การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 272 ท้าทาย

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 272 ท้าทาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 272 ท้าทาย

 

 

แค่เริ่มเข้ามาในห้องผมก็ประเดิมจัดหนักให้พวกธงแห่งผืนป่าแล้วรอดูท่าทางของพวกเขาทันที

 

ก็เห็นอารมณ์หลากหลายที่แสดงออกมาหรอกนะ แต่ก็ไม่มีใครบ่นกับการกระทำของผมเลย ส่วนพวกที่แสดงความเกลียดชังจนออกนอกหน้าก็เริ่มเก็บอาการกันแล้ว

 

 

พอชายตามองไล่เป็นคนๆ ไปก็เห็นว่าพยายามจะหลบเลี่ยงการสบสายตากับผม บางคนที่หลบไม่ทันก็ตัวสั่นซะงั้น สงสัยคงจะคิดว่าหากทำให้ผมไม่พอใจอีกชีวิตของพวกเขาคงตกอยู่ในอันตราย

 

 

ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องพวกนี้ผมก็พูดกับพวกเขาต่อ

 

 

 

「เอาเป็นว่าฉันจะพูดแบบเดียวกับผู้นำคนก่อนแล้วกัน หากใครสามารถเอาชนะฉันได้ก็รับตำแหน่งผู้นำตระกูลไปเลย ส่วนใครที่ไม่พอใจหรือไม่ยอมรับฉันเป็นผู้นำก็ขอเชิญเข้ามาท้าทายฉันได้เสมอ」

 

 

 

แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกว่าต้องตัวต่อตัว หากอีกฝ่ายต้องการจะโถมมาเป็นสิบก็ยังไหว

 

หลังจากชี้แจงเสร็จผมก็เริ่มพูดต่อ

 

 

 

「หากไม่อยากจะยอมรับฉันในฐานะผู้นำตระกูลและดันไม่มีพลังพอจะมาโค่นฉันอีก ก็ขอให้ลาออกจากการเป็นธงแห่งผืนป่าแล้วออกจากเกาะไปซะ เดี๋ยวจะทำการผนึกวิชาพวกแกด้วยมือฉันเองเลย」

 

 

 

พอคนเป็นผู้นำตระกูลบอกว่าจะทำพิธีผนึกด้วยตัวเองแบบนี้ ทุกคนก็น่าจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าผมไม่ได้สนใจการสนับสนุนของพวกเขาเลยสักนิด

 

 

พวกธงแห่งผืนป่าไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมจึงคิดว่าพวกเขาคงไม่มีอะไรอยากจะขัด เลยพูดต่อ

 

 

 

「งั้นคำสั่งเดียวในฐานะผู้นำตระกูลมิตสึรุกิของฉันก็คือ พวกแกอย่ามาขวางการอพยพของพวกคิจินจากประตูปีศาจไปยังคานาเรีย เท่านี้แหละ」

 

 

 

 

บรรยากาศภายในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเริ่มเปลี่ยนไปทันทีหลังสิ้นเสียงผม

 

สำหรับพวกธงแห่งผืนป่าแล้วการอพยพของพวกคิจินไปยังทวีปหลักนั้นคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

 

 

 

สายตาแห่งความเกลียดชังได้ทิ่มแทงเข้ามาในตัวผมเต็มไปหมด แต่เหตุผลที่ไม่มีใครพูดขัดผมก็น่าจะเพราะโดนของแรงไปตอนแรก ทว่าหากมีตัวเปิดก็น่าจะมีคนพร้อมตามแหละนะ

 

 

จากนั้นผมจึงพูดในฐานะผู้นำของพวกเขาต่อ

 

 

「ระหว่างการอพยพ ฉันจะปล่อยงานดูแลภายในให้กับ 4 เสาหลัก ส่วนเรื่องกองทหารก็ยกให้พวกหัวหน้าหน่วยธงแห่งผืนป่าไปจนกว่าการอพยพจะเสร็จสิ้น หลังจากนั้นฉันจะสละตำแหน่งแล้วออกจากตระกูลทันที เอาล่ะทีนี้พวกแกก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะเชื่อฟังฉัน ขัดขืน หรือจากไป」

 

 

หลังจากนี้ผมก็จะเดินทางไปทั่วทวีปเพื่อช่วยเหลือการอพยพของพวกคิจิน เวลาที่จะได้ใช้บนเกาะก็น้อยมาก คงไม่มีเวลามาวางแผนสร้างระบบใหม่ภายในตระกูลหรอก

 

เอาเถอะยังไงก็ไม่จำเป็นต้องทำงั้นแต่แรก เพราะพอจบเรื่องนี้เดี๋ยวผมก็ยกตำแหน่งให้รากุนะอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นขอแค่ขู่ให้คนพวกนี้ไม่ทำอะไรแปลกๆ ก็เพียงพอแล้ว

 

 

 

――หากจะมีปัญหาที่ผมยังกังวลก็คือผลกระทบหลังคิไคล่มสลายไป

 

 

แม้จะเป็นเพียงการคาดเดาแต่ผมก็ไม่รู้ว่าหลังคิไคสลายไปแล้วจะสร้างผลกระทบให้กับฟากนี้ด้วยหรือเปล่า ข้อมูลเดียวที่มีตอนนี้ก็คือคำพูดของโซเฟียก่อนสลายไป แต่มันก็ไม่มีอะไรมายืนยันด้วยสิ

 

 

 

เพราะหากเมืองชูโตะได้รับผลกระทบจนหายไปด้วย ผมจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้ด้วยสิ

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเริ่มอธิบายให้พวกธงแห่งผืนป่าฟังเกี่ยวกับเรื่องภายในคิไค ความเป็นไปได้ที่คิไคจะสลายหายไป มังกร ลัทธิแห่งแสง สิ่งที่สันตะปาปาโซเฟียเล่า ตระกูลโฮโซ และสิ่งที่มิตสึรุกิ คาซึมะทำเมื่อ 300 ปีก่อน

 

 

 

『ในฐานะผู้ส่งสารแห่งนากายามะผู้ปกครองคิไคและในฐานะผู้สืบเชื้อสายมาจากมิตสึรุกิ คาซึมะ ผมขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 300 ปีที่แล้ว พวกท่านคิดจริงหรือว่าตนมีความชอบธรรมที่จะรับผลงานในการสังหารเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ควรจะเป็นของเหล่าคิจิน แล้วประกาศอย่างไม่อายฟ้าดินว่าตนคือวีรบุรุษในขณะที่ผลักไสพวกเขาเข้าไปในคิไค? 』

 

 

ธงแห่งผืนป่าบางคนก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาแล้วจากตอนที่ผมคุยกับพ่อก่อนหน้า

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมพูดออกไปก็คงจะดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับพวกตระกูลมิตสึรุกิ

 

 

 

แม้ว่าเรื่อง 300 ปีก่อนจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดมายืนยัน ส่วนตัวแล้วที่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงก็เพราะผมสัมผัสมันได้จากตัวของโซเฟียและความทรงจำของโซลอีทเตอร์ แต่ของแค่นั้นจะไปโน้มน้าวใจคนก็คงยาก

 

 

ความสำเร็จของต้นตระกูลมาจากการวางแผนลับหลัง กฏเหล็กในการสังหารความชั่วร้ายไม่มีอะไรมากไปกว่าการปกปิดบาปแห่งมิตสึรุกิ พวกธงแห่งผืนป่าจะไปยอมรับได้ยังไง ไม่สิหากยอมรับก็เหมือนกับการปฏิเสธวิถีของตัวเองที่ทำมาและประวัติศาสตร์กว่า 300 ปีของมิตสึรุกิ

 

 

แถมก็อย่างที่คิด ความเกลียดชังและความไม่น่าเชื่อถือในตัวของผมปกคลุมอยู่ทั่วโถงประชุม ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีอารมณ์ของพวกเขาได้พวยพุ่งมากกว่าเดิมและโถมมาหาผมราวกับคลื่นสึนามิ

 

 

ทว่าคนที่ทำการสยบอารมณ์เหล่านั้นทั้งหมดหาใช่ผม แต่กลับเป็นชูยะ คุมอน รองหัวหน้าหน่วยธงที่ 1 ชายผมสีน้ำเงินเข้ม ผิวสีแทน

 

 

「ท่านโซระ ผมขอถามท่านสักสองคำถามได้หรือไม่? 」

 

 

แม้น้ำเสียงที่เขาใช้จะดูสบายๆ แต่ก็ใช่จะบางเบา มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังบางอย่างจนไม่มีใครสามารถเมินเฉยเขาได้และทำให้ความโกรธของพวกธงแห่งผืนป่าก่อนหน้านี้ถูกกดลงไปจนหมด

 

 

ผมตอบกลับไปสั้นๆ

 

 

 

「ว่ามาสิ」

 

 

「จากที่ท่านกล่าว เรื่องราวพวกนั้นก็เรียกได้ว่าพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือของมิตสึรุกิ ต้องขออภัย แต่ผมไม่สามารถยอมรับมันได้จริงๆ ก็เลยอยากจะถามท่านว่าท่านมีอะไรสามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้หรือไม่? 」

 

 

 

「ไม่มีหรอก」

 

 

พอได้ยินคำตอบแบบนั้น ชูยะก็ถอนหายใจออกมา

 

 

จากนั้นเขาจึงพูดต่อด้วยสายตาอันเฉียบคม

 

 

 

「งั้นผมก็คงยอมรับคำพูดของท่านไม่ได้ พวกคิจินอาจจะทำการสร้างประวัติศาสตร์ปลอมเพื่อให้พวกเรากลายเป็นผู้ทรยศที่ควรถูกดูหมิ่นก็ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของลัทธิแห่งแสงที่มีตัวตนอยู่และร่วมมือกับพวกคิจินอีก」

 

 

 

 

พอชูยะเปิดมาแบบนี้ พวกคนอื่นก็เริ่มคล้อยตามอย่าง ใช่แล้ว อย่างที่เขากล่าว

 

 

ในขณะที่ผมกำลังจะบอกให้พวกเขาเงียบ ชูยะก็ยกมือขึ้นมาราวกับจะบอกให้พวกเขาหยุด

 

 

「เงียบกันก่อน――ผมต้องขออภัยท่านโซระด้วย แต่ก็อยากให้ท่านเข้าใจถึงความโกรธของทุกคนตรงนี้ นี่ก็เป็นเวลากว่า 300 ปีแล้วที่ตระกูลมิตสึรุกิได้ทำการรักษาความสงบสังหารความชั่วร้ายเพื่อทวีปแห่งนี้ และพวกเราทุกคนก็ต่างภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นั้น นี่คือความจริงที่มิอาจมีสิ่งในมาบดบังได้」

 

 

หากความภูมิใจของพวกเขาถูกเหยียบย่ำโดยปราศจากหลักฐานใดๆ ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะขุ่นเคือง ชูยะกล่าว

 

 

 

ผมก็ไม่ได้คิดจะต่อว่าอะไร เพราะผมก็คิดเอาไว้แล้วว่าพวกธงแห่งผืนป่าไม่มีทางยอมรับความจริงในอดีตนี้ได้หรอก

 

 

แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจ เพราะผมไม่มีเวลาพอจะเสียให้กับเรื่องไร้สาระนี้แล้ว

 

 

 

สิ่งเดียวที่ผมทำให้พวกเขาได้คือบอกสิ่งที่ผมรู้ไปจะเชื่อไหมก็แล้วแต่

 

 

 

ผมตอบคำถามของชูยะอย่างใจเย็น

 

「ฉันเข้าใจในสิ่งที่นายอยากจะบอกนะ ทว่าฉันก็ไม่คิดจะสนความโกรธอะไรของพวกนายเลยสักนิด สิ่งที่ฉันต้องการมีเพียงอย่ามาขวางทางฉัน ในฐานะผู้นำตระกูลฉันขอออกคำสั่งแค่นี้แหละ ไม่จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดก็ได้แล้วฉันก็ไม่อยากได้ความช่วยเหลือในการอพยพด้วย」

 

 

 

ตราบใดที่ไม่มาขวาง ผมก็ไม่สนหรอกว่าพวกนั้นจะคิดหรือทำอะไร ถ้ารับไม่ได้ก็มาสู้กับผมให้มันจบๆ ไป หรือไม่ก็ออกจากเกาะไปเสีย

 

 

 

ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมบอกไว้ตอนแรก

 

 

แน่นอนว่าวิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขความบาดหมางให้กับคิจินและมนุษย์ได้ แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้ แถมมันใช่หน้าที่ผมที่ต้องมาแก้ไขความเกลียดชังกว่า 300 ปีก่อนของสองเผ่าพันธุ์ด้วยหรือไงกัน

 

 

แค่การอพยพก็ต้องใช้เวลาเตรียมการและวางแผนมากมายแล้ว การขจัดความเกลียดชังซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจจะใช้กำลังเข้าจัดการให้จบก็ไม่ได้ด้วย มันไม่ใช่ของที่จะทำควบคู่ไปพร้อมกับการอพยพได้เลยสักนิด

 

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของผม ชูยะก็หลับตาลงราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้นและพูดกับผม

 

 

「….ท่านโซระ การที่ท่านเลือกเข้าร่วมกับพวกคิจินเป็นเพราะอยากจะชดใช้บาปแห่งมิตสึรุกิงั้นหรือ? 」

 

 

 

「น่าเสียดาย แต่ไม่ใช่หรอก พวกเขาดูแลฉันเป็นอย่างดีก็เลยตอบแทน แค่นั้นแหละ」

 

 

พอได้ยิน ชูยะก็ก้มหัวให้กับราวกับเข้าใจถึงเรื่องราวนั้นแล้ว

 

 

ก่อนจะเริ่มกล่าวเรื่องสำคัญถัดไป

 

 

「ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ หลังจากได้ยินสิ่งที่ท่านตอบมาแล้ว ผมก็ตัดสินใจได้สักที ในฐานะรองหัวหน้าหน่วยที่ 1 ชูยะ คุมอน ผมขอทำการท้าทายท่านโซระ ณ บัดนี้」

 

 

—–

 

 

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้

 

หลังจากเอาชนะชิกิบุได้ โซระก็กลับไปยังคิไค ตระกูลมิตสึรุกิถูกพายุแห่งความวุ่นวายปกคลุม และคิดว่าใครจะได้เป็นผู้นำตระกูลคนถัดไป

 

 

แม้ว่าจะผ่านไปพักหนึ่งแล้ว ข้อสรุปพวกนี้ก็ยังไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันสักที

 

 

ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มกลับไปที่พักของตัวเองก่อน ชูยะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

 

ชูยะได้ทำการเปิดประตูห้องของเขาแล้วถอนหายใจออกมาราวกับจะปลดปล่อยสิ่งที่สะสมอยู่ออกไป จากนั้นก็นั่งลงบนเบาะที่วางไว้เหนือเสื่อทาทามิ ก่อนจะจมอยู่ภายในห้วงความคิด

 

 

ไม่นานนัก ชูยะก็ได้เรียกซาอิ น้องชายของเขามายังห้องของตน

 

 

ซาอิก็รีบมาอย่างไม่รอช้า

 

 

 

「พี่ เรียกผมเหรอ」

 

 

 

「ขอโทษที่เรียกมานะ ซาอิ แต่มีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยน่ะ นั่งตรงนี้สิ」

 

 

 

ชูยะชี้ไปยังเบาะตรงหน้าเขา แล้วซาอิก็นั่งลงไปด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

 

 

ปากของซาอินั้นมักจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่คิดจะใช้มันกับพี่ชายของตน ไม่สิทำไม่ได้มากกว่า

 

พี่น้องสองคนนี้มีอายุห่างกันกว่า 10 ปี สำหรับซาอิแล้วชูยะก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อของตนเลย แถมพ่อแท้ๆ ของเขาก็ตายไปก่อนที่ซาอิจะจำความได้เสียอีก ซาอิจึงเติบโตมาภายใต้การดูแลของพี่เขาตั้งแต่เด็ก

 

 

ความจริงแล้ว ซาอินั้นเป็นลูกนอกสมรส ที่ถูกภรรยาหลวงแม่แท้ๆ ของชูยะรังเกียจ แต่ชูยะก็ยังรักเขาในฐานะน้องชายต่างแม่และคอยปกป้องเขาจากแม่ของตน

 

 

ชูยะเป็นคนสอนซาอิให้รู้ถึงวิธีการใช้หอก การจัดการกับอนิม่า จึงไม่มีทางเลยที่ซาอิจะแสดงท่าทีหยาบคายกับพี่ชายของเขา

 

ซาอินั่นตัวตรงเผชิญหน้ากับพี่ชายตน แล้วถามอย่างจริงจัง

 

 

 

「แล้วพี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ? 」

 

 

「ก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว ความวุ่ยวายที่เกิดขึ้นตอนนี้ไง งั้นขอถามตรงๆ เลยนะ ซาอิ นายคิดยังไงกับท่านโซระ? 」

 

 

 

「ไอ้เจ้าบ้านั่นน่ะเหรอ」

 

 

ซาอิแสดงสีหน้าแหยงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ชูยะก็ถามต่ออย่างสนใจ เพราะเขาอยากเห็นมุมของน้องชายตนบ้าง

 

 

 

「นายคิดยังไงเกี่ยกับคำพูดของท่านโซระที่บอกกับท่านผู้นำว่า『ผมขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 300 ปีที่แล้ว พวกท่านคิดจริงหรือว่าตนมีความชอบธรรมที่จะรับผลงานในการสังหารเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ควรจะเป็นของเหล่าคิจิน แล้วประกาศอย่างไม่อายฟ้าดินว่าตนคือวีรบุรุษในขณะที่ผลักใสพวกเขาเข้าไปในคิไค? 』? 」

 

 

 

 

「ก็ถ้าขายวิญญาณให้เทพปีศาจไปแล้ว ศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็คงไม่เหลือหรอก พี่เองก็ไม่เชื่อหมอนั่นหรอกใช่ไหม」

 

 

 

「จะบอกว่านายไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดสินะ? 」

 

 

 

「ครับ แต่หากนึกถึงความแข็งแกร่งที่เอาชนะท่านผู้นำลงได้ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจในร่างมนุษย์เลย หากได้เป็นผู้นำตระกูลคนถัดไป มิตสึรุกิคงได้จบสิ้นแน่」

 

มันอาจจะเป็นคำพูดที่แสดงความไม่เคารพต่อผู้นำ แต่มันก็คือใจจริงของซาอิ และราวกับว่าชูยะเข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงไม่ได้ต่อว่าอะไรและพยักหน้าให้เงียบๆ

 

 

พอเห็นท่าทางของพี่ชายต ซาอิก็ขมวดคิ้วสงสัย

 

 

 

 

「แล้วทำไมพี่ถึงถามแบบนี้ล่ะ? ทั้งที่พวกเราก็น่าจะคิดแบบเดียวกันแท้ๆ 」

 

 

 

「ก็แค่อยากรู้ถึงมุมของซาอิที่มองท่านโซระน่ะ เพื่ออนาคตจากนี้ด้วย」

 

 

 

「อนาคต? 」

 

 

 

 

ซาอิมองชูยะด้วยความสับสนเพราะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พี่เขาอยากจะสื่อ

 

 

ชูยะพูดด้วยสีหน้าจริงจังกับน้องชายของเขาต่อ

 

 

「งั้นสรุปเลยแล้วกันนะ ซาอิ สิ่งที่ท่านซาระพูดน่ะเป็นเรื่องจริง หรืออย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ฉันคิด」

 

 

 

「…..พูดแบบนี้ไม่ตลกนะพี่」

 

 

 

「ความจริงมันก็มันจะเป็นเรื่องเกิดคาดอยู่แล้วนี่」

 

 

 

เมื่อได้ยินแบบนี้ เขาก็จ้องไปยังพี่ชายของตน ชูยะก็มองกลับไปด้วยสายตาที่สงบนิ่ง

 

 

 

สองพี่น้องคุมอนได้จ้องมองกันสักพัก

 

 

แล้วก็เป็นฝ่ายซาอิที่พ่ายแพ้ ก่อนจะถามกับพี่ชายของเขาต่อ

 

 

 

 

「…แล้วพี่มีหลักฐานเหรอ? 」

 

 

 

「ก็ไม่มีหรอก สิ่งเดียวที่มีก็คือคำพูดกันปากต่อปาก มันเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาภายในผู้นำตระกูลคุมอนจากรุ่นสู่รุ่น และฉันก็อยากจะส่งสิ่งนี้ต่อให้กับนายด้วย」

 

 

 

พอซาอิได้ยินก็ขมวดคิ้วอย่างสับสน

 

 

 

「พอจะเข้าใจที่พี่จะบอกแล้ว แต่ดีเหรอที่ให้ผมรู้เรื่องนี้ด้วยน่ะ? 」

 

 

 

「ไม่เป็นไรหรอก ก็จริงว่าพวกรุ่นแรกๆ คิดว่าควรส่งมันต่อให้กับผู้นำตระกูลคนถัดไปเท่านั้น แต่พอถึงตอนนี้ฉันมองว่าไม่จำเป็นแล้วล่ะนะ」

 

 

 

ชูยะเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 300 ปีก่อนที่ได้ฟังมาจากผู้นำตระกูลรุ่นก่อน โดยบอกว่ามันคือสิ่งที่ผู้นำตระกูลคุมอนรุ่นแรกฝากฝังไว้ เกี่ยวกับเรื่องของมิตสึรุกิ คาซึมะ และมิตสึรุกิ จิน

 

ตระกูลมิตสึรุกินั้นเป็นขี้ข้าของตระกูลโฮโซมาก่อน อาซึมะได้เป็นผู้นำตระกูลหลักพ่อและลุงของเขาตายในสนามรบ มีการถือกำเนิดขึ้นของกลุ่มเก็นโซ และแผนการหลบหนีของจิน

 

 

การปรากฏตัวของมังกรบนเกาะแห่งผืนป่า อาโทริสหายของจินจากเผ่าคิจิน แล้วก็โซเฟีย นักบวชจากลัทธิแห่งแสง มายาสังหารได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยจินและพวกพ้องของเขา พวกจินได้ทำการดิ้นรนอย่างสุดชีวิตในการสังหารมังกร คนเดียวที่รอดชีวิตมาได้คือโซเฟีย ก่อนจะร่วมมือกับมิตสึรุกิในการผลักไสพวกคิจิน

 

 

 

 

เรื่องทั้งหมดคือสิ่งที่เล่ากันมาปากต่อปากจากต้นตระกูลคุมอน

 

 

ส่วนต่อมาซาอิก็ได้รู้เรื่องใหม่ๆ อย่างต้นตระกูลของเขาเป็นหัวหอกในการสังหารพวกคิจินทั้งทวีป

 

 

ถึงจะบอกว่าการสังหาร แต่ถ้าจะให้พูดชัดๆ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากกว่า ทั้งผู้หญิงและเด็กที่ไร้ทางสู้ พวกเขาก็ไม่ลังเลเลย ทั้งการวางยาพิษลงแม่น้ำ เพียงเพราะต้องการให้กำลังรบอีกฝ่ายอ่อนแอลง

 

 

 

 

 

ส่วนสาเหตุที่คนของตระกูลคุมอนได้รับอาภรณ์วิญญาณเกี่ยวกับพวกพิษหรือคำสาปนั้นก็อาจจะเป็นเพราะคำสาปและความแค้นของพวกคิจินที่ถูกวางยาฆ่าไปจากต้นตระกูลคุมอน

 

แล้วคำสาปดังกล่าวก็ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ว่ากันว่าต้นตระกูลได้เสียชีวิตก่อนอายุจะ 30 เสียอีกจากอาการป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุ แต่รู้กันว่าเขาได้ตายอย่างทรมานมาก

 

แล้วเหตุใดต้นตระกูลถึงต้องเป็นหัวหอกในการสังหารหมู่คิจินด้วยล่ะ

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะอยากจะแบกรับบาปของมิตสึรุกิ คาซึมะแทนก็ได้

 

หลังจากสูญเสียน้องชายของตนไปในการต่อสู้บนเกาะแห่งผืนป่า คาซึมะก็เริ่มเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่ไร้ความปรานีและโหดเหี้ยม จนบรรดาลูกน้องของเขาบอกว่า เขาอาจจะถูกปีศาจสิงสู่ก็ได้

 

ทว่าทางต้นตระกูลเชื่อว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ก็จริงว่าการตายของจินมีผลกับคาซึมะมาก แต่ความจริงนอกเหนือจากนั้นก็ยังมีอยู่ สุดท้ายคาซึมะก็เลือกเส้นทางที่โชกไปด้วยเลือด

 

 

ถึงตัวของต้นตระกูลจะรู้ว่าหนทางข้างหน้ามันคือความตาย แต่ในเมื่อผู้นำตระกูลมิตสึรุกิเลือก ในฐานะข้ารับใช้แล้วต้นตระกูลคุมอนก็พร้อมจะติดตาม

 

มันคือความปรารถนาที่จะแบกรับคำสาปแห่งมิตสึรุกิไว้แทน ผลก็คือคำสาปได้มุ่งตรงมายังคาซึมะน้อยลง ไม่สิเขาคงมองว่าหากแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็คงไม่มีหน้าไปพบกับจินในปรโลกที่ยอมเสียสละสกุลของตัวเองและชีวิตเพื่อตระกูลมิตสึรุกิเป็นแน่

 

 

 

แล้วชูยะก็เล่ามาถึงส่วนท้ายของเรื่องที่ต้นตระกูลฝากฝังเอาไว้

 

 

 

 

「『ข้าก็ไม่อาจทราบได้ว่าทำไมท่านคาซึมะถึงเลือกทางนี้ ทว่าสักวันหนึ่งพวกเขาคงจะได้รู้ถึงความตั้งใจจริงของเขา และจนกว่าเวลานั้นมาถึงตระกูลคุมอนก็จะขอเสี่ยงชีวิตรับใช้ท่านในฐานะผู้นำสืบไป เหล่าลูกหลานเอ๋ยจงปกป้องตระกูลนี้สืบต่อไปเพื่อรอเวลานั้น จากนั้นจงร่วมมือกับเจ้านายของพวกเจ้าเพื่อเอาชนะศัตรูที่แท้จริงเสีย』――นั่นคือคำที่ต้นตระกูลฝากฝังไว้กับพวกเรา」

 

 

 

พอได้ยินทุกอย่างแล้ว ใบหน้าของซาอิก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย หรืออย่างน้อยก็แสร้งทำได้ดี

 

 

 

แล้วเขาก็บ่นออกมาทันที

 

 

 

「ขอโทษที่ต้องพูดนะครับ แต่ดูเป็นการฝากฝังที่เห็นแก่ตัวเกินไปไหม สร้างปัญหาให้กับคนรุ่นหลังโดยไม่คิดจริงๆ 」

 

 

 

「ยังไงมันก็คือสิ่งที่ต้นตระกูลฝากฝังมาแหละ แน่นอนว่าฉันไม่มีความตั้งใจจะบังคับนายให้สืบทอดเจตนารมต่อหรอกนะ ขอให้นายเชื่อในสิ่งที่นายอยากเชื่อถือ อย่างน้อยก็ถือว่าฉันได้ทำตามคำขอของต้นตระกูลในการฝากฝังเรื่องเล่านี้สืบต่อไปไว้กับนายแล้ว」

 

 

 

จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าแล้วพูดออกมาราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

 

 

 

 

「ทั้งหมดก็เผื่อว่าฉันจะตาย」

 

 

 

「หยุดเถอะครับ มาพูดอะไรไม่เป็นมงคลเอาตอนนี้กัน」

 

ซาอิจ้องชูยะตาเขม็ง

 

 

 

ผู้นำตระกูลคุมอนก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

 

 

 

 

「ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะตายเหมือนกันนั่นแหละ แต่พอพิจารณาจากสถานการณ์ตอนนี้ โอกาสที่ฉันจะตายก็ใช่ว่าจะไม่มี หากท่านโซระกลายเป็นผู้นำตระกูลและปลดปล่อยพวกคิจินออกมาสำเร็จ มันก็เหลือแค่เวลาแล้วแหละที่ศัตรูที่แท้จริงจะปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่นักบุญดาบรุ่นแรกไม่สามารถขจัดออกไปได้」

 

 

 

「….คิดว่านั่นเป็นเรื่องจริงเหรอครับ? จากที่ได้ยินก็คิดไม่ได้จริงๆ ว่าต้นตระกูลของเราอาจจะเพ้อเจ้อเสียจนจินตนาการไปถึงศัตรูที่ไม่เคยมีตัวตนมาก่อน」

 

 

 

คนเราพอมีอำนาจก็เปลี่ยนกันได้เสมอ นักบุญดาบคนแรกอาจจะสามารถเอาชนะพวกคิจินและก้าวข้ามตระกูลโฮโซมาได้ จนได้รับผลงานในการเป็นผู้กอบกู้โลกก็ได้ เลยทำให้หลงในอำนาจมากไปหน่อย

 

 

 

ซาอิคิดว่าคนจะเปลี่ยนไปแบบนั้นก็ไม่ผิดนัก แต่คนที่หลงบูชาคิดว่าเขาเปลี่ยนไปจากสิ่งอื่นนี่สิน่าปวดหัว

 

 

ต้นตระกูลของเขาก็แค่อาจจะคิดมากจนเพ้อไปเอง

 

 

ชูยะเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดของน้องชายเขา

 

 

 

「ฉันเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ทว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นแบบไหน พวกคิจินที่ถูกผนึกเอาไว้กว่า 300 ปีก็คงไม่หยุดแค่นี้แน่ ท่านโซระเองก็เช่นกัน นับจากนี้ไปทวีปของเราคงได้เจอเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่ๆ ดังนั้นพวกเราก็ต้องเตรียมตัวกันให้พร้อมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม」

 

 

 

ซาอิก็พยักหน้าให้กับคำพูดของชูยะ

 

 

 

 

ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปราวกับเริ่มเบิกเนตรเมื่อรับรู้ถึงสิ่งใหม่ๆ

 

——-

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด