การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง

 

「….เบื่อจังเลยเน้อ」

 

 

ผมพึมพำอย่างเกียจคร้านออกมาบนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

 

 

 

พื้นที่ภายในรถม้ามันก็ไม่ได้กว้างมากดังนั้นผู้ร่วมทางกับผมไปด้วยก็คงได้ยินเสียงของผมเหมือนกัน เห็นได้จากใบหน้าของลูนามาเรียซึ่งกำลังจะตอบกลับเสียงบ่นของผม

 

 

 

 

「เรากำลังออกมาจากเมืองอิชกะได้ครู่เดียว (2ชม.) เองนะคะ ดังนั้นก็คงจะอีกนานเลยค่ะกว่าเราจะเดินทางถึงเมืองหลวง」

 

「ก็รู้หรอก…แต่พอชินกับความเร็วของไวเวิร์นแล้ว การเดินทางบนพื้นดินนี่มันก็ไม่ไหวจริงๆ นอกจากนั้นรถม้านี่มันรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ ด้วยสิ.…」

 

 

ที่นั่งของรถม้าคันนี้มันนุ่มกว่าที่ผมคิดไว้อีก บางทีมันอาจจะยัดขนนกเอาไว้จนแน่นเลยมั้ง

 

 

เนื่องจากรถม้ามันสั่นไปมาตลอด หากได้นั่งที่นั่งนุ่มๆ ก็คงจะดีกว่าที่นั่งแข็งๆ แหละ เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกนุ่มๆ ที่กระทบก้นผมเอาซะเลย

 

 

ชีลที่นั่งถัดจากลูนามาเรียไปก็เห็นด้วยกับผม เห็นได้จากหูรูปสามเหลี่ยมของเธอที่ขยับไปมาอย่างกระสับกระส่าย

 

 

 

「เข้าใจดีเลยค่ะ ฉันก็รู้สึกอึดอัดแปลกๆ เหมือนกัน ประมาณว่า…ไม่สบายใจอะไรทำนองนั้นค่ะ แล้วเธอล่ะซูซูเมะจัง? 」

 

 

 

「ฉัน..ก็….จะว่าไงดีละ..สิ่งที่เรียกว่ารถม้านี่…ไม่ชินแปลกๆ 」

 

 

เด็กสาวคิจินมองไปรอบๆ รถม้าด้วยท่าทางกังวล

 

 

 

โดยขณะมองมือข้างหนึ่งของเธอก็จับแขนเสื้อผมเอาไว้แน่น

 

 

จากที่ลูนามาเรียกับชีลบอกผม เหมือนซูซูเมะจะกังวลเกี่ยวกับผมเป็นอย่างมากตอนผมไปที่หมู่บ้านเมลเท

 

 

ถึงซูซูเมะจะพูดกับผมได้เป็นปกติ แต่สำหรับคนอื่นแล้วเธอค่อนข้างยังระแวงอยู่บ้าง ส่วนเหตุผลที่เธอยอมเปิดใจให้กับผมก็น่าจะเป็นเพราะผมได้ช่วยเธอไว้ถึงสองครั้งทั้งตอนราชาแมลงวันแล้วก็บาซิลิกส์

 

 

 

ส่วนคราวนี้ผมที่เธอเชื่อใจก็ทิ้งเธอไว้แล้วไปหมู่บ้านเมลเทคนเดียว

 

 

ถึงผมจะขอให้ลูนามาเรียกับชีลดูแลเธอตอนผมไม่อยู่ไปแล้ว แต่หากเธอจะตำหนิผมว่าดูแลเธอได้ไม่ดีผมก็แย้งอะไรไม่ได้แฮะ

 

 

ระหว่างที่ผมคิด ซูซูเมะก็ถามผมด้วยสีหน้าที่ดูลำบากใจ

 

 

 

「…คือว่า…เมืองหลวงนี่ ใหญ่กว่าอิชกะอีกใช่ไหม? 」

 

 

 

「อื้ม ถ้าจะให้พูดถึงขนาด ฉันว่าก็น่าจะใหญ่กว่าเมืองอิชกะไปประมาณ 3 เท่าได้」

 

 

 

「…ใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ…งั้น..สถานที่ที่เรียกว่าวังหลวง…มันใหญ่กว่าบ้านนายเท่าไหร่เหรอ? 」

 

 

 

「นั่นสินะ…ถ้าเทียบบ้านฉันเป็นกิ้งก่าตัวหนึ่งวังหลวงก็คงจะเป็นไวเวิร์นได้มั้ง? 」

 

 

 

「-อึก-…ละ-แล้วเราจำเป็นต้องไปที่นั่นจริงๆ เหรอ? 」

 

 

「ก็คงงั้น หากเราคำนึงถึงเรื่องของอนาคตแล้ว ก็คงต้องทำตามที่ฟีโอดอร์ขอไหนๆ ทางนั้นก็ช่วยอะไรเราไว้เยอะด้วย」

 

 

 

เหมือนที่พูด สาเหตุที่พวกผมไปเมืองหลวงกันครั้งนี้ก็เป็นแผนของพ่อค้าทาสอย่างฟีโอดอร์

 

 

 

ก็รู้สึกแย่อยู่นะที่จะบอกมันว่าเป็นแผน แต่ผมที่โดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่บอกอะไรกันก่อนเลยก็คงบ่นได้อยู่แหละ

 

 

เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็แค่คำเชิญให้ไปรับคำชมในความสำเร็จ จุดหมายก็คือการขอบคุณพวกเราก็คงไม่เป็นไรมั้ง

 

 

สรุปสั้นๆ ก็คือ เป็นคำเชิญเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่เอาชนะบาซิลิสก์และหยุดการแพร่กระจายของฟุไคลงได้ ด้วยเหตุนี้รถม้าคันอื่นที่ร่วมทางมาด้วยกัน ก็มีเหล่าสมาชิกที่เหลือรอดของเคียวแห่งยมทูตอยู่ด้วย

 

 

ถึงผมจะเคยบอกไปแล้ว แต่คนที่มีส่วนร่วมในการจัดการบาซิลิสก์มากที่สุดก็ควรจะเป็นเพอรี่ซึ่งเป็นผู้นำของเคียวแห่งยมทูต

 

 

นั่นคือข้อตกลงที่ผมกับฟีโอดอร์คุยกันไว้ เพื่อปกป้องซูซูเมะ ดังนั้นบทบาทของผมในรอบนี้ก็จะจบลงที่เป็นส่วนหนึ่งในการปราบเท่านั้น

 

แต่เพราะผมมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรื่องฟุไค สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้ผมเป็นตัวหลักในงานอยู่ดี

 

และก็เรื่องที่ผมมีคราว โซราสด้วย จากที่ฟีโอดอร์บอกผม เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่ากษัตริย์หรือชนชั้นสูงบางคนน่าจะต้องการตัวผมไปรับใช้แน่

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้นผมก็นึกได้แต่ความยุ่งยากที่จะตามมา เพราะผมไม่คิดจะทำงานใต้ใครซะด้วยสิ…แต่ถึงผมจะรู้ว่าต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมก็ปฏิเสธไม่ไปงานไม่ได้ซะด้วย

 

 

 

สาเหตุหลักก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นซูซูเมะที่นั่งข้างๆ ผม

 

ปัจจุบันคนไม่เมืองอิชกะไม่มีใครคิดทำร้ายเธออีกแล้ว

 

 

 

นี่ก็เป็นผลมาจากอิทธิพลของสหภาพที่ประกาศถึงความสำเร็จของซูซูเมะให้คนอื่นได้รู้ ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับบาซิลิสก์และยังเป็นผู้ที่คิดค้นยารักษาโรคระบาดล่าสุดขึ้นมาได้

 

 

สถานการณ์โดยรวมผมประเมินว่าค่อนข้างน่าพอใจแล้ว แต่เหมือนทางฟีโอดอร์ยังกังวลเกี่ยวกับซูซูเมะอยู่ เขาเลยอยากจะให้มีการรับรองความปลอดภัยของเธอด้วยกษัตริย์

 

จากมุมของเขาหากกษัตริย์ยอมรับเธออย่างเป็นทางการ พวกชนชั้นสูงคนอื่นก็จะมายุ่งกับเธอไม่ได้ด้วย

 

 

…พูดตามตรง ตอนผมได้ยินเขาบอกครั้งแรก ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้จริงหรือเปล่า

 

แต่เพราะฟีโอดอร์บอกว่าเขามีเส้นสายกับทางดยุกดรากูนอทที่เป็นชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรดังนั้นหายห่วงได้เลย

 

 

 

พอมาคิดหมอนี่ก็สุดยอดเอาเรื่องแฮะ

 

 

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นผลมาจากตอนที่เขาเอาผลจิไรอาโอคุสไปให้ดยุกและผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสุขภาพของลูกสาวดยุกดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

จะว่าไปที่ผมได้ฟังข่าวลือมาจากพวกนักผจญภัยเหมือนจะลือกันว่า ลูกสาวของดยุกเป็นโรคต้องสาปที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไม่ว่าจะด้วยยาระดับสูง ปาฏิหาริย์จากบิชอป หรืออิลิกเซอร์ แต่เนื่องจากในอดีตผมเป็นเพียงแค่นักผจญภัยระดับ 10 เรื่องพวกนี้ก็เลยไกลตัวผมไปเยอะเลย

 

 

 

เอาเป็นว่าด้วยความสามารถของฟีโอดอร์ในการหาช่องทาง พวกเราก็เลยได้รับเชิญให้ไปเมืองหลวงในท้ายที่สุด

 

 

จะว่าขอบคุณมันก็ขอบคุณอยู่หรอก แต่ผมก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องเป็นหนี้เจ้าพ่อค้ามากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

….แต่ว่า ที่เขาสามารถเข้าหาหรือสร้างเส้นสายกับราชวงศ์หรือชนชั้นสูงได้ก็เพราะยารักษาที่ได้มาจากต้นจิไรอาโอคุสทั้งนั้น ก็แปลว่ามันไม่ใช่การติดหนี้บุญคุณฝ่ายเดียวนี่เนอะ

 

 

สำหรับผมแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็เหมือนการมาเที่ยวเมืองหลวงเฉยๆ แหละ

 

 

แต่สำหรับซูซูเมะที่เพิ่งก้าวออกมาเดินในโลกของมนุษย์เธอก็คงรู้สึกเหมือนตนกำลังอยู่บนเรือเล็กท่ามกลางพายุ ที่เธอจะถูกพัดไปมาตามความสะดวกของผู้อื่น

 

 

 

จะรู้สึกกังวลก็คงไม่แปลก

 

 

 

เพื่อทำให้เธอสบายใจ ผมก็ต้องยิ้มรับเธอเพื่อให้เธอร่าเริงขึ้น

 

 

 

「ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็จะอยู่ข้างๆ เธอตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงนี้แน่นอน」

 

 

หลังผมพูด เธอก็พยักหน้าให้ผม

 

 

 

เด็กสาวผู้มีเขาสองเขาแม้จะยังรู้สึกไม่สบายใจ แต่สีหน้าของเธอก็ดูมีความโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

 

 

「ขอบคุณนะ」

 

 

「ให้เป็นหน้าที่ฉันเองน่า แถมถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวพวกเราก็ใช้คราว โซราสหนีได้ด้วย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงๆ 」

 

 

ส่วนเจ้าคราว โซราสที่ว่าตอนนี้ก็กำลังบินอยู่เหนือรถม้าผมนี่แหละ

 

 

ส่วนสาเหตุที่พวกผมไม่ไปเมืองหลวงด้วยคราว โซราสก็เพราะว่าการจะโดยสารมันไปพร้อมกันทีเดียว 4 คน หากไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินผมก็ไม่คิดว่ามันดีต่อคราว โซราสนัก

 

 

สรุปก็คือได้ทำมันก็ทำได้แต่ไม่ทำจะดีกว่า ที่นั่งที่ติดไว้ก็มีที่เดียวด้วย

 

 

ดังนั้นไม่ต้องถามหาความสบาย สามคนที่เหลืออาจจะทนไม่ไหวด้วย

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีทางที่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังที่เดินทางมายังเมืองอิชกะเพื่อรับพวกผมไปเมืองหลวง ไว้ข้างหลังด้วย

 

 

พอคิดได้แบบนี้ก็เลิกบ่นและทำตัวเป็นเด็กกับแค่เรื่องที่นั่งได้สักที

 

 

คิดซะว่านี่เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้กระชับสัมพันธ์กับซูซูเมะมากขึ้นด้วยน่าจะดี

 

 

「จะว่าไป ตอนที่ฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? 」

 

 

พอผมเป็นคนเปิดบทสนทนาอันใหม่ ลูนามาเรียกับชีลก็มองหน้้ากัน

 

เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ดูจากสีหน้าของพวกเธอแล้ว ผมคิดว่ามันคงไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่พูดออกมาได้ยากอย่างน่าประหลาด

 

 

พอผมมองไปที่ซูซูเมะก็เหมือนสีหน้าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ก็แปลว่าไม่เกี่ยวกับคิจินถ้างั้น….

 

และในคืนนั้นเองผมก็ได้เข้าใจถึงการแสดงออกของทั้งสองแล้ว

 

 

มีเต็นท์สองหลังถูกตั้งเอาไว้ข้างนอกรถม้า หลังจากที่ซูซูเมะเข้านอนไปแล้ว ลูนามาเรียก็มาหาผมที่เต็นท์ของฝั่งผู้ชายและบอกเหตุผลกับผม

 

มันเกี่ยวกับผลกระทบที่ผมคาดไม่ถึงของอาภรณ์วิญญาณที่ผมได้มา

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือผู้หญิงที่ผมหลับนอนด้วยนั้นทุกคนจะแข็งแกร่งขึ้น

 

 

 

 

「…เอาจริงดิ? 」

 

 

 

「ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นค่ะเพราะทั้งฉันและชีลต่างก็แข็งแกร่งขึ้น」

 

 

ตามที่ลูนามาเรียบอก เธอสังเกตถึงเรื่องนี้ได้ตอนที่ผมไปล่าคิจินตามคำขอของฟีโอดอร์

 

เธอสัมผัสได้ว่าพลังของเธอเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ทางชีลเองก็พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด ลูนามาเรียที่เป็นผู้ฝึกฝนเธอเองกับมือย่อมรู้ดี

 

ตอนที่ผมไม่อยู่ที่เมืองอิชกะ พวกเธอรู้สึกว่ามานาและพลังกายของพวกเธอเริ่มค่อยๆ ลดลงไปด้วยบางส่วน ดังนั้นจึงทำให้พวกเธอมั่นใจว่าเป็นเพราะผมจริงๆ

 

…งี้นี่เอง เลยเป็นเหตุผลที่พวกเธอไม่สามารถบอกผมต่อหน้าซูซูเมะได้

 

ผมก็เห็นด้วยแหละ

 

เพราะผมเข้าใจดีว่าทำให้เธอถึงเอาแต่เงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้

 

มันต้องเกี่ยวข้องกับความลับในตัวผมแน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ลูนามาเรียก็บอกผมถึงเรื่องที่เธอสัมผัส มังกร ได้จากตัวผม อนิม่าของตัวผมเธอสามารถรับรู้ได้จากพวกสปิริต

 

 

นับตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่เคยคุยกับผมเรื่องมังกรอีกเลย บางทีเธอน่าจะคิดว่าผมต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยก็ได้

 

 

ซึ่งก็เป็นตามที่เธอคิดผมซ่อนมังกร-ไม่สิอาภรณ์วิญญาณของผมเอาไว้

 

ผมจะเลือกใช้อาภรณ์วิญญาณก็ต่อเมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ อย่างตอนที่ผมดวลกับราสผมก็ไม่ได้ใช้มันเพราะคนอื่นกำลังจับตามองอยู่

 

ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าคนอื่นจะคิดว่าผมเก่งหรือเปล่า แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็ไม่น่าจะคิดว่าผมกระจอก หากรู้เรื่องที่ผมจัดการกับสกิลล่าและกริฟฟอนได้

 

แต่อย่างน้อย เรื่องที่ผมแกร่งขนาดไหน แกร่งได้อย่างไร และมีวิธีสู้แบบไหน ผมก็ไม่อยากจะให้มันหลุดไปถึงหูคนอื่นมากนัก ผมจึงต้องคอยระวังการแสดงพลังด้วย

 

ส่วนวิชาดาบเดียวมายา อาภรณ์วิญญาณ คิ ถึงมันจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นความลับจนไม่มีคนนอกรู้

 

ยังไงพวกนักผจญภัยก็ไม่มีพรมแดน ข้อมูลของคนที่รู้ถึงตัวตนของดาบเดียวมายาก็ย่อมมีอยู่แล้ว ยิ่งเป็นจักรวรรดิก็น่าจะหาได้ไม่ยาก

 

หลังจากที่พวกเขาเห็นอาภรณ์วิญญาณและศาสตร์คิ พวกเขาก็น่าจะเชื่อมโยงผมกับพวกที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์ได้

 

แน่นอนว่าพวกเขาก็จะสามารถคิดแผนมารับมือกับผมได้ อย่างการที่ผมใช้คิเข้ามาคลุมร่างเอาไว้เหมือนกับมานา หากพวกเขาใช้อุปกรณ์สกัดกั้นมานา ไม่ก็บาเรียผนึก ก็น่าจะแก้ทางผมได้พอสมควร

 

เพราะงั้นผมจึงพยายามซ่อนและปิดบังข้อมูลเพื่อลดความเสียเปรียบลง ผมจึงไม่เอาเรื่องอาภรณ์วิญญาณไปบอกใคร ส่วนทางลูนามาเรียก็คิดว่าผมไม่อยากพูดถึงมันเธอก็เลยเลือกที่จะเงียบด้วย

 

แต่ครั้งนี้ที่เธอยอมพูดออกมาอีกครั้ง มันก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลในการพูดจริงๆ

 

 

「ตั้งแต่อดีตกาลแล้วค่ะ การที่จะครอบครองใจผู้มีความสามารถ ผู้คนก็มักจะใช้เงินและผู้หญิง」

 

 

「หรือก็คือเธอจะบอกว่าหากฉันไม่ระวังแล้วไปนอนกับผู้หญิงมั่วซั่วความลับก็อาจจะรั่วไปได้สินะ? 」

 

 

「ค่ะ หากเป็นฉันหรือชีล พวกเราก็คงเอาไปบอกใครไม่ได้หรอกค่ะและถึงอยากจะทำ นายท่านก็สามารถปิดปากพวกเราได้ด้วยปลอกคอนี้อยู่ดี」

 

พอพูดจบลูนามาเลียก็เอามือมาสัมผัสกับปลอกทาสคอของเธอ

 

 

ปลอกคอทาสที่ทางสหภาพเตรียมมานั้นลงมนตร์อย่าง “ระบุตำแหน่ง” อัมพาต” และ “ช็อก” เอาไว้ภายใน

 

 

ไม่จำเป็นต้องบอกว่านั่นคือมนตร์ที่เอาไว้รับมือกับการหลบหนี การตอบโต้ของทาส และลงโทษทาสตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตามปลอกคอนี้ผลิตด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ สหภาพ การเลียนแบบ การทำเลียนแบบก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน หรือถ้าคิดพยายามทำจริงสหภาพก็จะพยายามตามฆ่าคนคนนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นประเทศก็ตาม สำหรับสหภาพแล้วปลอกคอทาสมันสำคัญระดับนั้นเลยแหละ

 

 

กลับมาเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ดีกว่า ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ลูนามาเรียจะสื่อดี ถ้าเป็นทาสของผมถึงจะรู้ความลับอะไรไป ผมก็สามารถจัดการได้ไม่ยาก แต่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นกับสตรีชนชั้นสูงได้

 

ก็คืออย่าไปตอบรับคำล่อลวงของพวกเขาเสียง่ายๆ ล่ะ

 

ผมจะน้อมรับคำแนะนำนี้ไว้แล้วกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนไหนอยากเข้าใกล้ผมก็เถอะ แต่ถึงมีจริง ผมก็คงไม่สนใจจะไปหลับนอนกับลูกสาวของชนชั้นสูงที่โปะหน้าด้วยเครื่องสำอางจนแน่นหรอก

 

เห็นแบบนี้ ผมก็เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นในอดีตในฐานะทายาทคนต่อไปของตระกูลมิทซึรุกิเลยนะเออ

 

หากเป็นผู้ที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่าตระกูลผม บางทีตระกูลก็จะส่งแค่ผมที่เป็นตัวแทนไปคนเดียวด้วย

 

และผมก็จะไม่ได้เลยด้วยว่าเจอผู้หญิงคนไหนในแวดวงชั้นสูงที่สร้างความประทับใจให้กับผม เอาเป็นว่าผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเชิญครั้งนี้นักหรอก

 

ถึงประสบการณ์ผมจะได้มาจากทางจักรวรรดิ แต่ที่นี่เป็นอาณาจักร …ผมว่ามันก็คงไม่มีอะไรต่างกันมากหรอกมั้งสำหรับราชวงศ์กับชนชั้นสูง

 

จากใจเลยนะ ผมอยากจะรีบจัดการกับธุระพวกนี้ให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทอีกรอบ

 

ไม่ก็ลองออกไปผจญภัยกับชีลแล้วก็ลูนามาเรีย เพราะหากเป็นพวกเธอผมก็สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้เต็มที่ด้วย ซึ่งผมมั่นใจจากการที่ได้ยินเธอพูดก่อนหน้านี้ ก็ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลหากพวกเธอจะรู้

 

 

ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็เดินเข้าไปกอดลูนามาเรียที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม

 

———

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง

 

「….เบื่อจังเลยเน้อ」

 

 

ผมพึมพำอย่างเกียจคร้านออกมาบนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

 

 

 

พื้นที่ภายในรถม้ามันก็ไม่ได้กว้างมากดังนั้นผู้ร่วมทางกับผมไปด้วยก็คงได้ยินเสียงของผมเหมือนกัน เห็นได้จากใบหน้าของลูนามาเรียซึ่งกำลังจะตอบกลับเสียงบ่นของผม

 

 

 

 

「เรากำลังออกมาจากเมืองอิชกะได้ครู่เดียว (2ชม.) เองนะคะ ดังนั้นก็คงจะอีกนานเลยค่ะกว่าเราจะเดินทางถึงเมืองหลวง」

 

「ก็รู้หรอก…แต่พอชินกับความเร็วของไวเวิร์นแล้ว การเดินทางบนพื้นดินนี่มันก็ไม่ไหวจริงๆ นอกจากนั้นรถม้านี่มันรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ ด้วยสิ.…」

 

 

ที่นั่งของรถม้าคันนี้มันนุ่มกว่าที่ผมคิดไว้อีก บางทีมันอาจจะยัดขนนกเอาไว้จนแน่นเลยมั้ง

 

 

เนื่องจากรถม้ามันสั่นไปมาตลอด หากได้นั่งที่นั่งนุ่มๆ ก็คงจะดีกว่าที่นั่งแข็งๆ แหละ เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกนุ่มๆ ที่กระทบก้นผมเอาซะเลย

 

 

ชีลที่นั่งถัดจากลูนามาเรียไปก็เห็นด้วยกับผม เห็นได้จากหูรูปสามเหลี่ยมของเธอที่ขยับไปมาอย่างกระสับกระส่าย

 

 

 

「เข้าใจดีเลยค่ะ ฉันก็รู้สึกอึดอัดแปลกๆ เหมือนกัน ประมาณว่า…ไม่สบายใจอะไรทำนองนั้นค่ะ แล้วเธอล่ะซูซูเมะจัง? 」

 

 

 

「ฉัน..ก็….จะว่าไงดีละ..สิ่งที่เรียกว่ารถม้านี่…ไม่ชินแปลกๆ 」

 

 

เด็กสาวคิจินมองไปรอบๆ รถม้าด้วยท่าทางกังวล

 

 

 

โดยขณะมองมือข้างหนึ่งของเธอก็จับแขนเสื้อผมเอาไว้แน่น

 

 

จากที่ลูนามาเรียกับชีลบอกผม เหมือนซูซูเมะจะกังวลเกี่ยวกับผมเป็นอย่างมากตอนผมไปที่หมู่บ้านเมลเท

 

 

ถึงซูซูเมะจะพูดกับผมได้เป็นปกติ แต่สำหรับคนอื่นแล้วเธอค่อนข้างยังระแวงอยู่บ้าง ส่วนเหตุผลที่เธอยอมเปิดใจให้กับผมก็น่าจะเป็นเพราะผมได้ช่วยเธอไว้ถึงสองครั้งทั้งตอนราชาแมลงวันแล้วก็บาซิลิกส์

 

 

 

ส่วนคราวนี้ผมที่เธอเชื่อใจก็ทิ้งเธอไว้แล้วไปหมู่บ้านเมลเทคนเดียว

 

 

ถึงผมจะขอให้ลูนามาเรียกับชีลดูแลเธอตอนผมไม่อยู่ไปแล้ว แต่หากเธอจะตำหนิผมว่าดูแลเธอได้ไม่ดีผมก็แย้งอะไรไม่ได้แฮะ

 

 

ระหว่างที่ผมคิด ซูซูเมะก็ถามผมด้วยสีหน้าที่ดูลำบากใจ

 

 

 

「…คือว่า…เมืองหลวงนี่ ใหญ่กว่าอิชกะอีกใช่ไหม? 」

 

 

 

「อื้ม ถ้าจะให้พูดถึงขนาด ฉันว่าก็น่าจะใหญ่กว่าเมืองอิชกะไปประมาณ 3 เท่าได้」

 

 

 

「…ใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ…งั้น..สถานที่ที่เรียกว่าวังหลวง…มันใหญ่กว่าบ้านนายเท่าไหร่เหรอ? 」

 

 

 

「นั่นสินะ…ถ้าเทียบบ้านฉันเป็นกิ้งก่าตัวหนึ่งวังหลวงก็คงจะเป็นไวเวิร์นได้มั้ง? 」

 

 

 

「-อึก-…ละ-แล้วเราจำเป็นต้องไปที่นั่นจริงๆ เหรอ? 」

 

 

「ก็คงงั้น หากเราคำนึงถึงเรื่องของอนาคตแล้ว ก็คงต้องทำตามที่ฟีโอดอร์ขอไหนๆ ทางนั้นก็ช่วยอะไรเราไว้เยอะด้วย」

 

 

 

เหมือนที่พูด สาเหตุที่พวกผมไปเมืองหลวงกันครั้งนี้ก็เป็นแผนของพ่อค้าทาสอย่างฟีโอดอร์

 

 

 

ก็รู้สึกแย่อยู่นะที่จะบอกมันว่าเป็นแผน แต่ผมที่โดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่บอกอะไรกันก่อนเลยก็คงบ่นได้อยู่แหละ

 

 

เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็แค่คำเชิญให้ไปรับคำชมในความสำเร็จ จุดหมายก็คือการขอบคุณพวกเราก็คงไม่เป็นไรมั้ง

 

 

สรุปสั้นๆ ก็คือ เป็นคำเชิญเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่เอาชนะบาซิลิสก์และหยุดการแพร่กระจายของฟุไคลงได้ ด้วยเหตุนี้รถม้าคันอื่นที่ร่วมทางมาด้วยกัน ก็มีเหล่าสมาชิกที่เหลือรอดของเคียวแห่งยมทูตอยู่ด้วย

 

 

ถึงผมจะเคยบอกไปแล้ว แต่คนที่มีส่วนร่วมในการจัดการบาซิลิสก์มากที่สุดก็ควรจะเป็นเพอรี่ซึ่งเป็นผู้นำของเคียวแห่งยมทูต

 

 

นั่นคือข้อตกลงที่ผมกับฟีโอดอร์คุยกันไว้ เพื่อปกป้องซูซูเมะ ดังนั้นบทบาทของผมในรอบนี้ก็จะจบลงที่เป็นส่วนหนึ่งในการปราบเท่านั้น

 

แต่เพราะผมมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรื่องฟุไค สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้ผมเป็นตัวหลักในงานอยู่ดี

 

และก็เรื่องที่ผมมีคราว โซราสด้วย จากที่ฟีโอดอร์บอกผม เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่ากษัตริย์หรือชนชั้นสูงบางคนน่าจะต้องการตัวผมไปรับใช้แน่

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้นผมก็นึกได้แต่ความยุ่งยากที่จะตามมา เพราะผมไม่คิดจะทำงานใต้ใครซะด้วยสิ…แต่ถึงผมจะรู้ว่าต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมก็ปฏิเสธไม่ไปงานไม่ได้ซะด้วย

 

 

 

สาเหตุหลักก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นซูซูเมะที่นั่งข้างๆ ผม

 

ปัจจุบันคนไม่เมืองอิชกะไม่มีใครคิดทำร้ายเธออีกแล้ว

 

 

 

นี่ก็เป็นผลมาจากอิทธิพลของสหภาพที่ประกาศถึงความสำเร็จของซูซูเมะให้คนอื่นได้รู้ ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับบาซิลิสก์และยังเป็นผู้ที่คิดค้นยารักษาโรคระบาดล่าสุดขึ้นมาได้

 

 

สถานการณ์โดยรวมผมประเมินว่าค่อนข้างน่าพอใจแล้ว แต่เหมือนทางฟีโอดอร์ยังกังวลเกี่ยวกับซูซูเมะอยู่ เขาเลยอยากจะให้มีการรับรองความปลอดภัยของเธอด้วยกษัตริย์

 

จากมุมของเขาหากกษัตริย์ยอมรับเธออย่างเป็นทางการ พวกชนชั้นสูงคนอื่นก็จะมายุ่งกับเธอไม่ได้ด้วย

 

 

…พูดตามตรง ตอนผมได้ยินเขาบอกครั้งแรก ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้จริงหรือเปล่า

 

แต่เพราะฟีโอดอร์บอกว่าเขามีเส้นสายกับทางดยุกดรากูนอทที่เป็นชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรดังนั้นหายห่วงได้เลย

 

 

 

พอมาคิดหมอนี่ก็สุดยอดเอาเรื่องแฮะ

 

 

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นผลมาจากตอนที่เขาเอาผลจิไรอาโอคุสไปให้ดยุกและผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสุขภาพของลูกสาวดยุกดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

จะว่าไปที่ผมได้ฟังข่าวลือมาจากพวกนักผจญภัยเหมือนจะลือกันว่า ลูกสาวของดยุกเป็นโรคต้องสาปที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไม่ว่าจะด้วยยาระดับสูง ปาฏิหาริย์จากบิชอป หรืออิลิกเซอร์ แต่เนื่องจากในอดีตผมเป็นเพียงแค่นักผจญภัยระดับ 10 เรื่องพวกนี้ก็เลยไกลตัวผมไปเยอะเลย

 

 

 

เอาเป็นว่าด้วยความสามารถของฟีโอดอร์ในการหาช่องทาง พวกเราก็เลยได้รับเชิญให้ไปเมืองหลวงในท้ายที่สุด

 

 

จะว่าขอบคุณมันก็ขอบคุณอยู่หรอก แต่ผมก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องเป็นหนี้เจ้าพ่อค้ามากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

….แต่ว่า ที่เขาสามารถเข้าหาหรือสร้างเส้นสายกับราชวงศ์หรือชนชั้นสูงได้ก็เพราะยารักษาที่ได้มาจากต้นจิไรอาโอคุสทั้งนั้น ก็แปลว่ามันไม่ใช่การติดหนี้บุญคุณฝ่ายเดียวนี่เนอะ

 

 

สำหรับผมแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็เหมือนการมาเที่ยวเมืองหลวงเฉยๆ แหละ

 

 

แต่สำหรับซูซูเมะที่เพิ่งก้าวออกมาเดินในโลกของมนุษย์เธอก็คงรู้สึกเหมือนตนกำลังอยู่บนเรือเล็กท่ามกลางพายุ ที่เธอจะถูกพัดไปมาตามความสะดวกของผู้อื่น

 

 

 

จะรู้สึกกังวลก็คงไม่แปลก

 

 

 

เพื่อทำให้เธอสบายใจ ผมก็ต้องยิ้มรับเธอเพื่อให้เธอร่าเริงขึ้น

 

 

 

「ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็จะอยู่ข้างๆ เธอตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงนี้แน่นอน」

 

 

หลังผมพูด เธอก็พยักหน้าให้ผม

 

 

 

เด็กสาวผู้มีเขาสองเขาแม้จะยังรู้สึกไม่สบายใจ แต่สีหน้าของเธอก็ดูมีความโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

 

 

「ขอบคุณนะ」

 

 

「ให้เป็นหน้าที่ฉันเองน่า แถมถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวพวกเราก็ใช้คราว โซราสหนีได้ด้วย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงๆ 」

 

 

ส่วนเจ้าคราว โซราสที่ว่าตอนนี้ก็กำลังบินอยู่เหนือรถม้าผมนี่แหละ

 

 

ส่วนสาเหตุที่พวกผมไม่ไปเมืองหลวงด้วยคราว โซราสก็เพราะว่าการจะโดยสารมันไปพร้อมกันทีเดียว 4 คน หากไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินผมก็ไม่คิดว่ามันดีต่อคราว โซราสนัก

 

 

สรุปก็คือได้ทำมันก็ทำได้แต่ไม่ทำจะดีกว่า ที่นั่งที่ติดไว้ก็มีที่เดียวด้วย

 

 

ดังนั้นไม่ต้องถามหาความสบาย สามคนที่เหลืออาจจะทนไม่ไหวด้วย

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีทางที่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังที่เดินทางมายังเมืองอิชกะเพื่อรับพวกผมไปเมืองหลวง ไว้ข้างหลังด้วย

 

 

พอคิดได้แบบนี้ก็เลิกบ่นและทำตัวเป็นเด็กกับแค่เรื่องที่นั่งได้สักที

 

 

คิดซะว่านี่เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้กระชับสัมพันธ์กับซูซูเมะมากขึ้นด้วยน่าจะดี

 

 

「จะว่าไป ตอนที่ฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? 」

 

 

พอผมเป็นคนเปิดบทสนทนาอันใหม่ ลูนามาเรียกับชีลก็มองหน้้ากัน

 

เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ดูจากสีหน้าของพวกเธอแล้ว ผมคิดว่ามันคงไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่พูดออกมาได้ยากอย่างน่าประหลาด

 

 

พอผมมองไปที่ซูซูเมะก็เหมือนสีหน้าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ก็แปลว่าไม่เกี่ยวกับคิจินถ้างั้น….

 

และในคืนนั้นเองผมก็ได้เข้าใจถึงการแสดงออกของทั้งสองแล้ว

 

 

มีเต็นท์สองหลังถูกตั้งเอาไว้ข้างนอกรถม้า หลังจากที่ซูซูเมะเข้านอนไปแล้ว ลูนามาเรียก็มาหาผมที่เต็นท์ของฝั่งผู้ชายและบอกเหตุผลกับผม

 

มันเกี่ยวกับผลกระทบที่ผมคาดไม่ถึงของอาภรณ์วิญญาณที่ผมได้มา

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือผู้หญิงที่ผมหลับนอนด้วยนั้นทุกคนจะแข็งแกร่งขึ้น

 

 

 

 

「…เอาจริงดิ? 」

 

 

 

「ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นค่ะเพราะทั้งฉันและชีลต่างก็แข็งแกร่งขึ้น」

 

 

ตามที่ลูนามาเรียบอก เธอสังเกตถึงเรื่องนี้ได้ตอนที่ผมไปล่าคิจินตามคำขอของฟีโอดอร์

 

เธอสัมผัสได้ว่าพลังของเธอเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ทางชีลเองก็พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด ลูนามาเรียที่เป็นผู้ฝึกฝนเธอเองกับมือย่อมรู้ดี

 

ตอนที่ผมไม่อยู่ที่เมืองอิชกะ พวกเธอรู้สึกว่ามานาและพลังกายของพวกเธอเริ่มค่อยๆ ลดลงไปด้วยบางส่วน ดังนั้นจึงทำให้พวกเธอมั่นใจว่าเป็นเพราะผมจริงๆ

 

…งี้นี่เอง เลยเป็นเหตุผลที่พวกเธอไม่สามารถบอกผมต่อหน้าซูซูเมะได้

 

ผมก็เห็นด้วยแหละ

 

เพราะผมเข้าใจดีว่าทำให้เธอถึงเอาแต่เงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้

 

มันต้องเกี่ยวข้องกับความลับในตัวผมแน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ลูนามาเรียก็บอกผมถึงเรื่องที่เธอสัมผัส มังกร ได้จากตัวผม อนิม่าของตัวผมเธอสามารถรับรู้ได้จากพวกสปิริต

 

 

นับตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่เคยคุยกับผมเรื่องมังกรอีกเลย บางทีเธอน่าจะคิดว่าผมต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยก็ได้

 

 

ซึ่งก็เป็นตามที่เธอคิดผมซ่อนมังกร-ไม่สิอาภรณ์วิญญาณของผมเอาไว้

 

ผมจะเลือกใช้อาภรณ์วิญญาณก็ต่อเมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ อย่างตอนที่ผมดวลกับราสผมก็ไม่ได้ใช้มันเพราะคนอื่นกำลังจับตามองอยู่

 

ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าคนอื่นจะคิดว่าผมเก่งหรือเปล่า แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็ไม่น่าจะคิดว่าผมกระจอก หากรู้เรื่องที่ผมจัดการกับสกิลล่าและกริฟฟอนได้

 

แต่อย่างน้อย เรื่องที่ผมแกร่งขนาดไหน แกร่งได้อย่างไร และมีวิธีสู้แบบไหน ผมก็ไม่อยากจะให้มันหลุดไปถึงหูคนอื่นมากนัก ผมจึงต้องคอยระวังการแสดงพลังด้วย

 

ส่วนวิชาดาบเดียวมายา อาภรณ์วิญญาณ คิ ถึงมันจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นความลับจนไม่มีคนนอกรู้

 

ยังไงพวกนักผจญภัยก็ไม่มีพรมแดน ข้อมูลของคนที่รู้ถึงตัวตนของดาบเดียวมายาก็ย่อมมีอยู่แล้ว ยิ่งเป็นจักรวรรดิก็น่าจะหาได้ไม่ยาก

 

หลังจากที่พวกเขาเห็นอาภรณ์วิญญาณและศาสตร์คิ พวกเขาก็น่าจะเชื่อมโยงผมกับพวกที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์ได้

 

แน่นอนว่าพวกเขาก็จะสามารถคิดแผนมารับมือกับผมได้ อย่างการที่ผมใช้คิเข้ามาคลุมร่างเอาไว้เหมือนกับมานา หากพวกเขาใช้อุปกรณ์สกัดกั้นมานา ไม่ก็บาเรียผนึก ก็น่าจะแก้ทางผมได้พอสมควร

 

เพราะงั้นผมจึงพยายามซ่อนและปิดบังข้อมูลเพื่อลดความเสียเปรียบลง ผมจึงไม่เอาเรื่องอาภรณ์วิญญาณไปบอกใคร ส่วนทางลูนามาเรียก็คิดว่าผมไม่อยากพูดถึงมันเธอก็เลยเลือกที่จะเงียบด้วย

 

แต่ครั้งนี้ที่เธอยอมพูดออกมาอีกครั้ง มันก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลในการพูดจริงๆ

 

 

「ตั้งแต่อดีตกาลแล้วค่ะ การที่จะครอบครองใจผู้มีความสามารถ ผู้คนก็มักจะใช้เงินและผู้หญิง」

 

 

「หรือก็คือเธอจะบอกว่าหากฉันไม่ระวังแล้วไปนอนกับผู้หญิงมั่วซั่วความลับก็อาจจะรั่วไปได้สินะ? 」

 

 

「ค่ะ หากเป็นฉันหรือชีล พวกเราก็คงเอาไปบอกใครไม่ได้หรอกค่ะและถึงอยากจะทำ นายท่านก็สามารถปิดปากพวกเราได้ด้วยปลอกคอนี้อยู่ดี」

 

พอพูดจบลูนามาเลียก็เอามือมาสัมผัสกับปลอกทาสคอของเธอ

 

 

ปลอกคอทาสที่ทางสหภาพเตรียมมานั้นลงมนตร์อย่าง “ระบุตำแหน่ง” อัมพาต” และ “ช็อก” เอาไว้ภายใน

 

 

ไม่จำเป็นต้องบอกว่านั่นคือมนตร์ที่เอาไว้รับมือกับการหลบหนี การตอบโต้ของทาส และลงโทษทาสตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตามปลอกคอนี้ผลิตด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ สหภาพ การเลียนแบบ การทำเลียนแบบก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน หรือถ้าคิดพยายามทำจริงสหภาพก็จะพยายามตามฆ่าคนคนนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นประเทศก็ตาม สำหรับสหภาพแล้วปลอกคอทาสมันสำคัญระดับนั้นเลยแหละ

 

 

กลับมาเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ดีกว่า ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ลูนามาเรียจะสื่อดี ถ้าเป็นทาสของผมถึงจะรู้ความลับอะไรไป ผมก็สามารถจัดการได้ไม่ยาก แต่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นกับสตรีชนชั้นสูงได้

 

ก็คืออย่าไปตอบรับคำล่อลวงของพวกเขาเสียง่ายๆ ล่ะ

 

ผมจะน้อมรับคำแนะนำนี้ไว้แล้วกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนไหนอยากเข้าใกล้ผมก็เถอะ แต่ถึงมีจริง ผมก็คงไม่สนใจจะไปหลับนอนกับลูกสาวของชนชั้นสูงที่โปะหน้าด้วยเครื่องสำอางจนแน่นหรอก

 

เห็นแบบนี้ ผมก็เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นในอดีตในฐานะทายาทคนต่อไปของตระกูลมิทซึรุกิเลยนะเออ

 

หากเป็นผู้ที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่าตระกูลผม บางทีตระกูลก็จะส่งแค่ผมที่เป็นตัวแทนไปคนเดียวด้วย

 

และผมก็จะไม่ได้เลยด้วยว่าเจอผู้หญิงคนไหนในแวดวงชั้นสูงที่สร้างความประทับใจให้กับผม เอาเป็นว่าผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเชิญครั้งนี้นักหรอก

 

ถึงประสบการณ์ผมจะได้มาจากทางจักรวรรดิ แต่ที่นี่เป็นอาณาจักร …ผมว่ามันก็คงไม่มีอะไรต่างกันมากหรอกมั้งสำหรับราชวงศ์กับชนชั้นสูง

 

จากใจเลยนะ ผมอยากจะรีบจัดการกับธุระพวกนี้ให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทอีกรอบ

 

ไม่ก็ลองออกไปผจญภัยกับชีลแล้วก็ลูนามาเรีย เพราะหากเป็นพวกเธอผมก็สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้เต็มที่ด้วย ซึ่งผมมั่นใจจากการที่ได้ยินเธอพูดก่อนหน้านี้ ก็ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลหากพวกเธอจะรู้

 

 

ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็เดินเข้าไปกอดลูนามาเรียที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม

 

———

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 53 คำเชื้อเชิญสู่เมืองหลวง

 

「….เบื่อจังเลยเน้อ」

 

 

ผมพึมพำอย่างเกียจคร้านออกมาบนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

 

 

 

พื้นที่ภายในรถม้ามันก็ไม่ได้กว้างมากดังนั้นผู้ร่วมทางกับผมไปด้วยก็คงได้ยินเสียงของผมเหมือนกัน เห็นได้จากใบหน้าของลูนามาเรียซึ่งกำลังจะตอบกลับเสียงบ่นของผม

 

 

 

 

「เรากำลังออกมาจากเมืองอิชกะได้ครู่เดียว (2ชม.) เองนะคะ ดังนั้นก็คงจะอีกนานเลยค่ะกว่าเราจะเดินทางถึงเมืองหลวง」

 

「ก็รู้หรอก…แต่พอชินกับความเร็วของไวเวิร์นแล้ว การเดินทางบนพื้นดินนี่มันก็ไม่ไหวจริงๆ นอกจากนั้นรถม้านี่มันรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ ด้วยสิ.…」

 

 

ที่นั่งของรถม้าคันนี้มันนุ่มกว่าที่ผมคิดไว้อีก บางทีมันอาจจะยัดขนนกเอาไว้จนแน่นเลยมั้ง

 

 

เนื่องจากรถม้ามันสั่นไปมาตลอด หากได้นั่งที่นั่งนุ่มๆ ก็คงจะดีกว่าที่นั่งแข็งๆ แหละ เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกนุ่มๆ ที่กระทบก้นผมเอาซะเลย

 

 

ชีลที่นั่งถัดจากลูนามาเรียไปก็เห็นด้วยกับผม เห็นได้จากหูรูปสามเหลี่ยมของเธอที่ขยับไปมาอย่างกระสับกระส่าย

 

 

 

「เข้าใจดีเลยค่ะ ฉันก็รู้สึกอึดอัดแปลกๆ เหมือนกัน ประมาณว่า…ไม่สบายใจอะไรทำนองนั้นค่ะ แล้วเธอล่ะซูซูเมะจัง? 」

 

 

 

「ฉัน..ก็….จะว่าไงดีละ..สิ่งที่เรียกว่ารถม้านี่…ไม่ชินแปลกๆ 」

 

 

เด็กสาวคิจินมองไปรอบๆ รถม้าด้วยท่าทางกังวล

 

 

 

โดยขณะมองมือข้างหนึ่งของเธอก็จับแขนเสื้อผมเอาไว้แน่น

 

 

จากที่ลูนามาเรียกับชีลบอกผม เหมือนซูซูเมะจะกังวลเกี่ยวกับผมเป็นอย่างมากตอนผมไปที่หมู่บ้านเมลเท

 

 

ถึงซูซูเมะจะพูดกับผมได้เป็นปกติ แต่สำหรับคนอื่นแล้วเธอค่อนข้างยังระแวงอยู่บ้าง ส่วนเหตุผลที่เธอยอมเปิดใจให้กับผมก็น่าจะเป็นเพราะผมได้ช่วยเธอไว้ถึงสองครั้งทั้งตอนราชาแมลงวันแล้วก็บาซิลิกส์

 

 

 

ส่วนคราวนี้ผมที่เธอเชื่อใจก็ทิ้งเธอไว้แล้วไปหมู่บ้านเมลเทคนเดียว

 

 

ถึงผมจะขอให้ลูนามาเรียกับชีลดูแลเธอตอนผมไม่อยู่ไปแล้ว แต่หากเธอจะตำหนิผมว่าดูแลเธอได้ไม่ดีผมก็แย้งอะไรไม่ได้แฮะ

 

 

ระหว่างที่ผมคิด ซูซูเมะก็ถามผมด้วยสีหน้าที่ดูลำบากใจ

 

 

 

「…คือว่า…เมืองหลวงนี่ ใหญ่กว่าอิชกะอีกใช่ไหม? 」

 

 

 

「อื้ม ถ้าจะให้พูดถึงขนาด ฉันว่าก็น่าจะใหญ่กว่าเมืองอิชกะไปประมาณ 3 เท่าได้」

 

 

 

「…ใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ…งั้น..สถานที่ที่เรียกว่าวังหลวง…มันใหญ่กว่าบ้านนายเท่าไหร่เหรอ? 」

 

 

 

「นั่นสินะ…ถ้าเทียบบ้านฉันเป็นกิ้งก่าตัวหนึ่งวังหลวงก็คงจะเป็นไวเวิร์นได้มั้ง? 」

 

 

 

「-อึก-…ละ-แล้วเราจำเป็นต้องไปที่นั่นจริงๆ เหรอ? 」

 

 

「ก็คงงั้น หากเราคำนึงถึงเรื่องของอนาคตแล้ว ก็คงต้องทำตามที่ฟีโอดอร์ขอไหนๆ ทางนั้นก็ช่วยอะไรเราไว้เยอะด้วย」

 

 

 

เหมือนที่พูด สาเหตุที่พวกผมไปเมืองหลวงกันครั้งนี้ก็เป็นแผนของพ่อค้าทาสอย่างฟีโอดอร์

 

 

 

ก็รู้สึกแย่อยู่นะที่จะบอกมันว่าเป็นแผน แต่ผมที่โดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่บอกอะไรกันก่อนเลยก็คงบ่นได้อยู่แหละ

 

 

เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็แค่คำเชิญให้ไปรับคำชมในความสำเร็จ จุดหมายก็คือการขอบคุณพวกเราก็คงไม่เป็นไรมั้ง

 

 

สรุปสั้นๆ ก็คือ เป็นคำเชิญเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่เอาชนะบาซิลิสก์และหยุดการแพร่กระจายของฟุไคลงได้ ด้วยเหตุนี้รถม้าคันอื่นที่ร่วมทางมาด้วยกัน ก็มีเหล่าสมาชิกที่เหลือรอดของเคียวแห่งยมทูตอยู่ด้วย

 

 

ถึงผมจะเคยบอกไปแล้ว แต่คนที่มีส่วนร่วมในการจัดการบาซิลิสก์มากที่สุดก็ควรจะเป็นเพอรี่ซึ่งเป็นผู้นำของเคียวแห่งยมทูต

 

 

นั่นคือข้อตกลงที่ผมกับฟีโอดอร์คุยกันไว้ เพื่อปกป้องซูซูเมะ ดังนั้นบทบาทของผมในรอบนี้ก็จะจบลงที่เป็นส่วนหนึ่งในการปราบเท่านั้น

 

แต่เพราะผมมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรื่องฟุไค สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้ผมเป็นตัวหลักในงานอยู่ดี

 

และก็เรื่องที่ผมมีคราว โซราสด้วย จากที่ฟีโอดอร์บอกผม เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่ากษัตริย์หรือชนชั้นสูงบางคนน่าจะต้องการตัวผมไปรับใช้แน่

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้นผมก็นึกได้แต่ความยุ่งยากที่จะตามมา เพราะผมไม่คิดจะทำงานใต้ใครซะด้วยสิ…แต่ถึงผมจะรู้ว่าต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมก็ปฏิเสธไม่ไปงานไม่ได้ซะด้วย

 

 

 

สาเหตุหลักก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นซูซูเมะที่นั่งข้างๆ ผม

 

ปัจจุบันคนไม่เมืองอิชกะไม่มีใครคิดทำร้ายเธออีกแล้ว

 

 

 

นี่ก็เป็นผลมาจากอิทธิพลของสหภาพที่ประกาศถึงความสำเร็จของซูซูเมะให้คนอื่นได้รู้ ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับบาซิลิสก์และยังเป็นผู้ที่คิดค้นยารักษาโรคระบาดล่าสุดขึ้นมาได้

 

 

สถานการณ์โดยรวมผมประเมินว่าค่อนข้างน่าพอใจแล้ว แต่เหมือนทางฟีโอดอร์ยังกังวลเกี่ยวกับซูซูเมะอยู่ เขาเลยอยากจะให้มีการรับรองความปลอดภัยของเธอด้วยกษัตริย์

 

จากมุมของเขาหากกษัตริย์ยอมรับเธออย่างเป็นทางการ พวกชนชั้นสูงคนอื่นก็จะมายุ่งกับเธอไม่ได้ด้วย

 

 

…พูดตามตรง ตอนผมได้ยินเขาบอกครั้งแรก ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้จริงหรือเปล่า

 

แต่เพราะฟีโอดอร์บอกว่าเขามีเส้นสายกับทางดยุกดรากูนอทที่เป็นชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรดังนั้นหายห่วงได้เลย

 

 

 

พอมาคิดหมอนี่ก็สุดยอดเอาเรื่องแฮะ

 

 

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นผลมาจากตอนที่เขาเอาผลจิไรอาโอคุสไปให้ดยุกและผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสุขภาพของลูกสาวดยุกดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

จะว่าไปที่ผมได้ฟังข่าวลือมาจากพวกนักผจญภัยเหมือนจะลือกันว่า ลูกสาวของดยุกเป็นโรคต้องสาปที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไม่ว่าจะด้วยยาระดับสูง ปาฏิหาริย์จากบิชอป หรืออิลิกเซอร์ แต่เนื่องจากในอดีตผมเป็นเพียงแค่นักผจญภัยระดับ 10 เรื่องพวกนี้ก็เลยไกลตัวผมไปเยอะเลย

 

 

 

เอาเป็นว่าด้วยความสามารถของฟีโอดอร์ในการหาช่องทาง พวกเราก็เลยได้รับเชิญให้ไปเมืองหลวงในท้ายที่สุด

 

 

จะว่าขอบคุณมันก็ขอบคุณอยู่หรอก แต่ผมก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องเป็นหนี้เจ้าพ่อค้ามากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

….แต่ว่า ที่เขาสามารถเข้าหาหรือสร้างเส้นสายกับราชวงศ์หรือชนชั้นสูงได้ก็เพราะยารักษาที่ได้มาจากต้นจิไรอาโอคุสทั้งนั้น ก็แปลว่ามันไม่ใช่การติดหนี้บุญคุณฝ่ายเดียวนี่เนอะ

 

 

สำหรับผมแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็เหมือนการมาเที่ยวเมืองหลวงเฉยๆ แหละ

 

 

แต่สำหรับซูซูเมะที่เพิ่งก้าวออกมาเดินในโลกของมนุษย์เธอก็คงรู้สึกเหมือนตนกำลังอยู่บนเรือเล็กท่ามกลางพายุ ที่เธอจะถูกพัดไปมาตามความสะดวกของผู้อื่น

 

 

 

จะรู้สึกกังวลก็คงไม่แปลก

 

 

 

เพื่อทำให้เธอสบายใจ ผมก็ต้องยิ้มรับเธอเพื่อให้เธอร่าเริงขึ้น

 

 

 

「ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็จะอยู่ข้างๆ เธอตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงนี้แน่นอน」

 

 

หลังผมพูด เธอก็พยักหน้าให้ผม

 

 

 

เด็กสาวผู้มีเขาสองเขาแม้จะยังรู้สึกไม่สบายใจ แต่สีหน้าของเธอก็ดูมีความโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

 

 

「ขอบคุณนะ」

 

 

「ให้เป็นหน้าที่ฉันเองน่า แถมถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวพวกเราก็ใช้คราว โซราสหนีได้ด้วย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงๆ 」

 

 

ส่วนเจ้าคราว โซราสที่ว่าตอนนี้ก็กำลังบินอยู่เหนือรถม้าผมนี่แหละ

 

 

ส่วนสาเหตุที่พวกผมไม่ไปเมืองหลวงด้วยคราว โซราสก็เพราะว่าการจะโดยสารมันไปพร้อมกันทีเดียว 4 คน หากไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินผมก็ไม่คิดว่ามันดีต่อคราว โซราสนัก

 

 

สรุปก็คือได้ทำมันก็ทำได้แต่ไม่ทำจะดีกว่า ที่นั่งที่ติดไว้ก็มีที่เดียวด้วย

 

 

ดังนั้นไม่ต้องถามหาความสบาย สามคนที่เหลืออาจจะทนไม่ไหวด้วย

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีทางที่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังที่เดินทางมายังเมืองอิชกะเพื่อรับพวกผมไปเมืองหลวง ไว้ข้างหลังด้วย

 

 

พอคิดได้แบบนี้ก็เลิกบ่นและทำตัวเป็นเด็กกับแค่เรื่องที่นั่งได้สักที

 

 

คิดซะว่านี่เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้กระชับสัมพันธ์กับซูซูเมะมากขึ้นด้วยน่าจะดี

 

 

「จะว่าไป ตอนที่ฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? 」

 

 

พอผมเป็นคนเปิดบทสนทนาอันใหม่ ลูนามาเรียกับชีลก็มองหน้้ากัน

 

เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ดูจากสีหน้าของพวกเธอแล้ว ผมคิดว่ามันคงไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่พูดออกมาได้ยากอย่างน่าประหลาด

 

 

พอผมมองไปที่ซูซูเมะก็เหมือนสีหน้าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ก็แปลว่าไม่เกี่ยวกับคิจินถ้างั้น….

 

และในคืนนั้นเองผมก็ได้เข้าใจถึงการแสดงออกของทั้งสองแล้ว

 

 

มีเต็นท์สองหลังถูกตั้งเอาไว้ข้างนอกรถม้า หลังจากที่ซูซูเมะเข้านอนไปแล้ว ลูนามาเรียก็มาหาผมที่เต็นท์ของฝั่งผู้ชายและบอกเหตุผลกับผม

 

มันเกี่ยวกับผลกระทบที่ผมคาดไม่ถึงของอาภรณ์วิญญาณที่ผมได้มา

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือผู้หญิงที่ผมหลับนอนด้วยนั้นทุกคนจะแข็งแกร่งขึ้น

 

 

 

 

「…เอาจริงดิ? 」

 

 

 

「ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นค่ะเพราะทั้งฉันและชีลต่างก็แข็งแกร่งขึ้น」

 

 

ตามที่ลูนามาเรียบอก เธอสังเกตถึงเรื่องนี้ได้ตอนที่ผมไปล่าคิจินตามคำขอของฟีโอดอร์

 

เธอสัมผัสได้ว่าพลังของเธอเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ทางชีลเองก็พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด ลูนามาเรียที่เป็นผู้ฝึกฝนเธอเองกับมือย่อมรู้ดี

 

ตอนที่ผมไม่อยู่ที่เมืองอิชกะ พวกเธอรู้สึกว่ามานาและพลังกายของพวกเธอเริ่มค่อยๆ ลดลงไปด้วยบางส่วน ดังนั้นจึงทำให้พวกเธอมั่นใจว่าเป็นเพราะผมจริงๆ

 

…งี้นี่เอง เลยเป็นเหตุผลที่พวกเธอไม่สามารถบอกผมต่อหน้าซูซูเมะได้

 

ผมก็เห็นด้วยแหละ

 

เพราะผมเข้าใจดีว่าทำให้เธอถึงเอาแต่เงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้

 

มันต้องเกี่ยวข้องกับความลับในตัวผมแน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ลูนามาเรียก็บอกผมถึงเรื่องที่เธอสัมผัส มังกร ได้จากตัวผม อนิม่าของตัวผมเธอสามารถรับรู้ได้จากพวกสปิริต

 

 

นับตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่เคยคุยกับผมเรื่องมังกรอีกเลย บางทีเธอน่าจะคิดว่าผมต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยก็ได้

 

 

ซึ่งก็เป็นตามที่เธอคิดผมซ่อนมังกร-ไม่สิอาภรณ์วิญญาณของผมเอาไว้

 

ผมจะเลือกใช้อาภรณ์วิญญาณก็ต่อเมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ อย่างตอนที่ผมดวลกับราสผมก็ไม่ได้ใช้มันเพราะคนอื่นกำลังจับตามองอยู่

 

ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าคนอื่นจะคิดว่าผมเก่งหรือเปล่า แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็ไม่น่าจะคิดว่าผมกระจอก หากรู้เรื่องที่ผมจัดการกับสกิลล่าและกริฟฟอนได้

 

แต่อย่างน้อย เรื่องที่ผมแกร่งขนาดไหน แกร่งได้อย่างไร และมีวิธีสู้แบบไหน ผมก็ไม่อยากจะให้มันหลุดไปถึงหูคนอื่นมากนัก ผมจึงต้องคอยระวังการแสดงพลังด้วย

 

ส่วนวิชาดาบเดียวมายา อาภรณ์วิญญาณ คิ ถึงมันจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นความลับจนไม่มีคนนอกรู้

 

ยังไงพวกนักผจญภัยก็ไม่มีพรมแดน ข้อมูลของคนที่รู้ถึงตัวตนของดาบเดียวมายาก็ย่อมมีอยู่แล้ว ยิ่งเป็นจักรวรรดิก็น่าจะหาได้ไม่ยาก

 

หลังจากที่พวกเขาเห็นอาภรณ์วิญญาณและศาสตร์คิ พวกเขาก็น่าจะเชื่อมโยงผมกับพวกที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์ได้

 

แน่นอนว่าพวกเขาก็จะสามารถคิดแผนมารับมือกับผมได้ อย่างการที่ผมใช้คิเข้ามาคลุมร่างเอาไว้เหมือนกับมานา หากพวกเขาใช้อุปกรณ์สกัดกั้นมานา ไม่ก็บาเรียผนึก ก็น่าจะแก้ทางผมได้พอสมควร

 

เพราะงั้นผมจึงพยายามซ่อนและปิดบังข้อมูลเพื่อลดความเสียเปรียบลง ผมจึงไม่เอาเรื่องอาภรณ์วิญญาณไปบอกใคร ส่วนทางลูนามาเรียก็คิดว่าผมไม่อยากพูดถึงมันเธอก็เลยเลือกที่จะเงียบด้วย

 

แต่ครั้งนี้ที่เธอยอมพูดออกมาอีกครั้ง มันก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลในการพูดจริงๆ

 

 

「ตั้งแต่อดีตกาลแล้วค่ะ การที่จะครอบครองใจผู้มีความสามารถ ผู้คนก็มักจะใช้เงินและผู้หญิง」

 

 

「หรือก็คือเธอจะบอกว่าหากฉันไม่ระวังแล้วไปนอนกับผู้หญิงมั่วซั่วความลับก็อาจจะรั่วไปได้สินะ? 」

 

 

「ค่ะ หากเป็นฉันหรือชีล พวกเราก็คงเอาไปบอกใครไม่ได้หรอกค่ะและถึงอยากจะทำ นายท่านก็สามารถปิดปากพวกเราได้ด้วยปลอกคอนี้อยู่ดี」

 

พอพูดจบลูนามาเลียก็เอามือมาสัมผัสกับปลอกทาสคอของเธอ

 

 

ปลอกคอทาสที่ทางสหภาพเตรียมมานั้นลงมนตร์อย่าง “ระบุตำแหน่ง” อัมพาต” และ “ช็อก” เอาไว้ภายใน

 

 

ไม่จำเป็นต้องบอกว่านั่นคือมนตร์ที่เอาไว้รับมือกับการหลบหนี การตอบโต้ของทาส และลงโทษทาสตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตามปลอกคอนี้ผลิตด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ สหภาพ การเลียนแบบ การทำเลียนแบบก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน หรือถ้าคิดพยายามทำจริงสหภาพก็จะพยายามตามฆ่าคนคนนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นประเทศก็ตาม สำหรับสหภาพแล้วปลอกคอทาสมันสำคัญระดับนั้นเลยแหละ

 

 

กลับมาเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ดีกว่า ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ลูนามาเรียจะสื่อดี ถ้าเป็นทาสของผมถึงจะรู้ความลับอะไรไป ผมก็สามารถจัดการได้ไม่ยาก แต่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นกับสตรีชนชั้นสูงได้

 

ก็คืออย่าไปตอบรับคำล่อลวงของพวกเขาเสียง่ายๆ ล่ะ

 

ผมจะน้อมรับคำแนะนำนี้ไว้แล้วกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนไหนอยากเข้าใกล้ผมก็เถอะ แต่ถึงมีจริง ผมก็คงไม่สนใจจะไปหลับนอนกับลูกสาวของชนชั้นสูงที่โปะหน้าด้วยเครื่องสำอางจนแน่นหรอก

 

เห็นแบบนี้ ผมก็เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นในอดีตในฐานะทายาทคนต่อไปของตระกูลมิทซึรุกิเลยนะเออ

 

หากเป็นผู้ที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่าตระกูลผม บางทีตระกูลก็จะส่งแค่ผมที่เป็นตัวแทนไปคนเดียวด้วย

 

และผมก็จะไม่ได้เลยด้วยว่าเจอผู้หญิงคนไหนในแวดวงชั้นสูงที่สร้างความประทับใจให้กับผม เอาเป็นว่าผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเชิญครั้งนี้นักหรอก

 

ถึงประสบการณ์ผมจะได้มาจากทางจักรวรรดิ แต่ที่นี่เป็นอาณาจักร …ผมว่ามันก็คงไม่มีอะไรต่างกันมากหรอกมั้งสำหรับราชวงศ์กับชนชั้นสูง

 

จากใจเลยนะ ผมอยากจะรีบจัดการกับธุระพวกนี้ให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทอีกรอบ

 

ไม่ก็ลองออกไปผจญภัยกับชีลแล้วก็ลูนามาเรีย เพราะหากเป็นพวกเธอผมก็สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้เต็มที่ด้วย ซึ่งผมมั่นใจจากการที่ได้ยินเธอพูดก่อนหน้านี้ ก็ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลหากพวกเธอจะรู้

 

 

ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็เดินเข้าไปกอดลูนามาเรียที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม

 

———

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+