การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3

「『จงโบยบิน นักล่าเหนือวิสัย――อินทรีล่องหน!』 」

 

 

เมื่อสิ้นเสียงร่ายของเธอ ดาบล่องหนก็พุ่งออกมาจากมือของมิโรสลาฟไปในอากาศ

 

 

เวทลมที่แท้จริงระดับ 2 ได้พุ่งเข้าปะทะกับร่างของมอนสเตอร์――ฮาร์ปี้ที่กำลังบินอยู่บนอากาศ ส่งผลให้เกิดบาดแผลลึกบริเวณปีกขวาของมัน

 

ใบหน้าของมันนั้นคล้ายกับหญิงชรา ลำตัวและช่วงล่างของมันคล้ายกับนก หลังจากรับการโจมตีของเธอไปมันก็ไม่สามารถรักษาสภาพการบินได้และกรีดร้องออกมาก่อนร่วงลงสู่พื้น

 

 

ไม่ว่าร่างของมันจะตกลงไปที่ไหล่เขา หรือชนเขากับกิ่งไม้ที่อยู่ในป่า แต่สภาพร่างที่ร่วงลงมานั้นก็ไม่มีทางจะปลอดภัยแน่นอนจากระดับความสูงดังกล่าว

 

 

พอจัดการกับฮาร์ปี้ตัวนั้นเสร็จ มิโรสลาฟก็เริ่มจัดการเป้าหมายถัดไปของเธอทันที

 

 

ตอนนี้มีฝูงฮาร์ปี้ถึง 7 ตัวเข้ามาโจมตีเธอ โดยเธอสามารถจัดการมันไปได้แล้ว 3 ก็แปลว่ายังมีพวกมันอีกเกินครึ่งที่มีชีวิตอยู่

 

 

 

ฮาร์ปี้เป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้ายและความอยากอาหารที่สูง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกมันจะรวมฝูงกันล่าศัตรูที่แกร่งกว่าพวกมัน

 

 

แค่ฮาร์ปีเพียง 4 ตัวก็สามารถฉีกร่างของมนุษย์มากินได้อย่างง่ายดายแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงเป็นศัตรูที่เธอจะประมาทไม่ได้เลย แม้จะเหลือเพียงตัวเดียวก็ตาม

 

 

มิโรสลาฟทำการเล็งเป้าหมายถัดไปของเธอด้วย『 อินทรีล่องหน 』

 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะพวกมันสัมผัสได้ถึงความสามารถของคู่ต่อสู้ชัดขึ้นหรือเปล่า แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันเลยดูระส่ำระสายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 

ถึงพวกมันจะเป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้าย แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ยังเป็นพวกขี้ขลาดที่รู้ว่าเมื่อตัวเองเสียเปรียบก็เลือกที่จะหนีแทน

 

 

 

พวกฮาร์ปี้อาจจะตัดสินได้แล้วว่ามิโรสลาฟไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกมันจะจัดการได้ หลังจากเห็นเธอใช้ดาบสายลมนั้นฆ่าพวกของมันจนหายไปเกือบครึ่งในชั่วพริบตา ดังนั้นพวกมันจึงตัดสินใจบินหนีไปแทน

 

 

แต่การกระทำเช่นนั้นเอง ก็เป็นการเปิดโอกาสให้มิโรสลาฟในการไล่ล่าพวกมันอย่างไร้ปรานี ราวกับพวกมันกลายเป็นเหยื่อแทน

 

 

ฮาร์ปี้ตัวแรก ตัวที่สอง จำนวนของมันค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ

 

 

 

จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ ซึ่งก็หมายความว่ามิโรสลาฟคนเดียวสามารถสังหารฮาร์ปี้ไปได้ถึง 6 ตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

 

เธอแสดงความยินดีกับผลลัพธ์ในการโซโล่ของเธอบนเขาสกิม

 

 

ร่างกายของเธอเริ่มสั่นสะท้านราวกับมันกำลังยืนยันความสำเร็จดังกล่าว

 

 

 

จากนั้นจอมเวทสาวผมแดงก็เริ่มตรวจสอบเลเวลของเธอทันที ก่อนจะแสดงท่าทางดีใจออกมา ด้วยการกำหมัดของตัวเองเอาไว้อยู่พักหนึ่ง

 

 

 

หลังจากนั้นมิโรสลาฟก็รีบออกจากสถานที่นี้อย่างรวดเร็ว เพราะเธอยังจำเป็นต้องระวังว่าการต่อสู้นี้กลิ่นเลือดของฮาร์ปี้อาจจะดึงดูดมอนสเตอร์ตัวอื่นเข้ามาอีก

 

 

ตัวเธอก็ยินดีอยู่หรอกที่จะต้อนรับมอนสเตอร์ตัวใหม่ที่เข้ามา แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อเธอไปเสียทีเดียว

 

ปลายทางที่เธอมุ่งไปนั้นก็มีเต็นท์แบบเรียบเงียบถูกตั้งเอาไว้อยู่ โดยรอบนั้นมีการสร้างบาเรียไว้กันพวกมอนสเตอร์เข้าโจมตีด้วย

 

 

 

มันคือจุดที่มิโรสลาฟใช้เป็นฐานของเธอบนเขาสกิม เธอใช้มันเป็นที่พักผ่อนหลังจากการล่ามอนสเตอร์บนเขาสกิม

 

 

ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าการที่จอมเวทซึ่งเป็นแนวหลังของปาร์ตี้มาโซโล่บนเขาสกิมแบบนี้มันเสี่ยงขนาดคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

 

 

แต่ก็เพราะการกระทำดังกล่าวจึงทำให้เธอสามารถได้รับค่าประสบการณ์มหาศาล หากจะให้พูดมิโรสลาฟนั้นเลเวลเพิ่มขึ้นมาถึง 2 เลเวลแล้ว นับตั้งแต่ที่ออกมาจากเมืองอิชกะ ตอนนี้เธอเลเวลอยู่ที่ 17

 

 

ส่วนสิ่งที่เธอต้องแลกไปก็คือหินเวทกว่าครึ่งในกระเป๋าของเธอได้หายไปแล้ว

 

ความหมายของหินเวทมันก็เหมือนกับชื่อของมัน มันคือหินที่บรรจุพลังเวทเอาไว้ข้างใน ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของเหล่าจอมเวทในการใช้เวทได้เป็นอย่างดี

 

 

มูลค่าของพวกมันก็สูงอย่างไม่ต้องสงสัย จนบอกได้ว่าหากมิโรสลาฟเอาหินเวทพวกนี้ไปขายทั้งหมด เธอคงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งหินเวทพวกนี้ยังเป็นของแบบใช้แล้วทิ้งด้วย

 

 

หากพ่อของเธอมาเห็นการกระทำของเธอตอนนี้เข้า เขาต้องกลายเป็นบ้าไปแน่นอน――รอยยิ้มอันดำมืดผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอขณะคิดเรื่องนี้

 

 

 

หินเวทที่เธอใช้ในการต่อสู้กับอุปกรณ์เวทที่สร้างบาเรียพวกนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นของทางบริษัทซัลซ่าทั้งสิ้น

 

 

เธอบอกพ่อของเธอว่าเธอต้องการสิ่งของพวกนี้ไปใช้ในการกำจัดกริฟฟอน เพื่อจะได้สร้างเส้นสายกับเอิร์ลท่านหนึ่ง หากเธอทำภารกิจที่เขาว่าจ้างสำเร็จ――แต่เจตนาจริงๆ ของเธอนั้น เธอก็แค่อยากจะหลอกผลาญเงินเขาเฉยๆ

 

 

ถ้าถามว่าทำไม มันก็เพราะมิโรสลาฟไม่ได้คิดจะจัดการกับกริฟฟอนแต่แรกอยู่แล้วน่ะสิ

 

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

 

นี่ก็เพื่อจัดการกับ ดาบฮายาบูสะ

 

 

 

เป้าหมายของมิโรสลาฟในครั้งนี้สามารถสรุปได้ผ่านประโยคเพียงประโยคเดียว

 

 

 

ที่ราสกับอิเรียแยกทางกันไปส่วนหนึ่งก็เป็นแผนของเธอ

 

 

และความหมายของการจัดการในครั้งนี้ ยังรวมไปถึงการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตัวมิโรสลาฟเองกับราสด้วย การแยกเพื่อนสมัยเด็กออกจากราส เพื่อให้เธอสามารถครอบครองเขาได้แต่เพียงผู้เดียวนั้น――มันไม่ใช่สิ่งที่เธอวาดฝันเอาไว้อีกแล้ว

 

 

 

ความรักของเธอที่เคยมีให้ราสมันจืดจางลงไปจนแทบจะสัมผัสอะไรไม่ได้อีก

 

 

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เธอดำดิ่งลงไปสู่หนองน้ำอันไร้ก้นบึ้ง―ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชังหรือตัณหา เธอไม่เคยมีประสบการณ์การถูกอารมณ์อันรุนแรงพวกนี้ควบคุมมาก่อนเลยในชีวิต

 

 

หากจะให้เทียบอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในจิตวิญญาณของเธอตอนนี้แล้ว ความรู้สึกของเธอที่มีต่อราสมันก็ช่างเบาบางราวกับขนมสายไหม

 

 

สิ่งที่อยู่ในใจของมิโรสลาฟในตอนนี้มีเพียง ความหวาดกลัว ความขยะแขยง ความเสียใจ ความสำนึกผิด ความรับผิดชอบ ความชมเชย ความรัก และการเชื่อฟัง ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เธอมีต่อชายที่ชื่อโซระ

 

 

มันเป็นความหลงใหลที่รุนแรงราวกับน้ำวน ซึ่งชำระล้างความรู้สึกของมิโรสลาฟที่มีก่อนหน้านี้ไปเสียจนหมดสิ้น

 

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธออยากจะจัดการกับดาบฮายาบูสะที่เธอใช้เวลาร่วมสร้างมาถึง 5 ปีลง

 

 

 

――แน่นอนว่าเธอไม่ได้เกลียดราสแต่อย่างใด นั่นก็หมายความว่าเธอไม่คิดจะทำร้ายอะไรเขา กระทั่งความคิดที่อยากจะฆ่าเขาก็ไม่เคยออกมาจากหัวเธอเลยสักครั้ง

 

 

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มิโรสลาฟก็พร้อมจะเข้าไปช่วยด้วยซ้ำ

 

 

จากสิ่งที่มิโรสลาฟเห็น ทางโซระเองก็ไม่ได้แสดงท่าที่เป็นปรปักษ์กับราสเท่าใดนัก เพราะโซระนั้นมักจะออกคำสั่งที่เขาต้องการจะทำเพื่อจัดการกับอิเรียและลูนามาเรียอย่างชัดเจน แต่กับราสแล้วเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรร้ายๆ ต่อราสเลย

 

 

 

กลับกันทางราสก็คงจะไม่สามารถปล่อยโซระไปได้ง่ายๆ เพราะเขาเป็นคนที่พรากลูนามาเรียไปจากราส เขายังคงเป็นศัตรูในสายตาของราส หากสุดท้ายแล้วโซระได้อิเรียไปครองอีก ความมุ่งร้ายของราสที่มีต่อเขาก็คงจะรุนแรงกว่าเดิม

 

 

 

หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป โซระก็คงมองว่าราสเป็นศัตรูด้วยแน่

 

 

ดังนั้นก่อนจะเกิดเรื่องที่เธอคิดขึ้น มิโรสลาฟจึงทำเป็นต้องทำให้ความรู้สึกมุ่งร้ายของราสที่มีต่อโซระหายไปเสียก่อน

 

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จได้ง่ายๆ

 

นั่นก็เพราะคนที่ชักนำให้ราสเกลียดโซระได้ขนาดนั้นก็คือตัวของเธอเอง

 

หากอยู่ดีๆ เธอเปลี่ยนความรู้สึกและทัศนคติที่มีต่อโซระ แล้วเริ่มเข้าข้างเขา ราสคงได้สงสัยแน่ว่าโซระทำอะไรกับเธอลงไปหรือเปล่า

 

 

ดังนั้นเธอเลยจำเป็นต้องหาเหตุผล อย่างการกำจัดกริฟฟอนนี้เพื่อให้ราสเป็นคนเดินเกมแทนเธอ

 

เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เธอปล่อยให้ราสได้ทำตามที่เขาต้องการพอเขาบอกว่าต้องการจัดการกับชื่อเสียของตน จากนั้นเธอก็ทำการคุมฉากหลังจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

 

เป้าหมายของมิโรสลาฟก็เรียบง่ายมาก

 

หลังจากราสเสียลูนามาเรียไป ชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยของเขาก็จะแย่ลง จนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด และความหงุดหงิดนั้นมันก็จะเติบโตขึ้นจนไปกระทบเข้ากับอิเรีย

 

 

ตัวของราสเองก็คงจะรู้ดีกว่าใครว่าการกำจัดกริฟฟอนในครั้งนี้มันไร้เหตุผลเพียงใดหากคิดให้ดีๆ

 

 

――ดังนั้นพอเขามาเสียมิโรสลาฟไปในเหตุการณ์ครั้งนี้อีก เขาก็คงจะเสียใจเป็นอย่างมากแน่ๆ

 

 

――และพอเขาได้โซระเข้ามาช่วยปลดปล่อยความโศกเศร้าเสียใจที่มีอยู่ ความคิดร้ายของเขาก็น่าจะหายไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

ดังนั้น การสร้างสถานการณ์ขึ้นมาบนเขาสกิมนี้จึงเหมาะเป็นอย่างมาก

 

ไม่ว่าราสจะไม่ชอบโซระมากแค่ไหน แต่ถ้าหากเขาต้องการช่วยมิโรสลาฟให้เร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องไปยืมมือของโซระที่เป็นอัศวินมังกรซึ่งสามารถบินผ่านท้องฟ้าได้

 

 

มันก็เป็นอุบายง่ายๆ เช่นนี้แหละ แต่มันก็ทำให้ราสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้โซระเข้ามาช่วยเธอ และเนื่องจากนี่เป็นการตัดสินใจของมิโรสลาฟเอง ทางกิลด์นักผจญภัยก็คงมายุ่งอะไรมากไม่ได้หรอกถึงราสจะขอให้ช่วย

 

 

นอกจากนี้ปาร์ตี้ 3 คนที่เข้ามาช่วยก็เป็นคนที่เธอจ้างมาเพื่อคุ้มกันราสแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาคงจะไปจัดการอธิบายให้กับกิลด์ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเขาทอดทิ้งเธอ

 

 

หากถามว่าอะไรที่พอจะเป็นปัญหาในตอนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่เธอไม่รู้ว่าโซระจะกลับจากหมู่บ้านเมลเทตอนไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าโซระจะเลือกมาช่วยเธอหรือเปล่า

 

 

อันที่จริงเธอก็กะจะใช้ชื่ออเล็กซานดร้าส่งจดหมายไปที่หมู่บ้านเมลเทหรอก แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นและเดินทางมาที่นี่เลย

 

 

 

นั่นก็เป็นเพราะมีบางอย่างที่เธออยากจะคิดและตัดสินใจอยู่

 

 

หากแผนของเธอจบลงด้วยดี ดาบฮายาบูสะถูกยุบไป ราสกับโซระก็สงบศึกกันได้แล้ว เธอจะทำอะไรต่อจากนั้นดีล่ะ?

 

มิโรสลาฟก็อยากจะกลับไปหาโซระหลังจากที่เธอส่งราสออกจากอิชกะไปแล้วอยู่หรอก

 

 

แต่ทางโซระก็คงไม่คิดหรอกว่าเธอจะกลับมาอยู่ข้างๆ เขา ไม่งั้นเขาคงไม่บอกกับเธอว่าพอได้ตัวลูนามาเรียกับอิเรียแล้ว เขาจะเลิกยุ่งกับดาบฮายาบูสะหรอก

 

 

 

โซระอาจจะคิดว่าการกระทำของเธอทั้งหมดก็เพื่อต้องการราสมาครองเพียงผู้เดียว

 

นอกจากนี้พอคิดดูดีๆ ทางโซระก็คงไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอด้วยสิ

 

 

 

เขาปล่อยเธอออกมาก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายดาบฮายาบูสะจากข้างใน ดังนั้นความเชื่อใจหรือศรัทธาอะไรนั่นคงไม่มีหรอก เขาคงมองเพียงว่าเธอจะได้ประโยชน์หากฟังคำพูดของเขา แต่ถ้าเธอไม่ทำตามเขาก็แค่ต้องฆ่าเธอทิ้งซะในฐานะศัตรู

 

 

การที่มิโรสลาฟยอมเสี่ยงชีวิตของเธอมาเพิ่มเลเวลบนเขาแบบนี้ก็เพราะเธออยากจะให้โซระเห็นด้วยว่าตัวเธอมีประโยชน์กับเขา

 

 

จากประสบการณ์ของเธอตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ถูกจับไป เธอมั่นใจอย่างหนึ่งว่าโซระมีความสามารถที่ใกล้เคียงกับเวทดูดพลัง ถึงจะมีส่วนยิบย่อยที่ต่างออกไป

 

 

และพอย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดและการกระทำของเขาในตอนนั้น เธอเดาว่าสิ่งที่เขาทำมันส่งผลต่อการเพิ่มเลเวลของเขาด้วย

 

 

หรือก็คือ โซระเป็นพวกที่ชอบมองหาอาหารระดับสูง หากเป็นอย่างที่เธอคิด เธอก็จำเป็นต้องเพิ่มเลเวลของตัวเองเพื่อให้เธอกลายเป็นอาหารที่โซระไม่อาจต้านทานไหว สุดท้ายเธอก็น่าจะได้รับความสนใจจากเขา

 

ส่วนสิ่งหนึ่งที่มิโรสลาฟคิดผิดไปก็คือ หลังจากที่โซระกลับมาจากหมู่บ้านเมลเท โซระได้มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงทันที

 

 

 

หากเป็นแบบนี้ ราสที่กลับไปถึงเมืองอิชกะก็ไม่น่าจะสามารถขอความช่วยเหลือจากโซระได้ในทันที

 

 

 

ส่งผลทำให้มิโรสลาฟต้องโซโล่ล่าพวกมอนสเตอร์มาได้ 5 วันแล้วและอีกไม่นานก็จะเข้าสู่วันที่ 10 ของการขึ้นเขามา

 

 

สำหรับนักผจญภัยการมาตั้งแคมป์ในที่แบบนี้ คงไม่ต้องบอกว่ามีเรื่องให้เธอต้องจัดการอยู่ทุกวัน

 

 

นอกจากนี้ เธอก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ด้วย ทั้งเรื่องอาบน้ำเอย ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่จะต้องใช้เปลี่ยนอีก

 

 

แถมน้ำและอาหารที่เธอมีอยู่ก็จำกัด บาเรียที่เธอสร้างก็ใช่จะกันมอนสเตอร์ได้ทุกตัว

 

 

 

เธอมักจะเผลอตื่นขึ้นมาในช่วงกลางคืนเนื่องจากเสียงของพวกสัตว์ที่เหยียบใบไม้บนพื้น

 

 

เธอรู้ดีว่าสภาพของตนในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก และหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายเธอก็จะไม่มีแรงเหลือแม้กระทั่งจะลงจากเขา

 

แต่ถึงเธอจะรู้ เธอก็เลือกที่จะอยู่บนเขานี้ต่อ

 

 

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังอยู่ในความคาดหมายของเธอ ไม่งั้นเธอคงไม่เตรียมหินเวทมาเต็มกระเป๋าหรอก แถมมันก็ยังพอจะทำให้เธออยู่ไปต่อได้อีก 10 กว่าวัน

 

 

ระหว่างนี้เธอก็จะทำการล่าพวกมอนสเตอร์รอไปด้วย

 

 

หรือนี่เราจะกลายเป็นบ้าไปกันแล้วนะ――ระหว่างที่เธอฆ่ามอนสเตอร์ไปเธอก็คิดเรื่องพวกนี้ไปด้วย

 

 

แต่ความพยายามของเธอมันก็ตอบแทนเธอในท้ายสุด

 

 

 

เพราะอีก 3 วันต่อมา มิโรสลาฟก็ได้ยินเสียงกระพือปีกของไวเวิร์น และในเวลานั้นเลเวลของเธอก็เพิ่มขึ้นมาอีก 2 จนเลเวลของเธออยู่ที่ 19 แล้ว

 

———

Note 1 : เชฟมิโรกำลังปรุงตัวเองให้แซบๆ กลายเป็นว่านางแค่อยากให้ราสกับโซระคืนดีกันเฉย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3

「『จงโบยบิน นักล่าเหนือวิสัย――อินทรีล่องหน!』 」

 

 

เมื่อสิ้นเสียงร่ายของเธอ ดาบล่องหนก็พุ่งออกมาจากมือของมิโรสลาฟไปในอากาศ

 

 

เวทลมที่แท้จริงระดับ 2 ได้พุ่งเข้าปะทะกับร่างของมอนสเตอร์――ฮาร์ปี้ที่กำลังบินอยู่บนอากาศ ส่งผลให้เกิดบาดแผลลึกบริเวณปีกขวาของมัน

 

ใบหน้าของมันนั้นคล้ายกับหญิงชรา ลำตัวและช่วงล่างของมันคล้ายกับนก หลังจากรับการโจมตีของเธอไปมันก็ไม่สามารถรักษาสภาพการบินได้และกรีดร้องออกมาก่อนร่วงลงสู่พื้น

 

 

ไม่ว่าร่างของมันจะตกลงไปที่ไหล่เขา หรือชนเขากับกิ่งไม้ที่อยู่ในป่า แต่สภาพร่างที่ร่วงลงมานั้นก็ไม่มีทางจะปลอดภัยแน่นอนจากระดับความสูงดังกล่าว

 

 

พอจัดการกับฮาร์ปี้ตัวนั้นเสร็จ มิโรสลาฟก็เริ่มจัดการเป้าหมายถัดไปของเธอทันที

 

 

ตอนนี้มีฝูงฮาร์ปี้ถึง 7 ตัวเข้ามาโจมตีเธอ โดยเธอสามารถจัดการมันไปได้แล้ว 3 ก็แปลว่ายังมีพวกมันอีกเกินครึ่งที่มีชีวิตอยู่

 

 

 

ฮาร์ปี้เป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้ายและความอยากอาหารที่สูง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกมันจะรวมฝูงกันล่าศัตรูที่แกร่งกว่าพวกมัน

 

 

แค่ฮาร์ปีเพียง 4 ตัวก็สามารถฉีกร่างของมนุษย์มากินได้อย่างง่ายดายแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงเป็นศัตรูที่เธอจะประมาทไม่ได้เลย แม้จะเหลือเพียงตัวเดียวก็ตาม

 

 

มิโรสลาฟทำการเล็งเป้าหมายถัดไปของเธอด้วย『 อินทรีล่องหน 』

 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะพวกมันสัมผัสได้ถึงความสามารถของคู่ต่อสู้ชัดขึ้นหรือเปล่า แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันเลยดูระส่ำระสายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 

ถึงพวกมันจะเป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้าย แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ยังเป็นพวกขี้ขลาดที่รู้ว่าเมื่อตัวเองเสียเปรียบก็เลือกที่จะหนีแทน

 

 

 

พวกฮาร์ปี้อาจจะตัดสินได้แล้วว่ามิโรสลาฟไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกมันจะจัดการได้ หลังจากเห็นเธอใช้ดาบสายลมนั้นฆ่าพวกของมันจนหายไปเกือบครึ่งในชั่วพริบตา ดังนั้นพวกมันจึงตัดสินใจบินหนีไปแทน

 

 

แต่การกระทำเช่นนั้นเอง ก็เป็นการเปิดโอกาสให้มิโรสลาฟในการไล่ล่าพวกมันอย่างไร้ปรานี ราวกับพวกมันกลายเป็นเหยื่อแทน

 

 

ฮาร์ปี้ตัวแรก ตัวที่สอง จำนวนของมันค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ

 

 

 

จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ ซึ่งก็หมายความว่ามิโรสลาฟคนเดียวสามารถสังหารฮาร์ปี้ไปได้ถึง 6 ตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

 

เธอแสดงความยินดีกับผลลัพธ์ในการโซโล่ของเธอบนเขาสกิม

 

 

ร่างกายของเธอเริ่มสั่นสะท้านราวกับมันกำลังยืนยันความสำเร็จดังกล่าว

 

 

 

จากนั้นจอมเวทสาวผมแดงก็เริ่มตรวจสอบเลเวลของเธอทันที ก่อนจะแสดงท่าทางดีใจออกมา ด้วยการกำหมัดของตัวเองเอาไว้อยู่พักหนึ่ง

 

 

 

หลังจากนั้นมิโรสลาฟก็รีบออกจากสถานที่นี้อย่างรวดเร็ว เพราะเธอยังจำเป็นต้องระวังว่าการต่อสู้นี้กลิ่นเลือดของฮาร์ปี้อาจจะดึงดูดมอนสเตอร์ตัวอื่นเข้ามาอีก

 

 

ตัวเธอก็ยินดีอยู่หรอกที่จะต้อนรับมอนสเตอร์ตัวใหม่ที่เข้ามา แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อเธอไปเสียทีเดียว

 

ปลายทางที่เธอมุ่งไปนั้นก็มีเต็นท์แบบเรียบเงียบถูกตั้งเอาไว้อยู่ โดยรอบนั้นมีการสร้างบาเรียไว้กันพวกมอนสเตอร์เข้าโจมตีด้วย

 

 

 

มันคือจุดที่มิโรสลาฟใช้เป็นฐานของเธอบนเขาสกิม เธอใช้มันเป็นที่พักผ่อนหลังจากการล่ามอนสเตอร์บนเขาสกิม

 

 

ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าการที่จอมเวทซึ่งเป็นแนวหลังของปาร์ตี้มาโซโล่บนเขาสกิมแบบนี้มันเสี่ยงขนาดคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

 

 

แต่ก็เพราะการกระทำดังกล่าวจึงทำให้เธอสามารถได้รับค่าประสบการณ์มหาศาล หากจะให้พูดมิโรสลาฟนั้นเลเวลเพิ่มขึ้นมาถึง 2 เลเวลแล้ว นับตั้งแต่ที่ออกมาจากเมืองอิชกะ ตอนนี้เธอเลเวลอยู่ที่ 17

 

 

ส่วนสิ่งที่เธอต้องแลกไปก็คือหินเวทกว่าครึ่งในกระเป๋าของเธอได้หายไปแล้ว

 

ความหมายของหินเวทมันก็เหมือนกับชื่อของมัน มันคือหินที่บรรจุพลังเวทเอาไว้ข้างใน ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของเหล่าจอมเวทในการใช้เวทได้เป็นอย่างดี

 

 

มูลค่าของพวกมันก็สูงอย่างไม่ต้องสงสัย จนบอกได้ว่าหากมิโรสลาฟเอาหินเวทพวกนี้ไปขายทั้งหมด เธอคงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งหินเวทพวกนี้ยังเป็นของแบบใช้แล้วทิ้งด้วย

 

 

หากพ่อของเธอมาเห็นการกระทำของเธอตอนนี้เข้า เขาต้องกลายเป็นบ้าไปแน่นอน――รอยยิ้มอันดำมืดผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอขณะคิดเรื่องนี้

 

 

 

หินเวทที่เธอใช้ในการต่อสู้กับอุปกรณ์เวทที่สร้างบาเรียพวกนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นของทางบริษัทซัลซ่าทั้งสิ้น

 

 

เธอบอกพ่อของเธอว่าเธอต้องการสิ่งของพวกนี้ไปใช้ในการกำจัดกริฟฟอน เพื่อจะได้สร้างเส้นสายกับเอิร์ลท่านหนึ่ง หากเธอทำภารกิจที่เขาว่าจ้างสำเร็จ――แต่เจตนาจริงๆ ของเธอนั้น เธอก็แค่อยากจะหลอกผลาญเงินเขาเฉยๆ

 

 

ถ้าถามว่าทำไม มันก็เพราะมิโรสลาฟไม่ได้คิดจะจัดการกับกริฟฟอนแต่แรกอยู่แล้วน่ะสิ

 

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

 

นี่ก็เพื่อจัดการกับ ดาบฮายาบูสะ

 

 

 

เป้าหมายของมิโรสลาฟในครั้งนี้สามารถสรุปได้ผ่านประโยคเพียงประโยคเดียว

 

 

 

ที่ราสกับอิเรียแยกทางกันไปส่วนหนึ่งก็เป็นแผนของเธอ

 

 

และความหมายของการจัดการในครั้งนี้ ยังรวมไปถึงการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตัวมิโรสลาฟเองกับราสด้วย การแยกเพื่อนสมัยเด็กออกจากราส เพื่อให้เธอสามารถครอบครองเขาได้แต่เพียงผู้เดียวนั้น――มันไม่ใช่สิ่งที่เธอวาดฝันเอาไว้อีกแล้ว

 

 

 

ความรักของเธอที่เคยมีให้ราสมันจืดจางลงไปจนแทบจะสัมผัสอะไรไม่ได้อีก

 

 

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เธอดำดิ่งลงไปสู่หนองน้ำอันไร้ก้นบึ้ง―ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชังหรือตัณหา เธอไม่เคยมีประสบการณ์การถูกอารมณ์อันรุนแรงพวกนี้ควบคุมมาก่อนเลยในชีวิต

 

 

หากจะให้เทียบอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในจิตวิญญาณของเธอตอนนี้แล้ว ความรู้สึกของเธอที่มีต่อราสมันก็ช่างเบาบางราวกับขนมสายไหม

 

 

สิ่งที่อยู่ในใจของมิโรสลาฟในตอนนี้มีเพียง ความหวาดกลัว ความขยะแขยง ความเสียใจ ความสำนึกผิด ความรับผิดชอบ ความชมเชย ความรัก และการเชื่อฟัง ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เธอมีต่อชายที่ชื่อโซระ

 

 

มันเป็นความหลงใหลที่รุนแรงราวกับน้ำวน ซึ่งชำระล้างความรู้สึกของมิโรสลาฟที่มีก่อนหน้านี้ไปเสียจนหมดสิ้น

 

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธออยากจะจัดการกับดาบฮายาบูสะที่เธอใช้เวลาร่วมสร้างมาถึง 5 ปีลง

 

 

 

――แน่นอนว่าเธอไม่ได้เกลียดราสแต่อย่างใด นั่นก็หมายความว่าเธอไม่คิดจะทำร้ายอะไรเขา กระทั่งความคิดที่อยากจะฆ่าเขาก็ไม่เคยออกมาจากหัวเธอเลยสักครั้ง

 

 

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มิโรสลาฟก็พร้อมจะเข้าไปช่วยด้วยซ้ำ

 

 

จากสิ่งที่มิโรสลาฟเห็น ทางโซระเองก็ไม่ได้แสดงท่าที่เป็นปรปักษ์กับราสเท่าใดนัก เพราะโซระนั้นมักจะออกคำสั่งที่เขาต้องการจะทำเพื่อจัดการกับอิเรียและลูนามาเรียอย่างชัดเจน แต่กับราสแล้วเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรร้ายๆ ต่อราสเลย

 

 

 

กลับกันทางราสก็คงจะไม่สามารถปล่อยโซระไปได้ง่ายๆ เพราะเขาเป็นคนที่พรากลูนามาเรียไปจากราส เขายังคงเป็นศัตรูในสายตาของราส หากสุดท้ายแล้วโซระได้อิเรียไปครองอีก ความมุ่งร้ายของราสที่มีต่อเขาก็คงจะรุนแรงกว่าเดิม

 

 

 

หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป โซระก็คงมองว่าราสเป็นศัตรูด้วยแน่

 

 

ดังนั้นก่อนจะเกิดเรื่องที่เธอคิดขึ้น มิโรสลาฟจึงทำเป็นต้องทำให้ความรู้สึกมุ่งร้ายของราสที่มีต่อโซระหายไปเสียก่อน

 

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จได้ง่ายๆ

 

นั่นก็เพราะคนที่ชักนำให้ราสเกลียดโซระได้ขนาดนั้นก็คือตัวของเธอเอง

 

หากอยู่ดีๆ เธอเปลี่ยนความรู้สึกและทัศนคติที่มีต่อโซระ แล้วเริ่มเข้าข้างเขา ราสคงได้สงสัยแน่ว่าโซระทำอะไรกับเธอลงไปหรือเปล่า

 

 

ดังนั้นเธอเลยจำเป็นต้องหาเหตุผล อย่างการกำจัดกริฟฟอนนี้เพื่อให้ราสเป็นคนเดินเกมแทนเธอ

 

เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เธอปล่อยให้ราสได้ทำตามที่เขาต้องการพอเขาบอกว่าต้องการจัดการกับชื่อเสียของตน จากนั้นเธอก็ทำการคุมฉากหลังจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

 

เป้าหมายของมิโรสลาฟก็เรียบง่ายมาก

 

หลังจากราสเสียลูนามาเรียไป ชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยของเขาก็จะแย่ลง จนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด และความหงุดหงิดนั้นมันก็จะเติบโตขึ้นจนไปกระทบเข้ากับอิเรีย

 

 

ตัวของราสเองก็คงจะรู้ดีกว่าใครว่าการกำจัดกริฟฟอนในครั้งนี้มันไร้เหตุผลเพียงใดหากคิดให้ดีๆ

 

 

――ดังนั้นพอเขามาเสียมิโรสลาฟไปในเหตุการณ์ครั้งนี้อีก เขาก็คงจะเสียใจเป็นอย่างมากแน่ๆ

 

 

――และพอเขาได้โซระเข้ามาช่วยปลดปล่อยความโศกเศร้าเสียใจที่มีอยู่ ความคิดร้ายของเขาก็น่าจะหายไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

ดังนั้น การสร้างสถานการณ์ขึ้นมาบนเขาสกิมนี้จึงเหมาะเป็นอย่างมาก

 

ไม่ว่าราสจะไม่ชอบโซระมากแค่ไหน แต่ถ้าหากเขาต้องการช่วยมิโรสลาฟให้เร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องไปยืมมือของโซระที่เป็นอัศวินมังกรซึ่งสามารถบินผ่านท้องฟ้าได้

 

 

มันก็เป็นอุบายง่ายๆ เช่นนี้แหละ แต่มันก็ทำให้ราสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้โซระเข้ามาช่วยเธอ และเนื่องจากนี่เป็นการตัดสินใจของมิโรสลาฟเอง ทางกิลด์นักผจญภัยก็คงมายุ่งอะไรมากไม่ได้หรอกถึงราสจะขอให้ช่วย

 

 

นอกจากนี้ปาร์ตี้ 3 คนที่เข้ามาช่วยก็เป็นคนที่เธอจ้างมาเพื่อคุ้มกันราสแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาคงจะไปจัดการอธิบายให้กับกิลด์ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเขาทอดทิ้งเธอ

 

 

หากถามว่าอะไรที่พอจะเป็นปัญหาในตอนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่เธอไม่รู้ว่าโซระจะกลับจากหมู่บ้านเมลเทตอนไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าโซระจะเลือกมาช่วยเธอหรือเปล่า

 

 

อันที่จริงเธอก็กะจะใช้ชื่ออเล็กซานดร้าส่งจดหมายไปที่หมู่บ้านเมลเทหรอก แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นและเดินทางมาที่นี่เลย

 

 

 

นั่นก็เป็นเพราะมีบางอย่างที่เธออยากจะคิดและตัดสินใจอยู่

 

 

หากแผนของเธอจบลงด้วยดี ดาบฮายาบูสะถูกยุบไป ราสกับโซระก็สงบศึกกันได้แล้ว เธอจะทำอะไรต่อจากนั้นดีล่ะ?

 

มิโรสลาฟก็อยากจะกลับไปหาโซระหลังจากที่เธอส่งราสออกจากอิชกะไปแล้วอยู่หรอก

 

 

แต่ทางโซระก็คงไม่คิดหรอกว่าเธอจะกลับมาอยู่ข้างๆ เขา ไม่งั้นเขาคงไม่บอกกับเธอว่าพอได้ตัวลูนามาเรียกับอิเรียแล้ว เขาจะเลิกยุ่งกับดาบฮายาบูสะหรอก

 

 

 

โซระอาจจะคิดว่าการกระทำของเธอทั้งหมดก็เพื่อต้องการราสมาครองเพียงผู้เดียว

 

นอกจากนี้พอคิดดูดีๆ ทางโซระก็คงไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอด้วยสิ

 

 

 

เขาปล่อยเธอออกมาก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายดาบฮายาบูสะจากข้างใน ดังนั้นความเชื่อใจหรือศรัทธาอะไรนั่นคงไม่มีหรอก เขาคงมองเพียงว่าเธอจะได้ประโยชน์หากฟังคำพูดของเขา แต่ถ้าเธอไม่ทำตามเขาก็แค่ต้องฆ่าเธอทิ้งซะในฐานะศัตรู

 

 

การที่มิโรสลาฟยอมเสี่ยงชีวิตของเธอมาเพิ่มเลเวลบนเขาแบบนี้ก็เพราะเธออยากจะให้โซระเห็นด้วยว่าตัวเธอมีประโยชน์กับเขา

 

 

จากประสบการณ์ของเธอตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ถูกจับไป เธอมั่นใจอย่างหนึ่งว่าโซระมีความสามารถที่ใกล้เคียงกับเวทดูดพลัง ถึงจะมีส่วนยิบย่อยที่ต่างออกไป

 

 

และพอย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดและการกระทำของเขาในตอนนั้น เธอเดาว่าสิ่งที่เขาทำมันส่งผลต่อการเพิ่มเลเวลของเขาด้วย

 

 

หรือก็คือ โซระเป็นพวกที่ชอบมองหาอาหารระดับสูง หากเป็นอย่างที่เธอคิด เธอก็จำเป็นต้องเพิ่มเลเวลของตัวเองเพื่อให้เธอกลายเป็นอาหารที่โซระไม่อาจต้านทานไหว สุดท้ายเธอก็น่าจะได้รับความสนใจจากเขา

 

ส่วนสิ่งหนึ่งที่มิโรสลาฟคิดผิดไปก็คือ หลังจากที่โซระกลับมาจากหมู่บ้านเมลเท โซระได้มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงทันที

 

 

 

หากเป็นแบบนี้ ราสที่กลับไปถึงเมืองอิชกะก็ไม่น่าจะสามารถขอความช่วยเหลือจากโซระได้ในทันที

 

 

 

ส่งผลทำให้มิโรสลาฟต้องโซโล่ล่าพวกมอนสเตอร์มาได้ 5 วันแล้วและอีกไม่นานก็จะเข้าสู่วันที่ 10 ของการขึ้นเขามา

 

 

สำหรับนักผจญภัยการมาตั้งแคมป์ในที่แบบนี้ คงไม่ต้องบอกว่ามีเรื่องให้เธอต้องจัดการอยู่ทุกวัน

 

 

นอกจากนี้ เธอก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ด้วย ทั้งเรื่องอาบน้ำเอย ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่จะต้องใช้เปลี่ยนอีก

 

 

แถมน้ำและอาหารที่เธอมีอยู่ก็จำกัด บาเรียที่เธอสร้างก็ใช่จะกันมอนสเตอร์ได้ทุกตัว

 

 

 

เธอมักจะเผลอตื่นขึ้นมาในช่วงกลางคืนเนื่องจากเสียงของพวกสัตว์ที่เหยียบใบไม้บนพื้น

 

 

เธอรู้ดีว่าสภาพของตนในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก และหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายเธอก็จะไม่มีแรงเหลือแม้กระทั่งจะลงจากเขา

 

แต่ถึงเธอจะรู้ เธอก็เลือกที่จะอยู่บนเขานี้ต่อ

 

 

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังอยู่ในความคาดหมายของเธอ ไม่งั้นเธอคงไม่เตรียมหินเวทมาเต็มกระเป๋าหรอก แถมมันก็ยังพอจะทำให้เธออยู่ไปต่อได้อีก 10 กว่าวัน

 

 

ระหว่างนี้เธอก็จะทำการล่าพวกมอนสเตอร์รอไปด้วย

 

 

หรือนี่เราจะกลายเป็นบ้าไปกันแล้วนะ――ระหว่างที่เธอฆ่ามอนสเตอร์ไปเธอก็คิดเรื่องพวกนี้ไปด้วย

 

 

แต่ความพยายามของเธอมันก็ตอบแทนเธอในท้ายสุด

 

 

 

เพราะอีก 3 วันต่อมา มิโรสลาฟก็ได้ยินเสียงกระพือปีกของไวเวิร์น และในเวลานั้นเลเวลของเธอก็เพิ่มขึ้นมาอีก 2 จนเลเวลของเธออยู่ที่ 19 แล้ว

 

———

Note 1 : เชฟมิโรกำลังปรุงตัวเองให้แซบๆ กลายเป็นว่านางแค่อยากให้ราสกับโซระคืนดีกันเฉย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 68 มิโรสลาฟ ซัลซ่า 3

「『จงโบยบิน นักล่าเหนือวิสัย――อินทรีล่องหน!』 」

 

 

เมื่อสิ้นเสียงร่ายของเธอ ดาบล่องหนก็พุ่งออกมาจากมือของมิโรสลาฟไปในอากาศ

 

 

เวทลมที่แท้จริงระดับ 2 ได้พุ่งเข้าปะทะกับร่างของมอนสเตอร์――ฮาร์ปี้ที่กำลังบินอยู่บนอากาศ ส่งผลให้เกิดบาดแผลลึกบริเวณปีกขวาของมัน

 

ใบหน้าของมันนั้นคล้ายกับหญิงชรา ลำตัวและช่วงล่างของมันคล้ายกับนก หลังจากรับการโจมตีของเธอไปมันก็ไม่สามารถรักษาสภาพการบินได้และกรีดร้องออกมาก่อนร่วงลงสู่พื้น

 

 

ไม่ว่าร่างของมันจะตกลงไปที่ไหล่เขา หรือชนเขากับกิ่งไม้ที่อยู่ในป่า แต่สภาพร่างที่ร่วงลงมานั้นก็ไม่มีทางจะปลอดภัยแน่นอนจากระดับความสูงดังกล่าว

 

 

พอจัดการกับฮาร์ปี้ตัวนั้นเสร็จ มิโรสลาฟก็เริ่มจัดการเป้าหมายถัดไปของเธอทันที

 

 

ตอนนี้มีฝูงฮาร์ปี้ถึง 7 ตัวเข้ามาโจมตีเธอ โดยเธอสามารถจัดการมันไปได้แล้ว 3 ก็แปลว่ายังมีพวกมันอีกเกินครึ่งที่มีชีวิตอยู่

 

 

 

ฮาร์ปี้เป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้ายและความอยากอาหารที่สูง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกมันจะรวมฝูงกันล่าศัตรูที่แกร่งกว่าพวกมัน

 

 

แค่ฮาร์ปีเพียง 4 ตัวก็สามารถฉีกร่างของมนุษย์มากินได้อย่างง่ายดายแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงเป็นศัตรูที่เธอจะประมาทไม่ได้เลย แม้จะเหลือเพียงตัวเดียวก็ตาม

 

 

มิโรสลาฟทำการเล็งเป้าหมายถัดไปของเธอด้วย『 อินทรีล่องหน 』

 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะพวกมันสัมผัสได้ถึงความสามารถของคู่ต่อสู้ชัดขึ้นหรือเปล่า แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันเลยดูระส่ำระสายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 

ถึงพวกมันจะเป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้าย แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ยังเป็นพวกขี้ขลาดที่รู้ว่าเมื่อตัวเองเสียเปรียบก็เลือกที่จะหนีแทน

 

 

 

พวกฮาร์ปี้อาจจะตัดสินได้แล้วว่ามิโรสลาฟไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกมันจะจัดการได้ หลังจากเห็นเธอใช้ดาบสายลมนั้นฆ่าพวกของมันจนหายไปเกือบครึ่งในชั่วพริบตา ดังนั้นพวกมันจึงตัดสินใจบินหนีไปแทน

 

 

แต่การกระทำเช่นนั้นเอง ก็เป็นการเปิดโอกาสให้มิโรสลาฟในการไล่ล่าพวกมันอย่างไร้ปรานี ราวกับพวกมันกลายเป็นเหยื่อแทน

 

 

ฮาร์ปี้ตัวแรก ตัวที่สอง จำนวนของมันค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ

 

 

 

จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ ซึ่งก็หมายความว่ามิโรสลาฟคนเดียวสามารถสังหารฮาร์ปี้ไปได้ถึง 6 ตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

 

เธอแสดงความยินดีกับผลลัพธ์ในการโซโล่ของเธอบนเขาสกิม

 

 

ร่างกายของเธอเริ่มสั่นสะท้านราวกับมันกำลังยืนยันความสำเร็จดังกล่าว

 

 

 

จากนั้นจอมเวทสาวผมแดงก็เริ่มตรวจสอบเลเวลของเธอทันที ก่อนจะแสดงท่าทางดีใจออกมา ด้วยการกำหมัดของตัวเองเอาไว้อยู่พักหนึ่ง

 

 

 

หลังจากนั้นมิโรสลาฟก็รีบออกจากสถานที่นี้อย่างรวดเร็ว เพราะเธอยังจำเป็นต้องระวังว่าการต่อสู้นี้กลิ่นเลือดของฮาร์ปี้อาจจะดึงดูดมอนสเตอร์ตัวอื่นเข้ามาอีก

 

 

ตัวเธอก็ยินดีอยู่หรอกที่จะต้อนรับมอนสเตอร์ตัวใหม่ที่เข้ามา แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อเธอไปเสียทีเดียว

 

ปลายทางที่เธอมุ่งไปนั้นก็มีเต็นท์แบบเรียบเงียบถูกตั้งเอาไว้อยู่ โดยรอบนั้นมีการสร้างบาเรียไว้กันพวกมอนสเตอร์เข้าโจมตีด้วย

 

 

 

มันคือจุดที่มิโรสลาฟใช้เป็นฐานของเธอบนเขาสกิม เธอใช้มันเป็นที่พักผ่อนหลังจากการล่ามอนสเตอร์บนเขาสกิม

 

 

ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าการที่จอมเวทซึ่งเป็นแนวหลังของปาร์ตี้มาโซโล่บนเขาสกิมแบบนี้มันเสี่ยงขนาดคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

 

 

แต่ก็เพราะการกระทำดังกล่าวจึงทำให้เธอสามารถได้รับค่าประสบการณ์มหาศาล หากจะให้พูดมิโรสลาฟนั้นเลเวลเพิ่มขึ้นมาถึง 2 เลเวลแล้ว นับตั้งแต่ที่ออกมาจากเมืองอิชกะ ตอนนี้เธอเลเวลอยู่ที่ 17

 

 

ส่วนสิ่งที่เธอต้องแลกไปก็คือหินเวทกว่าครึ่งในกระเป๋าของเธอได้หายไปแล้ว

 

ความหมายของหินเวทมันก็เหมือนกับชื่อของมัน มันคือหินที่บรรจุพลังเวทเอาไว้ข้างใน ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของเหล่าจอมเวทในการใช้เวทได้เป็นอย่างดี

 

 

มูลค่าของพวกมันก็สูงอย่างไม่ต้องสงสัย จนบอกได้ว่าหากมิโรสลาฟเอาหินเวทพวกนี้ไปขายทั้งหมด เธอคงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งหินเวทพวกนี้ยังเป็นของแบบใช้แล้วทิ้งด้วย

 

 

หากพ่อของเธอมาเห็นการกระทำของเธอตอนนี้เข้า เขาต้องกลายเป็นบ้าไปแน่นอน――รอยยิ้มอันดำมืดผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอขณะคิดเรื่องนี้

 

 

 

หินเวทที่เธอใช้ในการต่อสู้กับอุปกรณ์เวทที่สร้างบาเรียพวกนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นของทางบริษัทซัลซ่าทั้งสิ้น

 

 

เธอบอกพ่อของเธอว่าเธอต้องการสิ่งของพวกนี้ไปใช้ในการกำจัดกริฟฟอน เพื่อจะได้สร้างเส้นสายกับเอิร์ลท่านหนึ่ง หากเธอทำภารกิจที่เขาว่าจ้างสำเร็จ――แต่เจตนาจริงๆ ของเธอนั้น เธอก็แค่อยากจะหลอกผลาญเงินเขาเฉยๆ

 

 

ถ้าถามว่าทำไม มันก็เพราะมิโรสลาฟไม่ได้คิดจะจัดการกับกริฟฟอนแต่แรกอยู่แล้วน่ะสิ

 

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

 

นี่ก็เพื่อจัดการกับ ดาบฮายาบูสะ

 

 

 

เป้าหมายของมิโรสลาฟในครั้งนี้สามารถสรุปได้ผ่านประโยคเพียงประโยคเดียว

 

 

 

ที่ราสกับอิเรียแยกทางกันไปส่วนหนึ่งก็เป็นแผนของเธอ

 

 

และความหมายของการจัดการในครั้งนี้ ยังรวมไปถึงการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตัวมิโรสลาฟเองกับราสด้วย การแยกเพื่อนสมัยเด็กออกจากราส เพื่อให้เธอสามารถครอบครองเขาได้แต่เพียงผู้เดียวนั้น――มันไม่ใช่สิ่งที่เธอวาดฝันเอาไว้อีกแล้ว

 

 

 

ความรักของเธอที่เคยมีให้ราสมันจืดจางลงไปจนแทบจะสัมผัสอะไรไม่ได้อีก

 

 

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เธอดำดิ่งลงไปสู่หนองน้ำอันไร้ก้นบึ้ง―ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชังหรือตัณหา เธอไม่เคยมีประสบการณ์การถูกอารมณ์อันรุนแรงพวกนี้ควบคุมมาก่อนเลยในชีวิต

 

 

หากจะให้เทียบอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในจิตวิญญาณของเธอตอนนี้แล้ว ความรู้สึกของเธอที่มีต่อราสมันก็ช่างเบาบางราวกับขนมสายไหม

 

 

สิ่งที่อยู่ในใจของมิโรสลาฟในตอนนี้มีเพียง ความหวาดกลัว ความขยะแขยง ความเสียใจ ความสำนึกผิด ความรับผิดชอบ ความชมเชย ความรัก และการเชื่อฟัง ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เธอมีต่อชายที่ชื่อโซระ

 

 

มันเป็นความหลงใหลที่รุนแรงราวกับน้ำวน ซึ่งชำระล้างความรู้สึกของมิโรสลาฟที่มีก่อนหน้านี้ไปเสียจนหมดสิ้น

 

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธออยากจะจัดการกับดาบฮายาบูสะที่เธอใช้เวลาร่วมสร้างมาถึง 5 ปีลง

 

 

 

――แน่นอนว่าเธอไม่ได้เกลียดราสแต่อย่างใด นั่นก็หมายความว่าเธอไม่คิดจะทำร้ายอะไรเขา กระทั่งความคิดที่อยากจะฆ่าเขาก็ไม่เคยออกมาจากหัวเธอเลยสักครั้ง

 

 

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มิโรสลาฟก็พร้อมจะเข้าไปช่วยด้วยซ้ำ

 

 

จากสิ่งที่มิโรสลาฟเห็น ทางโซระเองก็ไม่ได้แสดงท่าที่เป็นปรปักษ์กับราสเท่าใดนัก เพราะโซระนั้นมักจะออกคำสั่งที่เขาต้องการจะทำเพื่อจัดการกับอิเรียและลูนามาเรียอย่างชัดเจน แต่กับราสแล้วเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรร้ายๆ ต่อราสเลย

 

 

 

กลับกันทางราสก็คงจะไม่สามารถปล่อยโซระไปได้ง่ายๆ เพราะเขาเป็นคนที่พรากลูนามาเรียไปจากราส เขายังคงเป็นศัตรูในสายตาของราส หากสุดท้ายแล้วโซระได้อิเรียไปครองอีก ความมุ่งร้ายของราสที่มีต่อเขาก็คงจะรุนแรงกว่าเดิม

 

 

 

หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป โซระก็คงมองว่าราสเป็นศัตรูด้วยแน่

 

 

ดังนั้นก่อนจะเกิดเรื่องที่เธอคิดขึ้น มิโรสลาฟจึงทำเป็นต้องทำให้ความรู้สึกมุ่งร้ายของราสที่มีต่อโซระหายไปเสียก่อน

 

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จได้ง่ายๆ

 

นั่นก็เพราะคนที่ชักนำให้ราสเกลียดโซระได้ขนาดนั้นก็คือตัวของเธอเอง

 

หากอยู่ดีๆ เธอเปลี่ยนความรู้สึกและทัศนคติที่มีต่อโซระ แล้วเริ่มเข้าข้างเขา ราสคงได้สงสัยแน่ว่าโซระทำอะไรกับเธอลงไปหรือเปล่า

 

 

ดังนั้นเธอเลยจำเป็นต้องหาเหตุผล อย่างการกำจัดกริฟฟอนนี้เพื่อให้ราสเป็นคนเดินเกมแทนเธอ

 

เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เธอปล่อยให้ราสได้ทำตามที่เขาต้องการพอเขาบอกว่าต้องการจัดการกับชื่อเสียของตน จากนั้นเธอก็ทำการคุมฉากหลังจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

 

เป้าหมายของมิโรสลาฟก็เรียบง่ายมาก

 

หลังจากราสเสียลูนามาเรียไป ชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยของเขาก็จะแย่ลง จนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด และความหงุดหงิดนั้นมันก็จะเติบโตขึ้นจนไปกระทบเข้ากับอิเรีย

 

 

ตัวของราสเองก็คงจะรู้ดีกว่าใครว่าการกำจัดกริฟฟอนในครั้งนี้มันไร้เหตุผลเพียงใดหากคิดให้ดีๆ

 

 

――ดังนั้นพอเขามาเสียมิโรสลาฟไปในเหตุการณ์ครั้งนี้อีก เขาก็คงจะเสียใจเป็นอย่างมากแน่ๆ

 

 

――และพอเขาได้โซระเข้ามาช่วยปลดปล่อยความโศกเศร้าเสียใจที่มีอยู่ ความคิดร้ายของเขาก็น่าจะหายไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

ดังนั้น การสร้างสถานการณ์ขึ้นมาบนเขาสกิมนี้จึงเหมาะเป็นอย่างมาก

 

ไม่ว่าราสจะไม่ชอบโซระมากแค่ไหน แต่ถ้าหากเขาต้องการช่วยมิโรสลาฟให้เร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องไปยืมมือของโซระที่เป็นอัศวินมังกรซึ่งสามารถบินผ่านท้องฟ้าได้

 

 

มันก็เป็นอุบายง่ายๆ เช่นนี้แหละ แต่มันก็ทำให้ราสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้โซระเข้ามาช่วยเธอ และเนื่องจากนี่เป็นการตัดสินใจของมิโรสลาฟเอง ทางกิลด์นักผจญภัยก็คงมายุ่งอะไรมากไม่ได้หรอกถึงราสจะขอให้ช่วย

 

 

นอกจากนี้ปาร์ตี้ 3 คนที่เข้ามาช่วยก็เป็นคนที่เธอจ้างมาเพื่อคุ้มกันราสแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาคงจะไปจัดการอธิบายให้กับกิลด์ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเขาทอดทิ้งเธอ

 

 

หากถามว่าอะไรที่พอจะเป็นปัญหาในตอนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่เธอไม่รู้ว่าโซระจะกลับจากหมู่บ้านเมลเทตอนไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าโซระจะเลือกมาช่วยเธอหรือเปล่า

 

 

อันที่จริงเธอก็กะจะใช้ชื่ออเล็กซานดร้าส่งจดหมายไปที่หมู่บ้านเมลเทหรอก แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นและเดินทางมาที่นี่เลย

 

 

 

นั่นก็เป็นเพราะมีบางอย่างที่เธออยากจะคิดและตัดสินใจอยู่

 

 

หากแผนของเธอจบลงด้วยดี ดาบฮายาบูสะถูกยุบไป ราสกับโซระก็สงบศึกกันได้แล้ว เธอจะทำอะไรต่อจากนั้นดีล่ะ?

 

มิโรสลาฟก็อยากจะกลับไปหาโซระหลังจากที่เธอส่งราสออกจากอิชกะไปแล้วอยู่หรอก

 

 

แต่ทางโซระก็คงไม่คิดหรอกว่าเธอจะกลับมาอยู่ข้างๆ เขา ไม่งั้นเขาคงไม่บอกกับเธอว่าพอได้ตัวลูนามาเรียกับอิเรียแล้ว เขาจะเลิกยุ่งกับดาบฮายาบูสะหรอก

 

 

 

โซระอาจจะคิดว่าการกระทำของเธอทั้งหมดก็เพื่อต้องการราสมาครองเพียงผู้เดียว

 

นอกจากนี้พอคิดดูดีๆ ทางโซระก็คงไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอด้วยสิ

 

 

 

เขาปล่อยเธอออกมาก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายดาบฮายาบูสะจากข้างใน ดังนั้นความเชื่อใจหรือศรัทธาอะไรนั่นคงไม่มีหรอก เขาคงมองเพียงว่าเธอจะได้ประโยชน์หากฟังคำพูดของเขา แต่ถ้าเธอไม่ทำตามเขาก็แค่ต้องฆ่าเธอทิ้งซะในฐานะศัตรู

 

 

การที่มิโรสลาฟยอมเสี่ยงชีวิตของเธอมาเพิ่มเลเวลบนเขาแบบนี้ก็เพราะเธออยากจะให้โซระเห็นด้วยว่าตัวเธอมีประโยชน์กับเขา

 

 

จากประสบการณ์ของเธอตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ถูกจับไป เธอมั่นใจอย่างหนึ่งว่าโซระมีความสามารถที่ใกล้เคียงกับเวทดูดพลัง ถึงจะมีส่วนยิบย่อยที่ต่างออกไป

 

 

และพอย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดและการกระทำของเขาในตอนนั้น เธอเดาว่าสิ่งที่เขาทำมันส่งผลต่อการเพิ่มเลเวลของเขาด้วย

 

 

หรือก็คือ โซระเป็นพวกที่ชอบมองหาอาหารระดับสูง หากเป็นอย่างที่เธอคิด เธอก็จำเป็นต้องเพิ่มเลเวลของตัวเองเพื่อให้เธอกลายเป็นอาหารที่โซระไม่อาจต้านทานไหว สุดท้ายเธอก็น่าจะได้รับความสนใจจากเขา

 

ส่วนสิ่งหนึ่งที่มิโรสลาฟคิดผิดไปก็คือ หลังจากที่โซระกลับมาจากหมู่บ้านเมลเท โซระได้มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงทันที

 

 

 

หากเป็นแบบนี้ ราสที่กลับไปถึงเมืองอิชกะก็ไม่น่าจะสามารถขอความช่วยเหลือจากโซระได้ในทันที

 

 

 

ส่งผลทำให้มิโรสลาฟต้องโซโล่ล่าพวกมอนสเตอร์มาได้ 5 วันแล้วและอีกไม่นานก็จะเข้าสู่วันที่ 10 ของการขึ้นเขามา

 

 

สำหรับนักผจญภัยการมาตั้งแคมป์ในที่แบบนี้ คงไม่ต้องบอกว่ามีเรื่องให้เธอต้องจัดการอยู่ทุกวัน

 

 

นอกจากนี้ เธอก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ด้วย ทั้งเรื่องอาบน้ำเอย ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่จะต้องใช้เปลี่ยนอีก

 

 

แถมน้ำและอาหารที่เธอมีอยู่ก็จำกัด บาเรียที่เธอสร้างก็ใช่จะกันมอนสเตอร์ได้ทุกตัว

 

 

 

เธอมักจะเผลอตื่นขึ้นมาในช่วงกลางคืนเนื่องจากเสียงของพวกสัตว์ที่เหยียบใบไม้บนพื้น

 

 

เธอรู้ดีว่าสภาพของตนในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก และหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายเธอก็จะไม่มีแรงเหลือแม้กระทั่งจะลงจากเขา

 

แต่ถึงเธอจะรู้ เธอก็เลือกที่จะอยู่บนเขานี้ต่อ

 

 

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังอยู่ในความคาดหมายของเธอ ไม่งั้นเธอคงไม่เตรียมหินเวทมาเต็มกระเป๋าหรอก แถมมันก็ยังพอจะทำให้เธออยู่ไปต่อได้อีก 10 กว่าวัน

 

 

ระหว่างนี้เธอก็จะทำการล่าพวกมอนสเตอร์รอไปด้วย

 

 

หรือนี่เราจะกลายเป็นบ้าไปกันแล้วนะ――ระหว่างที่เธอฆ่ามอนสเตอร์ไปเธอก็คิดเรื่องพวกนี้ไปด้วย

 

 

แต่ความพยายามของเธอมันก็ตอบแทนเธอในท้ายสุด

 

 

 

เพราะอีก 3 วันต่อมา มิโรสลาฟก็ได้ยินเสียงกระพือปีกของไวเวิร์น และในเวลานั้นเลเวลของเธอก็เพิ่มขึ้นมาอีก 2 จนเลเวลของเธออยู่ที่ 19 แล้ว

 

———

Note 1 : เชฟมิโรกำลังปรุงตัวเองให้แซบๆ กลายเป็นว่านางแค่อยากให้ราสกับโซระคืนดีกันเฉย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+