การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 285 ปัดเป่าคำสาป

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 285 ปัดเป่าคำสาป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 258 ปัดเป่าคำสาป

 

ทันทีที่โซระปลดปล่อยอาภรณ์วิญญาณออกมา ธงแห่งผืนป่าทุกคนก็สัมผัสได้ถึงสายลมอันเบาบางชวนให้นึกถึงธรรมชาติอันเงียบสงบ

 

ผืนดินไม่ได้แตกร้าว ชั้นบรรยากาศไม่ได้สั่นสะเทือน มีเพียงสายลมที่พัดผ่านดาบเท่านั้น

 

 

ทว่าแรงกดดันอันล้นหลามที่ออกมานั้น หนักและรุนแรงจนสามารถบดขยี้ร่างของธงแห่งผืนป่าได้ เพียงแค่ชักดาบออกมาออร่าที่สุดสะพรึงก็ปะทะกับพวกเขา ราวกับต้นกกที่ถูกสายลมกระโชก

 

 

 

 

 

「คึก?!」

 

 

 

「บ้าน่า!」

 

 

 

แรงกดดันที่เกิดจากพลังคิของโซระในตอนนี้มันเหนือยิ่งกว่าความรู้สึกกดดันเฉยๆ ไปเสียแล้ว คนจำนวนมากสัมผัสได้เลยว่าร่างของตัวเองกำลังถูกทุบด้วยค้อนที่มองไม่เห็นทั้งบนและล่างของร่างกาย

 

 

เสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดได้ส่งออกมาจากปากของเหล่าธงแห่งผืนป่ารอบๆ

 

ไม่บอกก็รู้ว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้คือหัวกะทิของบรรดาธงทั้ง 8 ถ้าหากแรงกดดันของพลังคิโซระทำให้พวกเขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาได้ พวกระดับล่างก็คงจะหมดสติเอาได้แน่ๆ ส่วนคนธรรมดาที่ไม่ใช่นักรบคงไม่ต้องพูดถึง

 

หากโซระปรากฏตัวอยู่ในสนามรบสักแห่ง ความเป็นไปได้ที่เขาจะล่มทั้งทัพได้ด้วยการชักดาบออกมาคงไม่ใช่เรื่องเกินจริง

 

 

แล้วนักบุญดาบ มิตสึรุกิ ชิกิบุที่เผชิญหน้ากับโซระในสภาพแบบนี้จะตอบโต้เช่นไรกันล่ะ…

 

 

 

「――」

 

 

 

ชิกิบุได้ดึงเอาซาซาโนะยูกิออกมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะก้าวเท้าขวาไปทางหน้าครึ่งก้าวและตั้งดาบไว้ตรงกลางตัว

 

 

นี่คือท่ายืนพื้นฐาน และเพราะตอนนี้เขาไม่ได้ใช้อาภรณ์วิญญาณจึงทำให้ความสามารถในการต้านทานพลังคิของเขาด้อยกว่าคนที่นำออกมาแล้ว ทว่าเขาก็ยังชักดาบออกมาแล้วตั้งท่าได้อย่างสบายๆ

 

 

อย่างไรก็ตามหากให้เทียบออร่าความกดดันอันท่วมท้นของโซระที่แผ่ออกมากับชิกิบุแล้วคงต้องบอกว่าชิกิบุนั้นช่างน้อยนิด

 

ไม่มีธงแห่งผืนป่าคนไหนสามารถเข้าใจความคิดในหัวของชิกิบุได้เลย ทั้งเรื่องที่ทำไมเขาไม่ใช้อาภรณ์วิญยาณ ทำไมเขาถึงรออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรต่อ

 

 

อย่างไรก็ตามทางด้านโซระก็ไม่ได้คิดจะทำความเข้าใจชิกิบุเหมือนคนอื่นๆ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางรู้ว่าพ่อของตัวเองคิดอะไรอยู่ การพยายามทำความเข้าใจคนแบบนี้ก็มีแต่ปวดหัวเปล่า

 

โซระถืออาภรณ์วิญญาณไว้บริเวณสะโพกซ้ายโดยชี้ปลายของมันไปทางด้านหลัง พริบตาเดียวที่ตำแหน่งได้ที่คล้ายกับท่าอิไอ ดวงตาของโซระก็เบิกกว้าง――

 

 

 

「ย๊ากกก!」

 

 

ย่างก้าวของโซระกดลงไปกับพื้นก่อนจะปล่อยอาภรณ์วิญญาณออกมาในเส้นแนวนอนแล้วตะโกนดังลั่น

 

การโจมตีของโซระนั้นดูเหมือนจะไกลเกินกว่าระยะดาบจะเอื้อมถึงอีกฝ่ายหากมองดูให้ดีๆ แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือเทคนิคการต่อสู้ที่แสนทรงพลังและอันตรายถึงชีวิต

 

มายาสังหาร กลืนกิน พลังที่ถูกพัฒนามาจากวายุ ซึ่งเป็นการโจมตีศัตรูจากระยะไกลที่รุนแรง โดยทำให้ระยะห่างระหว่างตนกับศัตรูเรียกได้ว่าแทบเป็นศูนย์

 

แล้วโซระก็ใช้สิ่งนั้นในการเปิดการโจมตี

 

 

เรียกได้ว่ามันคือเทคนิคที่ลดระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเหล่าศูนย์ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน ถือว่าเป็นไม้เด็ดอันหนึ่งของโซระเลยทีเดียว

 

แล้วสิ่งที่ชิกิบุทำกับไม้เด็ดก็ช่างแสนเรียบง่าย

 

 

――ราวกับเขากำลังทดสอบน้ำหนักของดาบ ชิกิบุเหวี่ยงซาซาโนะยูกิเบาๆ ไปตรงหน้า

 

 

ซาซาโนะยูกินั้นเป็นดาบเลื่องชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ทว่ามันก็ไม่ใช่ดาบเวท มันเป็นเพียงดาบธรรมดาที่สร้างมาจากเหล็กหลอม

 

 

แล้วก็เป็นชิกิบุนี่แหละที่ทำการป้องกันการโจมตีอันตรงพลังด้วยดาบธรรมดา――ไม่สิสลายการโจมตีนั้นไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

คงไม่ต้องถามว่าการจะทำเช่นนี้ได้เขาต้องมีทักษะมากเพียงใด ธงแห่งผืนป่าที่เฝ้ามองอยู่ต่างส่งเสียงเชียร์ชิกิบุออกมา

 

 

ส่วนทางโซระที่ถูกทำลายไม้เด็ดของตนไปหนึ่งอย่างกลับไม่ได้แสดงท่าทีหว่านหวั่นอะไรออกมา

 

 

ไม่ได้มีของอย่างความประหลาดใจหรือหน้าเสียปรากฏขึ้นเลย กลับกันเขากำลังยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน

 

 

ก็ไม่ใช่ว่าโซระแสร้งทำเป็นนิ่งอะไร พลังที่เขาใส่ไปเต็มแรงถูกชิกิบุทำลายลงอย่างไม่เหลือฝุ่น ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้งัดเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาเลยแท้ โซระเข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร

 

ถึงจะเป็นแบบนั้น เหตุผลที่เขายังสู้ต่อไปไหวก็เพราะทุกอย่างมันอยู่ในการคาดเดาหมดแล้ว อันที่จริงเขาคตกใจยิ่งกว่าเสียหายอีกชิกิบุได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยจากการรับการโจมตีนี้เข้าไป

 

 

และเพราะโซระไม่ได้ตกใจอะไร ความล่าช้าในการโจมตีรอบถัดไปจึงไม่มีอยู่ โซระทำการปลดปล่อยการโจมตีของเขาออกมา 4 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว

 

 

ถึงจะบอกว่าเป็นไม้เด็ดแต่โซระก็สามารถปลดปล่อยมันออกมาได้หลายครั้งติดต่อกัน เรียกได้ว่าเป็นผลการฝึกมาจากในคิไค――กับเหล่า 4 พี่น้องโรคจิตแห่งนากายามะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

แน่นอนว่าชิกิบุก็ทำการทลายการโจมตีพวกนั้นจนสิ้นเช่นเดิม

 

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของทั้งสองพ่อลูกขณะอีกฝ่ายโจมตีแล้วอีกฝ่ายตั้งรับ จนไม่คิดเลยว่าจะมีธงแห่งผืนป่าคนไหนสามารถรับมือกับของเช่นนี้ได้

 

 

รอยยิ้มของพวกเขาช่างดูดุร้ายราวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหายมาเป็นเวลานาน ก่อนจะพบกับเหยื่อของมันในท้ายที่สุด

 

 

 

เสียงของการต่อสู้ด้วยดาบอันดุเดือดได้ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ

 

โซลอีทเตอร์และซาซาโนะยูกิส่งประกายไฟออกมาขณะปะทะกันไปมา เสียงสะท้อนได้กระแทกเข้าแก้วหูของธงแห่งผืนป่าทุกรายอย่างไม่ลดละ

 

 

การปะทะดาบของสองพ่อลูกได้ดำเนินมาเกินกว่า 30 ครั้งแล้ว ทั้งที่ตอนแรกช่างดูเงียบงันแต่ตอนนี้กลับปะทุจนสั่นสะเทือนรอบคฤหาสน์มิตสึรุกิ

 

 

ส่วนเหตุผลที่คนรอบข้างยังไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีที่แสนรุนแรงเช่นนี้ก็เป็นเพราะทั้งคู่ควบคุมพลังคิของตัวเองได้เป็นอย่างดีและจำกัดพลังไว้เพียงแค่รอบบริเวณจุดปะทะเท่านั้น ไม่อย่างงั้นพื้นที่รอบคฤหาสน์และพวกธงแห่งผืนป่าคงได้หายกันไปเกินครึ่งแล้ว

 

 

ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมาแบบตอนแรกแต่กลับเฝ้ามองอย่างเงียบๆ แทน

 

 

คำสั่งของผู้นำตระกูลคือไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าไปแทรกการต่อสู้นี้ ซึ่งมันก็หมายความตรงตามตัว ทว่าถึงพวกเขาอยากจะเข้าไปแทรกจริงๆ ก็คงจะกลายเป็นเศษเนื้อไปเสียก่อนแน่ ธงแห่งผืนป่าทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ดี

 

 

อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกคนจะมีหลักความคิดเป็นแบบเดียวกันเสียหมด ในตอนแรกกิลมอร์เบิร์ชก็คิดว่าตัวเองจะเฝ้าดูการต่อสู้นี้อย่างเงียบๆ ทว่าพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

 

 

ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ความกังวลก็ได้เกิดขึ้นจนทำให้รอยย่นระหว่างคิ้วมันลึกกว่าเก่า นี่มันก็เกินกว่า 50 ครั้งไปแล้วที่สองพ่อลูกนั่นได้ปะทะดาบกัน กิลมอร์จึงได้เรียกลูกชายของตนอย่างแผ่วเบา โดยพยายามไม่ให้คนรอบข้างได้ยิน

 

 

 

 

「――ไดรอาท」

 

 

 

ไดรอาทที่ได้ยินเสียงพ่อของเขาก็ตอบกลับ

 

「มีอะไรเหรอครับ ท่านชิโตะ? 」

 

 

「จะทำยังไงก็ได้ ฆ่าไอ้เจ้าหมอนั่นซะ หากเป็นเจ้าน่าจะสามารถทำได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น」

 

 

ชายผู้เป็นพ่อมอบคำสั่งให้กับไดรอาท ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธทันที

 

 

 

 

「ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะนั่นจะเป็นการฝืนคำสั่งของท่านผู้นำ」

 

 

「ข้าก็เลยบอกไงว่าให้ทำโดยที่ไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น….!」

 

 

น้ำเสียงของกิลมอร์ดูจะเริ่มหมดความอดทนเข้าไปทุกที โดยสายตาของเขายังจับจ้องไปทางโซระ

 

 

 

การเคลื่อนไหวของโซระดูจะเฉียบคมยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ความรุนแรงของการโจมตีในแต่ละครั้งก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย แม้ในตอนแรกจะยังไม่เห็นภาพอะไรนัก แต่ตอนนี้กิลมอร์รู้สึกว่าตราชั่งเริ่มเอนไปทางโซระอย่างชัดเจนแล้ว

 

แล้วกิลมอร์ก็ไม่เคยเห็นชิกิบุอยู่ในจุดที่ด้อยกว่ามาก่อนเลยสักครั้ง ถึงเขาจะยังไม่ได้ใช้อาภรณ์วิญญาณแต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลเลยสักนิด เพราะในการฝึกซ้อมใหญ่ภายในตระกูลชิกิบุก็ออมแรกของตนไว้โดยการไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณอยู่แล้วแม้อีกฝ่ายจะงัดเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาก็ตาม

 

 

ตอนนี้ชิกิบุได้ถูกอีกฝ่ายผลักกระเด็นไปเสียแล้ว

 

 

 

 

――แล้วทำไมท่านผู้นำถึงยังไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณกันล่ะ?

 

เขาน่าจะรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เคี้ยวง่าย ยิ่งไปกว่านั้นจากที่เขาพูดกับโกซุ ชิมะก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าชิกิบุเห็นโซระคู่ควรกับการที่ตนจะสู้ด้วย

 

ถึงจะเป็นแบนั้น ทำไมชิกิบุยังออมแรงไว้อีกล่ะ

 

 

 

 

――หรือไม่ใช่ว่าไม่เอาออกมาใช้ แต่เอาออกมาใช้ไม่ได้กัน?

 

คำถามนี้ได้โผล่เข้ามาในหัวกิลมอร์

 

 

แม้กิลมอร์จะรับใช้ชิกิบุมานาน แต่เขาแทบนับครั้งได้เลยที่ชิกิบุจะใช้อาภรณ์วิญญาณของตน หากเป็นในช่วง 10 ปีนี้ก็คือศูนย์ ใช่แล้วมันนานมากเสียจนภาพที่ชิกิบุใส่เต็มกำลังมันเป็นความทรงจำที่แสนห่างไกล

 

 

 

กิลมอร์เองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะตราบใดที่ธงแห่งผืนป่าทั้ง 8 ยังอยู่ก็เป็นเรื่องยากที่นักบุญดาบจะได้ออกโรงด้วยตนเอง และถึงมันจะมีเหตุให้เขาต้องออกไป ชิกิบุก็สามารถเอาชนะสิ่งชั่วร้ายโดยไม่จำเป็นต้องเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาใช้ด้วยซ้ำ

 

 

ดังนั้นตอนแรกกิลมอร์จึงไม่ตกใจอะไรนักที่ชิกิบุไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณของเขา แต่ตอนนี้กิลมอร์เริ่มสงสัยในตัวเจ้านายของตนขึ้นมาแล้ว ว่าหรือเขาจะสูญเสียมันไปกันนะ?

 

 

ธงแห่งผืนป่าบางส่วนก็ไม่สามารถนำอาภรณ์วิญญาณออกมาใช้ได้อีกเนื่องจากร่างกายและจิตใจไม่สามารถผสานกับอนิม่าได้ก็มีให้เห็นบ่อยๆ หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตัวของชิกิบุ กิลมอร์คงไม่อาจทนเฉยได้แน่

 

 

ผู้นำตระกูลที่พ่ายแพ้ให้กับหมาของพวกคิจินก็ไม่ต่างอะไรกับจุดสิ้นสุดของตระกูลมิตสึรุกิ ในฐานะเสาหลักแห่งมิตสึรุกิ ผู้นำแห่งตระกูลเบิร์ช และนักรบธงแห่งผืนป่าแล้ว กิลมอร์จะต้องทำลายความเป็นไปได้นั้นให้หมด

 

 

 

พอคิดได้แบบนั้นกิลมอร์จึงสั่งกับไดรอาทอีกครั้ง

 

ทว่าก่อนเขาจะได้เปิดปาก เสียงตะโกนดังลั่นของพวกธงแห่งผืนป่าก็ดังขึ้นเสียก่อน

 

เมื่อมองไปยังสาเหตุของสิ่งนั้นก็พบว่าอาภรณ์วิญญาณของโซระได้ทำการกรีดเอาแขนเสื้อของชิกิบุขาดไปแล้ว

 

 

จนถึงตอนนี้แม้ชิกิบุจะเป็นฝ่ายถูกโซระไล่ต้อน แต่เขาก็ไม่เคยถูกคมดาบของโซระสัมผัสกับเสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย ทว่าในตอนนี้มันได้ทะลวงแนวป้องกันของชิกิบุมาแล้ว

 

 

บางทีเพราะเรื่องนี้ การโจมตีของโซระก็เลยหนักขึ้นราวกับได้จังหวะ นักบุญดาบถูกอีกฝ่ายโจมตีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดที่แม้แต่สายตาของธงแห่งผืนป่าระดับสูงก็ตามไม่ทัน

 

การต่อสู้ของพวกเขาในตอนนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรุนแรงมากเสียจนการโจมตีในช่วงแรกเชื่องช้าจนแทบหาวไปเลย

 

 

เหตุใดการเคลื่อนไหวของโซระถึงได้ทิ้งห่างกับนักบุญดาบเข้าไปทุกทีนะ

 

 

 

 

『โซระ ท่านกำลังเผชิญอยู่กับคำสาปแบบไหนกันคะ? 』

 

 

 

『หากท่านไม่คลายคำสาปนั้น ท่านก็จะถูกมันฉุดรั้งเอาไว้ตลอดไปค่ะและท่านจะไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของท่านได้เลย』

 

 

มันคือคำพูดของโซเฟีย อาเซอร์ไรท์ที่บอกกับโซระ

 

 

 

คำสาปที่คอยผูกมัดโซระเอาไว้ สิ่งที่พ่อของเขาสลักเอาไว้ในจิตใจของโซระ การมีอยู่ที่ไม่จำเป็น และตัวตนที่แสนอ่อนแอ

 

 

ดังนั้นกุญแจในการทำลายคำสาปนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพ่อของเขา

 

ทีนี้ทุกอย่างมันก็ง่ายๆ

 

 

จากคนที่เคยกลัวพ่อของตัวเอง บัดนี้ได้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับพ่อของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเผชิญหน้าโดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิมเป็นไหนๆ

 

 

 

จากการได้ปะทะดาบกันเกินกว่า 50 ครั้งก็น่าจะชัดอยู่แล้วว่าตอนนี้โซระมีความรู้สึกเช่นไรกับผลลัพธ์ในพลังของตน

 

 

ทันทีที่เขาสามารถจัดการกับเสื้อผ้าของพ่อตัวเองได้ โซ่ตรวนแห่งคำสาปที่ผูกมัดเขาเอาไว้ก็คลายลงไปกว่าครึ่ง

 

 

การโจมตีสีดำจำนวนมากได้โจมตีเข้าไปยังร่างของชิกิบุซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

แล้ววินาทีนั้นก็มาถึง

 

ปลายดาบของโซระได้ทะลวงเข้าไปยังบริเวณใบหน้าของชิกิบุ แน่นอนว่าชิกิบุทำการหันหน้าหลบอย่างรวดเร็ว แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

 

แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ในที่สุดดาบของโซระก็ถึงเนื้อหนังของชิกิบุ

 

 

――รอยเส้นสีแดงเล็กๆ เกิดขึ้นบริเวณแก้มของนักบุญดาบ

 

 

ใช่แล้วมันเป็นเพียงรอยแผลเล็กๆ ที่ไม่ทำให้เลือดไหลออกมาด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตามนั่นก็นับว่าเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน บาดแผลที่มิตสึรุกิ โซระ มอบให้กับ มิตสึรุกิ ชิกิบุ

 

 

ดวงตาของโซระเบิกกว้างขึ้น รอยยิ้มของเขาเผยออกมาให้เห็นอีกรอบ

 

ทันใดนั้นเอง

 

 

 

「ฮ่าาาาาาา!!」

 

เสียงคำรามอันทรงพลังและรุนแรงได้ออกมาจากปากของชิกิบุ โซระถูกแรงกระแทกนั้นพัดถอยออกไปในทันที

 

มันคือเทคนิคพื้นฐานที่เรียกว่าการระเบิดพลังคิ แล้วชิกิบุก็อัดมันใส่โซระในระยะประชิด

 

 

อย่างไรก็ตามเพราะเป็นเพียงเทคนิคพื้นฐาน มันจึงไม่ทรงพลังมากพอจะทำอะไรโซระในตอนนี้ได้

 

 

เห็นได้จากการที่โซระไม่มีบาดแผลอะไรเลยสักนิด แต่ชิกิบุก็ไม่ได้คาดหวังจะสร้างบาดแผลให้โซระด้วยการโจมตีแค่นี้อยู่แล้ว

 

เขาเพียงแค่ต้องการสร้างระยะห่างกับโซระเท่านั้น

 

 

 

「……หึ」

 

ชิกิบุจับซาซาโนะยูกิไว้ด้วยมือขวาแล้วเอาซื้อซ้ายสัมผัสไปยังแก้มของตน ก่อนจะค่อยๆ ลูบไปตามรอยแผลที่โซระสร้างไว้บนแก้มของเขา

 

 

 

จากนั้นไม่นานชิกิบุก็หัวเราะออกมา จนคอของเขาสั่น เสียงหัวเราะนั้นค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้โซระและคนรอบๆ ตกตะลึงไปตามๆ กัน เสียงนั้นมันดังเสียจนสามารถสั่นสะเทือนสรวงสวรรค์ได้

 

 

 

 

「ฮ่าๆๆๆๆ! ฮ่าๆๆๆๆ! โอ้ววววว ฮ่าๆๆๆ!」

 

ชิกิบุหัวเราะออกมาอย่างเต็มไป ราวกับสลัดใบหน้าอันไร้อารมณ์ไปจนหมดสิ้น

 

 

หากนึกย้อนกลับไปนี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่โซระได้เห็นพ่อของเขาเป็นแบบนี้ จนเกิดสับสนขึ้นมา

 

 

เขาคาดเอาไว้ว่าพ่อของเขาที่ได้รับบาดแผลนั้นเข้าไปอาจจะหัวเสียแล้วโจมตีเขาอย่างสุดกำลังทันทีก็ได้

 

 

ทว่าเขากลัยบคิดผิด ตอนนี้ชิกิบุไม่ได้โกรธอะไรเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขามีความสุขมากเสียจนหัวเราะออกมา ราวกับจะยกย่องคนที่สามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้

 

 

ไม่นานนักชิกิบุก็หยุดหัวเราะแล้วชื่นชมโซระจากใจจริงของเขา

 

 

「นี่ก็นานมากแล้วนะที่ข้าถูกผู้อื่นสร้างบาดแผลบนร่างได้ น่าทึ่งจริงๆ โซระ นี่เจ้าขัดเกลาดาบมาได้ไกลถึงตรงนี้แล้วหรือนี่ แม้จะเคยถูกข้าปฏิเสธในที่แห่งนี้ แต่ดาบของเจ้าก็กลับมาทำร้ายข้าได้สำเร็จ เอาสิ ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถใช้นามแห่งมิตสึรุกิได้อีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ หลังจากสร้างบาดแผลให้นักบุญดาบผู้นี้」

 

 

 

「……คิดว่าฉันจะกราบขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งหรือไง? 」

 

 

 

「ไม่คิดจะพูดสินะ เอาเถอะก็ไม่ต้องพูด ข้าก็แค่อยากจะให้เจ้าได้รู้ไว้ว่าเจ้าเหมาะสมที่จะถูกดาบของข้าสังหารแล้ว ที่ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้นามแห่งมิตสึรุกิได้ก็เพราะความห่วงใยในฐานะพ่อคนหนึ่ง ไม่งั้นเจ้าคงลำบากมากแน่หากราชาแห่งยมโลกถามชื่อเจ้าที่ไร้ซึ่งสกุล」

 

 

 

ชิกิบุพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

สำหรับชิกิบุที่มักจะพูดสั้นๆ ชัดถ้อยชัดคำแล้ว คำพูดของเขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุอีกฝ่ายและไร้ซึ่งแก่นสาน ทางโซระเองก็สัมผัสไม่ได้ถึงจิตสังหารอะไรที่แผ่ออกมาจากคำพูดของชิกิบุเลยสักนิด

 

 

ต่อหน้าโซระที่นิ่งเงียบ ชิกิบุก็พูดต่อด้วยน้ำเสียที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ราวกับจะบอกว่าตนไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกแล้ว

 

 

「อาภรณ์วิญญาณ….」

 

 

แค่คำพูดนั้น ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิ ไม่สิทั้งเกาะอสูรยักษ์ได้ถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันทันที มันเป็นสิ่งที่โซระไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย

 

 

 

ไม่เพียงแค่ทรงพลังและหนักหน่วง

 

แต่มันช่างดูบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ สูงส่งราวกับเป็นพลังจากเบื้องบน

 

「จงสังหารหมู่มารและสำแดงความชอบธรรม ริออส บัลเดอร์ (เทพแห่งแสงสว่างและความงดงามจุติ) 」

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด