดที่เขาไปคือส่วนลึกสุดในจุดที่ยังไม่ได้สำรวจ มอนสเตอร์ที่นั่นมีเยอะมากและไม่มีโอเอซิสใกล้ๆ ด้วย แม้จะเป็นนักผจญภัยระดับสูงการจะไปที่นั่นก็ต้องไปแล้วกลับทันที เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาสถานที่ในการพักผ่อนแถวนั้นได้….』

 

 

 

นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินมา แล้วทำไมดาราสีเงินยังเลือกที่จะไปในที่แบบนั้นกันล่ะ

 

 

แน่นอนว่าเพราะพวกเขาเป็นนักผจญภัยก็คงจะมีเรื่องเสี่ยงกันบ้าง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือเขาต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะเสี่ยง

 

 

มอนสเตอร์จำนวนมาก ไม่มีโอเอซิส แม้จะเก่งแค่ไหนก็ต้องไปแล้วกลับไม่สามารถหาที่พักได้ แอโร่มีจุดประสงค์อะไรกันที่จะพาพวกพ้องไปเสี่ยง

 

ผมถามไปยังคาร์ดินัลไซราระ เพราะผมคงไม่สามารถถามมันกับคาเทียได้

 

 

 

 

คาร์ดินัลหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาเพียงคำเดียว

 

 

 

อาณาจักรทองคำ

 

 

มันคือยูโทเปียแห่งเดียวในใจกลางทะเลทรายที่เล่าขานกันในตำนาน――อัศวินสีขาวผู้นั้นได้ย่างก้าวเข้าไปในทะเลทรายคาตาลานหลายสิบหลายร้อยครั้งก็เพื่อยืนยันตำนานนั้น

 

 

พอเขาได้เบาะแสที่จะนำพาไปสู่ตำนานนั้น เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะก้าวเข้าไปเสี่ยงอันตรายในจุดที่ยังไม่ได้สำรวจ――และนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่ผู้คนได้เห็นเขา

 

 

 

 

「อัศวินสีขาวที่หายสาบสูญไปในทะเลทรายสินะ」

 

 

ผมพูดออกมาขณะบอกให้คราว โซราสหันกลับไปทางเบลก้าเพราะทำการบินมานานพอแล้ว จากแผนที่ผมวางไว้วันนี้ผมจะกลับเบลก้าก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยพาซูซูเมะไปลุยสักรอบ

—–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 156 อาณาจักรทองคำ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 156 อาณาจักรทองคำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 156 อาณาจักรทองคำ

 

「สวัสดีค่ะ ดราก้อนสเลเยอร์ ฉันมีชื่อว่าคาเทียค่ะ」

 

นั่นคือสิ่งแรกที่เพื่อนสมัยเด็กของอิเรียกล่าว

 

 

ตำแหน่งที่พวกเราพักกันอยู่ตอนนี้คือห้องชั้นบนสุดของโรงแรม หรือก็คือห้องที่ผมกับอิเรียเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ภายในห้องนี้พวกผมได้มานั่งฟังเรื่องราวของผูหญิงที่ชื่อคาเทีย

 

 

ตอนมองจากไกลๆ เมื่อกี้เห็นไม่ค่อยชัด แต่ว่าพอมาสังเกตดูใบหน้าของคาเทียก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า รอบดวงตามีรอยคล้ำ แก้มดูซูบ เสียงก็แหบแห้ง

 

 

ลักษณะส่วนอื่นของเธอก็คือมีผมสีน้ำตาลที่ม้วนเป็นมวยไว้ด้านหลังหัว บางทีอาจจะเน้นไปที่การเคลื่อนไหวสะดวก แต่การมัดของเธอก็เรียกได้ว่าไม่ดีเท่าไหร่นัก รวมๆ แล้วก็คือสภาพดูไม่ได้ใกล้เคียงกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเลย

 

 

 

 

