การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 200 พยัคฆ์ปะทะมังกร

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 200 พยัคฆ์ปะทะมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 200 พยัคฆ์ปะทะมังกร

 

 

ทันทีที่ผมได้ยินชื่อของอนิม่าที่โดกะเรียกมันว่าคิวกิ ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

 

ในขณะที่ร่างกายกล้ามเนื้ออันใหญ่โตของเขายังคงเดิม ขนของสัตว์ก็เริ่มงอกขึ้นมาเป็น 3 สี ทั้งดำ ทอง ขาวปกคลุมทั่วร่างเป็นลายทาง ดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นเป็นสีเหลืองประกาย เขี้ยวที่ไม่สามารถเกิดขึ้นในร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์งอกมาจากปาก

 

 

การได้เห็นเขากลายร่างเป็นเหมือนเสือมันชวนให้นึกถึงเรื่องในอดีต

 

 

ว่ากันว่ามนุษย์จะกลายเป็นมอนสเตอร์ได้ก็ต่อเมื่อได้รับคำสาปหรือโรคร้ายบางอย่าง ที่รู้จักกันทั่วก็มนุษย์หมาป่า

 

 

มนุษย์หมาป่าคือมนุษย์ที่สูญเสียตัวตนของมนุษย์ไปหมดแล้ว เหลือเพียงสัญชาตญาณของสัตว์ร้ายกระหายเลือด น้ำลายก็ไหลย้อยออกมาจากมุมปากตลอดเวลา

 

 

หากเทียบกันแล้ว รูปลักษณ์ของโดกะในตอนนี้มันไม่ได้ใกล้เคียงกับที่ผมว่ามาเลยสักนิด อาภรณ์วิญญาณของเขาที่แสดงพลังออกมานั้นน่าจะอยู่ในประเภทเปลี่ยนรูปร่างของตน

 

 

สังเกตได้ชัดเลยว่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม กล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ในชุดเกราะตอนนี้เผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เขาสามารถควบคุมพลังไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เห็นได้จากการที่เขายังสงบนิ่งเช่นเดิม

 

 

 

แม้ผืนดินจะไม่ได้แตกกระจาย สายลมไม่ได้กรีดร้อง ชั้นบรรยากาศไม่ได้สั่นสะเทือน ถึงกระนั้นแรงกดดันจากพลังของเขาก็รุนแรงเสียจนร่างกายของผมรู้สึกเหมือนโดนบีบคั้น

 

 

ผมเสียวสันหลังไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้หรอกนะเป็นเพราะกลัวหรือตื่นเต้น แต่ก่อนที่ผมจะตั้งสติได้ทัน ร่างของโดกะก็พุ่งเข้ามาหาผม

 

 

 

「โอ้ววววว!!」

 

 

 

เพียงชั่วพริบตา ร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของเขาก็หายไป แม้ว่าเสียงเท้าที่เตะพื้นจะเบาหวิวราวกับเสียงฝีเท้าของกวางน้อย แต่พลังทำลายที่ตามมาเหมือนช้างศาล

 

 

 

กำปั้นขวาของโดกะกำเอาไว้แน่น ก่อนจะชกมายังร่างของผมเห็นได้ชัดว่ามันคืออาวุธของเขา แม้จะเป็นมือเปลาแต่พลังทำลายคงเทียบเท่าค้อนยักษ์

 

 

 

 

「――คึ!」

 

 

 

คมดาบของโซลอีทเตอร์รับกำปั้นที่รุนแรงราวกับกระสุนปืนใหญ่ไว้ได้ทัน เสียงเสียดสีอย่างรุนแรงของเหล็กแผดเผาใบหูผม แบบนี้ไม่ใช่เล่นๆ แล้วสิ

 

 

หากผมรับมือกับหมัดนั่นไม่ทัน ร่างของผมคงได้บินไปตามพื้นแล้ว

 

 

โดกะไม่ได้หวั่นเกรงในการเผชิญหน้าระยะประชิดกับผมเลย ทั้งที่เป็นการปะทะกันระหว่างกำปั้นกับดาบ

 

 

 

คมดาบของโซลอีทเตอร์นั้นสามารถตัดได้แม้กระทั่งเหล็กหรือเพชร ทว่ามือของโดกะกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนอยู่บนนั้น เหมือนเป็นการบอกว่าคมดาบของผมไม่สามารถทำลายบาเรียของโดกะได้

 

 

ชักไม่ดีแล้วสิ ว่ากันตามตรงนะ ขนาดผมเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยพลังคิไปแล้ว แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของอีกฝ่ายยังเหนือกว่าผมอยู่ดี ส้นเท้าของผมกรีดร้องออกมาจากแรงกดดันของอีกฝ่ายที่ผลักเข้ามา มันไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพปีศาจที่ผมเคยสู้ด้วยเลย

 

ระหว่างที่ผมคิดแขนซ้ายของโดกะก็ขยับอย่างรวดเร็วจนผมมองแทบไม่ทัน ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งใจบดขยี้สีข้างของผมขณะที่ผมต้องรับแรงปะทะจากแขนขวาของเขา

 

ราวกับเห็นประกายไฟลุกโชนอยู่บนหมัดที่กำแน่นของเขา แต่ผมก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดจะรับสักดอกไม่ไหวหรอกนะ ด้วยเหตุนี้ผมจึงลดข้อศอกขวาลงเล็กน้อยเพื่อใช้สกัดหมัดนั้น――เอาสิ พอไหวแหละวะ

 

 

 

 

 

「คึก?!」

 

 

 

กร๊อบ ผมได้ยินเสียงข้อต่อข้อศอกขวาของผมส่งเสียงแตกละเอียดออกมา เสียแห่งความเจ็บปวดได้ส่งมาจากตรงนั้น เสียงนี้มันได้ทิ่งแทงไปถึงส่วนลึกในจิตใจของผม

 

 

ผมรีบกระโดดถอยหลังไปในทันทีเพื่อสร้างระยะห่าง ระหว่างนั้นก็มองไปที่แขนขวาของตัวเอง

 

ผมว่าระหว่างผมกับโดกะในแง่ความแข็งแกร่งแล้วน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ก็ไม่ได้สงสัยหรอกนะว่าอีกฝ่ายคงใช้พลังคิปกคลุมร่างเหมือนกันแน่ๆ นอกจากนี้ลักษณะร่างกายของเขาก็ได้เปรียบผมแต่ผมก็มองว่าอาภรณ์วิญญาณของผมและพลังคิที่มากกว่าน่าจะชดเชยในจุดที่เสียเปรียบไปได้

 

 

ทว่าการโจมตีของโดกะกลับทำลายบาเรียคิของผมมาได้ ไม่สิแทนที่จะเรียกว่าทำลาย ต้องเรียกว่ามันทะลวงเข้ามา แน่นอนว่าผมสามารถหยุดการโจมตีของเขาได้ แต่คลื่นแรงกระแทกที่ส่งผ่านเข้ามานั้นมันทำให้ข้อต่อของผมแตกละเอียด――นั่นคือสิ่งที่ผมสัมผัสได้

 

 

แขนขวาของผมห้อยไปมา แม้จะเหลือมือซ้ายที่ใช้จับโซลอีทเตอร์อยู่แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือกับโดกะด้วยแขนข้างเดียว โดกะเองก็คงจะรู้เช่นกัน เขาจึงพยายามร่นระยะเข้ามาเหมือนกับที่เผชิญกันก่อนหน้านี้

 

 

พอเห็นผมอยู่ในสภาพนี้ ไคลอาก็ส่งเสียงออกมา

 

 

 

「คุณโซระ!」

 

 

 

「อย่ายุ่งเชียว!」ผมส่งสายตาบอกไปยังไคลอาไม่ให้เข้ามายุ่ง แน่นอนว่าเออซูร่าที่เห็นแบบนั้นก็หยุดมือของตัวเองเอาไว้ด้วย

 

 

ระหว่างนั้นผมก็พยายามฟื้นฟูข้อศอกขวาของตัวเองที่โดนทำลายไปด้วยโซลอีทเตอร์ ก่อนจะลองขยับข้อศอกใหม่ดูเพื่อตรวจสอบสภาพ

 

โดกะที่กลายเป็นมอนสเตอร์หน้าเสือไปแล้วได้หยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองลงทันทีที่เห็นว่าผมสามารถขยับข้อศอกที่ควรจะถูกทำลายไปแล้วอย่างง่ายดาย

 

 

 

โดกะขมวดคิ้วก่อนจะมองผมด้วยสายตาที่เฉียบคม

 

 

 

「หากปราศจากการสวดภาวนาหรือพลังแห่งทวยเทพ กระดูกที่แตกสลายไปแล้วจากการโจมตีก็ไม่ควรจะกลับมาเป็นปกติได้ในพริบตา ที่เจ้าเป็นมนุษย์จริงๆ งั้นหรือ? 」

 

 

「ขอคืนคำพูดนั้นให้นายแล้วกัน ไอ้การโจมตีบ้านั่นมันอะไรกัน? ทะลวงเบาเรียของฉันเข้ามาได้ซะงั้น เกินไปหรือเปล่า」

 

 

 

 

มันก็ไม่ใช่ประโยคที่ผมคาดหวังคำตอบอะไรหรอก แต่ทางโดกะกลับตอบผมด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย

 

 

 

 

「ชินโตคิ มันคือศาสตร์แห่งคิที่ใช้พลังคิแผงเอาไว้ภายในกำปั้นเพื่อทำลายร่างกายของศัตรูแม้อีกฝ่ายจะกางบาเรียคิเอาไว้ราวกับค้อนที่พร้อมกระทุ้งเนื้อหนัง กระดูกให้แตกเป็นเสี่ยงๆ 」

 

 

 

「กำปั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังคิ เหรอ」

 

 

 

ขณะที่ผมถอนหายใจออกทางจมูก ผมก็พยายามคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย

 

 

ถ้ามันง่ายเพียงแค่เอาพลังคิใส่ไว้ในหมัดเพื่อทำลายบาเรียก็คงจบไปแล้ว หากผมลองทำแบบโดกะ หมัดของผมก็คงจะหยุดแค่ที่บาเรียของเขา

 

 

มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดหากเป็นแค่การใช้พลังคิ บางทีมันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น

 

อย่างที่ผมเคยพูดไปว่าพลังคิของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป ศาสตร์ลับและวิธีการใช้งานก็ต่างไปด้วย ดูเหมือนว่าพวกนั้นคงจะคิดค้นศาสตร์ในการทะลวงบาเรียซึ่งแฝงอยู่ในการโจมตีแต่ละครั้ง

 

 

ความชำนาญเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะเลียนแบบเขาได้อย่างแม่นยำ แม้การโจมตีครั้งแรกจะจัดการผมไปไม่ได้ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าทักษะของโดกะสูงมากเพียงใด

พอเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมก็เดาะลิ้นออกมา การโจมตีของผมไม่สามารถทะลวงบาเรียของโดกะได้ แต่ทางโดกะกลับทะลวงบาเรียของผมเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

 

แม้ว่าบาดแผลของผมจะรักษาได้ด้วยโซลอีทเตอร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่เจ็บปวดกับบาดแผล กระดูกข้อต่อที่แตกเป็นเสี่ยงๆ จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมากให้กับผมเสมอ

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น พอโดกะรู้แล้วว่าผมสามารถฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้เขาคงจะเลือกเล็งไปในส่วนที่ฟื้นฟูไม่ได้ง่ายๆ แทนแน่ หากโจมตีที่หัวใจหรือหัวของผม ถึงจะเป็นโซลอีทเตอร์ก็ไม่ไหวหรอก

 

ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่ควรทำก็คือรักษาระยะห่างเพื่อเลี่ยงกำปั้นอีกฝ่าย ทว่าคิจินตรงหน้าผมมันไม่ใช่พวกกระจอกที่จะหนีให้พ้นได้ง่าย เหนือสิ่งอื่นใดคือผมไม่อยากจะเอาชนะอีกฝ่ายที่มีความสามารถขนาดนี้ด้วยวิธีการต่อสู้เช่นนั้น

 

 

――ถ้างั้นก็เหลือทางเลือกเดียว

 

มุมปากของผมเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

 

ผมจะไม่พยายามหนีไปรอบๆ เพื่อไม่ให้โดนโจมตี กลับกันผมจะเข้าไปสู้กับเขาในระยะประชิดแล้วให้เขาโจมตีผมได้เท่าที่เขาต้องการ ระหว่างนี้ก็ต้องหาความลับของพลังอีกฝ่ายให้ได้ หวังว่าของแบบนี้คงใช้ได้ไม่นาน

 

หากเลี่ยงจุดตายไปได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว แน่นอนว่าหากสบโอกาสผมก็จะสวนไปด้วย หากเทียบเรื่องความอึดแล้วผมน่าจะเหนือกว่า ช่องว่างที่ผมต้องการน่าจะมาถึงในเวลาไม่ช้า

 

 

 

การต่อสู้ยืดเยื้อนี้คือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ความได้เปรียบของผม ส่วนความเจ็บปวดก็มีแต่ต้องกัดฟันทนเอา

 

พอคิดได้แบบนี้ผมก็ก้าวไปข้างหน้า

 

 

เมื่อเห็นแบบนี้จ้าวพยัคฆ์ตรงหน้าของผมก็ยิ้มออกมาราวกับเดาเจตนาของผมได้เหมือนกัน

 

◆◆◆

 

 

 

――หือ เลือกที่จะเข้ามาสู้ตรงๆ งั้นหรือ

 

 

 

พอเห็นโซระเลือกจะเดินเข้ามาหาเขาแทนที่จะถอยสร้างระยะห่าง โดกะก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่าน่าสนใจ

 

 

 

มันไม่ใช่การยิ้มเพื่อเย้ย โดกะได้รับการยกย่องจากคนในนากายามะว่าคือคิจินที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ตัวเขาเองหาได้พอใจกับความแข็งแกร่งแค่นี้ไม่ พี่รองแห่งนากายามะที่อายุเพียง 20 กลางๆ นี่ยังเร็วเกินไปที่เขาจะหยุดตัวเองไว้ หนทางข้างหน้าของเขายังยาวไกล

 

โดกะคือชายที่ตั้งเป้าไว้สูงเสมอ การที่เขาสามารถใช้พลังของตัวเองและท้าทายกับศัตรูได้โดยไม่ต้องยั้งมือหรือมีข้อกำจัดใดๆ คือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้

 

 

ยิ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาด้วยยิ่งแล้วใหญ่

 

 

มาถึงจุดนี้ ตาชั่งแห่งความสนใจภายในตัวของโซระนั้นเริ่มเอนเอียงแล้ว

 

 

นอกจากนี้ยังมีคำพูดของอาซึมะพี่ชายของตนที่บอกก่อนออกเดินทาง แน่นอนว่าโดกะไม่ลืมว่าอาซึมะคาดหวังกับโซระมากเพียงใด

 

 

ส่วนตัวโดกะไม่ไว้วางใจพวกมนุษย์เลยสักนิด เขาไม่ได้สนใจสันติหลังจากนี้ ไม่สิหากจะพูดให้ถูกต้องพวกมนุษย์นั้นไว้ใจไม่ได้พวกมันคงจะหาทางทำลายสนธิสัญญาแน่แม้จะสร้างสันติกันสำเร็จ พวกมันจะต้องหาจุดที่ตัวเองได้เปรียบมากดขี่พวกตนไม่ต่างจากอดีต เขาจึงไม่อยากเสียเวลามาสร้างสันติอะไรกับพวกมนุษย์

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะคิดแบบนั้น แต่ด้วยคำพูดของอาซึมะที่บอกกับเขาตอนอยู่ไซโตะ ว่าหลังจากนี้พวกตนจะต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ด้วยคำพูดมากกว่าคมหอกคมดาบ

 

 

 

――เขารู้สึกเหมือนกำลังลังเล

 

 

โดกะเริ่มถามกับตัวเอง

 

 

อาซึมะบอกว่าเขาคาดหวังกับโซระไว้สูง แต่เขาก็ไม่ได้ออกคำสั่งว่าจะให้จับตัวโซระไปหรือเปล่า ดังนั้นการฆ่าโซระตรงนี้ก็ถือว่าไม่ใช่การขัดคำสั่งพี่ชายตน หากทางนั้นกำชับว่าต้องจับเป็นกลับมาโดกะก็พร้อมทำตามแต่ โดกะก็ชักไม่มั่นใจว่าหากต้องเจ็บเป็นโซระเขาจะทำได้หรือเปล่าเพราะอีกฝ่ายเคี้ยวไม่ง่ายเลย

 

ทำตามใจที่เจ้าต้องการสิ มีเสียงหนึ่งกระซิบออกมา โดกะรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของตัวเขาเอง

 

 

 

เขามีความรู้สึกว่าหากเขาปล่อยให้ชายตรงหน้าพบกับพี่ชายตน บางอย่างต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ นอกจากนี้เขาก็เชื่อว่าหากฆ่าโซระลงตรงนี้เสีย สิ่งที่เขากังวลก็จะมลายหายไปด้วย

 

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นโดกะก็ตระหนักได้ถึงใจจริงของเขา แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

 

 

「คุค…..คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าข้ารู้สึกกลัว」

 

 

 

เขาไม่ได้เกรงกลัวพลังของโซระ แต่เขากลัวการเปลี่ยนแปลงที่โซระจำนำมาด้วย

 

 

เขาสัมผัสไม่ได้ถึงความเกลียดชังในตัวคิจินจากโซระเลย นอกจากนี้เขายังได้รับสร้อยข้อมูลซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความไว้วางใจจากคิจินนอกประตูอีก ความคิดของเขาต่างจากคนเฝ้าประตูอย่างสิ้นเชิง

 

 

อาซึมะนั้นแสดงความชื่นชอบในตัวของโซระอย่างชัดเจน บางทีหากพี่ชายตนได้เจอกับโซระ การประนีประนอมอาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้

 

แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ความเกลียดชังภายในตัวคิจินหลายๆ ตน ในจุดนี้หากจะบอกว่าอาซึมะคือคนคนเดียวที่หวังจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ก็ไม่ผิด โดกะรับคำสั่งจากอาซึมะโดยไม่มีข้อแม้ แต่ตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเขารู้สึกไม่พอใจกับทางเลือกของอาซึมะ

 

 

ขนาดโดกะที่ใกล้ชิดกับอาซึมะยังรู้สึกขนาดนี้ คนไกลตัวจะรู้สึกขนาดไหนล่ะ

 

ปลายทางแห่งความไม่พอใจนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบัลลังก์แน่ และคนที่จะถูกเลือก็ไม่มีใครเสียนอกจากโดกะที่ไม่พอใจการกระทำของอาซึมะ

 

การปล่อยให้โซระได้พบเจอกับพี่ชายของเขา แล้วนำพาปัจจัยแห่งความขัดแย้งระหว่างเขากับพี่ชายมา นั่นคือสิ่งที่โดกะหวาดกลัว

 

 

โดกะตระหนักได้ถึงความกังวลของตัวเอง แถมเขาไม่สามารถพูดอย่างเต็มปากได้อีกด้วยว่าเขาจะไม่ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ๆ

 

 

เขาไม่ใช่คนที่คิดจะขัดคำสั่งของพี่ชาย เขาไม่ได้ต้องการในบัลลังก์ อย่างไรก็ตามความรู้สึกใจจริงของโดกะที่ไม่อยากเห็นพี่ชายต้องก้มหัวให้มนุษย์เป็นของจริง

 

 

 

หากเป็นฝั่งมนุษย์ก้มหัวให้พี่ชายตน โดกะก็จะไม่ขัดข้องในความสัมพันธ์นี้เลย แต่เขาไม่อาจจะทนเห็นภาพมนุษย์อยู่เทียบเท่ากับพี่ชายของตนได้เลยสักนิด

 

หากพี่ชายของเขาตั้งใจจะสร้างสันติกับมนุษย์จริงๆ เขาก็คงต้องยืนหยัดในการค้านเรื่องนี้――พอโดกะรู้ว่าตัวเองคิดเตลิดไปไกลแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาทางจมูก

 

 

ในฐานะน้องชายของกษัตริย์ พี่รองแห่งนากายามะ ชายผู้สร้างชื่อในสนามรบมากกว่ากษัตริย์เป็นตำแหน่งที่น่าลำบากใจเกินใครจะคิด แม้จะเป็นน้องชายของเขาอย่างฮาคุโร่หรือคาการิก็คงไม่เข้าใจ

 

 

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดเรื่องนี้ ทว่าความคิดพวกนี้ก็ไม่ได้จะผุดขึ้นมาบ่อยนัก แต่หากมันเกิดขึ้นมาแล้วโดกะก็จำเป็นต้องออกไปต่อสู้ สู้จนกว่าร่างกายและจิตใจของเขาจะหมดแรง ต้องทำหัวให้โล่งที่สุดจนไม่เหลือเวลาไปคิดเรื่องพวกนี้

 

 

หากเป็นเมื่อก่อนคู่ต่อสู้คงจะเป็นมอนเตอร์แถวๆ นากายามะ แต่ตอนนี้เขาได้เจอคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว

 

 

โดกะได้จ้องมองไปยังใบหน้าของโซระอีกครั้ง

 

 

ก่อนจะเผยรอยยิ้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ออกมา เขาได้เร่งพลังภายในร่างออกไปจนทั่วบริเวณราวพายุคลั่ง ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่พร้อมรบถึงขีดสุดแล้ว

 

 

โดกะยิ้มออกมาเมื่อได้เผชิญหน้ากับโซระที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาตน

 

 

ทั้งความสัมพันธ์ต่อจากนี้กับมนุษย์ ข้อดีข้อเสียของการสร้างสันติ เขาควรจะให้โซระได้พบกับพี่ชายของเขาหรือไม่ เขาเลือกจะขอทิ้งมันไว้ก่อนตอนนี้การเอาชนะคู่ต่อสู้ตรงหน้าสำคัญที่สุด ที่เหลือค่อยว่ากัน

 

 

 

บางทีพอถึงตอนนั้นเขาอาจจะได้คำตอบก็ได้――เมื่อคิดได้แบบนี้โดกะก็กระโจนเข้าไปโจมตีโซระทันที

 

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้อันดุเดือดที่จะกินเวลาถึง 3 วัน 3 คืน

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด