การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 198 เอ่ยนามของเจ้าเสีย

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 198 เอ่ยนามของเจ้าเสีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ตอนที่ 198 เอ่ยนามของเจ้าเสีย

 

เออซูร่าต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างมหาศาลทันทีที่โซระนำอาภรณ์วิญญาณออกมา

 

 

ความรู้สึกที่ราวกับร่างกายกำลังถูกค้อนขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นทุบอยู่

 

 

ภาพที่เธอเห็นคือหัวของเธอแหลกละเอียด ร่างกายเละเป็นชิ้นๆ เลือดสาดกระเซ็นย้อมกำแพงเป็นสีแดงฉาน

 

 

 

「คึก……!」

 

 

 

จนทำให้เธอเผลอส่งเสียงออกมา

 

 

แค่ยืนอยู่ใกล้กับโซระ ผิวหนังและหัวใจของเธอก็ร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา เม็ดเหงื่อไหล่ออกมาจากหน้าผากก่อนจะไหลลงไปยังแก้มด้วยความรวดเร็ว

 

 

มันคือแรงกดดันที่คาดไม่ถึงจริงๆ

 

แม้แต่ห้วงอากาศก็ยังสั่นสะเทือน ราวกับเสียงคำรามของสายฟ้าฟาด บรรยากาศที่บ่งบอกว่าแม้จะเป็นคิไคก็รู้สึกหวาดกลัวโซระ นั่นสินะขนาดเออซูร่าที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเขายังประหลาดใจขนาดนี้เลย

 

 

 

 

――มาไกลขนาดนี้เลยสินะ

 

เธอได้รู้ซึ้งถึงพลังของโซระ ผู้ถูกเนรเทศออกจากตระกูลมึตสึรุกิแล้ว จากข่าวลือที่ฟังมาจากคนอื่นเธอก็พอจะเข้าใจได้ว่าโซระแข็งแกร่งกว่า 5 ปีก่อนจริงๆ

 

 

 

ทว่าเออซูร่าก็ต้องมารู้ซึ้งอีกครั้งเพราะเธอไม่คิดว่ามันจะมากขนาดนี้

 

นี่คือ โซระ มิตสึรุกิที่เธอรู้จักจริงหรือ ไม่สิชายคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า คำถามพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเธอซ้ำๆ

 

 

พลังของโซระนั้นแข็งแกร่งมาก แกร่งเสียจนผิดปกติ

 

 

ในฐานะคนของธงที่ 1 เออซูร่าก็เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าหน่วยของเธออย่างไดรอาท เบิร์ช และรองหัวหน้าหน่วย ชูยะ คุมอน

 

 

 

ทั้งสองคนนั้นถือเป็นยอดฝีมือแห่งตระกูลมิตสึรุกิแน่นอน ทว่าถึงจะอยู่ต่อหน้าสองคนนั้น เธอก็ไม่เคยรู้สึกขนลุกขนาดนี้มาก่อนเลย

 

 

 

มันเป็นความกลัวที่ร่างกายส่งออกมาตามมสัญชาตญาณ เหมือนกับเจอนักล่าจ้องมอง หรือตอนมนุษย์ผู้ศรัทธาเจอเทพเจ้า ร่างกายของเธอแข็งทื่อจนยากจะขยับได้

 

ก่อนที่เธอจะรู้ตัว ภาพโซระตรงหน้าที่เธอเห็นก็เปลี่ยนไปแล้ว จากชายในชุดสีดำมันได้ดูคล้ายกับจอมปีศาจเกล็ดทมิฬ…

 

 

 

「เออซูร่า!」

 

 

 

「อื้อ!? 」

 

 

 

สติของเธอถูกดึงกลับมาทันทีที่มีเสียงเรียกชื่อของเธอดังขึ้น

 

 

เมื่อมองไปยังทิศของเสียงก็พบว่า ไคลอา เบิร์ชกำลังจ้องมองมายังเธอด้วยสีหน้าที่จริงจัง สาเหตุที่ใบหน้าของไคลเป็นแบบนั้นก็น่าจะเพราะต้องทนต่อแรงกดดันของโซระไม่ต่างอะไรกับเธอ

 

 

ทว่าหากจะบอกถึงความต่างระหว่างเธอกับไคลอา คืออีกฝ่ายไม่มีสีหน้าแห่งความหวาดกลัวแสดงออกมาให้เห็นเลย

 

「พยายามประคองสติไว้ค่ะ ไม่งั้นคงได้ถูกพลังที่รุนแรงของคุณโซระทำหมดสติได้แน่ๆ 」

 

 

「….อึก อื้อ ขอบใจนะ ว่ากันตามตรงก็เกือบจะสติหลุดไปแล้วจริงๆ 」

 

 

ว่าแล้วเธอก็ตั้งสติแล้วมองไปยังโซระอีกครั้ง

 

ภาพที่เห็นก็คือชายหนุ่มที่ชื่อโซระ ไม่ใช่จอมมารอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งก่อนหน้าคือความหวาดกลัวที่เธอสร้างขึ้นมาเอง

 

 

 

เออซูร่าจึงถามกับไคลอา

 

 

 

「ไคลอาเธอทนมันไหวด้วยเหรอ? 」

 

 

「ก็ไม่ใช่ว่าจะไหวหรอกค่ะ แต่ฉันชินกับพลังของคุณโซระมากกว่าเออซูร่าก็เท่านั้นเอง」

 

 

 

ยังไงพวกเขาทั้งสองก็เคยต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้เธอจะไม่ต้องการแต่หากได้ฝึกฝนด้วยกันเป็นเวลานาน ยังไงก็ต้องเริ่มชินกับพลังของโซระบ้างแน่ๆ

 

 

อย่างไรก็ตามพลังของโซระในตอนนี้มันก็มากกว่าตอนที่ไคลอาเคยเผชิญหน้าด้วย หนึ่ง…ไม่สิสองเท่า บางทีอาจจะมากกว่าที่ไคลอาคิดไว้ก็ได้

 

 

 

ทั้งไคลอาและเออซูร่าต่างก็รู้สึกประหลาดใจ หากจะต่างก็คงเป็นไคลอารู้จักพลังของโซระดี ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน แค่รากเหง้ายังไม่แปรเปลี่ยน อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอคิด

 

ดังนั้นแม้เธอจะประหลาดใจกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัว

 

 

ทำไมเธอต้องเกรงกลัวมังกรดำผู้แสนอ่อนโยนที่มีอำนาจกลืนกินทุกสิ่งแม้กระทั่งความสิ้นหวังของเธอกัน

 

 

 

อารมณ์เดียวที่ไคลอามีอยู่ตอนนี้คือความรู้สึกขอบคุณ

 

 

และแล้วภายในค่ายของศัตรูก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว พวกคิจินคงสังเกตถึงโซระได้แล้ว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ความโกลาหลยังเกิดขึ้นภายในป้อมปราการของตระกูลมิตสึรุกิอีกด้วย กลุ่นก้อนพลังขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ไม่อาจนิ่งดูดายไหว

 

 

 

 

 

――อันที่จริง แผนนี้ควรจะไปอธิบายให้ทางตระกูลมิตสึรุกิทราบก่อนจะบุกเข้าไปค่ายของศัตรู ไม่งั้นพวกคิจินคงได้เข้าใจผิดว่าการโจมตีของโซระเป็นของตระกูลและโถมกำลังเข้ามาที่ป้อมปราการได้

 

ทว่าโซระก็ไม่ได้เลือกทางนั้น ตามที่ตระกูลมิตสึรุกิขอก็คือการให้เออซูร่ามาเป็นผู้ดูแล ดังนั้นการตัดสินใจทุกอย่างนับจากนี้จึงเป็นสิทธิ์ของพวกโซระไม่ใครแทรกได้

 

 

แน่นอนว่าเธอไม่คิดว่าไดรอาทจะพูดโกหก ทางโซระเอกก็คงเชื่อแบบนั้น

 

 

ทว่าตอนนี้ไดรดาทอยู่ที่ชูโตะ ผู้มีอำนาจภายในปราการแห่งนี้ก็คือชูยะ คุม่อน ผู้นำตระกูลคุม่อนที่รู้กันว่าเป็นบุคคลที่นิสัยอบอุ่นและจริงใจ ถึงเขาจะไม่ได้มีความเคียดแค้นใดๆ ต่อโซระ――แต่ตอนที่ไคลอาหนีออกจากเกาะก็เป็นเขาที่เข้ามาประดาบกับเธอ

 

 

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ชูยะจะรู้สึกดีอะไรกับไคลอาหรือโซระคนที่เธอพามาด้วยแน่ เมื่อพิจารณาดูแล้วที่โซระทำแบบนี้ก็อาจจะเพื่อป้องกันความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกแทงข้างหลังเสียเองด้วย

 

 

ในมุมของไคลอา การกระทำของเธอมันสร้างปัญหาให้กับโซระมากจนเธออยากจะขอโทษเขาอีกสักรอบ แต่ถ้าเธอทำแบบนั้นโซระคงจะหัวเราะใส่เธอแล้วปฏิเสธว่าไม่ได้ทำเพื่อเธอ เพื่อไม่ให้เธอต้องกังวลเรื่องน้องชายไปมากกว่านี้

 

”นี่เธอกำลังเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า” ทั้งคำพูดและสีหน้าที่เขาจะแสดงออกมาไคลอาสามารถจินตนาการได้ในทันที ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา

 

 

จากนั้นพอเห็นว่าเออซูร่ากำลังแสดงสีหน้าเหมือนสับสนออกมา ไคลอาจึงรีบเข้าไปดึงสติ

 

และหลังจากนั้น

 

 

 

 

「ไปกันเถอะ」

 

 

พอพูดจบโซระก็พุ่งเข้าไปยังค่ายของศัตรูด้วยความเร็วสูงเสียจนน่าตกใจ ระยะทางที่เหมือนจะห่างไกลกลับย่นลงมาเพียงชั่วพริบตา

 

 

 

ปล่อยไว้แบบนี้ถูกทิ้งแน่ เมื่อคิดได้แบบนั้นไคลอาก็เปิดใช้อาภรณ์วิญญาณของตน

 

 

 

「จงปรากฏ คุซานางิ!」

 

 

หลังจากใช้งานอาภรณ์วิญญาณเธอก็กระโดดขึ้นไปในอากาศตามโซระไป ก่อนจะร่อนลงพื้นมาอย่างสง่างาม เพื่อไล่ตามโซระให้ทัน

 

 

จากนั้นเธอก็สัมผัสได้ว่าเออซูร่าก็ตามมาติดๆ แล้ว เธอจึงเริ่มนึกถึงความตั้งใจของโซระ

 

 

 

 

เป้าหมายของเขาในตอนนี้ก็คือการกระโจนเข้าไปบุกค่ายของศัตรูตรงๆ ด้วยอาภรณ์วิญญาณของเขาหากต้องการเขาคงฟาดฟันศัตรูตรงหน้าได้สบายๆ

 

อย่างไรก็ตาม โซระบอกว่าการจะจับหัวหน้าของอีกฝ่ายแล้วเข้าเจรจากับกษัตริย์ก็เป็นงานที่ยากอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกจะลดการหลั่งเลือดโดยไม่จำเป็นให้มากที่สุด

 

 

เป้าหมายสูงสุดในแผนการนี้คือการดวลตัวต่อตัวกับหัวหน้าของอีกฝ่าย

 

แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงที่พวกเธอมากันแค่ 3 คน บางทีพวกเธออาจจะถูกมองข้ามและอีกฝ่ายส่งลูกน้องมารับมือแทนก็ได้ การใช้พลังตั้งแต่ตรงนี้เลยคงจะเข้าท่าจริงๆ

 

 

สรุปคือไม่ว่าโซระเลือกจะทำอะไร เธอจะก็ทำตามเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

 

 

จากนั้นโซระก็หยุดวิ่ง

 

 

ตำแหน่งของเขาตอนนี้คือหน้าค่ายของศัตรู จากที่เธอเห็นเขาคงไม่คิดจะฆ่าฟันโดยไม่จำเป็นจริงๆ ดังนั้นไคลอาจึงหยุดและเฝ้ามองดูสถานการณ์เช่นเดียวกับโซระ

 

 

 

――จากนั้นร่างกายของเธอก็ขนลุกซู่

 

 

คิจินร่างยักษ์ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธอ ความใหญ่โตราวกับจะค้ำผืนฟ้าได้ คิจินร่างยักษ์สวมหมวกสีดำที่เห็นได้ในทวีปทางตะวันออก กำลังจ้องมายังพวกเธอ

 

 

มนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่โตที่สุดที่ไคลอารู้จึกคือโกซุ ชิมะ แต่คิจินตนนี้มันใหญ่ยิ่งกว่าโกซุเสียอีก

 

แขนขาที่หนาชวนให้นึกถึงหมียักษ์ ไหล่ที่มันคงราวกับหิน คอที่เหมือนต้นไม้ใหญ่ ร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อซึ่งพร้อมจะทะลุออกมาจากชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ ไม่ว่าใครเห็นก็คงได้รับแรงกดดันที่รุนแรงเป็นแน่

 

เนื่องจากเขาสวมหน้ากากปิดทั้งใบหน้าและลำคอเอาไว้ ไคลอาจึงไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดมันก็ไม่ได้ขัดขวางออร่าความน่ากลัวที่คิจินตนนี้แผ่ออกมาเลยสักนิด

 

 

ไคลอาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าศัตรูตนนี้แข็งแกร่งมาก

 

 

 

จากนั้นคิจินก็ค่อยๆ เปิดปากพูด เสียงทุ้มต่ำที่ดูหนักแน่นได้สั่นสะท้านเข้าไปยังหูของไคลอา

 

 

 

「ข้ารับใช้แห่งกษัตริย์อาซึมะ ข้าคือโดกะ 4 พี่น้องนากายามะ จงเอ่ยนามของเจ้าเสีย มนุษย์ผู้มากับกำไลข้อมือแห่งคิจินเอ๋ย」

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด