การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 120 คำสัญญา

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 120 คำสัญญา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 120 คำสัญญา

 

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักหน่อย

 

หลังจากที่โซระโค้งคำนับให้กับผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอย่างชิกิบุแล้วก็เดินออกห้องประชุมไปโดยมีสายลมพัดผ่านไหล่ของเขา กิลมอร์ เบิร์ช ก็ส่งเสียงออกมาดังลั่นด้วยความไม่พอใจให้ผู้นำของตนได้ฟัง

 

 

「..ท่านผู้นำ จะดีเหรอครับที่ปล่อยเจ้าคนหยาบคายแบบนั้นออกไปโดยไม่ทำอะไร? 」

 

สำหรับตัวกิลมอร์แล้ว เขาคาดหวังเอาไว้ว่าชิกิบุจะโกรธในสิ่งที่โซระแสดงออกมาในห้องประชุม ก่อนที่ชิกิบุจะลงความโกรธที่รุนแรงดั่งสายฟ้าฟาดกับโซระ เขาแอบยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นจากนี้ ทว่าชิกิบุกลับปล่อยให้โซระออกไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร

 

แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถขัดการตัดสินใจของผู้นำที่ปล่อยให้โซระออกจากห้องไปได้ กิลมอร์จึงทำให้เพียงส่งเสียงไม่พอใจออกมาเบาๆ ต่อการกระทำที่แสนหยาบคายของโซระ เขาไม่เข้าใจถึงความคิดของชิกิบุจริงๆ

 

จากนั้นชิกิบุก็พยักหน้าและตอบคำถามของกิลมอร์

 

 

「ไม่เป็นไรหรอก」

 

「แต่ท่านผู้นำ หากท่านปล่อยไปมันจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับคนอื่นได้นะครับ หากเพื่อสังหารปีศาจ ผนึกเทพมารแล้วถึงแม้จะต้องโกหกและหลอกมาฆ่ามันก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือไงกัน…นอกจากนี้การกระทำของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับถ่มน้ำลายรดความปรานีของพวกเราเลย」

 

ราวกับว่าหลายคนก็เห็นด้วยกับความคิดของกิลมอร์ ทั่วทั้งโถงประชุมตอนนี้จึงมีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา บางส่วนอาจจะเป็นเพราะทำเอาใจกิลมอร์ แต่ส่วนมากพวกเขารู้สึกโกรธต่อความผยองของโซระจริงๆ

 

5 ปีก่อน โซระถูกขับออกจากตระกูลไป ก่อนจะถูกเนรเทศออกจากเกาะ อันที่จริงเขาไม่ควรผ่านประตูคฤหาสน์มิตสึรุกิมาได้ด้วยซ้ำ แต่ชิกิบุที่เป็นผู้นำตระกูลกลับยกเลิกข้อจำกัดของเขาให้เป็นพิเศษ แถมยังเตรียมตำแหน่งภายในธงทั้ง 8 ไว้เผื่อเขาในกรณีที่ผ่านพิธีทดสอบด้วย

 

 

มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยสำหรับคนที่ถูกเนรเทศออกไป

 

แต่โซระผู้ที่ควรจะรู้สึกซาบซึ้งกับความกรุณานี้ กลับเตะมันทิ้งไปเหมือนเตะก้อนหินริมทาง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใช้คำพูดที่หยาบคายกับกิลมอร์อีกด้วย

 

ขนาดคนที่ไม่ใช่คนของตระกูลเบิร์ชพอได้เห็นการกระทำแบบนี้พวกเขาก็ยังอดรู้สึกโมโหและรังเกียจตามไม่ได้เลย

 

――ทว่าความโกรธของพวกเขาก็ไม่ได้ดังจนปกคลุมโถงประชุม นั่นก็เป็นเพราะมิตสึรุกิ ชิกิบุ ที่นั่งอยู่ตรงหัวที่ประชุมไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมากับเรื่องนี้เลย

 

พวกเสียงเอะอะจึงค่อยๆ เงียบลง เหลือแค่เพียงความสับสนและสงสัยในการกระทำของเขาเท่านั้น ทำไมท่านผู้นำต้องทำเช่นนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่คือสิ่งที่ทุกคนในห้องกำลังสงสัย

 

ขนาดกิลมอร์ที่มีความมั่นใจในความสามารถการอ่านความนึกคิดของผู้นำตระกูลก็ยังคาดเดาได้ยากว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่

 

สำหรับกิลมอร์ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องของตระกูลมิตสึรุกิแล้ว เหตุการณ์ในคราวนี้ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเขานักเสียนอกจากพิสูจน์ว่าผู้นำตระกูลยังคงดูแลและมอบความไว้วางใจให้กับโกซุ ชิมะเป็นอย่างดี

 

ผู้นำตระกูลนั้นเชื่ออย่างสุดใจว่ารายงานที่แสนไร้สาระของโกซุซึ่งนำกลับมาจากอาณาจักรคานาเรียคือเรื่องจริง เพราะแบบนั้นเขาก็เลยยอมปล่อยโซระไปแน่ๆ

 

กลับกันกิลมอร์ลองนึกดูว่าหากตนเป็นคนนำรายงานดังกล่าวเข้ามาพูดแทนโกซุ ผู้นำตระกูลจะเชื่อหรือไม่ คำตอบก็คงเป็นไม่

 

 

แม้ว่าสถานะและอำนาจของเขาจะมากกว่าโกซุ ชิมะ แต่หากเทียบในเรื่องของความเชื่อใจแล้ว กิลมอร์ เบิร์ชยังถือว่าน้อยกว่าหลายเท่านัก

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นหากโกซุยังคงสนับสนุนโซระต่อไปแบบนี้ บางทีโซระอาจจะกลับมาเป็นทายาทผู้สืบทอดคนถัดไปของตระกูลเหมือนเดิมก็ได้ หากเป็นแบบนั้นจริงตระกูลเบิร์ชที่สร้างสัมพันธ์กับรากุนะก็คงต้องตกต่ำลงไปด้วยแน่

 

 

แน่นอนว่ากิลมอร์ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องเคลื่อนไหวออกมาอย่างชัดเจนในวันนี้ เพื่อยั่วยุโซระด้วยภูมิหลังแล้วทำลายเขาเสีย

 

แต่เขาก็ต้องทำให้แน่ใจด้วยว่าการยั่วยุของเขาจะไม่กระทบกับตัวผู้นำตระกูล ดังนั้นเขาก็เลยวางแผ่นเผื่อเอาไว้แล้วด้วยว่าหากผู้นำตระกูลตัดสินใจจะรับโซระเขามาจริง เขาก็ต้องเงียบและยอมรับไปก่อน

 

ทว่าในที่ประชุมนี้ผู้นำตระกูลกลับไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจหรือบอกให้กิลมอร์หยุดเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะเริ่มยั่วยุโซระแล้ว กิลมอร์เองก็เลยแอบสงสัยว่าหรือบางทีผู้นำตระกูลอาจจะมีแผนกำจัดความล้มเหลวของตระกูลโดยใช้โอกาสนี้ เขาก็เลยลองพยายามยั่วยุโซระมากขึ้นกว่าเดิม

 

หากเป็นไปตามที่คิด นี่ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการกำจัดโซระออกไปเสีย แต่สุดท้ายผู้นำตระกูลกลับไม่ได้สนใจหรือทำอะไรกับโซระเลย ก่อนจะปล่อยเขาออกห้องประชุมไปเฉยๆ

 

เพราะแบบนี้เองกิลมอร์ก็เลยไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับการกระทำของผู้นำตระกูล

 

จากนั้นผู้นำตระกูลก็พูดกับกิลมอร์ต่อ

 

 

 

「การเตรียมการสำหรับพิธีทดสอบเสร็จแล้วสินะกิลมอร์? 」

 

「ฮ-ฮ่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านประสงค์แล้ว」

 

「เช่นนั้น ก็เริ่มพิธีทดสอบในอีกครึ่งระฆัง (30นาที) เลยก็แล้วกันไปเตรียมตัวเสีย」

 

「รับทราบแล้วครับ แต่ว่าก่อนหน้านี้โซระได้บอกไม่ตนไม่สนใจเกี่ยวกับมายาดาบเดียว นอกจากนี้เขาก็ไม่ต้องการกลับเข้าตระกูลด้วย เราควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีครับ? 」

 

「ความตั้งใจของเขาจะเป็นอย่างไรในเวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจหรอก ขอแค่รู้เพียงว่ามีผู้ใช้มายาดาบเดียวสำเร็จวิชาได้แม้จะอยู่ที่อาณาจักรคานาเรีย ข้อเท็จจริงเพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับตอนนี้」

 

หลังจากได้ยินแบบนั้น ดวงตาของกิลมอร์ก็เบิกกว้าง ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะลงด้วยความคับข้องใจ

 

จากนั้นผู้นำตระกูลก็เรียกโกซุที่กำลังนั่งก้มศีรษะอยู่เงียบๆ

 

 

「โกซุ」

 

「ฮ่ะ!」

 

 

「บอกโซระถึงเรื่องที่คุยกันนี่ด้วย」

 

「ทราบแล้วครับ!」

 

โกซุรีบลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วและออกจากโถงประชุมตามโซระไป โดยมีจุดมุ่งหมายคือห้องรับแขก แต่จากท่าทางของเขาเมื่อกี้ มันก็เป็นไปได้ด้วยที่โซระจะออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว

 

แม้เส้นทางการออกจากเกาะจะมีเพียงแค่เรือข้ามฟากแต่หากเป็นโซระ เขาคงสามารถหาทางกลับทวีปหลักเองได้ หากเป็นแบบนั้นโกซุก็ต้องรีบตามไปให้ทัน

 

ในระหว่างที่เขากำลังพยายามจะเดินให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ โกซุก็ถูกเรียกขึ้นก่อนที่เขาจะเดินไปถึงห้องรับแขก คนที่เรียกก็คือน้องสาวของเขาเซซิลซึ่งมีใบหน้าตื่นกลัวสุดขีด

 

「ท่านพี่!」

 

 

「เซซิล เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงดูลนลานขนาดนั้นกัน」

 

「อิบุกิหายไปค่ะ!」

 

「ว่าไงนะ!? 」

 

แม้ว่าอิบุกิจะเป็นผู้สืบสายเลือดของนักบุญดาบ แต่เขาก็ไม่ใช่นักรบผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้ารวมประชุมที่โถงใหญ่

 

ส่วนเหตุผลที่คราวนี้โกซุบอกให้อิบุกิแต่งตัวอย่างเป็นทางการแล้วพามาด้วยก็เพราะอยากจะแนะนำเขาให้รู้จักกับโซระหลังการประชุมจบ

 

 

มิตสึรุกิ เอ็มมะ ภรรยาหลวงของชิกิบุ และเซซิลกับเหล่าภรรยาน้อยของเขาต่างก็วิ่งวุ่นเข้าออกคฤหาสน์เพื่อเตรียมการสำหรับพิธีไว้อาลัยในวันนี้ นั่นจึงทำให้เกิดช่องว่างที่อิบุกิอยู่ตามลำพังขึ้น

 

บางทีอิบุกิคงใช้ช่วงเวลานี้ในการออกไปไหนคนเดียว

 

แถมอิบุกิยังเป็นเด็กที่ซุกซนไม่ค่อยฟังคำของผู้ใหญ่เสียด้วย นอกจากนี้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกของเซซิล ทำให้รู้ได้เลยว่าเธอหาเขามานานแล้วขนาดไหน

 

――ก็จริงอยู่ว่าคงไม่มีโจรลักพาตัวอะไรเข้ามาที่คฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิหรอก

 

แต่โกซุก็คงจำเป็นต้องไปช่วยตามหาอยู่ดี พร้อมกับเซซิลที่ตามหลังมาอย่างร้อนใจ

 

 

ในเมืองชูโตะไม่ได้มีอาชญากร ดังนั้นก็ตัดเรื่องที่จะมีคนลอบเข้ามาในคฤหาสน์ได้เลย ความเป็นไปได้ที่อิบุกิจะหายไปก็เพราะเจ้าตัวตั้งใจเอง แต่โกซุก็คิดไม่ออกเลยว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้หลานของเขาต้องหายตัวไปด้วย

 

แถมเขาก็ไม่อยากจะคิดถึงความเป็นไปได้มีมอนสเตอร์หรือสายลับจากประเทศอื่นซึ่งมีฝีมือจะลอบเข้ามา

 

เขาจึงตัดสินใจว่าจะไปบอกเรื่องเวลาพิธีทดสอบกับโซระก่อนแล้วค่อยไปตามหาหลานของเขาต่อทันที ในขณะที่เขากำลังเดินเลี้ยงไปตรงหัวมุมทางห้องรับแขกเขาก็พบว่า…

 

 

「ย้า! ย้า! โถ่เอ้ย!」

 

「เป็นอะไรไปเล่าผู้ใช้ดาบจ้าวอสรพิษเพลิงสังหาร สุดยอดท่าไม้ตายลับทำได้แค่นี้เองเหรอ?? 」

 

 

「หุบปากนะ! ย้า! ย้า!」

 

อิบุกิกับโซระกำลังฝึกซ้อมสู้กันอยู่ที่ลานบ้าน

 

มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน นั่นคือสิ่งที่โกซุประหลาดใจมาก

 

นอกจากนี้ใบหน้าของโซระที่แสดงออกมาให้เห็นตอนซ้อมกับอิบุกิ มันคือใบหน้าที่โกซุไม่เคยเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่ที่พวกเขาเจอกันในเมืองอิชกะ

 

 

――ไม่สิ ขนาดเมื่อ 5 ปีก่อนโซระก็ไม่เคยยิ้มแบบนี้ออกมาเลยสักครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นโซระยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจมันเมื่อไหร่กันนะ

 

 

โกซุทำได้เพียงแค่ตกตะลึงเพราะนึกไม่ออกจริงๆ

 

 

ด้านหลังของเขาก็มีเซซิลที่ส่งเสียงออกมาว่า 「อ๊ะ……」ราวกับตกใจเช่นเดียวกับเขา ดูเหมือนเธอจะดีใจมากที่ลูกชายของเธอปลอดภัยดี ไม่เพียงเท่านั้นภาพตรงหน้าของพวกเขายังเป็นภาพที่ทั้งสองพี่น้องชิมะปรารถนาเป็นอย่างมาก มันคือสิ่งที่พวกเขาเกือบจะยอมแพ้ที่จะได้เห็นในชาตินี้ไปแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าเขาได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกของเซซิลหรือเขารู้ตัวแต่แรกแล้วว่าพวกตนมาถึง โซระจึงจ้องมองมาทางโกซุและน้องสาวของเขา ก่อนจะพูดกับนักดาบตัวน้อยตรงหน้าเขา

 

 

「เห้อ เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน」

 

「หือ คิดจะหนีงั้นเหรอ!? 」

 

 

「เอาเป็นว่าวันนี้เสมอกันก่อนแล้วกันเนอะ ผู้ใช้ดาบจ้าวอสรพิษเพลิงสังหาร」

 

「มู่ววว!」

 

อิบุกิแก้มป่องแล้วแสดงท่าทางไม่พอใจออกมาให้เห็น

 

จากนั้นโซระก็ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาของอิบุกิแล้วพูดต่อ

 

 

「เถอะน่า วันนี้จบที่เสมอก่อน ไว้รอบหน้าพวกเราค่อยมาต่อกันใหม่」

 

「รอบหน้าเหรอ? 」

 

「แน่นอนสิ ไว้รอนายโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้เดี๋ยวเราค่อยมาสู้กันใหม่ จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ฝึกให้แกร่งกว่านี้ซะล่ะ นายก็รู้ตัวอยู่แล้วนี่ว่าพลังในตอนนี้ยังไม่พอจะทำอะไรฉันได้」

 

「หื้อ เพราะนายขอหรอกนะ! ก็ได้ ไว้เดี๋ยวเราค่อยมาสู้กันใหม่ แต่ครั้งหน้าที่สู้กัน! ผมจะจัดการนายให้ได้เลย ดังนั้นครั้งหน้านายก็ต้องเอาจริงด้วย สัญญานะ!」

 

 

「ได้สิสัญญาเลย โฮ่ แม่ของนายกับคนอื่นมาแล้วนี่」

 

โซระพูดก่อนจะชี้คางตรงมาทางโกซุ อิบุกิที่เห็นก็หันไปมองด้วยสีหน้าที่ดูสดใส แล้ววิ่งเข้ามาหาโกซุกับน้องสาวของเขา

 

หลังจากมองแผ่นหลังของเด็กน้อยจากไปแล้ว โซระก็ลุกขึ้นแล้วมองอิบุกิที่กำลังเกาะขาของโกซุ

 

――และเพียงครู่เดียว ดวงตาของเขาก็กลับเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

 

 

「มีธุระอะไรหรือเปล่า ท่านชิมะ? 」

 

ไม่ใช่แค่สายตา แต่น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามันต่างจากเสียงที่เขาใช้พูดกับอิบุกิก่อนหน้านี้

 

หนึ่งในสุดยอดนักรบของตระกูลมิตสึรุกิรู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์เข้ามาทับร่างของตนไว้อยู่

 

 

「น-นายท่านบอกว่าพิธีจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงครับ」

 

 

「แปลว่าเขายังให้เวลาไปเยี่ยมหลุมฝังศพสินะ ฝากขอบคุณสำหรับความกรุณานี้ด้วยแล้วกัน」

 

 

「ด-เดี๋ยวก่อนครับ! พิธีไว้อาลัยของท่านชิซึยะจะเริ่มในช่วงบ่าย――」

 

ทว่าก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับคำพูดของโกซุ

 

โซระหันหลังกลับก่อนจะที่ร่างของเขาจะหายไปราวกับไม่เคยมีใครอยู่ในจุดที่เขายืนอยู่

 

บางทีเขาคงใช้คิในการเคลื่อนไหวออกไป การกระทำที่รวดเร็วแบบนั้นมันทำให้อิบุกิที่กำลังเกาะติดอยู่กับโกซุเบิกตากว้างเลยทีเดียว

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 120 คำสัญญา

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 120 คำสัญญา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 120 คำสัญญา

 

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักหน่อย

 

หลังจากที่โซระโค้งคำนับให้กับผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอย่างชิกิบุแล้วก็เดินออกห้องประชุมไปโดยมีสายลมพัดผ่านไหล่ของเขา กิลมอร์ เบิร์ช ก็ส่งเสียงออกมาดังลั่นด้วยความไม่พอใจให้ผู้นำของตนได้ฟัง

 

 

「..ท่านผู้นำ จะดีเหรอครับที่ปล่อยเจ้าคนหยาบคายแบบนั้นออกไปโดยไม่ทำอะไร? 」

 

สำหรับตัวกิลมอร์แล้ว เขาคาดหวังเอาไว้ว่าชิกิบุจะโกรธในสิ่งที่โซระแสดงออกมาในห้องประชุม ก่อนที่ชิกิบุจะลงความโกรธที่รุนแรงดั่งสายฟ้าฟาดกับโซระ เขาแอบยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นจากนี้ ทว่าชิกิบุกลับปล่อยให้โซระออกไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร

 

แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถขัดการตัดสินใจของผู้นำที่ปล่อยให้โซระออกจากห้องไปได้ กิลมอร์จึงทำให้เพียงส่งเสียงไม่พอใจออกมาเบาๆ ต่อการกระทำที่แสนหยาบคายของโซระ เขาไม่เข้าใจถึงความคิดของชิกิบุจริงๆ

 

จากนั้นชิกิบุก็พยักหน้าและตอบคำถามของกิลมอร์

 

 

「ไม่เป็นไรหรอก」

 

「แต่ท่านผู้นำ หากท่านปล่อยไปมันจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับคนอื่นได้นะครับ หากเพื่อสังหารปีศาจ ผนึกเทพมารแล้วถึงแม้จะต้องโกหกและหลอกมาฆ่ามันก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือไงกัน…นอกจากนี้การกระทำของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับถ่มน้ำลายรดความปรานีของพวกเราเลย」

 

ราวกับว่าหลายคนก็เห็นด้วยกับความคิดของกิลมอร์ ทั่วทั้งโถงประชุมตอนนี้จึงมีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา บางส่วนอาจจะเป็นเพราะทำเอาใจกิลมอร์ แต่ส่วนมากพวกเขารู้สึกโกรธต่อความผยองของโซระจริงๆ

 

5 ปีก่อน โซระถูกขับออกจากตระกูลไป ก่อนจะถูกเนรเทศออกจากเกาะ อันที่จริงเขาไม่ควรผ่านประตูคฤหาสน์มิตสึรุกิมาได้ด้วยซ้ำ แต่ชิกิบุที่เป็นผู้นำตระกูลกลับยกเลิกข้อจำกัดของเขาให้เป็นพิเศษ แถมยังเตรียมตำแหน่งภายในธงทั้ง 8 ไว้เผื่อเขาในกรณีที่ผ่านพิธีทดสอบด้วย

 

 

มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยสำหรับคนที่ถูกเนรเทศออกไป

 

แต่โซระผู้ที่ควรจะรู้สึกซาบซึ้งกับความกรุณานี้ กลับเตะมันทิ้งไปเหมือนเตะก้อนหินริมทาง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใช้คำพูดที่หยาบคายกับกิลมอร์อีกด้วย

 

ขนาดคนที่ไม่ใช่คนของตระกูลเบิร์ชพอได้เห็นการกระทำแบบนี้พวกเขาก็ยังอดรู้สึกโมโหและรังเกียจตามไม่ได้เลย

 

――ทว่าความโกรธของพวกเขาก็ไม่ได้ดังจนปกคลุมโถงประชุม นั่นก็เป็นเพราะมิตสึรุกิ ชิกิบุ ที่นั่งอยู่ตรงหัวที่ประชุมไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมากับเรื่องนี้เลย

 

พวกเสียงเอะอะจึงค่อยๆ เงียบลง เหลือแค่เพียงความสับสนและสงสัยในการกระทำของเขาเท่านั้น ทำไมท่านผู้นำต้องทำเช่นนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่คือสิ่งที่ทุกคนในห้องกำลังสงสัย

 

ขนาดกิลมอร์ที่มีความมั่นใจในความสามารถการอ่านความนึกคิดของผู้นำตระกูลก็ยังคาดเดาได้ยากว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่

 

สำหรับกิลมอร์ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องของตระกูลมิตสึรุกิแล้ว เหตุการณ์ในคราวนี้ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเขานักเสียนอกจากพิสูจน์ว่าผู้นำตระกูลยังคงดูแลและมอบความไว้วางใจให้กับโกซุ ชิมะเป็นอย่างดี

 

ผู้นำตระกูลนั้นเชื่ออย่างสุดใจว่ารายงานที่แสนไร้สาระของโกซุซึ่งนำกลับมาจากอาณาจักรคานาเรียคือเรื่องจริง เพราะแบบนั้นเขาก็เลยยอมปล่อยโซระไปแน่ๆ

 

กลับกันกิลมอร์ลองนึกดูว่าหากตนเป็นคนนำรายงานดังกล่าวเข้ามาพูดแทนโกซุ ผู้นำตระกูลจะเชื่อหรือไม่ คำตอบก็คงเป็นไม่

 

 

แม้ว่าสถานะและอำนาจของเขาจะมากกว่าโกซุ ชิมะ แต่หากเทียบในเรื่องของความเชื่อใจแล้ว กิลมอร์ เบิร์ชยังถือว่าน้อยกว่าหลายเท่านัก

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นหากโกซุยังคงสนับสนุนโซระต่อไปแบบนี้ บางทีโซระอาจจะกลับมาเป็นทายาทผู้สืบทอดคนถัดไปของตระกูลเหมือนเดิมก็ได้ หากเป็นแบบนั้นจริงตระกูลเบิร์ชที่สร้างสัมพันธ์กับรากุนะก็คงต้องตกต่ำลงไปด้วยแน่

 

 

แน่นอนว่ากิลมอร์ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องเคลื่อนไหวออกมาอย่างชัดเจนในวันนี้ เพื่อยั่วยุโซระด้วยภูมิหลังแล้วทำลายเขาเสีย

 

แต่เขาก็ต้องทำให้แน่ใจด้วยว่าการยั่วยุของเขาจะไม่กระทบกับตัวผู้นำตระกูล ดังนั้นเขาก็เลยวางแผ่นเผื่อเอาไว้แล้วด้วยว่าหากผู้นำตระกูลตัดสินใจจะรับโซระเขามาจริง เขาก็ต้องเงียบและยอมรับไปก่อน

 

ทว่าในที่ประชุมนี้ผู้นำตระกูลกลับไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจหรือบอกให้กิลมอร์หยุดเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะเริ่มยั่วยุโซระแล้ว กิลมอร์เองก็เลยแอบสงสัยว่าหรือบางทีผู้นำตระกูลอาจจะมีแผนกำจัดความล้มเหลวของตระกูลโดยใช้โอกาสนี้ เขาก็เลยลองพยายามยั่วยุโซระมากขึ้นกว่าเดิม

 

หากเป็นไปตามที่คิด นี่ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการกำจัดโซระออกไปเสีย แต่สุดท้ายผู้นำตระกูลกลับไม่ได้สนใจหรือทำอะไรกับโซระเลย ก่อนจะปล่อยเขาออกห้องประชุมไปเฉยๆ

 

เพราะแบบนี้เองกิลมอร์ก็เลยไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับการกระทำของผู้นำตระกูล

 

จากนั้นผู้นำตระกูลก็พูดกับกิลมอร์ต่อ

 

 

 

「การเตรียมการสำหรับพิธีทดสอบเสร็จแล้วสินะกิลมอร์? 」

 

「ฮ-ฮ่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านประสงค์แล้ว」

 

「เช่นนั้น ก็เริ่มพิธีทดสอบในอีกครึ่งระฆัง (30นาที) เลยก็แล้วกันไปเตรียมตัวเสีย」

 

「รับทราบแล้วครับ แต่ว่าก่อนหน้านี้โซระได้บอกไม่ตนไม่สนใจเกี่ยวกับมายาดาบเดียว นอกจากนี้เขาก็ไม่ต้องการกลับเข้าตระกูลด้วย เราควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีครับ? 」

 

「ความตั้งใจของเขาจะเป็นอย่างไรในเวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจหรอก ขอแค่รู้เพียงว่ามีผู้ใช้มายาดาบเดียวสำเร็จวิชาได้แม้จะอยู่ที่อาณาจักรคานาเรีย ข้อเท็จจริงเพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับตอนนี้」

 

หลังจากได้ยินแบบนั้น ดวงตาของกิลมอร์ก็เบิกกว้าง ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะลงด้วยความคับข้องใจ

 

จากนั้นผู้นำตระกูลก็เรียกโกซุที่กำลังนั่งก้มศีรษะอยู่เงียบๆ

 

 

「โกซุ」

 

「ฮ่ะ!」

 

 

「บอกโซระถึงเรื่องที่คุยกันนี่ด้วย」

 

「ทราบแล้วครับ!」

 

โกซุรีบลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วและออกจากโถงประชุมตามโซระไป โดยมีจุดมุ่งหมายคือห้องรับแขก แต่จากท่าทางของเขาเมื่อกี้ มันก็เป็นไปได้ด้วยที่โซระจะออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว

 

แม้เส้นทางการออกจากเกาะจะมีเพียงแค่เรือข้ามฟากแต่หากเป็นโซระ เขาคงสามารถหาทางกลับทวีปหลักเองได้ หากเป็นแบบนั้นโกซุก็ต้องรีบตามไปให้ทัน

 

ในระหว่างที่เขากำลังพยายามจะเดินให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ โกซุก็ถูกเรียกขึ้นก่อนที่เขาจะเดินไปถึงห้องรับแขก คนที่เรียกก็คือน้องสาวของเขาเซซิลซึ่งมีใบหน้าตื่นกลัวสุดขีด

 

「ท่านพี่!」

 

 

「เซซิล เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงดูลนลานขนาดนั้นกัน」

 

「อิบุกิหายไปค่ะ!」

 

「ว่าไงนะ!? 」

 

แม้ว่าอิบุกิจะเป็นผู้สืบสายเลือดของนักบุญดาบ แต่เขาก็ไม่ใช่นักรบผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้ารวมประชุมที่โถงใหญ่

 

ส่วนเหตุผลที่คราวนี้โกซุบอกให้อิบุกิแต่งตัวอย่างเป็นทางการแล้วพามาด้วยก็เพราะอยากจะแนะนำเขาให้รู้จักกับโซระหลังการประชุมจบ

 

 

มิตสึรุกิ เอ็มมะ ภรรยาหลวงของชิกิบุ และเซซิลกับเหล่าภรรยาน้อยของเขาต่างก็วิ่งวุ่นเข้าออกคฤหาสน์เพื่อเตรียมการสำหรับพิธีไว้อาลัยในวันนี้ นั่นจึงทำให้เกิดช่องว่างที่อิบุกิอยู่ตามลำพังขึ้น

 

บางทีอิบุกิคงใช้ช่วงเวลานี้ในการออกไปไหนคนเดียว

 

แถมอิบุกิยังเป็นเด็กที่ซุกซนไม่ค่อยฟังคำของผู้ใหญ่เสียด้วย นอกจากนี้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกของเซซิล ทำให้รู้ได้เลยว่าเธอหาเขามานานแล้วขนาดไหน

 

――ก็จริงอยู่ว่าคงไม่มีโจรลักพาตัวอะไรเข้ามาที่คฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิหรอก

 

แต่โกซุก็คงจำเป็นต้องไปช่วยตามหาอยู่ดี พร้อมกับเซซิลที่ตามหลังมาอย่างร้อนใจ

 

 

ในเมืองชูโตะไม่ได้มีอาชญากร ดังนั้นก็ตัดเรื่องที่จะมีคนลอบเข้ามาในคฤหาสน์ได้เลย ความเป็นไปได้ที่อิบุกิจะหายไปก็เพราะเจ้าตัวตั้งใจเอง แต่โกซุก็คิดไม่ออกเลยว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้หลานของเขาต้องหายตัวไปด้วย

 

แถมเขาก็ไม่อยากจะคิดถึงความเป็นไปได้มีมอนสเตอร์หรือสายลับจากประเทศอื่นซึ่งมีฝีมือจะลอบเข้ามา

 

เขาจึงตัดสินใจว่าจะไปบอกเรื่องเวลาพิธีทดสอบกับโซระก่อนแล้วค่อยไปตามหาหลานของเขาต่อทันที ในขณะที่เขากำลังเดินเลี้ยงไปตรงหัวมุมทางห้องรับแขกเขาก็พบว่า…

 

 

「ย้า! ย้า! โถ่เอ้ย!」

 

「เป็นอะไรไปเล่าผู้ใช้ดาบจ้าวอสรพิษเพลิงสังหาร สุดยอดท่าไม้ตายลับทำได้แค่นี้เองเหรอ?? 」

 

 

「หุบปากนะ! ย้า! ย้า!」

 

อิบุกิกับโซระกำลังฝึกซ้อมสู้กันอยู่ที่ลานบ้าน

 

มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน นั่นคือสิ่งที่โกซุประหลาดใจมาก

 

นอกจากนี้ใบหน้าของโซระที่แสดงออกมาให้เห็นตอนซ้อมกับอิบุกิ มันคือใบหน้าที่โกซุไม่เคยเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่ที่พวกเขาเจอกันในเมืองอิชกะ

 

 

――ไม่สิ ขนาดเมื่อ 5 ปีก่อนโซระก็ไม่เคยยิ้มแบบนี้ออกมาเลยสักครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นโซระยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจมันเมื่อไหร่กันนะ

 

 

โกซุทำได้เพียงแค่ตกตะลึงเพราะนึกไม่ออกจริงๆ

 

 

ด้านหลังของเขาก็มีเซซิลที่ส่งเสียงออกมาว่า 「อ๊ะ……」ราวกับตกใจเช่นเดียวกับเขา ดูเหมือนเธอจะดีใจมากที่ลูกชายของเธอปลอดภัยดี ไม่เพียงเท่านั้นภาพตรงหน้าของพวกเขายังเป็นภาพที่ทั้งสองพี่น้องชิมะปรารถนาเป็นอย่างมาก มันคือสิ่งที่พวกเขาเกือบจะยอมแพ้ที่จะได้เห็นในชาตินี้ไปแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าเขาได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกของเซซิลหรือเขารู้ตัวแต่แรกแล้วว่าพวกตนมาถึง โซระจึงจ้องมองมาทางโกซุและน้องสาวของเขา ก่อนจะพูดกับนักดาบตัวน้อยตรงหน้าเขา

 

 

「เห้อ เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน」

 

「หือ คิดจะหนีงั้นเหรอ!? 」

 

 

「เอาเป็นว่าวันนี้เสมอกันก่อนแล้วกันเนอะ ผู้ใช้ดาบจ้าวอสรพิษเพลิงสังหาร」

 

「มู่ววว!」

 

อิบุกิแก้มป่องแล้วแสดงท่าทางไม่พอใจออกมาให้เห็น

 

จากนั้นโซระก็ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาของอิบุกิแล้วพูดต่อ

 

 

「เถอะน่า วันนี้จบที่เสมอก่อน ไว้รอบหน้าพวกเราค่อยมาต่อกันใหม่」

 

「รอบหน้าเหรอ? 」

 

「แน่นอนสิ ไว้รอนายโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้เดี๋ยวเราค่อยมาสู้กันใหม่ จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ฝึกให้แกร่งกว่านี้ซะล่ะ นายก็รู้ตัวอยู่แล้วนี่ว่าพลังในตอนนี้ยังไม่พอจะทำอะไรฉันได้」

 

「หื้อ เพราะนายขอหรอกนะ! ก็ได้ ไว้เดี๋ยวเราค่อยมาสู้กันใหม่ แต่ครั้งหน้าที่สู้กัน! ผมจะจัดการนายให้ได้เลย ดังนั้นครั้งหน้านายก็ต้องเอาจริงด้วย สัญญานะ!」

 

 

「ได้สิสัญญาเลย โฮ่ แม่ของนายกับคนอื่นมาแล้วนี่」

 

โซระพูดก่อนจะชี้คางตรงมาทางโกซุ อิบุกิที่เห็นก็หันไปมองด้วยสีหน้าที่ดูสดใส แล้ววิ่งเข้ามาหาโกซุกับน้องสาวของเขา

 

หลังจากมองแผ่นหลังของเด็กน้อยจากไปแล้ว โซระก็ลุกขึ้นแล้วมองอิบุกิที่กำลังเกาะขาของโกซุ

 

――และเพียงครู่เดียว ดวงตาของเขาก็กลับเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

 

 

「มีธุระอะไรหรือเปล่า ท่านชิมะ? 」

 

ไม่ใช่แค่สายตา แต่น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามันต่างจากเสียงที่เขาใช้พูดกับอิบุกิก่อนหน้านี้

 

หนึ่งในสุดยอดนักรบของตระกูลมิตสึรุกิรู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์เข้ามาทับร่างของตนไว้อยู่

 

 

「น-นายท่านบอกว่าพิธีจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงครับ」

 

 

「แปลว่าเขายังให้เวลาไปเยี่ยมหลุมฝังศพสินะ ฝากขอบคุณสำหรับความกรุณานี้ด้วยแล้วกัน」

 

 

「ด-เดี๋ยวก่อนครับ! พิธีไว้อาลัยของท่านชิซึยะจะเริ่มในช่วงบ่าย――」

 

ทว่าก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับคำพูดของโกซุ

 

โซระหันหลังกลับก่อนจะที่ร่างของเขาจะหายไปราวกับไม่เคยมีใครอยู่ในจุดที่เขายืนอยู่

 

บางทีเขาคงใช้คิในการเคลื่อนไหวออกไป การกระทำที่รวดเร็วแบบนั้นมันทำให้อิบุกิที่กำลังเกาะติดอยู่กับโกซุเบิกตากว้างเลยทีเดียว

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+