「ก็อย่างที่เห็น ฉันเป็นผู้รับใช้เทพแห่งกฏหมาย เมื่อตอนยังเด็กฉันได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเมลเทกับคุณอิเรียค่ะ」

 

 

 

เมื่อคาเทียมองไปยังอิเรียนักบวชสายบู้แห่งปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะ อิเรียก็พยักหน้ารับกับคำพูดของคาเทีย

 

 

 

จากที่ผมเดาสัญลักษณ์ดาวที่ติดอยู่บนหน้าอกของเธอ คาเทียเองก็คงจะเป็นอดีตสมาชิกปาร์ตี้ดาราสีเงิน คงจะได้เจอกันตอนที่อิเรียไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเบฮีมอธ ซึ่งก็เป็นตามที่คาด

 

 

เมื่อรู้ว่าดราก้อนสเลเยอร์จะกลับมายังเบลก้าอีกครั้ง คาเทียก็เลยมักจะมาหาอิเรียเป็นประจำเพื่อรอจังหวะที่ผมกลับมา

 

 

คำถามก็คือทำไมคาเทียต้องการเจอผมด้วย ไม่สิคงไม่ต้องถามมั้ง หากผมฆ่าได้กระทั่งมังกร แค่มอนสเตอร์ในทะเลทรายคงไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นเรื่องที่คาเทียคิดผมก็พอจะเดาๆ ได้แล้ว

 

 

และคำพูดต่อมาของคาเทียก็ยืนยันในสิ่งนั้น

 

 

 

「ดราก้อนสเลเยอร์ได้โปรดร่วมมือกับพวกเราในการค้นหาพวกพ้องดาราสีเงินด้วยค่ะ! พื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการสำรวจบริเวณส่วนลึกสุดของทะเลทรายคาตาลาน บริเวณที่มีผู้เคยพบเห็นเบฮีมอธในอดีต ซึ่งจากที่ทราบมาปลายทางของพวกเราก็น่าจะสอดคล้องกันดังนั้นได้โปรด!」

 

 

จากนั้นคาเคียก็ก้มหัวลงด้วยใบหน้าที่ดูสิ้นหวัง

 

 

ผมได้ยินมาว่าหัวหน้าปาร์ตี้ดาราสีเงินคือผู้ที่ปลดปล่อยคาเทียจากการเป็นทาส บุญคุณของเขาที่มีกับเธอคงมากมาย เมื่อพิจารณาถึงสภาพของเธอ เธอคงพยายามเป็นอย่างมากในการเคลื่อนไหวหาทาง

 

 

ช่วงเวลาที่หัวหน้าปาร์ตี้ดาราสีเงินหายตัวไปมันก็หลายเดือนแล้ว แต่คาเทียก็ยังไม่ลดความพยายามเพื่อพวกพ้องของเธอ ไม่ว่ามันจะผ่านมานานเสียจนทุกคนมองว่าไม่มีหวังแล้วก็ตาม

 

 

สิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าผมได้ทำมาสมควรได้รับการตอบแทนนะ ผมคงไม่หน้าด้านพอจะพูดว่า”คงไม่คิดว่าฉันจะทำให้ฟรีๆ ใช่ไหม”ต่อหน้าเธอที่สิ้นหวังหรอก

ก็อย่างที่เธอว่าผมตั้งใจจะเดินทางไปที่ทะเลทรายเพื่อล่าเบฮีมอธอยู่แล้ว คงไม่ได้ยุ่งยากอะไร

 

 

นอกจากนี้หากเธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของราสกับอิเรียก็หมายความว่าเธอรู้จักกับนักบวชซาร่าด้วย ดังนั้นมันก็เลยมีอีกเหตุผลที่ทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้

 

 

 

――จากนั้นใบหน้าของคาเทียก็ดูสดใสขึ้นก่อนจะก้มหัวแล้วพูดขอบคุณผมซ้ำๆ

 

 

 

ทว่าผมก็ได้พูดขัดเธอขึ้นมาก่อนเพื่อแสดงความชัดเจน

 

 

 

 

「แต่อยากให้รู้เอาไว้ก่อนนะ ว่าฉันจะให้ความสำคัญกับงานทางฉันก่อน ช่วยเข้าใจกันด้วยล่ะ」

 

 

 

เอาง่ายๆ ก็อย่างเช่นถ้าผมเจอเบฮีมอธนอกพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจ ผมก็จะกำจัดมันแล้วกลับไปที่อิชกะทันที และไม่สามารถอยู่ที่เบลก้าเพื่อช่วยเธอต่อได้

 

 

 

หลังจากมอบเขาเบฮีมอธให้สันตะปาปาโนอาห์เสร็จแล้ว ผมก็คงไม่กลับมาเบลก้าแล้วด้วย หากคิดดูผู้สูญหายก็ไม่ใช่เมื่อวานหรือวันนี้สักหน่อย การค้นหาต่อไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมายจะกี่เดือนก็ไม่มีประโยชน์หรอก

 

 

 

ก็ขอโทษคาเทียด้วยจริงๆ แต่สมาชิกของดาราสีเงินอาจจะตยไปหมดแล้วก็ได้ แถมศพอาจจะถูกฝังในทรายไม่ก็โดนพวกมอนสเตอร์กินไปแล้ว ดังนั้นจึงยากจะหาเจอ

 

ดังนั้นหากผมคิดดูดีๆ แล้ว การที่คาเทียมาขอให้ผมช่วยคงไม่ใช่การค้นหาดาราสีเงินหรอก แต่เป็นการปลอบประโลมความรู้สึกของเธอเอง หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้เธอคงจะพยายามไขว่คว้าความหวังอันเลือนรางต่อไป จนสุดท้ายก็เป็นเธอเองที่จะหมดแรงลง

 

 

 

……มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าสุดท้ายของเธอ

 

 

ผมถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่ให้คาเทียซึ่งน้ำตาคลอเบ้าสังเกตเห็นถึงเรื่องราวมันจะแตกต่างจากดาบฮายาบูสะไปบ้างแต่ดาราสีเงินก็มีแน้วโน้มจะสร้างความยุ่งยากเหมือนกัน

 

 

 

 

「คือว่า เกี่ยวกับเรื่องของคาเทีย…ขอบคุณนะ」

 

 

เมื่อคาเทียออกไปจากห้อง อิเรียก็ก้มหัวขอบคุณผมด้วยท่าทีที่งุ่มง่าม

 

พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็หรี่ตาลงเล็กน้อย อิเรียนั้นแตกต่างจากลูนามาเรียกับมิโรสลาฟตรงที่เธอยังเป็นนักผจญภัยระดับ 6 ของกิลด์และเป็นสมาชิกของดาบฮายาบูสะอยู่

 

 

 

ตอนที่อยู่เบลก้าก่อนหน้านี้ หลังจากกินวิญญาณของอิเรียเสร็จ ผมก็ปล่อยเธอไว้ที่เบลก้าแล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะ ก็แอบกังวลนิดหน่อยว่าพอผมหายไปนานๆ อิเรียจะทำยังไงต่อ อันที่จริงผมยังคิดเผื่อไม่แล้วด้วยซ้ำว่าเธออาจจะหนีออกจากเบลก้าไปแล้ว

 

แต่สุดท้ายเธอก็ยังอยู่ที่นี่

 

 

 

――ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหากปล่อยเธอไว้ นอกจากนี้ในมุมของเธอที่รับพิษไฮดราไป คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพึ่งยารักษาของผม

 

 

 

ผมซ่อนความคิดในใจเอาไว้และตอบเธอกลับไป

 

 

 

「ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกน่า อย่างที่บอกกับผู้ผญิงคนนั้นไป ลำดับความสำคัญยังไงก็คือเบฮีมอธ จะว่าไปแล้วพวกเธอบอกว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันใช่ไหม แล้วนี่ไปเจอกันได้ยังเหรอ? 」

 

 

「จะว่ายังไงดีล่ะ….ฉันพยายามรวบรวมข้อมูลของเบฮีมอธแล้วไม่นานนักฉันก็ได้เจอเธอเข้าโดยบังเอิญนะ」

 

 

 

「เหรอ แล้วได้บอกราสไปหรือยัง? 」

 

 

ทั้งที่เป็นคำถามที่แสนธรรมดา แต่พออิเรียได้ยินเธอก็กัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลง

 

 

「ไม่หรอก คาเทียเธอห้ามฉันเอาไว้ เธอบอกฉันว่าเธอไม่คิดจะกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทอีกแล้ว เลยไม่อยากให้คนที่นั่นรู้เรื่องของเธอ」

 

 

พอได้ยินผมก็แอบแปลกใจนิดหน่อย ถ้าเป็นผมที่รอดจากการเป็นทาสแล้ว ผมก็สามารถกลับไปบ้านเกิดได้ทุกเมื่อ ก็จริงว่าผมอาจจะออกจากเบลก้าไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากหากจะบอกคนที่หมู่บ้านที่ยังปลอดภัยดี

 

 

 

แต่ในเมื่อคาเทียไม่คิดจะทำแบบนั้นเลยก็หมายความว่าเธอคงไม่อยากจะเจอกับครอบครัวที่ขายเธอไปและไม่อาลัยอะไรกับหมู่บ้าน อันที่จริงราสกับอิเรียก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น….เห็นได้จากการกลับมาพบกันอีกครั้งของทั้งสองที่ไม่ได้รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อะไรนัก

 

 

ต่างจากชีลที่แม้เธอจะกลายเป็นทาส เธอก็ไม่เคยลืมส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว――ความต่างอาจจะอยู่ตรงที่เธอสมัครใจไปเป็นทาสเอง แต่สถานการณ์ของคาเทียมันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

 

และถ้าการสูญเสียเพื่อนสมัยเด็กของอิเรียกับราสส่งผลให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะเป็นนักผจญภัยต่อไป การปรากฏตัวของคาเทียก็ส่งผลกับแผนของผมมากเหมือนกัน

 

 

การที่เจอกับคาเทียในเบลก้าตอนนี้ ไม่รู้ทำไมในใจผมถึงคิดว่ามันแปลกๆ

 

ผมคิดอยู่ในใจก่อนจะทิ้งมันเอาไว้ก่อน ไม่ใช่เพราะเมื่อมองไปยังอิเรียแล้วเห็นเธอแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาหรอกนะ――แต่เป็นเพราะผมต้องทำเพื่อยืนยันเรื่องต่างๆ ในอนาคต

 

 

 

「ว่าแต่ร่างกายของเธอเป็นยังไงแล้วบ้าง? จากที่เห็นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากฉันกลับไปแล้วเธอมีอาการกำเริบหรือเปล่า? 」

 

 

 

อาการที่ว่าก็คงรู้กันดีว่าเป็นพิษของไฮดรา อิเรียที่ได้รับผลกระทบจากพิษของไฮดราจนทำให้ใบหน้าของเธอเละไปครึ่งหนึ่ง ถึงตอนนี้อาการของเธอจะดีขึ้นแล้วจากยารักษาที่ใช้เลือดของผม แต่ความกลัวที่อาการนั้นจะกลับมาก็ใช่จะหายไปจนหมด

 

 

หลังจากเอาชนะเทพปีศาจบนเกาะได้ เลเวลของผมก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ผลลัพธ์ที่กลั่นออกมาจากเลือดของผมก็คงเพิ่มขึ้นด้วยแน่ หากเธอมีอาการกำเริบผมก็คงต้องใช้เลือดตรงๆ เข้าช่วยก่อน ผมก็เลยถามเธอไป คำตอบของอิเรียที่มอบให้ผมก็คือสบายมาก

 

 

 

「นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกว่าสภาพร่างกายตอนนี้มันดีกว่าก่อนที่ถูกพิษซะอีก」

 

 

 

「งั้นเหรอ น่าเสียดายนึกว่าจะได้ฆ่าเธอทิ้งซะแล้วสิ」

 

 

ผมพูดล้อเล่นออกมา ส่วนอิเรียก็ได้แค่เม้มริมฝีปากราวกับอยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ได้ ก็แน่สิครั้งหนึ่งเธอผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับพิษร้าย แต่ไม่อยากจะตายอย่างทรมานเพราะมันจึงได้ขอให้ผมฆ่าเธอทิ้งเลยนี่นะ

 

 

 

แน่นอนว่าสิ่งที่ผมคุยกับเธอตอนนี้ คนอื่นย่อมไม่มีทางได้ยิน และผมก็ไม่มีทางจะปล่อยให้มันหลุดไปถึงนักบวชซาร่ากับพวกเด็กๆ ด้วย นอกจากนี้หากราสรู้เรื่องนี้เข้าคงได้วุ่ยวายอีกพักใหญ่

 

 

เอาเป็นว่าสีหน้าของอิเรียตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว แถมเธอก็ไม่ได้โกรธอะไรที่ผมล้อเธอเล่นด้วย

 

จากนั้นผมก็บอกให้เธอมานั่งข้างๆ ผม จากนั้นอิเรียก็ทำตามโดยไม่พูดอะไรก่อนจะหลับตาลง

 

 

ทางซูซูเมะกับลูนามาเรียก็ย้ายไปพักอีกห้องแล้ว เพราะพวกผม 4 คนคงไม่สามารถยัดกันอยู่ในห้องเดียวได้

 

 

 

ดังนั้นตอนนี้ทั้งห้องก็เลยมีแค่ผมกับอิเรีย เรื่องที่ต้องทำก็รู้ๆ กันนี่เนอะ

 

 

 

◆◆◆

 

 

สามวันหลังจากผมเดินทางมาถึงเบลก้า ตอนนี้ผมกำลังบินอยู่เหนือทะเลทรายคาตาลานด้วยคราว โซราส

 

 

 

ตอนแรกผมก็แอบคิดว่ามันจะเด่นเกินไปไหม จึงได้ซ่อนมันไว้หลังเขาก่อน แต่พอเข้าเมืองมาก็ดันได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเหยี่ยวทะเลทรายและดาราสีเงินทันที ดังนั้นถึงจะไม่อยากเด่นก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว ดังนั้นผมก็เลยใช้ดราก้อนสเลเยอร์มาช่วยซะเลย เพราะหากเป็นสิ่งนี้แม้จะเป็นเหยี่ยวทะเลทรายก็คงไม่อยากมายุ่งกับผม

 

 

คนที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของผมก็คือคาร์ดินัลไซราระ หัวหน้านักบวชที่ดูแลวิหารเทพแห่งกฎหมายในเบลก้า โดยเขาบอกกับผมว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แถมยังอนุญาตให้ผมขี่คราว โซราสเข้าออกเบลก้าได้ตามสะดวกเลย

 

ตอนแรกผมก็แอบคิดว่าที่เขาสุภาพกับผมมากเป็นเพราะจดหมายแนะนำตัวที่สันตะปาปาโนอาห์ให้มา แต่พอได้พูดคุยกันไปสักพัก ผมก็ได้รู้ว่าเขาเองก็ทุกข์ใจกับการหายตัวไปของพวกดาราสีเงินเหมือนกัน แถมยังเป็นห่วงคาเทียเดีย ดังนั้นถึงผมจะไม่มีจดหมายแนะนำนี้ เขาก็คงให้ความร่วมมือกับผมอย่างเต็มที่

 

 

 

『แอโร่เป็นคือที่ดีมากเลยครับ สำหรับชาวเมืองเบลก้าแล้วหากนึกภาพของนักผจญภัยก็จะเป็นภาพแห่งความหยาบกระด้างแข็งกร้าว ทว่าแอโร่กับพรคคพวกของเขาคือข้อยกเว้น』

 

 

