การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 250 ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไป

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 250 ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 250 ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไป

 

บริเวณห้องประชุมใหญ่ของตระกูลมิตสึรุกิตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

 

 

ชิกิบุ ผู้นำตระกูลก็นั่งอยู่บนจุดสูงสุดภายในที่ประชุม โดยถัดจากเขานั้นก็มีไดรอาท เบิร์ช 2 สุดยอดอยู่เคียงข้าง นอกจากนี้ก็ยังมีสี่เสาหลัก และหัวหน้า รองหัวหน้าหน่วยของธงแห่งผืนป่าทั้ง 8 กันพร้อมหน้า ร่วมด้วยลำดับ 1-10 ของแต่ละหน่วย

 

ส่วนเหตุก็อยู่ตรงที่ผู้ซึ่งครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลมิตสึรุกิอีกหนึ่งคนอย่างชูยะ คุมอน รองหัวหน้าหน่วยของธงที่ 1 ผู้ครองตำแหน่ง 2 สุดยอดอีกหนึ่งที่ควรจะยืนเคียงข้างผู้นำตระกูลพร้อมกับไดรอาท กำลังออกมาพูดบางสิ่งออกมา

 

 

อันที่จริงการประชุมแบบกะทันหันดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาจากตัวของชูยะที่นำเรื่องบางอย่างมาบอกกับชิกิบุ

.

 

 

เขาทำการบอกเล่าถึงสถานการณ์ต่อหน้าพวกพ้องทุกคนภายในที่ประชุมถึงสาเหตุที่เกิดการประชุมนี้ขึ้น โดยได้ใจความว่าโซระอดีตว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไปได้เดินทางกลับมายังป้อมปราการนันเท็น ก่อนจะบอกว่าตนคือผู้ส่งสารของกลุ่มคิจินที่ชื่อว่านากายามะ โดยฝากข้อความมาให้กับชูยะต่ออีกที ดังนี้

 

 

 

――ตระกูลมิตสึรุกิจะต้องยกประตูปีศาจให้กับทางนากายามะ  มิเช่นนั้นทางนากายามะจะบุกเข้าโจมตีประตูปีศาจด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จึงอยากจะให้ทางมิตสึรุกิคิดให้ถี่ถ้วน

 

 

นี่คือสิ่งที่ทางพวกคิจินต้องการ

 

 

 

พอคนของธงแห่งผืนป่าได้ยินคำพูดที่ชูยะบอก มันก็เกิดความวุ่ยวายขึ้นในทันทีเพราะเนื้อหาภายในนั้นมันช่างชวนให้พวกเขาปวดหัว

 

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวหรือหวั่นเกรงพวกคิจิน แต่ตกใจที่ว่าทำไมพวกมันถึงได้โง่เง่าขนาดมาขอให้ตระกูลมิตสึรุกิผู้ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิให้ปกป้องประตูปีศาจ มอบประตูดังกล่าวให้ แถมยังเป็นคิจินอีกด้วย ขนาดตัวไดรอาทเองก็ยังแปลกใจ

 

พอสิ้นเสียงอธิบายนั้น

 

 

 

 

 

「คุ คุ คุ ….คุฮ่าๆๆๆๆๆ!!」

 

 

 

มีเสียงหัวอันดังลั่นเกิดขึ้นภายในห้องประชุม เหล่าผู้คนที่นั่งอยู่ข้างในก็ต่างตกใจกับเสียงนั้นแล้วก็พบว่าเป็นกิลมอร์

 

 

พอสายตาทุกคนจับจ้องไปยังเขา กิลมอร์ก็กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะก้มหัวลงเล็กน้อยราวกับจะขอโทษท่าทีที่ดูหยาบคายของเขา

 

จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นและพูดอธิบายเกี่ยวกับการกระทำของตน

 

「ขออภัยด้วย แต่ข้าอดไม่ได้จริงๆที่จะหัวเราะให้กับการกระทำอันโง่เขลาของท่านโซระ ทว่าเหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลายไม่คิดบ้างหรือว่ามันเป็นเรื่องที่ชวนขัด พวกคิจินใช่ว่ากำลังเล็งยึดประตูปีศาจเสียหน่อย หากจะแปลกก็คงเป็นเรื่องที่นายากายะส่งเป็นคำขอมานี่แหละ แถมคนที่มาส่งสารก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นอดีตว่าที่ผู้นำตระกูลคนถัดไปของมิตสึรุกิ ซึ่งกลายเป็นสุนัขไปส่ายหางให้กับพวกคิจิน ไม่อยากจะเชื่อ มาบอกให้พวกเรายอมยกประตูให้เนี่ยนะ!」

 

 

「ไร้ยางอาย นั่นคงจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมสำหรับท่านโซระแล้ว ข้านึกไม่ออกจริงๆว่าผู้ดูแลเลี้ยงดูให้เขามาเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ตำแหน่งดังกล่าวควรจะแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วงแท้ๆ ว่าไหมท่านชิบะ」

 

 

 

「……」

 

 

「ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อเร็วๆนี้ข้ารู้สึกว่าจะได้ยินเสียงใครบางคนเรียกร้องให้ท่านโซระกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ดูสิ ตอนนี้เขากลายเป็นเพียงสุนัขของพวกคิจินที่หันมาแว้งกัดพวกเรา ไอ้พวกที่กล้าเรียกร้องให้คนแบบนี้กลับมาได้สติปัญญาคงจะเหนือล้ำจริงๆ!」

 

 

 

พอได้ยินคำเย้ยหยันของกิลมอร์ คนของธงแห่งผืนป่าหลายคนที่แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาผ่านสายตาของเขา ซึ่งมันก็มีทั้งความไม่พอใจในสิ่งที่กิลมอร์พูดและความผิดหวังในตัวของโซระปะปนกันไป

 

 

ก็อย่างที่กิลมอร์บอก บางคนมองว่าตระกูลเบิร์ชนั้นจะมีอำนาจมากเกินไปแล้ว จึงอยากจะถ่วงดุลด้วยการลดอำนาจของกิลมอร์ลง โดยมีโซระเป็นกุญแจ แต่แผนดังกล่าวคงต้องล้มเลิกไปจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้

 

 

เหตุผลก็ง่ายๆ ไม่ว่าจะเกลียดตระกูลเบิร์ชสักแค่ไหน แต่พกวเขาก็ไม่อยากจะขอความร่วมมือจากโซระที่ไปส่ายหางให้กับพวกคิจิน สำหรับธงแห่งผืนป่าแล้วการสังหารพวกมันคือกฎเหล็กแห่งตระกูล

 

 

สำหรับกิลมอร์เรื่องที่เขาได้ยินนี้มันช่างฟังลื่นหูเสียยิ่งกว่าเรื่องใด ก็จริงว่าที่ลงแรงไปอาจจะได้รับสายตาอันเย็นชาจากคนรอบข้างตั้งแต่เรื่องของไคลอากับคลิม แต่ก็คาดไม่ถึงจริงๆว่าโซระจะไปส่ายหางให้กับพวกคิจินซึ่งเป็นคู่แค้นของตระกูลมิตสึรุกิจริงๆ

 

การกระทำที่โง่เขลาเสียจนหาสาเหตุใดๆมาอธิบายไม่ได้ ว่ากันตามตรงตัวกิลมอร์เองยังตกใจจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งเลย

 

 

แต่ก็เพราะการกระทำนี้ ชื่อเสียงของโซระภายในธงแห่งผืนป่าเป็นอันต้องสลายหายไป ในอนาคตอย่าว่าแต่ผู้สืบทอดเลย แค่จะกลับมาเหยียบตระกูลมิตสึรุกิเขายังมองไม่เห็นภาพเลยสักนิด ตำแหน่งของรากุนะก็จะไม่สั่นคลอน ตระกูลเบิร์ชก็จะมั่นคงเช่นเดิม

 

 

 

 

 ――ไม่สิ แค่มั่นคงมันไม่เพียงพอหรอก

 

 

กิลมอร์คิดถึงแผนการต่อจากนี้ว่าจะทำเช่นไรต่อดี หลักโซระกลายเป็นพวกของคิจิน เขามองว่าควรจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

 

อย่างเช่น บางทีโซระอาจจะต้องการยืมกำลังของพวกคิจินเพื่อให้ตนได้อำนาจกลับมายืนในจุดสูงสุดของตระกูลมิตสึรุกิ และการที่จะทำแบบนั้นได้เขาก็ต้องมีผู้ให้ความร่วมมือภายในตระกูลด้วยอะไรทำนองนั้น

 

 

กิลมอร์พูดพร้อมกับแสดงท่าทางอย่างเกินจริงออกมา พร้อมยอมยิ้มก่อนจะมองไปทางโกซุ ชิมะที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

 

โกซุ ชิมะ มอร์แกน สกายชิพ และเหล่าคนที่เกลียดชังตระกูลเบิร์ชซึ่งปรารถนาให้โซระกลับมา ไม่มีโอกาสไหนจะดีไปกว่านี้แล้วในการกวาดล้างพวกมันในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกคิจิน

 

 

 

ยังไงบทบาทของชิโกะ ผู้มีหน้าที่ในการสืบสวนและปราบปรามพวกธงแห่งผืนป่าก็เป็นของตระกูลเบิร์ช กิลมอร์สามารถใช้อำนาจจุดนี้ในการบี้ได้ตามใจอยากอยู่แล้ว

 

กิลมอร์จึงตั้งใจจะพูดต่อโดยมีพื้นฐานจากจุดนี้

 

ทว่าก็ได้ถูกโกซุพูดขึ้นแทรกเสียก่อน น้ำเสียงของเขาดูเต็มไปด้วยความโกรธจริงๆ

 

 

 

「ช้าก่อน! ข้าว่าพวกเราไม่ควรสรุปอะไรอย่างเร่งด่วนว่าท่านโซระต้องการติดตามพวกคิจินด้วยความบริสุทธิ์ใจ บางทีเขาอาจจะจำใจต้องร่วมมือกับพวกคิจินเพราะต้องการช่วยเหลือคลิมก็เป็นได้」

 

 

พอกิลมอร์ได้ยินแบบนั้นก็เดาะลิ้นออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเปลี่ยนนี้หน้าเล็กน้อยและจ้องไปทางโกซุ

 

 

รอยยิ้มอันจอมปลอมได้ถูกฉาบไว้บนใบหน้าเขาอีกครั้ง

 

 

「โฮ่ๆ แบบนี้นี่เอง หรือก็คือท่านชิบะมองว่าท่านโซระกำลังถูกพวกคิจินบังคับให้ทำตามคำสั่งเพราะมีตัวประกันสินะ? หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่าเขาไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเหลือตัวประกันได้และเขาก็ไม่พร้อมฆ่าพวกคิจินไปพร้อมกับตัวประกัน ก่อนจะยอมให้พวกคิจินใช้ตัวประกันเป็นเครื่องมือให้ยอมทำตามทุกสิ่งสินะ?」

 

 

กิลมอร์ถามจี้อย่างน่ารังเกียจ โกซุก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่น เพราะอันที่จริงเขารู้ตัวดีว่าสิ่งที่ตนพูดออกมามันเป็นการปกป้องโซระอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่ว่าจะพยายามหาข้อแก้ตัวแค่ไหน มันก็ไม่ได้หักล้างเรื่องที่โซระยอมจำนนต่อพวกคิจินได้เลย

 

 

ราวกับว่าไม่สามารถทนเห็นโกซุในสภาพนั้นได้ จึงมีอีกคนช่วยพูดขึ้น

 

 

 

「ท่านชิโตะ ข้ามองว่าที่ท่านพูดก็น่าจะเกินไปหน่อยนะ ไม่ว่าท่านจะพยายามพูดสักแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีเหตุผลเสียเลยที่จะมาถามหาความรับผิดชอบจากผู้ดูแลคนที่ออกจากเกาะไปนานถึง 5 ปีแล้ว」

 

 

 

คนที่พูดด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่งก็ไม่ใช่ใครแต่เป็น ไซม่อน เกาส์

 

พรสวรรค์และความสำเร็จของเขาในฐานะธงแห่งผืนป่าอาจจะไม่ได้โด่งดังอะไร แต่ตัวชิกิบุซึ่งเป็นผู้นำตระกูลก็ชื่นชมในบุคลิกซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมาของเขา จนได้รับตำแหน่ง1ใน4เสาหลักมาเป็นเวลานาน

 

นอกจากนี้ไซม่อนยังรักษาระยะห่างจากการแย่งชิงอำนาจภายในตระกูลได้เป็นอย่างดี โดยตัวเขานั้นก็ไม่ได้คิดจะสนับสนุนหรือต่อต้านตระกูลเบิร์ชอะไร

 

 

ทว่าความคิดของกิลมอร์ก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อไซม่อนพูดขัดเขา

 

 

ถึงตัวไซม่อนหรือตระกูลเกาส์จะไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อกิลมอร์หรือเบิร์ช แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูถูกไซม่อนได้ง่ายๆ

 

เนื่องจากไซม่อนได้แจ้งกับทางชิกิบุเอาไว้แล้วว่าตนจะเกษียณออกจากตำแหน่งในอีกไม่นานนี้ ส่วนทางกิลมอร์ก็กำลังวางแผนจะส่งคนของเบิร์ชไปครองตำแหน่งนั้นแทน

 

 

ก็จริงว่าตำแหน่ง 4 เสาหลักมาจากการแต่งตั้งตามดุลยพินิจของผู้นำตระกูล แต่คำแนะนำของผู้ที่ครองตำแหน่งก่อนก็ใช่ว่าจะมองข้ามได้ กิลมอร์เลยไม่อยากจะไปสร้างความบาดหมางอะไรกับไซม่อน

 

 

การไปต่อว่าอะไรไซม่อนตรงนี้จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก เขาจึงต้องลดความรุนแรงลงเล็กน้อย

 

 

「ท่านชิคุ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจท่าน แต่เรื่องนี้มันออกจะเกินไปเสียหน่อยและสมควรแล้วที่ผู้ดูแลท่านโซระต้องแสดงความรับผิดชอบ หากลองคิดให้ดีๆ มันมีโอกาสน้อยมากที่เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดจากฝีมือของท่านโซระเพียงผู้เดียว ข้าจึงมองว่าอาจจะมีคนภายในตระกูลคอยผลักดันและอยากจะสืบสวนมันให้ละเอียดโดยฝากให้กับทางชิโกะจัดการ」

 

 

「ท่านชิโตะ ท่านโซระเป็นเพียงผู้ส่งสารให้กับทางคิจิน และกองทัพของพวกคิจินก็กำลังรอพวกเราอยู่ข้างหลังของท่านโซระ หรือก็คือเรากำลังอยู่ในสภาวะสงคราม เรื่องอย่างการหาความรับผิดชอบอย่างอื่นข้ามองว่าเราควรจะยกทีหลังนะ ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?」

 

 

 

「คึ」

 

 

จากที่ไซมอนพูดเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่กิลมอร์พูด แต่อยากจะให้เลื่อนมันออกไปก่อน

 

 

การเลื่อนประเด็นนี้ออกไปไม่ใช่สิ่งที่กิลมอร์ต้องการ แต่การจะเมินความเห็นของไซม่อนตรงจุดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสมควร การผลักไสผู้ที่เป็นกลางไปหาฝั่งโกซุหรือมอร์แกนก็มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ นอกจากนี้สิ่งไซม่อนพูดก็ชวนให้คล้อยตาม เพราะไว้หลังจากขับไล่พวกคิจินไปเสร็จ เขาก็ยังเหลือเวลาให้ค่อยๆจัดการกับพวกต่อต้านตระกูลเบิร์ชได้

 

เซน่อน ควิสทัสที่นั่งฟังอย่างเงียบๆจนถึงตอนนี้ก็เริ่มพูดขึ้น โดยไม่ได้สนใจความตั้งใจของกิลมอร์ต่อจากนี้เลย โดยมีเป้าหมายไปทางร่างของชูยะ คุมอน

 

 

「ข้าเห็นด้วยกับที่ท่านชิคุกล่าว ว่าพวกเราควรจัดการกับพวกคิจินก่อน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัยและอยากจะทำให้มันชัดเจน――ท่านโซระนั้นก็เป็นผู้สืบเชื้อสายตรงมาจากตระกูลมิตสึรุกิ แล้วตอนนี้ได้กลายเป็นสุนัขของพวกคิจินไปแล้ว เหตุใดท่านชูยะถึงไม่จัดการเขาเสียให้มันจบๆไป หรือถึงจะปล่อยให้เขามีชีวิตต่อข้าก็มองว่าท่านควรจะจับเขามาลงโทษอย่างเหมาะสมนะ」

 

 

「ตั้งแต่โบราณมา พวกเราก็มีธรรมเนียมของนักรบกันอยู่แล้วนะครับ ว่าจะไม่แตะต้องผู้ส่งสาร ซึ่งส่งต่อการมาอีกทั้งข้อมูลที่ตัวเขามีนั้นก็น่าสนใจออกนะครับว่าเขาไปพบเจอไปเห็นอะไรมาภายในคิไคและสิ่งที่เขาพูดมันก็ควรค่าแก่การรับฟังด้วย」

 

 

 

เมื่อเซน่อนได้ยินแบบนั้นก็แสดงความประหลาดใจออกมา

 

 

「ช่างน่าแปลกใจที่ท่านชูยะกล่าวว่าคำพูดของคนบ้าที่บอกให้พวกเรายกประตูปีศาจให้คิจิน ควรค่าแก่การฟัง นี่ท่านพูดจริงใช่ไหม?」

 

 

「อ้า แน่นอนสิครับ」

 

 

 

ชูยะตอบกลับอีกฝ่ายราวกับต้องการประชดประชัน

 

 

พอเซน่อนได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

 

 

 

สำหรับเซน่อนที่กำลังดิ้นรนเพื่อหาทางออกให้กับรากุนะที่ชื่อเสียงภายในตระกูลลดลงและโซระเพิ่มมากขึ้นแล้ว การกระทำของโซระในคราวนี้ช่างเหมือนกับพรฟ้าประทาน

 

แม้ว่าเขาจะยังไม่ทำอะไรเลย โซระก็ทำให้ชื่อเสียงของตนตกลงไปเอง เซน่อนก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ในการปิดประตูของโซระเสียให้จบๆไป หากทำเช่นนั้นก็จะไม่มีใครเรียกร้องหรือมีคู่แข่งของรากุนะในอนาคตอีก

 

พอคิดได้แบบนั้นเขาก็เลยตั้งใจจะยกประเด็นให้ลงโทษโซระขึ้นมา แต่พอเจอชูยะพูดชมโซระแบบคาดไม่ถึงเขาก็ไปไม่เป็น

 

 

เท่าที่เซน่อนรู้ ตัวชูยะและตระกูลคุมอนไม่ได้มีความเกี่ยวของกับโซระอย่างลึกซึ้งเลย เซน่อนจึงถามต่อด้วยความสงสัย

 

 

「เช่นนั้นท่านช่วยอธิบายให้ข้าฟังที่ได้หรือไม่ว่าทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น เพราะถึงท่านชูยะจะบอกว่าเรื่องพวกควรค่าแก่การรับฟัง แต่สำหรับพวกข้าและหลายๆคนในที่นี้คงไม่คิดเช่นนั้น

 

 

 

「ฮ่าๆ ได้สิครับ」

 

 

 

 

หลังจากพูดจบ ชูยะก็หันไปทางชิกิบุ

 

 

 

 

「ท่านผู้นำ ให้ผมพูดได้หรือเปล่าครับ?」

 

 

 

「ย่อมได้」

 

 

 

 

พอชูยะพูดขออนุญาต ชิกิบุที่นั่งฟังอย่างเงียบๆมาจนถึงตอนนี้ก็พยักหน้าให้กับเขา

 

เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้เป็นนาย ชูยะก็หยิบดาบที่วางอยู่ข้างๆเขาขึ้นมา

 

 

มันคือดาบธรรมดาที่ไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไรบนด้าบจับหรือฝัก พวกธงแห่งผืนป่าที่เห็นตอนแรกก็คิดว่าเป็นแค่ของประดับและไม่มีใครสนใจมัน

 

ทว่า

 

 

 

 

 

「เช่นนั้น ขออนุญาตนะครับ」

 

 

ทันทีที่ชูยะพูดจบเขาก็ดึงดาบออกมาจากฝัง ก็เกิดเสียงแห่งความตกใจดังขึ้นทั่วห้องโถง

 

 

ตัวดาบสีน้ำเงินเข้ม คมดาบอันงดงามแวววาวราวกับกระจก ลวดลายบนดาบอันวิจิตรงดงามชวนน่าหลงไหล แต่มันก็แสดงความแข็งแกร่งออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

 

มันไม่ใช่ของที่มีไว้ประดับเฉยๆแน่นอน มันคือดาบที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้ในสนามรบ ที่สรรสร้างมาเพื่อแสวงหาขีดจำกัดแห่งความงดงามและความทะเยอทะยานในดาบ

 

 

ุถึงคนที่เห็นจะไม่ใช่นักดาบ แต่ก็ยากที่จะไม่หลงไหล ดังนั้นหากเป็นนักดาบไม่ว่าใครก็จะต้องถูกสิ่งนี้ดึงดูดสายตาไป

 

 

ตัวเซน่อนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาจ้องมองดาบที่ชูยะถืออย่างตั้งใจ ดาบที่ล้ำค่าเช่นนี้ใช่ว่าจะได้เห็นกันบ่อยๆ แถมเขายังไม่เคยเห็นดาบไหนดีเท่าดาบเล่มนี้มาก่อนเลย――พอเซน่อนคิดได้แบบนั้นเขาก็เริ่มตระหนักถึงบางสิ่งได้ทันที

 

 

 

 

「หรือว่า มันคือซาซาโนะยูกิของท่านผู้นำ..?」

 

 

 

 

ซาซาโนะยูกิคือดาบแห่งนักบุญที่สืบทอดกันาภายในตระกูลมิตสึรุกิ

 

 

เขาจึงรีบหันไปมองเจ้านายของตนแล้วก็พบว่า ซาซาโนะยูกินั้นก็ยังวางอยู่ข้างๆเจ้านายตน ดังนั้นดาบที่ชูยะถือจึงไม่ใช่ซาซาโนะยูกิแน่ๆ

 

 

เช่นนั้นดาบแสนล้ำค่านี้คืออะไรกันล่ะ มรดกตกทอดของตระกูลมิตสึรุกิอีกชิ้นงั้นหรือ

 

จากนั้นชูยะก็เริ่มอ่านสิ่งที่ถูกจารึกเอาไว้ภายในดาบ ให้เซน่อนและทุกคนได้ฟัง

 

 

「ชื่อของดาบเล่มนี้คือซาซาโนะซึยุ เป็น1ใน2ดาบล้ำค่าที่สางต่อกันมาภายในตระกูลมิตสึรุกิร่วมกับซาซาโนะยูกิของนักบุญดาบ」

 

 

 

「แต่ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับดาบเล่มนี้มาก่อนเลย…หรือมันถูกส่งต่อไปให้กับตระกูลคุมอนงั้นหรือท่านชูยะ?」

 

 

「ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ทว่าทางตระกูลคุมอนของเราก็มีบันทึกเอาไว้ แต่ตัวซาซาโนะซึยุนี้มันได้หายไปจากสงครามเมื่อ 300 ปีก่อน แล้วก็เป็นท่านโซระที่ค้นพบดาบเล่มนี้ภายในส่วนลึกของคิไค อีกทั้งเขายังบอกอีกว่าตนได้รู้ความจริงเมื่อ 300 ปีก่อนแล้ว จึงตัดสินใจร่วมมือกับพวกคิจินครับ」

 

 

 

พอเซน่อนได้ยินแบบนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจนเผลอพูดว่า「เอาจริงเหรอ?」  ออกมา

 

 

 

 

「จากที่ข้าฟังมันดูไร้สาระมากเลยนะ ทว่าท่านชูยะก็เชื่อในสิ่งที่เขาพูดหรือ」

 

 

 

「ตามนั้นครับ」

 

 

 

「ทั้งที่เป็นคำพูดของคนที่ยอมจำนนให้กับคิจินนะหรือ?」

 

 

พอเซน่อนถามไปแบบนั้น ชูยะก็เหมือนจะแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้าตอบ

 

 

 

แน่นอนว่าชูยะไม่ได้โง่เสียจนเชื่อสิ่งที่โซระพูดโดยไม่มีหลักฐานประกอบ หากโซระปั้นน้ำขึ้นมายังไงชูยะก็ต้องรู้ตัวอยู่แล้ว

 

 

อย่างไรก็ตาม พอโซระพูดชื่อของมิตสึรุกิจินขึ้นมา――ชายผู้ที่น่าจะสูญหายไปจากประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิไปแล้ว ชื่อของชายที่ชูยะได้รู้ก็ตอนที่รับตำแหน่งผู้นำตระกูลคุมอนและรับฝากเจตนารมของต้นตระกูลคุมอนมา ตัวชูยะก็ไม่รู้หรอกว่าโซระไปรู้ชื่อนี้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆไม่ได้มาจากทางฝั่งตระกูลเขาแน่นอน

 

 

ดังนั้นชูยะจึงได้แจ้งเรื่องนี้ให้กับทางชิกิบุทราบ

 

「ท่านผู้นำ สิ่งที่อดีตผู้สืบทอดรู้ภายในคิไคหรือสาเหตุที่เขาเข้าร่วมกับพวกคิจิน เพื่อจะหาคำตอบนั้น ผมจึงอยากจะให้พาตัวเขามาที่แห่งนี้ครับ หากถึงตอนนั้นเขายังพูดอะไรไร้สาระออกมาหรือไม่น่าเชื่อถือ ผมจะเป็นคนรับผิดชอบจัดการกับเขาเอง」

 

 

พอกิลมอร์กับเซน่อนได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่คำพูดของชิกิบุนั้นกลับเร็วกว่า

 

 

「ย่อมได้ ชูยะ ไปพาตัวโซระมาซะ」

 

 

「ขอขอบพระคุณที่ท่านเข้าใจ ผมจะรีบไปพาตัวอดีตทายาทผู้สืบทอดมาในทันทีครับ」

 

 

ชูยะพูดและลุกขึ้นยืน ทั้งกิลมอร์และเซน่อนก็เลยไม่สามารถบ่นอะไรต่อได้อีกเพราะผู้นำตระกูลตัดสินใจไปแล้ว จะให้ไปขัดในฐานะข้ารับใช้ก็ทำไม่ได้อีก

 

 

คนอื่นๆเองก็เช่นเดียวกัน ทว่ามันก็ได้เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในขณะที่ทุกคนไม่พูดจาอะไร

 

 

 

 

 

「ท่านผู้นะ-ไม่สิ ท่านพ่อ ผมอยากจะขอพูดอะไรสักหน่อย」

 

 

 

คนที่พูดออกมาก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นรากุนะ ว่าที่ผู้สืบทอดของตระกูลมิตสึรุกิ เขาได้ก้าวออกมาจากแถวของธงที่ 3

 

นอกจากผู้นำตระกูลก็มีเพียง 4 เสาหลัก หัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 เท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดในที่ประชุมได้ แม้ว่ารากุนะจะเป็นว่าที่ผู้สืบทอดก็เถอะ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูด

 

 

 

เซน่อนและลูเซียสจึงพยายามหยุดเขา แต่รากุนะก็ส่งสายตาที่ดุดันและเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาหยุดพวกเขาไว้ ก่อนจะก้าวออกมาตรงกลางห้องประชุม

 

 

 

「ท่านพ่อ ได้โปรดมอบสิทธิ์ในการต้อนรับผู้ส่งสารของพวกคิจินไว้กับผมได้หรือไม่ ในฐานะลูกชายของตระกูลมิตสึรุกิแล้ว ข้าสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด」

 

 

รากุนะมองพ่อของเขาด้วยแววตาที่ลุกโชน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธจากการกระทำของพี่ชายตน ธงแห่งผืนป่าส่วนใหญ่ที่เห็นก็เดาไว้แล้วว่ารากุนะคงจะโดนพ่อของเขาลงโทษเอาแน่

 

 

 

 

แต่ก็ดันไม่ใช่แบบนั้น ชิกิบุไม่ได้ไล่ให้รากุนะกลับไป แต่เขากลับให้คำตอบแทน

 

 

 

「ในฐานะว่าที่ผู้สืบทอดของตระกูลมิตสึรุกิแล้ว――เจ้าสามารถรักษาคำพูดนั้นได้จริงหรือ?」

 

 

 

「ฮ่ะ! ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ!」

 

 

 

「เอาสิ ย่อมได้ เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าติดตามชูยะไปและพาตัวโซระกลับมาในฐานะที่เจ้าเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไป」

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบอันสงบนิ่งของชิกิบุ ใบหน้าของรากุนะก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

 

 

 

เขาเชื่อว่าพ่อของเขาคงรับรู้ความตั้งใจของเขาแล้ว

 

 

 

 

「ขอบพระคุณมากครับ! ผมจะทำตามที่ท่านพ่อคาดหวังให้สำเร็จจงได้」

 

 

 

รากุนะโค้งคำนับก่อนจะออกจากห้องประชุมใหญ่ไป

 

 

「ท่านผู้นำ」

 

 

 

「พวกเจ้าก็ตามไปด้วยเสียสิ」

 

 

 

เป็นเซน่อนและลูเซียสที่พูดออกมาพร้อมกันราวกับต้องการติดตามรากุนะไป แล้วทางชิกิบุก็อนุญาตอย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน

 

 

ชูยะหันไปมองหัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยธงที่ 3 กำลังรีบลุกตามรากุนะออกไปจากห้องประชุม

 

 

 

 

 

「……ท่านผู้นำแบบนี้จะดีแล้วเหรอครับ?」

 

 

 

「ปล่อยไปเถอะ」

 

 

สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา

 

 

อย่างไรก็ตามชูยะผู้ซึ่งติดตามชิกิบุอย่างใกล้ชิดมานานหลายปี เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าตอนนี้เจ้านายของเขากำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

 

Note : ส่งลูกตัวเองไปให้โดนตบของแทร่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด