การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 144 ผู้บุกรุกสีทมิฬ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 144 ผู้บุกรุกสีทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 144 ผู้บุกรุกสีทมิฬ

 

 

กิ้วๆ ดูเหมือนคราว โซราสจะส่งเสียงอย่างอารมณ์ดีออกมาขณะที่บินตรงไปทางเหนือ

 

ระหว่างทางผมก็ได้เห็นแนวป้องกัน 3 จุด จาก 4 จุดซึ่งเป็นแนวป้องกันที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเมืองอิชกะ ให้เหตุการณ์มอนสเตอร์คลุ้มคลั่ง

 

 

 

นอกจากแนวป้องกันที่ 4 ที่ผมกำลังจะมุ่งหน้าไป อีก 3 อันที่เหลือก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้งานเลย แต่ที่ยังเห็นคนอยู่บ้างก็คงเป็นเพราะเหตุความวุ่นวายในป่ามันยังไม่สงบ

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน แนวป้องกันที่ 4 ก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของผม แนวหน้าที่ใช้ในการรับมือกับพวกมอนสเตอร์ ระหว่างที่ผมกำลังสู้กับไฮดรา พวกไคลอาก็มารับมือกับมอนสเตอร์ตรงนี้แหละ

 

 

 

และเพราะมันเป็นแนวหน้าจำนวนของนักผจญภัยและทหารก็เลยมากกว่าแนวป้องกัน 3 อันที่เหลือ

 

 

โดยปกติแล้วแนวหน้ามันต้องเป็นจุดที่อันตรายมาก แต่จากที่ผมเห็นสถานการณ์คงไม่ได้เลวร้ายสุดๆ เท่าที่ผมคิด เพราะผมเห็นแผงขายอาหารและนักผจญภัยที่กำลังเพิ่มขวัญกำลังใจตัวเองด้วยการนั่งดื่มเหล้ากลางวันแสกๆ พวกทหารที่ดูก็ไม่ได้ไปห้ามหรือต่อว่าอะไร

 

 

ความตึงเครียดนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้แน่ในคราวก่อน หรือก็คือเวลาที่พวกผมมียังเหลือเฟือสินะ――ฟุมุๆ

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ ผมก็เห็นว่าพวกที่อยู่ข้างล่างเหมือนจะสังเกตได้แล้วว่ามีไวเวิร์นครามกำลังบินตรงมาทางพวกเขา แล้วส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นออกมา แถมยังมีเสียงเชียร์ดังขึ้นมา――บรรยากาศแห่งความโกลาหลได้แผ่ไปทั่วแนวหน้า

 

 

ไวเวิร์นครามมันก็เด่นจริงๆ นั่นแหละ เนื่องจากผมไม่ได้มีเจตนาจะลงไปเปิดตัวโชวให้ทุกคนเห็นว่า ดราก้อนสเลเยอร์มาแล้วจ้าอะไรทำนองนั้น ผมก็เลยให้คราว โซราสลงจอดห่างจากกำแพงแนวป้องกันเล็กน้อย คงได้เป็นปัญหาแน่หากไปจอดกลางค่าย

 

 

จากนั้นผมก็เดินไปที่กำแพงของแนวป้องกัน ทั้งที่แอบเตรียมใจว่าจะได้เจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยเพราะเอาไวเวิร์นบินมาโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วแท้ๆ นะ แต่พวกทหารยามดันทักทายผมอย่างมีมารยาทแล้วปล่อยผมเข้าไปง่ายๆ เฉยเลย

 

พวกเขาคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นกำลังเสริมหรืออะไรทำนองนั้นมั้ง แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องแก้ไขความเข้าใจนี้ ผมก็เลยเดินหลังตรงผ่านประตูไป

 

ตอนนี้ชีลกับซูซูเมะหายไปไหนกันนะ ถึงจะเป็นแนวหน้าแต่ข้างในก็มีทั้ง ค่าย หอสังเกตการณ์ คอกม้า กองบัญชาการ และอีกมากมาย ดังนั้นแค่เดินเฉยๆ โดยไร้จุดหมายคงไม่มีทางหาพวกเธอเจอได้ง่าย

 

 

พอผมจะพยายามไปถามใครสักคนหนึ่งเพื่อหาข้อมูล คนที่เข้ามาล้อมรอบก็ดันส่งเสียงเอะอะกันแล้วล้อมผมไว้อย่างกับผมเป็นสัตว์หายาก

 

 

 

ช่วยไม่ได้สินะ กลับไปถามทหารที่เฝ้าประตูแล้วกัน ยังไงมนุษย์สัตว์กับคิจินก็เด่นด้วยตัวพวกเธอเองอยู่แล้ว หากเป็นทหารในค่ายยังไงก็น่าจะรู้ ไม่สิถ้าซูซูเมะสวมหมวกอยู่ก็อาจจะไม่รู้ก็ได้

 

 

ขณะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับไปถามทหาร――สองร่างที่แสนคุ้นเคยก็พุ่งออกมาจากอาคารใกล้ๆ ผมว่านั่นน่าจะเป็นกองบัญชาการนะ――พอสองร่างนั้นเห็นว่าเป็นผมก็รีบวิ่งเข้ามาหาเร็วกว่าเดิม ก่อนจะหอบหายใจด้วยความเหนื่อย

 

 

ก็ตามที่คาดสองคนนั้นคือซูซูเมะกับชีล

 

 

 

 

 

「คุณโซระ ยินดีต้อนรับกลับนะ! ในที่สุดก็กลับมาได้สักที!」

 

 

 

「ย-ยินดีต้อนรับกลับนะ….!」

 

 

 

 

ชีลทักผมด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ตามมาด้วยซูซูเมะ

 

 

 

 

ขณะที่ทั้งสองทักทายผม ผมก็แอบสังเกตดูพวกเธอ ทั้งคู่เหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ถึงจะมีรอยคล้ำรอบดวงตาจากความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องออกไปต่อสู้…แต่คงไม่หนักหนาเกินแรงพวกเธอ หากเทียบกับช่วงก่อนหน้า ฝูงมอนสเตอร์ที่ปรากฏออกมาเหมือนจะไม่ได้หนักขนาดนั้น

 

 

 

 

ขณะที่รู้สึกโล่งใจ ผมก็ถามกับพวกเธอ

 

 

 

「ดูเหมือนพวกเธอจะสบายกันดีนะ ได้ยินจากนักบวชซาร่าว่าลูนามาเรียกับมิโรสลาฟก็มาด้วยไม่ใช่เหรอ พวกนั้นปลอดภัยกันดีหรือเปล่า? 」

 

 

 

「ค่ะ แน่นอนว่าปลอดภัยกันดี! แต่ตอนนี้พวกเธอเดินทางเข้าไปในป่าพอดี」

 

 

 

 

ชีลตอบคำถามผมพลางพยักหน้าให้

 

 

พอได้ยินผมก็รู้สึกสงสัยแล้วถามต่อ

 

 

 

 

 

「ในป่าเหรอ? จากที่ฉันได้ยินมา พวกเธอแค่ถูกขอให้รับมือกับมอนสเตอร์ที่หลุดออกมาจากป่าไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเข้าไปข้างในด้วยล่ะ? 」

 

 

 

เพราะความอันตรายของการบุกกับการป้องกันมันแตกต่างกันมาก แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในส่วนลึกด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้แตกต่างกันเลย สถานการณ์ภายในป่าโดยปกติแล้วจะถูกแบ่งความอันตรายเป็น――เขตรอบนอก เขตส่วนลึก และลึกที่สุด――แต่ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว พวกมอนสเตอร์ระดับสูงก็สามารถปรากฏตัวออกมาเขตรอบนอกได้

 

 

เพื่อตอบคำถามของผม สองสาวก็หันไปสบตากัน แน่นอนว่าไม่ใช่การจ้องหน้ากันเฉยๆ แต่เป็นการปรึกษากันแล้วส่งสายตาว่าใครจะเป็นคนตอบดี

 

 

แล้วก็เป็นทางซูซูเมะที่เปิดปากพูด

 

 

 

 

「เหตุผลที่ทั้งสองคนเข้าไปในป่าไม่ใช่เพื่อจัดการมอนสเตอร์ แต่คนของทางวิหารแห่งกฏหมายมาขอให้คนคุ้นเคยกับป่านำทางน่ะ…」

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของซูซูเมะ คำถามในหัวของผมที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำไมวิหารแห่งกฎหมายต้องมาขอให้พวกของผมนำทางเข้าป่าทีทิสด้วยล่ะ?

 

ขณะที่ผมกำลังจะถามต่อ ผมก็เห็นสีหน้าที่ดูลำบากใจของทั้งสองก็เลยเลือกจะหยุดเอาไว้ก่อน หากผมเอาแต่ถามแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการผมพยายามตำหนิทั้งสองคนเลยนี่หว่า นอกจากนี้วัตถุประสงค์จริงๆ ของวิหาร พวกเธอคงไม่รู้หรอก

 

 

เนื่องจากเป็นทางลูนามาเรียกับมิโรสลาฟเองที่ยอมรับคำขอพวกนี้ จึงเดาได้ว่าพวกเธออาจจะมีเหตุผลของตัวเองก็ได้ ผมก็เลยไม่สามารถบ่นอะไรได้

 

 

สำหรับตอนนี้ก็คงต้องชมพวกเธอที่ยอมเสี่ยงตัวเองรับคำขอเพื่อประโยชน์ของแคลน

 

 

 

ขณะที่ผมกำลังจะเปิดปากพูด ผมก็เห็นว่ามีใครบางคนกำลังออกมาจากกองบัญชาการที่อยู่ข้างหลังซูซูเมะ ผมก็เลยเงียบไว้ก่อน

 

 

 

 

 

「….ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ดราก้อนสเลเยอร์」

 

 

 

คนที่ก้มหัวให้กับผมด้วยท่าทีที่แข็งทื่อก็คือลิดเดลพนักงานต้อนรับของกิลด์นั่นเอง

 

 

นี่เป็นครั้งแรงเลยมั้งที่ได้เจอกัน นับตั้งแต่เหตุการณ์ไฮดราที่ผมพาเธอเขาห้อง แถมสุดท้ายก็เป็นผมที่ยอมปลอยเธอซึ่งพยายามจะเสียสละตัวเองเพื่อเอลการ์ดโดนไม่แตะต้องเธอ

 

 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความวุ่นวายภายในกิลด์มันจบลงแบบไหน แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าลิดเดลจะยังทำงานที่กิลด์ได้ ส่วนเอลการ์ดก็ทำหน้าที่ในฐานะกิลด์มาสเตอร์ต่อไป

 

 

 

เรื่องนั้นช่างมันก่อน ที่ผมสงสัยคือเธอจะมาคุยอะไรกับผม ก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะมาขอบคุณเรื่องที่ปล่อยเธอกลับบ้านโดยไม่ทำอะไร

 

 

และไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญด้วยเพราะเธอปล่อยให้ชิลกับซูซูเมะออกมาก่อน

 

 

นอกจากนี้ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเธอดูกระวนกระวาย ทำตัวระมัดระวังเป็นอย่างมาก คงเพราะเธอกังวลถึงการมีอยู่ของเธออาจจะทำให้ผมรำคาญใจได้

 

 

 

หลักฐานก็คือพอผมตอบรับคำทักทายกลับไป เธอก็แสดงสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงและก้มหัวทักทายผมอีกที ก่อนจะนำทางพวกผม 3 คนไปที่กองบัญชาการ ซึ่งตรงนั้นเองที่ผมได้ฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้

 

 

 

 

 

ตามที่ลิดเดลบอกก็คือคนของวิหารแห่งกฎหมายที่ซูซูเมะพูดก่อนหน้านี้ คือกองกำลังแนวหน้าที่ทางนครศักดิ์สิทธิ์ส่งมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับอุปสรรคหลายๆ อย่างก่อนที่พระสันตะปาปาจะเดินทางมาถึง

 

 

 

แล้วก็ดูเหมือนทางนั้นจะเป็นคนขอให้แคลนผมช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย

 

 

แถมจากพวกที่ส่งมาก็มีนักบวชระดับสูงอยู่ด้วย หมายความว่าทางวิหารและนครศักดิ์สิทธิ์คงให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้จริงๆ

 

 

อาณาจักรคานาเรียนั้นก็เต็มไปด้วยสาวกแห่งวิหารอย่างนักบวชซาร่าและอิเรีย นอกจากนี้หากอาณาจักรคานาเรียยังเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวนานกว่านี้ ผลกระทบที่ตามมาก็จะส่งไปยังประเทศรอบข้างอย่างนครศักดิ์สิทธิ์ พอพิจารณาถึงผลได้เสียทั้งหมดแล้ว พระสันตะปาปาก็เลยตัดสินใจว่าไม่ควรปล่อยเหตุการณ์นี้ต่อไป

 

 

พอมาคิดดูแล้วการที่พระสันตะปาปาเดินทางมาซะเร็วเลยทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงพิธีแต่งงานก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา คงเพราะเขาเล็งเอาไว้ด้วยว่าอยากจะรีบมาจัดการเรื่องบาเรียให้

 

 

เดี๋ยวก่อนสิ แต่การจะติดตั้งบาเรียได้มันต้องใช้เขาของเบฮีมอธไม่ใช่เหรอ มันยังไงกันแน่นะ ไม่สิบางทีเขาเบฮีมอธอาจจะจำเป็นในกรณีที่ทำให้บาเรียคงอยู่ในระยะยาว แต่หากเป็นระยะสั้นแค่พลังของมนุษย์ก็น่าจะเพียงพอละมั้ง

 

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไหน ผมก็รู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ ที่พยายามเพื่อประเทศอื่น ไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว ทุกคนในที่แห่งนี้ก็คงรู้สึกเหมือนกัน ก็จริงว่าผมมียาที่ใช้ในการรักษาพิษ แต่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเลยมันย่อมดีกว่า

 

 

 

หลังจากลิดเดลให้ข้อมูลโดยรวมกับผมแล้ว เธอก็เริ่มพูดความต้องการของฝั่งเธอบ้าง

 

「ความรู้ของท่านโซระเกี่ยวกับป่าทีทิส โดยเฉพาะส่วนที่ลึกที่สุดของป่า ท่านคือที่หนึ่งในเมืองอิชกะ ดังนั้นพวกเราเลยอยากจะขอยืมแรงท่านค่ะ」

 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เห็นพนักงานต้อนรับคนนี้ก้มหัวต่ำซะขนาดนี้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป

 

 

 

แก๊งๆๆ!! เสียงระฆังถูกเคาะดังขึ้นไปทั่วแนวป้องกัน

 

 

 

 

พอผมมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่า ทหารที่อยู่บนหอสังเกตการณ์กำลังตีระฆังพร้อมกับชี้ไปยังทิศของป่า

 

 

 

จากนั้นพวกเขาก็ส่งสัญญาณที่แปลเป็นคำว่า「จู่โจม」「มอนสเตอร์」แต่พอผมมองไปยังลิดเดล เธอกลับแสดงสีหน้าที่สงบนิ่งเช่นเดิม

 

 

 

「การบุกโจมตีของพวกมันก็มีหลายครั้งอยู่แล้วค่ะ แต่ด้วยกำลังที่มีตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร」

 

 

 

「ก็ใช่อยู่ แต่ถ้าชีลกับซูซูเมะออกไปด้วยตอนนี้จะไม่แย่เอาเหรอ? 」

 

 

「ทั้งสองคนไม่ได้มีหน้าที่ในการป้องกันค่ะ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่จำเป็นต้องออกไปสู้ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล」

 

 

เธอตอบอย่างสงบนิ่ง เห็นแล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงกล้าไปตอบแทน 2 คนนั้นซะมั่นใจเลย แต่ก็เอาเถอะ หากตั้งรับกันมาได้สักพักขนาดนี้แล้ว แค่การโจมตีประมาณนี้คงไม่มีปัญหาอะไร

 

 

 

 

ใช่แล้วตราบใดที่มันยังไม่รุนแรงเท่าช่วงที่ไฮดราอยู่――――แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดจนจบ เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองก็ดังขึ้น

 

 

ไม่ใช่แค่คนเดียว 2 3 4 5….เสียงกรีดร้องจากคนจำนวนมากกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้พอเห็นสีหน้าของลิดเดลที่เปลี่ยนไปก็รู้ได้เลยว่ารอบนี้ฉุกเฉินของจริง

 

 

จากนั้นเสียงกรีดร้องที่ดังเป็นพิเศษก็ส่งออกมา โดยเจ้าของเสียงก็คือทหารที่ผมเห็นเมื่อกี้นี้

 

 

เงาสีดำได้ลอยอยู่เหนือร่างของทหารคนนั้น

 

 

ผมพยายามส่งพลังคิไปทั่วร่างเพื่อพุ่งออกจากห้องไป แต่เสียงกรีดร้องของเขาก็หยุดไปเสียแล้ว ก็หมายความว่าผมมาช้าไป

 

 

ศพของทหารที่คอขาดกระเด็นไปแล้ว ได้ร่วงลงมาจากหอสังเกตการณ์ สิ่งที่เหลืออยู่บนนั้นมีเพียงมอนสเตอร์ร่างทมิฬสองขา สองมือซึ่งใช้เขี้ยวของมันในการขย้ำคอทหาร

 

 

 

 

 

「นั่นมันกูลนี่นา――ไม่สิกูลทมิฬ ทำไมพวกอันเดธถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน?! 」

 

ลิดเดลพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

 

 

กูลนั้นเป็นมอนสเตอร์ที่ชอบกินซากศพของมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ แต่ถ้าในแง่ของพลังแล้วยังไงกูลก็เหนือกว่าซอมบี้ไปหลายขุม แล้วพอเป็นกูลทมิฬยิ่งแล้วใหญ่เพราะมันเป็นอันเดธสายพันธุ์ที่ทรงพลังมากเหนือกว่ากูลทั่วไป

 

 

 

พวกมอนสเตอร์และสัตว์อสูรได้ออกมาจากป่าทีทิสเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่สำหรับพวกอันเดธถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก เพราะผมไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนเลย

 

คงบอกไม่ได้เต็มปากว่าจะไม่มีนักผจญภัยที่ตายในป่าแล้วกลายเป็นอันเดธไป แต่การที่จะมีของแบบนี้มันเป็นสิบๆ ตัวแล้วเข้ามาโจมตีแนวป้องกันพร้อมกันนี่ ดูยังไงมันก็ไม่ปกติ หากบอกว่าเป็นฝีมือของใครบางคนยังฟังขึ้นกว่าเยอะ

 

 

และคนที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือเนโครแมนเซอร์

 

 

พอนึกถึงตัวตนของศัตรูแนวนี้ใบหน้าของจินโบ ศัตรูที่ผมเคยฆ่าไปในอดีตก็โผล่ขึ้นมา เพราะหมอนั่นก็ใช้อันเดธในการโจมตีเมืองหลวงและคฤหาสน์ดยุกดรากูนอท แถมยังเป็นคนจากธงแห่งฝืนป่าด้วย

 

 

แต่จะให้มองว่าเป็นฝีมือของตระกูลก็คงจะยาก เพราะพวกเขาคงวุ่นเรื่องเทพปีศาจกับคิจิน แถมก็คงรู้ดีแล้วด้วยว่าถึงจะเอากูลหรือกูลทมิฬขนมาเป็นร้อยๆ ตัวก็ทำอะไรผมไม่ได้

 

 

ก็แปลว่าผมไม่ใช่เป้าหมายในคราวนี้ ถ้างั้น ใครกันล่ะ?

 

ศัตรูตามธรรมชาติของพวกเนโครแมนเซอร์ก็คือเทพเจ้าและนักบวชที่เป็นสาวก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่มันจะเล็งจัดการกับพวกนักบวชของนครศักดิ์สิทธิ์ก็มีสูง

 

 

 

ระหว่างที่กำลังรวบรวมความคิด ผมก็ชักดาบออกมาจากฝักที่เอว

 

 

ถึงจะเดาผิดก็ไม่เป็นไร เพราะตราบใดที่การโจมตีดังกล่าวมันส่งผลต่อลูนามาเรียกับคนรอบตัวผม ผมก็ไม่ปล่อยไว้เฉยๆ หรอก

 

 

ใครมันจะยอมให้ไอ้หน้าไหนไม่รู้มาทำร้ายอาหารที่แสนมีค่ากัน

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 144 ผู้บุกรุกสีทมิฬ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 144 ผู้บุกรุกสีทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 144 ผู้บุกรุกสีทมิฬ

 

 

กิ้วๆ ดูเหมือนคราว โซราสจะส่งเสียงอย่างอารมณ์ดีออกมาขณะที่บินตรงไปทางเหนือ

 

ระหว่างทางผมก็ได้เห็นแนวป้องกัน 3 จุด จาก 4 จุดซึ่งเป็นแนวป้องกันที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเมืองอิชกะ ให้เหตุการณ์มอนสเตอร์คลุ้มคลั่ง

 

 

 

นอกจากแนวป้องกันที่ 4 ที่ผมกำลังจะมุ่งหน้าไป อีก 3 อันที่เหลือก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้งานเลย แต่ที่ยังเห็นคนอยู่บ้างก็คงเป็นเพราะเหตุความวุ่นวายในป่ามันยังไม่สงบ

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน แนวป้องกันที่ 4 ก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของผม แนวหน้าที่ใช้ในการรับมือกับพวกมอนสเตอร์ ระหว่างที่ผมกำลังสู้กับไฮดรา พวกไคลอาก็มารับมือกับมอนสเตอร์ตรงนี้แหละ

 

 

 

และเพราะมันเป็นแนวหน้าจำนวนของนักผจญภัยและทหารก็เลยมากกว่าแนวป้องกัน 3 อันที่เหลือ

 

 

โดยปกติแล้วแนวหน้ามันต้องเป็นจุดที่อันตรายมาก แต่จากที่ผมเห็นสถานการณ์คงไม่ได้เลวร้ายสุดๆ เท่าที่ผมคิด เพราะผมเห็นแผงขายอาหารและนักผจญภัยที่กำลังเพิ่มขวัญกำลังใจตัวเองด้วยการนั่งดื่มเหล้ากลางวันแสกๆ พวกทหารที่ดูก็ไม่ได้ไปห้ามหรือต่อว่าอะไร

 

 

ความตึงเครียดนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้แน่ในคราวก่อน หรือก็คือเวลาที่พวกผมมียังเหลือเฟือสินะ――ฟุมุๆ

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ ผมก็เห็นว่าพวกที่อยู่ข้างล่างเหมือนจะสังเกตได้แล้วว่ามีไวเวิร์นครามกำลังบินตรงมาทางพวกเขา แล้วส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นออกมา แถมยังมีเสียงเชียร์ดังขึ้นมา――บรรยากาศแห่งความโกลาหลได้แผ่ไปทั่วแนวหน้า

 

 

ไวเวิร์นครามมันก็เด่นจริงๆ นั่นแหละ เนื่องจากผมไม่ได้มีเจตนาจะลงไปเปิดตัวโชวให้ทุกคนเห็นว่า ดราก้อนสเลเยอร์มาแล้วจ้าอะไรทำนองนั้น ผมก็เลยให้คราว โซราสลงจอดห่างจากกำแพงแนวป้องกันเล็กน้อย คงได้เป็นปัญหาแน่หากไปจอดกลางค่าย

 

 

จากนั้นผมก็เดินไปที่กำแพงของแนวป้องกัน ทั้งที่แอบเตรียมใจว่าจะได้เจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยเพราะเอาไวเวิร์นบินมาโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วแท้ๆ นะ แต่พวกทหารยามดันทักทายผมอย่างมีมารยาทแล้วปล่อยผมเข้าไปง่ายๆ เฉยเลย

 

พวกเขาคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นกำลังเสริมหรืออะไรทำนองนั้นมั้ง แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องแก้ไขความเข้าใจนี้ ผมก็เลยเดินหลังตรงผ่านประตูไป

 

ตอนนี้ชีลกับซูซูเมะหายไปไหนกันนะ ถึงจะเป็นแนวหน้าแต่ข้างในก็มีทั้ง ค่าย หอสังเกตการณ์ คอกม้า กองบัญชาการ และอีกมากมาย ดังนั้นแค่เดินเฉยๆ โดยไร้จุดหมายคงไม่มีทางหาพวกเธอเจอได้ง่าย

 

 

พอผมจะพยายามไปถามใครสักคนหนึ่งเพื่อหาข้อมูล คนที่เข้ามาล้อมรอบก็ดันส่งเสียงเอะอะกันแล้วล้อมผมไว้อย่างกับผมเป็นสัตว์หายาก

 

 

 

ช่วยไม่ได้สินะ กลับไปถามทหารที่เฝ้าประตูแล้วกัน ยังไงมนุษย์สัตว์กับคิจินก็เด่นด้วยตัวพวกเธอเองอยู่แล้ว หากเป็นทหารในค่ายยังไงก็น่าจะรู้ ไม่สิถ้าซูซูเมะสวมหมวกอยู่ก็อาจจะไม่รู้ก็ได้

 

 

ขณะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับไปถามทหาร――สองร่างที่แสนคุ้นเคยก็พุ่งออกมาจากอาคารใกล้ๆ ผมว่านั่นน่าจะเป็นกองบัญชาการนะ――พอสองร่างนั้นเห็นว่าเป็นผมก็รีบวิ่งเข้ามาหาเร็วกว่าเดิม ก่อนจะหอบหายใจด้วยความเหนื่อย

 

 

ก็ตามที่คาดสองคนนั้นคือซูซูเมะกับชีล

 

 

 

 

 

「คุณโซระ ยินดีต้อนรับกลับนะ! ในที่สุดก็กลับมาได้สักที!」

 

 

 

「ย-ยินดีต้อนรับกลับนะ….!」

 

 

 

 

ชีลทักผมด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ตามมาด้วยซูซูเมะ

 

 

 

 

ขณะที่ทั้งสองทักทายผม ผมก็แอบสังเกตดูพวกเธอ ทั้งคู่เหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ถึงจะมีรอยคล้ำรอบดวงตาจากความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องออกไปต่อสู้…แต่คงไม่หนักหนาเกินแรงพวกเธอ หากเทียบกับช่วงก่อนหน้า ฝูงมอนสเตอร์ที่ปรากฏออกมาเหมือนจะไม่ได้หนักขนาดนั้น

 

 

 

 

ขณะที่รู้สึกโล่งใจ ผมก็ถามกับพวกเธอ

 

 

 

「ดูเหมือนพวกเธอจะสบายกันดีนะ ได้ยินจากนักบวชซาร่าว่าลูนามาเรียกับมิโรสลาฟก็มาด้วยไม่ใช่เหรอ พวกนั้นปลอดภัยกันดีหรือเปล่า? 」

 

 

 

「ค่ะ แน่นอนว่าปลอดภัยกันดี! แต่ตอนนี้พวกเธอเดินทางเข้าไปในป่าพอดี」

 

 

 

 

ชีลตอบคำถามผมพลางพยักหน้าให้

 

 

พอได้ยินผมก็รู้สึกสงสัยแล้วถามต่อ

 

 

 

 

 

「ในป่าเหรอ? จากที่ฉันได้ยินมา พวกเธอแค่ถูกขอให้รับมือกับมอนสเตอร์ที่หลุดออกมาจากป่าไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเข้าไปข้างในด้วยล่ะ? 」

 

 

 

เพราะความอันตรายของการบุกกับการป้องกันมันแตกต่างกันมาก แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในส่วนลึกด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้แตกต่างกันเลย สถานการณ์ภายในป่าโดยปกติแล้วจะถูกแบ่งความอันตรายเป็น――เขตรอบนอก เขตส่วนลึก และลึกที่สุด――แต่ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว พวกมอนสเตอร์ระดับสูงก็สามารถปรากฏตัวออกมาเขตรอบนอกได้

 

 

เพื่อตอบคำถามของผม สองสาวก็หันไปสบตากัน แน่นอนว่าไม่ใช่การจ้องหน้ากันเฉยๆ แต่เป็นการปรึกษากันแล้วส่งสายตาว่าใครจะเป็นคนตอบดี

 

 

แล้วก็เป็นทางซูซูเมะที่เปิดปากพูด

 

 

 

 

「เหตุผลที่ทั้งสองคนเข้าไปในป่าไม่ใช่เพื่อจัดการมอนสเตอร์ แต่คนของทางวิหารแห่งกฏหมายมาขอให้คนคุ้นเคยกับป่านำทางน่ะ…」

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของซูซูเมะ คำถามในหัวของผมที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำไมวิหารแห่งกฎหมายต้องมาขอให้พวกของผมนำทางเข้าป่าทีทิสด้วยล่ะ?

 

ขณะที่ผมกำลังจะถามต่อ ผมก็เห็นสีหน้าที่ดูลำบากใจของทั้งสองก็เลยเลือกจะหยุดเอาไว้ก่อน หากผมเอาแต่ถามแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการผมพยายามตำหนิทั้งสองคนเลยนี่หว่า นอกจากนี้วัตถุประสงค์จริงๆ ของวิหาร พวกเธอคงไม่รู้หรอก

 

 

เนื่องจากเป็นทางลูนามาเรียกับมิโรสลาฟเองที่ยอมรับคำขอพวกนี้ จึงเดาได้ว่าพวกเธออาจจะมีเหตุผลของตัวเองก็ได้ ผมก็เลยไม่สามารถบ่นอะไรได้

 

 

สำหรับตอนนี้ก็คงต้องชมพวกเธอที่ยอมเสี่ยงตัวเองรับคำขอเพื่อประโยชน์ของแคลน

 

 

 

ขณะที่ผมกำลังจะเปิดปากพูด ผมก็เห็นว่ามีใครบางคนกำลังออกมาจากกองบัญชาการที่อยู่ข้างหลังซูซูเมะ ผมก็เลยเงียบไว้ก่อน

 

 

 

 

 

「….ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ดราก้อนสเลเยอร์」

 

 

 

คนที่ก้มหัวให้กับผมด้วยท่าทีที่แข็งทื่อก็คือลิดเดลพนักงานต้อนรับของกิลด์นั่นเอง

 

 

นี่เป็นครั้งแรงเลยมั้งที่ได้เจอกัน นับตั้งแต่เหตุการณ์ไฮดราที่ผมพาเธอเขาห้อง แถมสุดท้ายก็เป็นผมที่ยอมปลอยเธอซึ่งพยายามจะเสียสละตัวเองเพื่อเอลการ์ดโดนไม่แตะต้องเธอ

 

 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความวุ่นวายภายในกิลด์มันจบลงแบบไหน แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าลิดเดลจะยังทำงานที่กิลด์ได้ ส่วนเอลการ์ดก็ทำหน้าที่ในฐานะกิลด์มาสเตอร์ต่อไป

 

 

 

เรื่องนั้นช่างมันก่อน ที่ผมสงสัยคือเธอจะมาคุยอะไรกับผม ก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะมาขอบคุณเรื่องที่ปล่อยเธอกลับบ้านโดยไม่ทำอะไร

 

 

และไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญด้วยเพราะเธอปล่อยให้ชิลกับซูซูเมะออกมาก่อน

 

 

นอกจากนี้ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเธอดูกระวนกระวาย ทำตัวระมัดระวังเป็นอย่างมาก คงเพราะเธอกังวลถึงการมีอยู่ของเธออาจจะทำให้ผมรำคาญใจได้

 

 

 

หลักฐานก็คือพอผมตอบรับคำทักทายกลับไป เธอก็แสดงสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงและก้มหัวทักทายผมอีกที ก่อนจะนำทางพวกผม 3 คนไปที่กองบัญชาการ ซึ่งตรงนั้นเองที่ผมได้ฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้

 

 

 

 

 

ตามที่ลิดเดลบอกก็คือคนของวิหารแห่งกฎหมายที่ซูซูเมะพูดก่อนหน้านี้ คือกองกำลังแนวหน้าที่ทางนครศักดิ์สิทธิ์ส่งมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับอุปสรรคหลายๆ อย่างก่อนที่พระสันตะปาปาจะเดินทางมาถึง

 

 

 

แล้วก็ดูเหมือนทางนั้นจะเป็นคนขอให้แคลนผมช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย

 

 

แถมจากพวกที่ส่งมาก็มีนักบวชระดับสูงอยู่ด้วย หมายความว่าทางวิหารและนครศักดิ์สิทธิ์คงให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้จริงๆ

 

 

อาณาจักรคานาเรียนั้นก็เต็มไปด้วยสาวกแห่งวิหารอย่างนักบวชซาร่าและอิเรีย นอกจากนี้หากอาณาจักรคานาเรียยังเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวนานกว่านี้ ผลกระทบที่ตามมาก็จะส่งไปยังประเทศรอบข้างอย่างนครศักดิ์สิทธิ์ พอพิจารณาถึงผลได้เสียทั้งหมดแล้ว พระสันตะปาปาก็เลยตัดสินใจว่าไม่ควรปล่อยเหตุการณ์นี้ต่อไป

 

 

พอมาคิดดูแล้วการที่พระสันตะปาปาเดินทางมาซะเร็วเลยทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงพิธีแต่งงานก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา คงเพราะเขาเล็งเอาไว้ด้วยว่าอยากจะรีบมาจัดการเรื่องบาเรียให้

 

 

เดี๋ยวก่อนสิ แต่การจะติดตั้งบาเรียได้มันต้องใช้เขาของเบฮีมอธไม่ใช่เหรอ มันยังไงกันแน่นะ ไม่สิบางทีเขาเบฮีมอธอาจจะจำเป็นในกรณีที่ทำให้บาเรียคงอยู่ในระยะยาว แต่หากเป็นระยะสั้นแค่พลังของมนุษย์ก็น่าจะเพียงพอละมั้ง

 

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไหน ผมก็รู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ ที่พยายามเพื่อประเทศอื่น ไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว ทุกคนในที่แห่งนี้ก็คงรู้สึกเหมือนกัน ก็จริงว่าผมมียาที่ใช้ในการรักษาพิษ แต่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเลยมันย่อมดีกว่า

 

 

 

หลังจากลิดเดลให้ข้อมูลโดยรวมกับผมแล้ว เธอก็เริ่มพูดความต้องการของฝั่งเธอบ้าง

 

「ความรู้ของท่านโซระเกี่ยวกับป่าทีทิส โดยเฉพาะส่วนที่ลึกที่สุดของป่า ท่านคือที่หนึ่งในเมืองอิชกะ ดังนั้นพวกเราเลยอยากจะขอยืมแรงท่านค่ะ」

 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เห็นพนักงานต้อนรับคนนี้ก้มหัวต่ำซะขนาดนี้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป

 

 

 

แก๊งๆๆ!! เสียงระฆังถูกเคาะดังขึ้นไปทั่วแนวป้องกัน

 

 

 

 

พอผมมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่า ทหารที่อยู่บนหอสังเกตการณ์กำลังตีระฆังพร้อมกับชี้ไปยังทิศของป่า

 

 

 

จากนั้นพวกเขาก็ส่งสัญญาณที่แปลเป็นคำว่า「จู่โจม」「มอนสเตอร์」แต่พอผมมองไปยังลิดเดล เธอกลับแสดงสีหน้าที่สงบนิ่งเช่นเดิม

 

 

 

「การบุกโจมตีของพวกมันก็มีหลายครั้งอยู่แล้วค่ะ แต่ด้วยกำลังที่มีตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร」

 

 

 

「ก็ใช่อยู่ แต่ถ้าชีลกับซูซูเมะออกไปด้วยตอนนี้จะไม่แย่เอาเหรอ? 」

 

 

「ทั้งสองคนไม่ได้มีหน้าที่ในการป้องกันค่ะ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่จำเป็นต้องออกไปสู้ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล」

 

 

เธอตอบอย่างสงบนิ่ง เห็นแล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงกล้าไปตอบแทน 2 คนนั้นซะมั่นใจเลย แต่ก็เอาเถอะ หากตั้งรับกันมาได้สักพักขนาดนี้แล้ว แค่การโจมตีประมาณนี้คงไม่มีปัญหาอะไร

 

 

 

 

ใช่แล้วตราบใดที่มันยังไม่รุนแรงเท่าช่วงที่ไฮดราอยู่――――แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดจนจบ เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองก็ดังขึ้น

 

 

ไม่ใช่แค่คนเดียว 2 3 4 5….เสียงกรีดร้องจากคนจำนวนมากกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้พอเห็นสีหน้าของลิดเดลที่เปลี่ยนไปก็รู้ได้เลยว่ารอบนี้ฉุกเฉินของจริง

 

 

จากนั้นเสียงกรีดร้องที่ดังเป็นพิเศษก็ส่งออกมา โดยเจ้าของเสียงก็คือทหารที่ผมเห็นเมื่อกี้นี้

 

 

เงาสีดำได้ลอยอยู่เหนือร่างของทหารคนนั้น

 

 

ผมพยายามส่งพลังคิไปทั่วร่างเพื่อพุ่งออกจากห้องไป แต่เสียงกรีดร้องของเขาก็หยุดไปเสียแล้ว ก็หมายความว่าผมมาช้าไป

 

 

ศพของทหารที่คอขาดกระเด็นไปแล้ว ได้ร่วงลงมาจากหอสังเกตการณ์ สิ่งที่เหลืออยู่บนนั้นมีเพียงมอนสเตอร์ร่างทมิฬสองขา สองมือซึ่งใช้เขี้ยวของมันในการขย้ำคอทหาร

 

 

 

 

 

「นั่นมันกูลนี่นา――ไม่สิกูลทมิฬ ทำไมพวกอันเดธถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน?! 」

 

ลิดเดลพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

 

 

กูลนั้นเป็นมอนสเตอร์ที่ชอบกินซากศพของมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ แต่ถ้าในแง่ของพลังแล้วยังไงกูลก็เหนือกว่าซอมบี้ไปหลายขุม แล้วพอเป็นกูลทมิฬยิ่งแล้วใหญ่เพราะมันเป็นอันเดธสายพันธุ์ที่ทรงพลังมากเหนือกว่ากูลทั่วไป

 

 

 

พวกมอนสเตอร์และสัตว์อสูรได้ออกมาจากป่าทีทิสเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่สำหรับพวกอันเดธถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก เพราะผมไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนเลย

 

คงบอกไม่ได้เต็มปากว่าจะไม่มีนักผจญภัยที่ตายในป่าแล้วกลายเป็นอันเดธไป แต่การที่จะมีของแบบนี้มันเป็นสิบๆ ตัวแล้วเข้ามาโจมตีแนวป้องกันพร้อมกันนี่ ดูยังไงมันก็ไม่ปกติ หากบอกว่าเป็นฝีมือของใครบางคนยังฟังขึ้นกว่าเยอะ

 

 

และคนที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือเนโครแมนเซอร์

 

 

พอนึกถึงตัวตนของศัตรูแนวนี้ใบหน้าของจินโบ ศัตรูที่ผมเคยฆ่าไปในอดีตก็โผล่ขึ้นมา เพราะหมอนั่นก็ใช้อันเดธในการโจมตีเมืองหลวงและคฤหาสน์ดยุกดรากูนอท แถมยังเป็นคนจากธงแห่งฝืนป่าด้วย

 

 

แต่จะให้มองว่าเป็นฝีมือของตระกูลก็คงจะยาก เพราะพวกเขาคงวุ่นเรื่องเทพปีศาจกับคิจิน แถมก็คงรู้ดีแล้วด้วยว่าถึงจะเอากูลหรือกูลทมิฬขนมาเป็นร้อยๆ ตัวก็ทำอะไรผมไม่ได้

 

 

ก็แปลว่าผมไม่ใช่เป้าหมายในคราวนี้ ถ้างั้น ใครกันล่ะ?

 

ศัตรูตามธรรมชาติของพวกเนโครแมนเซอร์ก็คือเทพเจ้าและนักบวชที่เป็นสาวก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่มันจะเล็งจัดการกับพวกนักบวชของนครศักดิ์สิทธิ์ก็มีสูง

 

 

 

ระหว่างที่กำลังรวบรวมความคิด ผมก็ชักดาบออกมาจากฝักที่เอว

 

 

ถึงจะเดาผิดก็ไม่เป็นไร เพราะตราบใดที่การโจมตีดังกล่าวมันส่งผลต่อลูนามาเรียกับคนรอบตัวผม ผมก็ไม่ปล่อยไว้เฉยๆ หรอก

 

 

ใครมันจะยอมให้ไอ้หน้าไหนไม่รู้มาทำร้ายอาหารที่แสนมีค่ากัน

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+