ตอนที่ผมเจอกันครั้งแรก คาร์ดินัลไซราระบอกกับผมด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า ส่วนแอโร่ก็คือชื่อของหัวหน้าปาร์ตี้ดาราสีเงิน ซึ่งฉายาที่คนเรียกเขากันก็คืออัศวินสีขาว

 

ดูเหมือนว่าแอโร่จะดูแลผู้คนที่สูญเสียญาติพี่น้องและผู้ถูกขายเป็นทาสอย่างโหดร้ายมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของเขากับทางวิหารก็เป็นไปได้ด้วยดี คาเทียที่สังกัดอยู่ในวิหารตอนนี้ก็คือหนึ่งในคนที่เขาช่วยเอาไว้

 

 

แม้ว่านักผจญภัยจะไม่ได้มีเจ้านายของตน แต่เขาก็ยังได้รับฉายาว่าอัศวินติดในนั้นเห็นได้ชัดว่าผู้คนชื่นชมเขามากขนาดไหน

 

 

 

 

นอกจากนี้ตอนแรกผมก็คิดว่าคาร์ดินัลไซราระจะเป็นผู้หญิงเสียอีกจากชื่อของเขา แต่ทว่าเขากลับเป็นชายที่ดูสง่าแม้จะอายุปาไป 50 แล้วก็ตาม

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังบินอยู่เหนือทะเลทราย คำพูดของคาร์ดินัลไซซาระก็ผุดขึ้นมา

 

 

 

『ตอนที่แอโร่หายไป ทางวิหารเทพแห่งกฏหมายก็พยายามค้นหาเขา….ทว่าจุดที่เขาไปคือส่วนลึกสุดในจุดที่ยังไม่ได้สำรวจ มอนสเตอร์ที่นั่นมีเยอะมากและไม่มีโอเอซิสใกล้ๆ ด้วย แม้จะเป็นนักผจญภัยระดับสูงการจะไปที่นั่นก็ต้องไปแล้วกลับทันที เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาสถานที่ในการพักผ่อนแถวนั้นได้….』

 

 

 

นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินมา แล้วทำไมดาราสีเงินยังเลือกที่จะไปในที่แบบนั้นกันล่ะ

 

 

แน่นอนว่าเพราะพวกเขาเป็นนักผจญภัยก็คงจะมีเรื่องเสี่ยงกันบ้าง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือเขาต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะเสี่ยง

 

 

มอนสเตอร์จำนวนมาก ไม่มีโอเอซิส แม้จะเก่งแค่ไหนก็ต้องไปแล้วกลับไม่สามารถหาที่พักได้ แอโร่มีจุดประสงค์อะไรกันที่จะพาพวกพ้องไปเสี่ยง

 

ผมถามไปยังคาร์ดินัลไซราระ เพราะผมคงไม่สามารถถามมันกับคาเทียได้

 

 

 

 

คาร์ดินัลหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาเพียงคำเดียว

 

 

 

อาณาจักรทองคำ

 

 

มันคือยูโทเปียแห่งเดียวในใจกลางทะเลทรายที่เล่าขานกันในตำนาน――อัศวินสีขาวผู้นั้นได้ย่างก้าวเข้าไปในทะเลทรายคาตาลานหลายสิบหลายร้อยครั้งก็เพื่อยืนยันตำนานนั้น

 

 

พอเขาได้เบาะแสที่จะนำพาไปสู่ตำนานนั้น เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะก้าวเข้าไปเสี่ยงอันตรายในจุดที่ยังไม่ได้สำรวจ――และนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่ผู้คนได้เห็นเขา

 

 

 

 

「อัศวินสีขาวที่หายสาบสูญไปในทะเลทรายสินะ」

 

 

ผมพูดออกมาขณะบอกให้คราว โซราสหันกลับไปทางเบลก้าเพราะทำการบินมานานพอแล้ว จากแผนที่ผมวางไว้วันนี้ผมจะกลับเบลก้าก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยพาซูซูเมะไปลุยสักรอบ

—–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+