การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท

 

อาณาจักรคานาเรียนั้นเป็นอาณาจักรขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ถึง1ใน3ของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่อยู่ทางตะวันออก

 

และเนื่องจากอาณาเขตของอาณาจักรคานาเรียนั้นเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าสัตว์อสูรอย่างชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าทีทิส เขาสกิม และทะเลทรายคาทาราน อาณาจักรจึงต้องคอยรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้เสมอ

 

 

แต่ทว่า-

 

เหล่าผู้ที่มีเยือนเมืองหลวงของอาณาจักรอย่างฮอรัสก็จะพบว่าสถานที่ดังกล่าวมีชีวิตชีวาไม่เคยเงียบเหงา

 

 

 

แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลของมันอยู่

 

 

 

แม้เหล่าสัตว์อสูรจะคอยสร้างปัญหามากมายให้กับอาณาจักร แต่พวกมันก็ติดอยู่ที่เมืองด่านหน้าอย่างอิชกะและเบลก้า จึงทำให้พวกสัตว์อสูรที่หลุดมาได้นั้นมีจำนวนน้อยมาก จนสามารถพูดได้ว่าหากคนที่เอาแต่อาศัยอยู่ในกำแพงเมืองตลอดทั้งชีวิตของเขาก็มีโอกาสที่จะไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเลยสักครั้ง

 

 

กระทั่งพวกพ่อค้าเองก็สามารถเดินทางไปมาระหว่างเมืองได้โดยสะดวกและไม่เป็นกังวลใดๆ หากตนใช้เส้นทางที่เหมาะสม

 

 

เนื่องจากอาณาจักรคานาเรียทางทิศเหนือติดกับทะเลและทิศตะวันตกเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ จึงทำให้จักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่อยู่ทางตะวันออกและนครศักดิ์สิทธิ์คาริทัสทางทิศใต้เท่านั้นที่พอจะเรียกว่าประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศนั้นก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหล่าประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงการรุกรานจากเพื่อนบ้าน

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองหลวงฮอรัสเจริญรุ่งเรือง

 

 

แต่หากแสงสว่างนั้นมีมากเพียงใด เงามืดก็ยอมมากขึ้นตามในเมืองหลวงที่เฟื่องฟูเช่นนี้ก็ยังมีเงาที่ดำมืดอาศัยอยู่

 

 

และหนึ่งในเงามืดนั้นก็กำลังคืบคลานอยู่ภายในที่พักของดยุกดรากูนอทซึ่งอยู่ใจกลางของเมืองหลวง

 

 

บ้านของดยุกดรากูนอทนั้นเป็นตระกูลอันทรงเกียรติที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักร จะให้เรียกง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นชนชั้นสูงระดับสูงที่สุดในอาณาจักรคานาเรียและเป็นดาบที่คอยพิทักษ์ราชวงศ์

 

 

หรือก็คือไม่มีใครในอาณาจักรคานาเรียที่จะไม่รู้จักนามแห่งดรากูนอท

 

 

โดยเฉพาะผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่าง ปาสคาลที่เป็นหัวหน้าแห่งภาคีอัศวินมังกร ซึ่งมีถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า『ไรโค』ชื่อของเขาแม้จะเป็นประเทศอื่นก็ยังรู้จัก

 

 

 

ปาสคาลนั้นมีลูกสาวอยู่ 2 คน โดยคนพี่มีชื่อว่าแอสทริด ส่วนอีกคนมีชื่อว่าคลอเดีย

 

 

ลูกสาวคนโตของเขานั้นเป็นอัศวินมังกรที่มีพรสวรรค์ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าของภาคีอัศวินมังกร จนบางครั้งเธอก็ถูกเรียกด้วยชื่ออย่างไรโคเหมือนกับพ่อของเธอราวกับอนาคตเธอก็คงจะได้สืบทอดชื่อนั้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะปาสคาลตอนนี้มักจะทำหน้าที่อยู่ภายในวังแทนภาคสนามแล้ว

 

 

ระหว่างนี้แอสทริดก็กำลังเดินมาถึงหน้าประตูด้วยสีหน้าที่ดูหนักใจ

 

 

ไม่นานนัก รถม้าก็มาหยุดที่หน้าที่พักของตระกูลดยุก ปาสคาลพ่อของเธอก็กำลังกลับมาจากวังพอดี

 

 

แอสทริดรีบวิ่งไปยังรถม้าทันที และวินาทีที่เธอเห็นใบหน้าพ่อของเธอที่ลงมาจากรถม้า เธอก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะแสดงสีหน้าอันเศร้าหมองออกมา

 

 

 

「….ท่านพ่อ เป็นอย่างที่ข้าคิดหรือไม่? 」

 

 

 

「ใช่แล้ว…ฝ่าบาทได้บอกกับข้าโดยตรงว่าการแต่งงานระหว่างเจ้าชายเอซ่ากับคลอวถูกยกเลิกไปแล้ว 」

 

 

「-ชิ-…ขอแค่พวกเราสามารถจัดการกับพิษร้ายที่อยู่ในตัวเธอได้ และให้เวลากับพวกเรามากกว่านี้อีกสักหน่อย ข้ามั่นใจว่าต้องไม่เป็นแบบนี้-! 」

 

 

「ข้าก็บอกไปเช่นนั้นแล้วเหมือนกัน-ข้าขอเวลาในการจัดการเรื่องภายในไปอีก 1 ปี แต่อีกฝ่ายเหมือนจะรอนานขนาดนั้นไม่ได้เนี่ยสิ」

 

 

 

「อะไรกัน!」

 

 

「จากนั้นฝ่าบาทยังตรัสอีกว่า “ถึงแม้ว่าจะทำการรักษาพิษได้ แต่ผลกระทบของจิตใจจากพิษก็ใช่ว่าจะหายไป นางคงไม่สามารถมีบุตรให้กับเราได้แน่ใช่ไหมล่ะ?”」

 

 

「เพราะงั้น…-ชิ-」

 

 

แอสทริดกำหมัดด้วยความไม่พอใจหลังจากได้ยินคำพูดจากพ่อเธอ

 

 

คลอเดีย ดรากูนอท น้องสาวของแอสทริดและคู่หมั้นของเจ้าชายเอซ่า ตอนนี้กำลังถูกโจมตีโดยคำสาปที่ไม่ทราบที่มา

 

 

มันเป็นคำสาปที่ทำให้อยู่ดีๆ ร่างกายของเธอเจ็บไปทั้งตัว โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ ไม่ว่าจะลองใช้เวทมนตร์ ปาฏิหาริย์ ยาแก้พิษ ยารักษา หรืออิลิกเซอร์ก็ไม่สามารถแก้คำสาปดังกล่าวได้เลย

 

 

ไม่สิต้องบอกว่าอิลิกเซอร์มันก็ได้ผลอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักพักอาการดังกล่าวก็กลับมาเหมือนเดิม

 

 

ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามรักษาสักกี่ครั้งมันก็ไม่หายไปสักที

 

 

คลอเดียเป็นเด็กสาวที่สดใส ร่าเริงและกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แม้ว่าแม่ของเธอจะจากไปตั้งแต่ยังเล็ก แต่เธอก็เป็นเด็กสาวที่เข้มแข็งมาก เธอมักจะฝืนกัดริมฝีปากและกลั้นน้ำตาเอาไว้เสมอเพื่อไม่ให้คนรอบข้างต้องเป็นห่วง

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอพยายามฝืนปิดอาการของคำสาปในช่วงแรก เพราะเธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบอกกับพ่อและพี่ของเธอว่าไม่เป็นอะไร

 

 

แต่สุดท้ายคำสาปดังกล่าวมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังเย้ยหยันรอยยิ้มของคลอเดีย

 

 

หากเธอสามารถทนกับความเจ็บปวดระดับ 1 ได้มันก็จะเพิ่มเป็น 2 หากยังทนไหวก็กลายเป็น 3

 

 

จาก 3 ก็จะเป็น 4 5 6 …คำสาปมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคลอเดียได้เริ่มร้องไห้ออกมาให้เห็นแต่มันก็ได้หาหยุดแค่นั้นไม่

 

 

ความเจ็บปวดมันมากมายจนถึงขั้นทำให้จิตใจของเธอแตกสลาย และร่ำร้องขอให้พ่อและพี่ของเธอฆ่าเธอเสีย แอสทริดและปาสคาลที่เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบจัดการตัดสินใจบางสิ่ง

 

 

 

เพื่อที่จะปลดปล่อยเธอจากความเจ็บปวด ทั้งคู่จึงเลือกใช้ยาแก้ปวดที่ทำมาจากหญ้าทานาเซียกับเธอ

 

ฤทธิ์ของยานั้นรุนแรง แต่ในทางกลับกันร่างกายของผู้ใช้ยาก็ต้องรับภาระมากตามไปด้วย ให้พูดง่ายๆ มันก็คือยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือคนป่วยหนักที่ไม่มีทางรอดจากความตายไปได้อีกแล้ว

 

 

มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะใช้กับเด็กอายุเพียง 12 หรือ 13 ปีอย่างแน่นอน

 

 

แต่เนื่องจากมันไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับคลอเดียอีกแล้ว เธอจะต้องตายเพราะความเจ็บปวดแทนแน่หากพวกเขาไม่คิดจะทำอะไรเลย

 

 

เป็นผลให้คลอเดียแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

 

 

 

สุดท้ายแม้จะเป็นหญ้าทานาเซียมันก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้ทั้งหมด นอกจากนั้นพิษที่ตกค้างในยาก็ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลงไปเรื่อยๆ

 

 

เพื่อที่จะช่วยคลอเดียที่ผอมแห้งเข้าไปทุกวัน พ่อและพี่สาวของเธอก็ไม่เคยว่างเว้นที่จะมองหาทางออก แต่กระทั่งสุดยอดฝีมือทางการแพทย์หรือนักบวชระดับสูงก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยคลอเดียได้เลย

 

 

หลังจากหาความเป็นไปได้ทั้งหมดที่พวกเธอทำได้ แอสทริดก็ถึงกับเข่าอ่อน

 

 

แต่มันก็เป็นวินาทีเดียวกับที่สายตาของพ่อค้าคนหนึ่งมุ่งตรงมายังตระกูลดรากูนอทและยื่นผลไม้แปลกตาที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

มันคือผลของต้นจิไรอาโอคุส ที่ว่ากันว่ามีผลในการชำระล้างพิษระดับสูง แม้กระทั่งพิษจากบาซิลิสก์ก็สามารถแก้ได้

 

 

แน่นอนว่าแอสทริดกับปาสคาลไม่ได้เชื่อคำพูดของพ่อค้านามฟีโอดอร์ตั้งแต่แรก

 

หากจะบอกว่าเพราะอะไร ก็น่าจะเป็นเพราะความน่าสงสัยของตัวเขานี่แหละ

 

แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ก็จนตรอกเกินกว่าจะขับไล่โอกาสอันน้อยนิดนี้ออกไปได้

 

เพราะงั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขายอมปล่อยให้คลอเดียกินผลไม้ที่แทนความหวังสุดท้ายนี้เข้าไป

 

 

ผลลัพธ์ของมันช่างน่าทึ่ง

 

คำสาปหรือพิษอะไรก็ตามที่กำลังกัดกินคลอเดียอยู่เบาบางลง ผลกระทบที่เกิดจากพิษก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ไม่บอกก็คงรู้ว่าทั้งแอสทริดและพ่อของเธอต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

แม้จะยังเหลือปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นบ้าง แต่อย่างน้อยชีวิตของน้องสาวแอสทริดก็ปลอดภัยแล้ว

 

หากพวกเขายังมีผลของจิไรอาโอคุสอยู่ พวกเขาก็ยังสามารถขับพิษจากผลข้างเคียงของหญ้าทานาเซียไปได้ด้วย

 

พออาการของคราวเดียเริ่มคงตัวแล้ว พวกเขาก็เริ่มที่จะออกสืบสวนถึงสาเหตุของคำสาปนี้ให้มากขึ้นเพื่อที่จะทำให้เธอหลุดพ้นออกจากมันได้อย่างสมบูรณ์หลังจากนี้

 

――ขณะที่แอสทริดกำลังคิด การหมั้นหมายของมกุฏราชกุมารกับน้องสาวเธอก็ถูกยกเลิกไปแล้ว

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

มันเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่จะต้องรักษาสายเลือดของราชวงศ์เอาไว้ ไม่เพียงแต่คลอเดียไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่

 

 

กษัตริย์จึงไม่อาจจะยอมรับคลอเดียให้กลายมาเป็นมเหสีของมกุฎราชกุมารได้ แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้านในเรื่องดังกล่าว

 

เพราะเป็นไปได้ว่าคำสาปที่คอยกันกินคลอเดียอยู่อาจจะลุกลามมาถึงมกุฎราชกุมารได้เช่นกัน

 

 

แต่หลายคนก็ทราบกันดีว่านอกเหนือจากเรื่องนี้ มันก็มีเจตนาบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายในการยกเลิกการหมั้นหมาย

 

 

「พวกฝั่งจักรวรรดินิยมกำลังผลักดันให้เจ้าชายแต่งงานกับเจ้าหญิงซากุยะแทนที่จะเป็นคลอเดีย」

 

 

แอสทริดตอบกลับพ่อของเธอไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ เหมือนกับที่พ่อของเธอใช้

 

 

「แต่งงานกับเจ้าหญิงลำดับที่ 3 ของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า…มันก็ไม่ต่างอะไรกับเชิญผู้บุกรุกเข้าประเทศตัวเองเลยนะ ทำไมพวกจักรวรรดินิยมไม่เข้าใจเรื่องนี้กันนะ? 」

 

 

 

「พวกมันไม่รู้จริงๆ หรือว่าพวกมันรู้ก็เลยพยายามทำแบบนั้นกันแน่ล่ะ? 」

 

 

เสียงที่ขมขื่นไม่ได้หายไปจากน้ำเสียงของปาสคาลเลย

 

ชื่อเสียงของดยุกดรากูนอทนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความไว้วางใจของกษัตริย์ที่มีต่อพวกเขาก็มากพ้นจนพวกเขาต้องการบุตรสาวดรากูนอทไปเป็นราชินีในอนาคต

 

ปาสคาลเองก็รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่กษัตริย์ทรงโปรดปรานพวกเขา

 

 

แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ไม่พอใจและอิจฉาพวกตน ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นพวกข้ารับใช้ภายในวังที่เรียกกันว่าฝั่งจักรวรรดินิยม ซึ่งคอยต่อสู้กับดยุกดรากูนอทอยู่หลังฉาก โดยมีฝั่งจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าหนุนหลังพวกเขาอยู่

 

การยกเลิกการหมั้นคราวนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นฝีมือของพวกมัน

 

ปาสคาลยังสงสัยด้วยซ้ำว่าอาการของคลอเดียนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ แต่ด้วยหลักฐานที่เขาเจอมันไม่มากพอที่จะรัดตัวของพวกจักรวรรดินิยมได้ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน

 

หลังจากความเงียบกลืนกินไปได้สักพัก ปาสคาลก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

 

 

 

「…ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ข้าคงจะออกจากเมืองหลวงไม่ได้อีกสักพัก ต้องขอโทษเจ้าด้วย แต่ภาคีอัศวินมังกรข้าคงต้องขอฝากไว้กับเจ้า นอกจากนี้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองอิชกะ…มันค่อนข้างจะเชื่อได้ยากจริงๆ ที่มีชายหนุ่มสามารถเทมไวเวิร์นป่าให้เชื่องได้ด้วยตัวเองแบบนี้」

 

 

「นั่นเป็นเรื่องจริงค่ะ ข้าเห็นมาแล้วกับตาตัวเอง แล้วก็ตั้งตาที่จะได้เห็นสีหน้าของท่านพ่อตอนเจอกับไวเวิร์นครามด้วย」

 

 

「พูดตามตรงว่าข้าก็ไม่อยากจะเชื่อนักหรอก…เพราะขนาดตัวข้าเองการเอาชนะไวเวิร์นครามยังเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ยังทำไม่สำเร็จด้วย แล้วเพราะอะไรชายหนุ่มคนนั้นถึงทำได้กันล่ะ หากมันเป็นเรื่องจริงข้าก็อยากจะรู้ความลับในการเทมของเขาด้วย..ไม่สิยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ เพื่อเติมเต็มความฝันที่ขาดไปของข้าแล้ว แม้จะต้องเปิดไวน์ที่บ่มไว้กว่า 30 ปีเพื่อเขาข้าก็ยอม」

 

 

หลังจากที่แอสทริดได้เห็นสีหน้าที่ดูกระตือรือร้นของพ่อเธอที่เปลี่ยนไปจากเศร้าหมอง เธอก็ยิ้มออกมา

 

ทั้งเรื่องน้องสาวของเธอ เรื่องในวัง เรื่องของจักรวรรดิ…ทุกอย่างมันล้วนสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอ แต่ก็ไม่เท่ากับที่พ่อของเธอซึ่งเป็นผู้นำตระกูลต้องแบกรับเอาไว้แน่

 

ในเวลาแบบนี้คงจะไม่มีใครตำหนิเขาได้หรอก หากเขาอยากจะลืมเรื่องยุ่งยากพวกนี้ไปชั่วขณะเพื่อนึกถึงเรื่องที่น่าสนุกของตน

 

พอเธอได้เห็นปฏิกิริยาของพ่อเธอออกมาเป็นแบบนี้ เธอก็คิดว่ามันคุ้มค่าพอแล้วที่ได้สนทนากับชายหนุ่มคนนั้น…แอสทริดนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่เธอเจอเมื่อตอนเดินทางไปขอบคุณฟีโอดอร์ขึ้นมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

———

Note 1 : ส่วนพรี่โซระก็อยู่เบื้องหลังฟีโอดอร์อีกที เดาว่าคงไม่พ้นต้องไปยุ่งการเมืองของสองประเทศ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท

 

อาณาจักรคานาเรียนั้นเป็นอาณาจักรขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ถึง1ใน3ของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่อยู่ทางตะวันออก

 

และเนื่องจากอาณาเขตของอาณาจักรคานาเรียนั้นเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าสัตว์อสูรอย่างชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าทีทิส เขาสกิม และทะเลทรายคาทาราน อาณาจักรจึงต้องคอยรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้เสมอ

 

 

แต่ทว่า-

 

เหล่าผู้ที่มีเยือนเมืองหลวงของอาณาจักรอย่างฮอรัสก็จะพบว่าสถานที่ดังกล่าวมีชีวิตชีวาไม่เคยเงียบเหงา

 

 

 

แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลของมันอยู่

 

 

 

แม้เหล่าสัตว์อสูรจะคอยสร้างปัญหามากมายให้กับอาณาจักร แต่พวกมันก็ติดอยู่ที่เมืองด่านหน้าอย่างอิชกะและเบลก้า จึงทำให้พวกสัตว์อสูรที่หลุดมาได้นั้นมีจำนวนน้อยมาก จนสามารถพูดได้ว่าหากคนที่เอาแต่อาศัยอยู่ในกำแพงเมืองตลอดทั้งชีวิตของเขาก็มีโอกาสที่จะไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเลยสักครั้ง

 

 

กระทั่งพวกพ่อค้าเองก็สามารถเดินทางไปมาระหว่างเมืองได้โดยสะดวกและไม่เป็นกังวลใดๆ หากตนใช้เส้นทางที่เหมาะสม

 

 

เนื่องจากอาณาจักรคานาเรียทางทิศเหนือติดกับทะเลและทิศตะวันตกเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ จึงทำให้จักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่อยู่ทางตะวันออกและนครศักดิ์สิทธิ์คาริทัสทางทิศใต้เท่านั้นที่พอจะเรียกว่าประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศนั้นก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหล่าประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงการรุกรานจากเพื่อนบ้าน

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองหลวงฮอรัสเจริญรุ่งเรือง

 

 

แต่หากแสงสว่างนั้นมีมากเพียงใด เงามืดก็ยอมมากขึ้นตามในเมืองหลวงที่เฟื่องฟูเช่นนี้ก็ยังมีเงาที่ดำมืดอาศัยอยู่

 

 

และหนึ่งในเงามืดนั้นก็กำลังคืบคลานอยู่ภายในที่พักของดยุกดรากูนอทซึ่งอยู่ใจกลางของเมืองหลวง

 

 

บ้านของดยุกดรากูนอทนั้นเป็นตระกูลอันทรงเกียรติที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักร จะให้เรียกง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นชนชั้นสูงระดับสูงที่สุดในอาณาจักรคานาเรียและเป็นดาบที่คอยพิทักษ์ราชวงศ์

 

 

หรือก็คือไม่มีใครในอาณาจักรคานาเรียที่จะไม่รู้จักนามแห่งดรากูนอท

 

 

โดยเฉพาะผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่าง ปาสคาลที่เป็นหัวหน้าแห่งภาคีอัศวินมังกร ซึ่งมีถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า『ไรโค』ชื่อของเขาแม้จะเป็นประเทศอื่นก็ยังรู้จัก

 

 

 

ปาสคาลนั้นมีลูกสาวอยู่ 2 คน โดยคนพี่มีชื่อว่าแอสทริด ส่วนอีกคนมีชื่อว่าคลอเดีย

 

 

ลูกสาวคนโตของเขานั้นเป็นอัศวินมังกรที่มีพรสวรรค์ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าของภาคีอัศวินมังกร จนบางครั้งเธอก็ถูกเรียกด้วยชื่ออย่างไรโคเหมือนกับพ่อของเธอราวกับอนาคตเธอก็คงจะได้สืบทอดชื่อนั้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะปาสคาลตอนนี้มักจะทำหน้าที่อยู่ภายในวังแทนภาคสนามแล้ว

 

 

ระหว่างนี้แอสทริดก็กำลังเดินมาถึงหน้าประตูด้วยสีหน้าที่ดูหนักใจ

 

 

ไม่นานนัก รถม้าก็มาหยุดที่หน้าที่พักของตระกูลดยุก ปาสคาลพ่อของเธอก็กำลังกลับมาจากวังพอดี

 

 

แอสทริดรีบวิ่งไปยังรถม้าทันที และวินาทีที่เธอเห็นใบหน้าพ่อของเธอที่ลงมาจากรถม้า เธอก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะแสดงสีหน้าอันเศร้าหมองออกมา

 

 

 

「….ท่านพ่อ เป็นอย่างที่ข้าคิดหรือไม่? 」

 

 

 

「ใช่แล้ว…ฝ่าบาทได้บอกกับข้าโดยตรงว่าการแต่งงานระหว่างเจ้าชายเอซ่ากับคลอวถูกยกเลิกไปแล้ว 」

 

 

「-ชิ-…ขอแค่พวกเราสามารถจัดการกับพิษร้ายที่อยู่ในตัวเธอได้ และให้เวลากับพวกเรามากกว่านี้อีกสักหน่อย ข้ามั่นใจว่าต้องไม่เป็นแบบนี้-! 」

 

 

「ข้าก็บอกไปเช่นนั้นแล้วเหมือนกัน-ข้าขอเวลาในการจัดการเรื่องภายในไปอีก 1 ปี แต่อีกฝ่ายเหมือนจะรอนานขนาดนั้นไม่ได้เนี่ยสิ」

 

 

 

「อะไรกัน!」

 

 

「จากนั้นฝ่าบาทยังตรัสอีกว่า “ถึงแม้ว่าจะทำการรักษาพิษได้ แต่ผลกระทบของจิตใจจากพิษก็ใช่ว่าจะหายไป นางคงไม่สามารถมีบุตรให้กับเราได้แน่ใช่ไหมล่ะ?”」

 

 

「เพราะงั้น…-ชิ-」

 

 

แอสทริดกำหมัดด้วยความไม่พอใจหลังจากได้ยินคำพูดจากพ่อเธอ

 

 

คลอเดีย ดรากูนอท น้องสาวของแอสทริดและคู่หมั้นของเจ้าชายเอซ่า ตอนนี้กำลังถูกโจมตีโดยคำสาปที่ไม่ทราบที่มา

 

 

มันเป็นคำสาปที่ทำให้อยู่ดีๆ ร่างกายของเธอเจ็บไปทั้งตัว โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ ไม่ว่าจะลองใช้เวทมนตร์ ปาฏิหาริย์ ยาแก้พิษ ยารักษา หรืออิลิกเซอร์ก็ไม่สามารถแก้คำสาปดังกล่าวได้เลย

 

 

ไม่สิต้องบอกว่าอิลิกเซอร์มันก็ได้ผลอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักพักอาการดังกล่าวก็กลับมาเหมือนเดิม

 

 

ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามรักษาสักกี่ครั้งมันก็ไม่หายไปสักที

 

 

คลอเดียเป็นเด็กสาวที่สดใส ร่าเริงและกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แม้ว่าแม่ของเธอจะจากไปตั้งแต่ยังเล็ก แต่เธอก็เป็นเด็กสาวที่เข้มแข็งมาก เธอมักจะฝืนกัดริมฝีปากและกลั้นน้ำตาเอาไว้เสมอเพื่อไม่ให้คนรอบข้างต้องเป็นห่วง

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอพยายามฝืนปิดอาการของคำสาปในช่วงแรก เพราะเธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบอกกับพ่อและพี่ของเธอว่าไม่เป็นอะไร

 

 

แต่สุดท้ายคำสาปดังกล่าวมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังเย้ยหยันรอยยิ้มของคลอเดีย

 

 

หากเธอสามารถทนกับความเจ็บปวดระดับ 1 ได้มันก็จะเพิ่มเป็น 2 หากยังทนไหวก็กลายเป็น 3

 

 

จาก 3 ก็จะเป็น 4 5 6 …คำสาปมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคลอเดียได้เริ่มร้องไห้ออกมาให้เห็นแต่มันก็ได้หาหยุดแค่นั้นไม่

 

 

ความเจ็บปวดมันมากมายจนถึงขั้นทำให้จิตใจของเธอแตกสลาย และร่ำร้องขอให้พ่อและพี่ของเธอฆ่าเธอเสีย แอสทริดและปาสคาลที่เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบจัดการตัดสินใจบางสิ่ง

 

 

 

เพื่อที่จะปลดปล่อยเธอจากความเจ็บปวด ทั้งคู่จึงเลือกใช้ยาแก้ปวดที่ทำมาจากหญ้าทานาเซียกับเธอ

 

ฤทธิ์ของยานั้นรุนแรง แต่ในทางกลับกันร่างกายของผู้ใช้ยาก็ต้องรับภาระมากตามไปด้วย ให้พูดง่ายๆ มันก็คือยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือคนป่วยหนักที่ไม่มีทางรอดจากความตายไปได้อีกแล้ว

 

 

มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะใช้กับเด็กอายุเพียง 12 หรือ 13 ปีอย่างแน่นอน

 

 

แต่เนื่องจากมันไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับคลอเดียอีกแล้ว เธอจะต้องตายเพราะความเจ็บปวดแทนแน่หากพวกเขาไม่คิดจะทำอะไรเลย

 

 

เป็นผลให้คลอเดียแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

 

 

 

สุดท้ายแม้จะเป็นหญ้าทานาเซียมันก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้ทั้งหมด นอกจากนั้นพิษที่ตกค้างในยาก็ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลงไปเรื่อยๆ

 

 

เพื่อที่จะช่วยคลอเดียที่ผอมแห้งเข้าไปทุกวัน พ่อและพี่สาวของเธอก็ไม่เคยว่างเว้นที่จะมองหาทางออก แต่กระทั่งสุดยอดฝีมือทางการแพทย์หรือนักบวชระดับสูงก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยคลอเดียได้เลย

 

 

หลังจากหาความเป็นไปได้ทั้งหมดที่พวกเธอทำได้ แอสทริดก็ถึงกับเข่าอ่อน

 

 

แต่มันก็เป็นวินาทีเดียวกับที่สายตาของพ่อค้าคนหนึ่งมุ่งตรงมายังตระกูลดรากูนอทและยื่นผลไม้แปลกตาที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

มันคือผลของต้นจิไรอาโอคุส ที่ว่ากันว่ามีผลในการชำระล้างพิษระดับสูง แม้กระทั่งพิษจากบาซิลิสก์ก็สามารถแก้ได้

 

 

แน่นอนว่าแอสทริดกับปาสคาลไม่ได้เชื่อคำพูดของพ่อค้านามฟีโอดอร์ตั้งแต่แรก

 

หากจะบอกว่าเพราะอะไร ก็น่าจะเป็นเพราะความน่าสงสัยของตัวเขานี่แหละ

 

แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ก็จนตรอกเกินกว่าจะขับไล่โอกาสอันน้อยนิดนี้ออกไปได้

 

เพราะงั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขายอมปล่อยให้คลอเดียกินผลไม้ที่แทนความหวังสุดท้ายนี้เข้าไป

 

 

ผลลัพธ์ของมันช่างน่าทึ่ง

 

คำสาปหรือพิษอะไรก็ตามที่กำลังกัดกินคลอเดียอยู่เบาบางลง ผลกระทบที่เกิดจากพิษก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ไม่บอกก็คงรู้ว่าทั้งแอสทริดและพ่อของเธอต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

แม้จะยังเหลือปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นบ้าง แต่อย่างน้อยชีวิตของน้องสาวแอสทริดก็ปลอดภัยแล้ว

 

หากพวกเขายังมีผลของจิไรอาโอคุสอยู่ พวกเขาก็ยังสามารถขับพิษจากผลข้างเคียงของหญ้าทานาเซียไปได้ด้วย

 

พออาการของคราวเดียเริ่มคงตัวแล้ว พวกเขาก็เริ่มที่จะออกสืบสวนถึงสาเหตุของคำสาปนี้ให้มากขึ้นเพื่อที่จะทำให้เธอหลุดพ้นออกจากมันได้อย่างสมบูรณ์หลังจากนี้

 

――ขณะที่แอสทริดกำลังคิด การหมั้นหมายของมกุฏราชกุมารกับน้องสาวเธอก็ถูกยกเลิกไปแล้ว

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

มันเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่จะต้องรักษาสายเลือดของราชวงศ์เอาไว้ ไม่เพียงแต่คลอเดียไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่

 

 

กษัตริย์จึงไม่อาจจะยอมรับคลอเดียให้กลายมาเป็นมเหสีของมกุฎราชกุมารได้ แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้านในเรื่องดังกล่าว

 

เพราะเป็นไปได้ว่าคำสาปที่คอยกันกินคลอเดียอยู่อาจจะลุกลามมาถึงมกุฎราชกุมารได้เช่นกัน

 

 

แต่หลายคนก็ทราบกันดีว่านอกเหนือจากเรื่องนี้ มันก็มีเจตนาบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายในการยกเลิกการหมั้นหมาย

 

 

「พวกฝั่งจักรวรรดินิยมกำลังผลักดันให้เจ้าชายแต่งงานกับเจ้าหญิงซากุยะแทนที่จะเป็นคลอเดีย」

 

 

แอสทริดตอบกลับพ่อของเธอไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ เหมือนกับที่พ่อของเธอใช้

 

 

「แต่งงานกับเจ้าหญิงลำดับที่ 3 ของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า…มันก็ไม่ต่างอะไรกับเชิญผู้บุกรุกเข้าประเทศตัวเองเลยนะ ทำไมพวกจักรวรรดินิยมไม่เข้าใจเรื่องนี้กันนะ? 」

 

 

 

「พวกมันไม่รู้จริงๆ หรือว่าพวกมันรู้ก็เลยพยายามทำแบบนั้นกันแน่ล่ะ? 」

 

 

เสียงที่ขมขื่นไม่ได้หายไปจากน้ำเสียงของปาสคาลเลย

 

ชื่อเสียงของดยุกดรากูนอทนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความไว้วางใจของกษัตริย์ที่มีต่อพวกเขาก็มากพ้นจนพวกเขาต้องการบุตรสาวดรากูนอทไปเป็นราชินีในอนาคต

 

ปาสคาลเองก็รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่กษัตริย์ทรงโปรดปรานพวกเขา

 

 

แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ไม่พอใจและอิจฉาพวกตน ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นพวกข้ารับใช้ภายในวังที่เรียกกันว่าฝั่งจักรวรรดินิยม ซึ่งคอยต่อสู้กับดยุกดรากูนอทอยู่หลังฉาก โดยมีฝั่งจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าหนุนหลังพวกเขาอยู่

 

การยกเลิกการหมั้นคราวนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นฝีมือของพวกมัน

 

ปาสคาลยังสงสัยด้วยซ้ำว่าอาการของคลอเดียนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ แต่ด้วยหลักฐานที่เขาเจอมันไม่มากพอที่จะรัดตัวของพวกจักรวรรดินิยมได้ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน

 

หลังจากความเงียบกลืนกินไปได้สักพัก ปาสคาลก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

 

 

 

「…ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ข้าคงจะออกจากเมืองหลวงไม่ได้อีกสักพัก ต้องขอโทษเจ้าด้วย แต่ภาคีอัศวินมังกรข้าคงต้องขอฝากไว้กับเจ้า นอกจากนี้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองอิชกะ…มันค่อนข้างจะเชื่อได้ยากจริงๆ ที่มีชายหนุ่มสามารถเทมไวเวิร์นป่าให้เชื่องได้ด้วยตัวเองแบบนี้」

 

 

「นั่นเป็นเรื่องจริงค่ะ ข้าเห็นมาแล้วกับตาตัวเอง แล้วก็ตั้งตาที่จะได้เห็นสีหน้าของท่านพ่อตอนเจอกับไวเวิร์นครามด้วย」

 

 

「พูดตามตรงว่าข้าก็ไม่อยากจะเชื่อนักหรอก…เพราะขนาดตัวข้าเองการเอาชนะไวเวิร์นครามยังเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ยังทำไม่สำเร็จด้วย แล้วเพราะอะไรชายหนุ่มคนนั้นถึงทำได้กันล่ะ หากมันเป็นเรื่องจริงข้าก็อยากจะรู้ความลับในการเทมของเขาด้วย..ไม่สิยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ เพื่อเติมเต็มความฝันที่ขาดไปของข้าแล้ว แม้จะต้องเปิดไวน์ที่บ่มไว้กว่า 30 ปีเพื่อเขาข้าก็ยอม」

 

 

หลังจากที่แอสทริดได้เห็นสีหน้าที่ดูกระตือรือร้นของพ่อเธอที่เปลี่ยนไปจากเศร้าหมอง เธอก็ยิ้มออกมา

 

ทั้งเรื่องน้องสาวของเธอ เรื่องในวัง เรื่องของจักรวรรดิ…ทุกอย่างมันล้วนสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอ แต่ก็ไม่เท่ากับที่พ่อของเธอซึ่งเป็นผู้นำตระกูลต้องแบกรับเอาไว้แน่

 

ในเวลาแบบนี้คงจะไม่มีใครตำหนิเขาได้หรอก หากเขาอยากจะลืมเรื่องยุ่งยากพวกนี้ไปชั่วขณะเพื่อนึกถึงเรื่องที่น่าสนุกของตน

 

พอเธอได้เห็นปฏิกิริยาของพ่อเธอออกมาเป็นแบบนี้ เธอก็คิดว่ามันคุ้มค่าพอแล้วที่ได้สนทนากับชายหนุ่มคนนั้น…แอสทริดนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่เธอเจอเมื่อตอนเดินทางไปขอบคุณฟีโอดอร์ขึ้นมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

———

Note 1 : ส่วนพรี่โซระก็อยู่เบื้องหลังฟีโอดอร์อีกที เดาว่าคงไม่พ้นต้องไปยุ่งการเมืองของสองประเทศ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 52 ตระกูลดยุกดรากูนอท

 

อาณาจักรคานาเรียนั้นเป็นอาณาจักรขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ถึง1ใน3ของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่อยู่ทางตะวันออก

 

และเนื่องจากอาณาเขตของอาณาจักรคานาเรียนั้นเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าสัตว์อสูรอย่างชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าทีทิส เขาสกิม และทะเลทรายคาทาราน อาณาจักรจึงต้องคอยรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้เสมอ

 

 

แต่ทว่า-

 

เหล่าผู้ที่มีเยือนเมืองหลวงของอาณาจักรอย่างฮอรัสก็จะพบว่าสถานที่ดังกล่าวมีชีวิตชีวาไม่เคยเงียบเหงา

 

 

 

แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลของมันอยู่

 

 

 

แม้เหล่าสัตว์อสูรจะคอยสร้างปัญหามากมายให้กับอาณาจักร แต่พวกมันก็ติดอยู่ที่เมืองด่านหน้าอย่างอิชกะและเบลก้า จึงทำให้พวกสัตว์อสูรที่หลุดมาได้นั้นมีจำนวนน้อยมาก จนสามารถพูดได้ว่าหากคนที่เอาแต่อาศัยอยู่ในกำแพงเมืองตลอดทั้งชีวิตของเขาก็มีโอกาสที่จะไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเลยสักครั้ง

 

 

กระทั่งพวกพ่อค้าเองก็สามารถเดินทางไปมาระหว่างเมืองได้โดยสะดวกและไม่เป็นกังวลใดๆ หากตนใช้เส้นทางที่เหมาะสม

 

 

เนื่องจากอาณาจักรคานาเรียทางทิศเหนือติดกับทะเลและทิศตะวันตกเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ จึงทำให้จักรวรรดิแอด แอสเทอร่าที่อยู่ทางตะวันออกและนครศักดิ์สิทธิ์คาริทัสทางทิศใต้เท่านั้นที่พอจะเรียกว่าประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศนั้นก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหล่าประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงการรุกรานจากเพื่อนบ้าน

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองหลวงฮอรัสเจริญรุ่งเรือง

 

 

แต่หากแสงสว่างนั้นมีมากเพียงใด เงามืดก็ยอมมากขึ้นตามในเมืองหลวงที่เฟื่องฟูเช่นนี้ก็ยังมีเงาที่ดำมืดอาศัยอยู่

 

 

และหนึ่งในเงามืดนั้นก็กำลังคืบคลานอยู่ภายในที่พักของดยุกดรากูนอทซึ่งอยู่ใจกลางของเมืองหลวง

 

 

บ้านของดยุกดรากูนอทนั้นเป็นตระกูลอันทรงเกียรติที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักร จะให้เรียกง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นชนชั้นสูงระดับสูงที่สุดในอาณาจักรคานาเรียและเป็นดาบที่คอยพิทักษ์ราชวงศ์

 

 

หรือก็คือไม่มีใครในอาณาจักรคานาเรียที่จะไม่รู้จักนามแห่งดรากูนอท

 

 

โดยเฉพาะผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่าง ปาสคาลที่เป็นหัวหน้าแห่งภาคีอัศวินมังกร ซึ่งมีถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า『ไรโค』ชื่อของเขาแม้จะเป็นประเทศอื่นก็ยังรู้จัก

 

 

 

ปาสคาลนั้นมีลูกสาวอยู่ 2 คน โดยคนพี่มีชื่อว่าแอสทริด ส่วนอีกคนมีชื่อว่าคลอเดีย

 

 

ลูกสาวคนโตของเขานั้นเป็นอัศวินมังกรที่มีพรสวรรค์ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าของภาคีอัศวินมังกร จนบางครั้งเธอก็ถูกเรียกด้วยชื่ออย่างไรโคเหมือนกับพ่อของเธอราวกับอนาคตเธอก็คงจะได้สืบทอดชื่อนั้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะปาสคาลตอนนี้มักจะทำหน้าที่อยู่ภายในวังแทนภาคสนามแล้ว

 

 

ระหว่างนี้แอสทริดก็กำลังเดินมาถึงหน้าประตูด้วยสีหน้าที่ดูหนักใจ

 

 

ไม่นานนัก รถม้าก็มาหยุดที่หน้าที่พักของตระกูลดยุก ปาสคาลพ่อของเธอก็กำลังกลับมาจากวังพอดี

 

 

แอสทริดรีบวิ่งไปยังรถม้าทันที และวินาทีที่เธอเห็นใบหน้าพ่อของเธอที่ลงมาจากรถม้า เธอก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะแสดงสีหน้าอันเศร้าหมองออกมา

 

 

 

「….ท่านพ่อ เป็นอย่างที่ข้าคิดหรือไม่? 」

 

 

 

「ใช่แล้ว…ฝ่าบาทได้บอกกับข้าโดยตรงว่าการแต่งงานระหว่างเจ้าชายเอซ่ากับคลอวถูกยกเลิกไปแล้ว 」

 

 

「-ชิ-…ขอแค่พวกเราสามารถจัดการกับพิษร้ายที่อยู่ในตัวเธอได้ และให้เวลากับพวกเรามากกว่านี้อีกสักหน่อย ข้ามั่นใจว่าต้องไม่เป็นแบบนี้-! 」

 

 

「ข้าก็บอกไปเช่นนั้นแล้วเหมือนกัน-ข้าขอเวลาในการจัดการเรื่องภายในไปอีก 1 ปี แต่อีกฝ่ายเหมือนจะรอนานขนาดนั้นไม่ได้เนี่ยสิ」

 

 

 

「อะไรกัน!」

 

 

「จากนั้นฝ่าบาทยังตรัสอีกว่า “ถึงแม้ว่าจะทำการรักษาพิษได้ แต่ผลกระทบของจิตใจจากพิษก็ใช่ว่าจะหายไป นางคงไม่สามารถมีบุตรให้กับเราได้แน่ใช่ไหมล่ะ?”」

 

 

「เพราะงั้น…-ชิ-」

 

 

แอสทริดกำหมัดด้วยความไม่พอใจหลังจากได้ยินคำพูดจากพ่อเธอ

 

 

คลอเดีย ดรากูนอท น้องสาวของแอสทริดและคู่หมั้นของเจ้าชายเอซ่า ตอนนี้กำลังถูกโจมตีโดยคำสาปที่ไม่ทราบที่มา

 

 

มันเป็นคำสาปที่ทำให้อยู่ดีๆ ร่างกายของเธอเจ็บไปทั้งตัว โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ ไม่ว่าจะลองใช้เวทมนตร์ ปาฏิหาริย์ ยาแก้พิษ ยารักษา หรืออิลิกเซอร์ก็ไม่สามารถแก้คำสาปดังกล่าวได้เลย

 

 

ไม่สิต้องบอกว่าอิลิกเซอร์มันก็ได้ผลอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักพักอาการดังกล่าวก็กลับมาเหมือนเดิม

 

 

ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามรักษาสักกี่ครั้งมันก็ไม่หายไปสักที

 

 

คลอเดียเป็นเด็กสาวที่สดใส ร่าเริงและกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แม้ว่าแม่ของเธอจะจากไปตั้งแต่ยังเล็ก แต่เธอก็เป็นเด็กสาวที่เข้มแข็งมาก เธอมักจะฝืนกัดริมฝีปากและกลั้นน้ำตาเอาไว้เสมอเพื่อไม่ให้คนรอบข้างต้องเป็นห่วง

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอพยายามฝืนปิดอาการของคำสาปในช่วงแรก เพราะเธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบอกกับพ่อและพี่ของเธอว่าไม่เป็นอะไร

 

 

แต่สุดท้ายคำสาปดังกล่าวมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังเย้ยหยันรอยยิ้มของคลอเดีย

 

 

หากเธอสามารถทนกับความเจ็บปวดระดับ 1 ได้มันก็จะเพิ่มเป็น 2 หากยังทนไหวก็กลายเป็น 3

 

 

จาก 3 ก็จะเป็น 4 5 6 …คำสาปมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคลอเดียได้เริ่มร้องไห้ออกมาให้เห็นแต่มันก็ได้หาหยุดแค่นั้นไม่

 

 

ความเจ็บปวดมันมากมายจนถึงขั้นทำให้จิตใจของเธอแตกสลาย และร่ำร้องขอให้พ่อและพี่ของเธอฆ่าเธอเสีย แอสทริดและปาสคาลที่เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบจัดการตัดสินใจบางสิ่ง

 

 

 

เพื่อที่จะปลดปล่อยเธอจากความเจ็บปวด ทั้งคู่จึงเลือกใช้ยาแก้ปวดที่ทำมาจากหญ้าทานาเซียกับเธอ

 

ฤทธิ์ของยานั้นรุนแรง แต่ในทางกลับกันร่างกายของผู้ใช้ยาก็ต้องรับภาระมากตามไปด้วย ให้พูดง่ายๆ มันก็คือยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือคนป่วยหนักที่ไม่มีทางรอดจากความตายไปได้อีกแล้ว

 

 

มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะใช้กับเด็กอายุเพียง 12 หรือ 13 ปีอย่างแน่นอน

 

 

แต่เนื่องจากมันไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับคลอเดียอีกแล้ว เธอจะต้องตายเพราะความเจ็บปวดแทนแน่หากพวกเขาไม่คิดจะทำอะไรเลย

 

 

เป็นผลให้คลอเดียแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

 

 

 

สุดท้ายแม้จะเป็นหญ้าทานาเซียมันก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้ทั้งหมด นอกจากนั้นพิษที่ตกค้างในยาก็ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลงไปเรื่อยๆ

 

 

เพื่อที่จะช่วยคลอเดียที่ผอมแห้งเข้าไปทุกวัน พ่อและพี่สาวของเธอก็ไม่เคยว่างเว้นที่จะมองหาทางออก แต่กระทั่งสุดยอดฝีมือทางการแพทย์หรือนักบวชระดับสูงก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยคลอเดียได้เลย

 

 

หลังจากหาความเป็นไปได้ทั้งหมดที่พวกเธอทำได้ แอสทริดก็ถึงกับเข่าอ่อน

 

 

แต่มันก็เป็นวินาทีเดียวกับที่สายตาของพ่อค้าคนหนึ่งมุ่งตรงมายังตระกูลดรากูนอทและยื่นผลไม้แปลกตาที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

มันคือผลของต้นจิไรอาโอคุส ที่ว่ากันว่ามีผลในการชำระล้างพิษระดับสูง แม้กระทั่งพิษจากบาซิลิสก์ก็สามารถแก้ได้

 

 

แน่นอนว่าแอสทริดกับปาสคาลไม่ได้เชื่อคำพูดของพ่อค้านามฟีโอดอร์ตั้งแต่แรก

 

หากจะบอกว่าเพราะอะไร ก็น่าจะเป็นเพราะความน่าสงสัยของตัวเขานี่แหละ

 

แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ก็จนตรอกเกินกว่าจะขับไล่โอกาสอันน้อยนิดนี้ออกไปได้

 

เพราะงั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขายอมปล่อยให้คลอเดียกินผลไม้ที่แทนความหวังสุดท้ายนี้เข้าไป

 

 

ผลลัพธ์ของมันช่างน่าทึ่ง

 

คำสาปหรือพิษอะไรก็ตามที่กำลังกัดกินคลอเดียอยู่เบาบางลง ผลกระทบที่เกิดจากพิษก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ไม่บอกก็คงรู้ว่าทั้งแอสทริดและพ่อของเธอต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

แม้จะยังเหลือปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นบ้าง แต่อย่างน้อยชีวิตของน้องสาวแอสทริดก็ปลอดภัยแล้ว

 

หากพวกเขายังมีผลของจิไรอาโอคุสอยู่ พวกเขาก็ยังสามารถขับพิษจากผลข้างเคียงของหญ้าทานาเซียไปได้ด้วย

 

พออาการของคราวเดียเริ่มคงตัวแล้ว พวกเขาก็เริ่มที่จะออกสืบสวนถึงสาเหตุของคำสาปนี้ให้มากขึ้นเพื่อที่จะทำให้เธอหลุดพ้นออกจากมันได้อย่างสมบูรณ์หลังจากนี้

 

――ขณะที่แอสทริดกำลังคิด การหมั้นหมายของมกุฏราชกุมารกับน้องสาวเธอก็ถูกยกเลิกไปแล้ว

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

มันเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่จะต้องรักษาสายเลือดของราชวงศ์เอาไว้ ไม่เพียงแต่คลอเดียไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่

 

 

กษัตริย์จึงไม่อาจจะยอมรับคลอเดียให้กลายมาเป็นมเหสีของมกุฎราชกุมารได้ แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้านในเรื่องดังกล่าว

 

เพราะเป็นไปได้ว่าคำสาปที่คอยกันกินคลอเดียอยู่อาจจะลุกลามมาถึงมกุฎราชกุมารได้เช่นกัน

 

 

แต่หลายคนก็ทราบกันดีว่านอกเหนือจากเรื่องนี้ มันก็มีเจตนาบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายในการยกเลิกการหมั้นหมาย

 

 

「พวกฝั่งจักรวรรดินิยมกำลังผลักดันให้เจ้าชายแต่งงานกับเจ้าหญิงซากุยะแทนที่จะเป็นคลอเดีย」

 

 

แอสทริดตอบกลับพ่อของเธอไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ เหมือนกับที่พ่อของเธอใช้

 

 

「แต่งงานกับเจ้าหญิงลำดับที่ 3 ของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า…มันก็ไม่ต่างอะไรกับเชิญผู้บุกรุกเข้าประเทศตัวเองเลยนะ ทำไมพวกจักรวรรดินิยมไม่เข้าใจเรื่องนี้กันนะ? 」

 

 

 

「พวกมันไม่รู้จริงๆ หรือว่าพวกมันรู้ก็เลยพยายามทำแบบนั้นกันแน่ล่ะ? 」

 

 

เสียงที่ขมขื่นไม่ได้หายไปจากน้ำเสียงของปาสคาลเลย

 

ชื่อเสียงของดยุกดรากูนอทนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความไว้วางใจของกษัตริย์ที่มีต่อพวกเขาก็มากพ้นจนพวกเขาต้องการบุตรสาวดรากูนอทไปเป็นราชินีในอนาคต

 

ปาสคาลเองก็รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่กษัตริย์ทรงโปรดปรานพวกเขา

 

 

แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ไม่พอใจและอิจฉาพวกตน ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นพวกข้ารับใช้ภายในวังที่เรียกกันว่าฝั่งจักรวรรดินิยม ซึ่งคอยต่อสู้กับดยุกดรากูนอทอยู่หลังฉาก โดยมีฝั่งจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าหนุนหลังพวกเขาอยู่

 

การยกเลิกการหมั้นคราวนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นฝีมือของพวกมัน

 

ปาสคาลยังสงสัยด้วยซ้ำว่าอาการของคลอเดียนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ แต่ด้วยหลักฐานที่เขาเจอมันไม่มากพอที่จะรัดตัวของพวกจักรวรรดินิยมได้ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน

 

หลังจากความเงียบกลืนกินไปได้สักพัก ปาสคาลก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

 

 

 

「…ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ข้าคงจะออกจากเมืองหลวงไม่ได้อีกสักพัก ต้องขอโทษเจ้าด้วย แต่ภาคีอัศวินมังกรข้าคงต้องขอฝากไว้กับเจ้า นอกจากนี้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองอิชกะ…มันค่อนข้างจะเชื่อได้ยากจริงๆ ที่มีชายหนุ่มสามารถเทมไวเวิร์นป่าให้เชื่องได้ด้วยตัวเองแบบนี้」

 

 

「นั่นเป็นเรื่องจริงค่ะ ข้าเห็นมาแล้วกับตาตัวเอง แล้วก็ตั้งตาที่จะได้เห็นสีหน้าของท่านพ่อตอนเจอกับไวเวิร์นครามด้วย」

 

 

「พูดตามตรงว่าข้าก็ไม่อยากจะเชื่อนักหรอก…เพราะขนาดตัวข้าเองการเอาชนะไวเวิร์นครามยังเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ยังทำไม่สำเร็จด้วย แล้วเพราะอะไรชายหนุ่มคนนั้นถึงทำได้กันล่ะ หากมันเป็นเรื่องจริงข้าก็อยากจะรู้ความลับในการเทมของเขาด้วย..ไม่สิยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ เพื่อเติมเต็มความฝันที่ขาดไปของข้าแล้ว แม้จะต้องเปิดไวน์ที่บ่มไว้กว่า 30 ปีเพื่อเขาข้าก็ยอม」

 

 

หลังจากที่แอสทริดได้เห็นสีหน้าที่ดูกระตือรือร้นของพ่อเธอที่เปลี่ยนไปจากเศร้าหมอง เธอก็ยิ้มออกมา

 

ทั้งเรื่องน้องสาวของเธอ เรื่องในวัง เรื่องของจักรวรรดิ…ทุกอย่างมันล้วนสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอ แต่ก็ไม่เท่ากับที่พ่อของเธอซึ่งเป็นผู้นำตระกูลต้องแบกรับเอาไว้แน่

 

ในเวลาแบบนี้คงจะไม่มีใครตำหนิเขาได้หรอก หากเขาอยากจะลืมเรื่องยุ่งยากพวกนี้ไปชั่วขณะเพื่อนึกถึงเรื่องที่น่าสนุกของตน

 

พอเธอได้เห็นปฏิกิริยาของพ่อเธอออกมาเป็นแบบนี้ เธอก็คิดว่ามันคุ้มค่าพอแล้วที่ได้สนทนากับชายหนุ่มคนนั้น…แอสทริดนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่เธอเจอเมื่อตอนเดินทางไปขอบคุณฟีโอดอร์ขึ้นมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

———

Note 1 : ส่วนพรี่โซระก็อยู่เบื้องหลังฟีโอดอร์อีกที เดาว่าคงไม่พ้นต้องไปยุ่งการเมืองของสองประเทศ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+