การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 234 คิไค

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 234 คิไค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 234 คิไค

 

 

จากคำพูดของสันตะปาปาเหมือนจะบอกว่ามังกรที่ถูกจัดการและผนึกเอาไว้โดยอาณาจักรทองคำนั้นจะถูกปลดปล่อยหลังจากนั้น 700 ปี

 

แล้วการที่มีเผ่าพันธุ์ในตำนานถือกำเนิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากเมื่อ 300 ปีก่อนก็เพราะพวกมันตอบสนองต่อมังกรตนนั้นที่ตื่นขึ้น

 

หรือก็คือการต่อสู้ระหว่างมังกรและอาณาจักรทองคำเมื่อ 1000 ปีก่อน หลังจากความพ่ายแพ้ของมังกร ความโกรธแค้นของมันที่มีต่อมนุษย์ไม่ได้ลดน้อยลงเลยจนนำไปสู่การต่อสู้เมื่อ 300 ปีที่แล้วยาวมาถึงตอนนี้

 

พอมาถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจความหมายของการชำระล้างโลกให้บริสุทธิ์ในกรอบแนวคิดของลัทธิขึ้นมาบ้าง

 

 

สันตะปาปาเปิดปากพูดต่อเหมือนกับอ่านความคิดของผมได้

 

 

「เหล่ามนุษย์จะต้องยอมรับการพิพากษาของมังกร การฝ่าฝืนก็ไม่ต่างอะไรกับการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นให้มากขึ้น โลกที่เต็มไปด้วยบาปควรจะถูกชำระล้าง มันคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราและเมื่อเราก้าวข้ามผ่านสิ่งนั้นมาได้ มนุษยชาติก็จะถูกปลดปล่อยจากเผ่าพันธุ์ในตำนานอย่างแท้จริง」

 

 

 

 

ตราบใดที่ต่อต้านมังกร แม้ว่าจะเอาชนะมันได้ แต่ภัยร้ายก็จะถูกส่งต่อไปรุ่นสู่รุ่น มันคือคำสาปที่กินเวลามานานนับพันปีตั้งแต่ยุคอาณาจักรทองคำ ดังนั้นแม้จะเป็นอีกพันปีข้างหน้า หากบาปนี้ยังไม่ได้ชำระ เรื่องร้ายๆก็จะเกิดขึ้นต่อไป

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนควรยอมรับการพิพากษาของมังกร――การทำลายล้างของเผ่าพันธุ์ในตำนานคือการชำระล้างโลกใบนี้ให้บริสุทธิ์และจนกว่าโลกใบนี้จะกลับไปในทางที่ควร มนุษย์ก็จะถูกโจมตีโดยพวกมันต่อไป

 

 

พอได้ยินมาถึงตรงนี้ผมก็พยักหน้าตาม

 

 

คือก็ไม่ใช่ว่ารู้ซึ้งถึงหลักคำสอนของลัทธิเป็นพิเศษหรอก แต่คำสอน การกระทำและวัตถุประสงค์ของลัทธิที่อีกฝ่ายพูดมามันสอดคล้องกับข้อมูลหลายๆอย่างที่ผมรู้มาถึงตอนนี้เลยน่ะสิ

 

 

 

 ――ว่ากันตามตรง ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผมสงสัยเกี่ยวกับคำสอนพวกนี้ด้วยซ้ำ

 

 

อย่างเช่น หากยอมรับการพิพากษา ความโกรธของมังกรมันจะบรรเทาลงจริงเหรอ

 

 

 

ทั้งที่มีเพียงอาณาจักรทองคำเท่านั้นที่สมควรโดนมังกรโกรธ แต่ผู้คนในยุคนี้กลับโดนผลกระทบไปด้วยเพียงเพราะเป็นเผ่านพันธุ์เดียวกันงั้นเหรอ

 

 

แทนที่จะบอกว่าเป็นการลงโทษมนุษย์ ควรจะบอกว่าเป็นการทำลายล้างมนุษย์มากกว่านะ หากผู้คนยอมทำตามนั้นจริงก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งรอความตายเพื่อชดใช้บาปน่ะสิ

 

 

แล้วใครจะรู้บางทีสุดท้ายมนุษย์อาจจะเกือบสูญพันธุ์แล้วมานึกเสียใจเอาทีหลังก็ได้ว่าควรจะต่อต้าน

 

 

แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่คิดจะมาเสวนาถกประเด็นแนวคิดพวกนี้กับสันตะปาปาหรอก ยังไงก็ไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ที่สำคัญคือผมสนซะที่ไหน

 

 

อาหารแสนอร่อยอย่างเผ่าพันธุ์ในตำนานเลยนะ――ไม่สิ ต้องบอกว่าใครจะปล่อยให้สิ่งที่เป็นศัตรูต่อมนุษย์ไว้เฉยๆได้!

 

 

ดังนั้นผมไม่สนหรอกว่าความโกรธของมังกรมันจะบรรเทาลงจริงไหม

 

 

สิ่งที่ผมสนใจตรงนี้จริงๆก็คงจะเป็นเรื่องอย่าง ทำไมลัทธิแห่งแสงที่สนับสนุนการล้างโลก ถึงได้ทำหน้าที่ดูแลผนึกมังกร หรือที่พวกคิจินเรียกว่างูกันล่ะ

 

 

โซเฟีย อาเซอร์ไรท์ผู้มีเป้าหมายชำระล้างโลก หน้าที่ของเธอก็ควรจะเป็นการปลดปล่อยผนึกงูนี่สิ แต่ที่ทำเธอมาตอนนี้เหมือนตรงกันข้ามเลยนะ

 

นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องความเชื่อมโยงของลัทธิกับตระกูลมิตสึรุกิที่ครอบครองมายาดาบเดียวซึ่งเป็นเทคนิคที่มีไว้ต่อต้านเผ่าพันธุ์ในตำนานอีก การกระทำของตระกูลก็น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญไม่พอใจให้กับสันตะปาปามากกว่าไม่ใช่หรือไงกัน แถมจากที่ผมรู้พวกเขาก็เกี่ยวข้องกันมานานแล้วด้วย

 

 

จากข้อมูลที่ได้มาก็น่าจะสัก 300 ปีก่อนได้

 

 

บางทีมันอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่าง โซเฟีย อาเซอร์ไรท์ มิตสึรุกิ จิน และ อาโทริก็ได้ สิ่งที่เป็นจุดแปรผันเมื่อ 300 ปีก่อน

 

ผมเลยเปิดปากพูดเพื่อยืนยันสิ่งที่คิด

 

 

「ตามที่ได้ยินมาในไซโตะ เหมือนโซเฟีย อาเซอร์ไรท์จะเป็นนักบุญของลัทธิแห่งแสงผู้ผนึกงู ไม่สิ มังกรเอาไว้เมื่อ 300 ปีก่อนนี่ เรื่องนี้ดูจะขัดแย้งกับสิ่งที่ฉันเห็นตอนนี้นะ แล้วมันยังไงกันแน่ล่ะ?」

 

 

 

แล้วก็เป็นทางสันตะปาปาที่ตอบกลับคำถามผมแบบสบายๆ

 

 

 

 

 

「คำตอบนั้นก็ง่ายมากค่ะ เพราะฉันไม่ใช่ผู้ที่ผนึกมังกรจริงๆ」

 

 

 

「……ถ้างั้นใครกันล่ะที่ผนึกมังกรไว้?」

 

 

 

 

 

「ผู้ผนึกมังกรเอาไว้คืออาโทริจากกลุ่มคามูนะของกองกำลังเก็นโซ เธอคือนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในหมู่คิจิน และเป็นคนที่ฉันสามารถเรียกว่าสหายได้อย่างหมดใจค่ะ」

 

 

 

พอเธอพูดจบ สันตะปาปาก็จ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม

 

 

แววตาของเธอช่างดูสงบนิ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหัวใจของผมกลับรู้สึกปั่นป่วน

 

 

น้ำที่สงบนิ่งยิ่งมีความลึกล้ำมากกว่าน้ำที่ไหลเชี่ยว ผมสามารถสัมผัสอารมณ์มากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบนิ่งนั้นได้

 

 

พอมาถึงตรงนี้ สันตะปาปาก็ค่อยๆเอานิ้วชี้ไปทางทิศตะวันตก

 

 

 

「ก็จริงว่าฉันเป็นคนสร้างบาเรียขึ้นมาฮอนเทนนี้และป้องกันไม่ให้ไอพิษของมังกรหลุดรอดออกไป หากมองมุมนี้ก็ไม่ผิดนักที่จะบอกว่าฉันคือคนผนึกมังกรเอาไว้ ทว่ามันก็เป็นได้แค่ของเด็กเล่นหากเทียบกับบาเรียที่อาโทริสร้างขึ้น สิ่งที่เธอทำในวันนั้นคือการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาค่ะ ไม่ใช่บาเรียผนึกเล็กๆนี้」

 

 

 

「โลกใหม่?」

 

 

「ใช่แล้วค่ะ โลกใบใหม่ ท่านเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าคะว่าคิไคคืออะไร?  ทำไมหลังประตูปีศาจถึงได้มีโลกที่แตกต่างจากทวีปหลักอย่างสิ้นเชิง ดวงอาทิตย์เทียม ไอพิษ ความแห้งแล้งที่น่าเวทนา ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยมีรังมังกรอยู่บนเกาะแห่งผืนป่าแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับหายไป ไม่มีทางที่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นมาได้โดยธรรมชาติค่ะ」

 

 

 

ถ้าพูดมาถึงขนาดนี้ไม่ว่าจะโง่สักแค่ไหนก็น่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่เธออยากบอกได้

 

 

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดกับสันตะปาปาต่อ

 

 

 

「ถ้างั้นคิไคก็คือ..」

 

 

 

「ค่ะ มันคือโลกแห่งผนึกที่อาโทริสร้างขึ้นมาเพื่อผนึกมังกรเอาไว้ข้างในนั้น หรือที่เราเรียกกันว่า คิไค โปรดดูที่หน้าผากของมังกรสิคะ」

 

 

นิ้วที่เรียวยาวของเธอชี้ไปทางหน้าผากของมังกร ผมจึงมองตามไป

 

 

ผมก็ได้เห็นเขาอันหนึ่งที่งอกออกมาจากร่าง――ไม่สิ ถึงตอนแรกจะเห็นว่าเป็นเขา  แต่พอมองดีๆแล้วมันไม่ใช่นี่หว่า

 

 

มันคือดาบขนาดใหญ่ที่ฝังเอาไว้บนหน้าผากของมังกร ดังนั้นบางทีถ้ามองไกลๆเลยเห็นเป็นเขาไป

 

 

ดูท่าคงไม่ต้องถามแล้วมั้งว่าเป็นฝีมือใคร

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด