การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 133

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 133 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 133 สะสาง

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่น จากมือของผม จำนวนมือสีแดงฉานที่ออกมานั้นคือ 10

 

 

นี่คือพลังทำลายล้างขององค์หญิงแห่งเปลวเพลิงซึ่งเกิดการระเบิดในระยะเป็นศูนย์ แต่ถึงมันจะระเบิดในระยะนี้ร่างกายของผมที่ถูกปกป้องเอาไว้ด้วยเกราะคิก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร

 

 

 

 

「อึก! แค๊ก…คุ! อ่า….อุ!…..คุ…! อะ…! อะ――! ――――อะ!」

 

 

 

 

โอเค็นที่ถูกยกขึ้นไปในอากาศด้วยมือเพียงข้างเดียวซึ่งรับการโจมตีนี้เข้าไปเต็มๆ สภาพใบหน้าของเขาที่โดนความร้อนระดับนี้เข้าไปก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษาทุกครั้งที่เกิดการระเบิดขึ้นและร่างกายที่สั่นไปมาจากแรงระเบิดที่ได้รับ

 

 

พอแรงระเบิดเกิดขึ้นครบ 10 ครั้งผมก็มองดูสภาพของโอเค็นที่ส่งเสียงหายใจอย่างโรยรินออกมาจากจะงอกปากของเขา แล้วก็พูดขึ้น

 

 

 

 

「อย่ารีบตายง่ายๆ ก็แล้วกัน เจ้าไทซาน」

 

 

 

หากจะตายทั้งทีก็ลองทุ่มสุดตัวให้ดูหน่อยผมคิดแบบนั้น ก่อนจะจ้องมองไปในทิศที่คฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิอยู่

 

 

มาทันสินะ

 

 

ขนาดอยู่ตรงนี้ผมยังสัมผัสได้ถึงพลังที่มืดมิดจนสามารถเขย่าชั้นบรรยากาศได้เลย แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากมันทำให้ผมนึกถึงตอนที่สู้กับไฮดราซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนานในป่าทีทิส

 

 

 

ก่อนหน้านี้ผมแอบเข้าไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเบิร์ชเพื่อดูอาการของไคลอา พอเสร็จจากตรงนั้นก็เลยตั้งใจจะกลับไปที่เมืองอิชกะเลย เพราะผมไม่สนใจเรื่องของเกาะหรอกว่าจะเป็นยังไง

 

แต่สิ่งที่หยุดผมเอาไว้ก็คือเสียงคำรามที่ดังไปทั่วเกาะ ความผันผวนของพลังที่แผ่ออกมาทำให้ผมนึกของไฮดราที่เจอในป่าทีทิส มันเลยทำให้ผมคิดใหม่ว่าจะกลับไปเลยดีไหม

 

พอผมแอบไปส่องดูก็พบว่า มีรากุนะกับคนอื่นๆ กำลังพยายามรับมือกับคิจินที่มีขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ หลังจากแอบฟังก็ได้ความว่าไอ้เจ้าตัวนั้นคือเทพปีศาจและตอนนี้ก็มีเหล่าคิจินเข้ามาโจมตีเกาะ

 

พอผมเห็นวิญญาณของเทพปีศาจที่ว่าแล้วน้ำลายผมก็ไหลขึ้นมาทันที แต่พอสังเกตดูรอบๆ แล้ว ผมก็ดันไม่เห็นร่างของนักบุญดาบที่ควรจะออกหน้ามารับมือกับเทพปีศาจนี่ซะงั้น เพราะตราบใดที่นักบุญดาบยังอยู่ตระกูลนี้ก็ไม่มีทางล่มสลายแน่ ทว่าภาพตรงหน้ากลับมีเพียงรากุนะและอายากะเท่านั้นที่พอจะรับมือกับเทพปีศาจได้ โกซุและสองสุดยอดนั่นผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ในกรณีนี้พวกเขาอาจจะกำลังรับมือกับพวกที่อยู่นอกกำแพงก็ได้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เป็นกังวลว่าท่านเอ็มมะจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า

 

 

ด้วยเหตุนี้ผมจึงเข้าไปในคฤหาสน์และตามหาท่านเอ็มมะ แต่ก็ไม่เจอใครเลยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิงคนอื่น ผมเลยคิดว่าพวกเขาอาจจะอพยพกันไปตามคำสั่งของพ่อผมแล้ว ผมก็เลยเลือกจะตามไปยังอุโมงค์ลับที่ผมไปเจอมาในสมัยเด็ก

 

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น….

 

บางทีพวกคิจินที่อยู่ที่นี่คงจะมีไพ่ตายเหมือนกับอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของโกซุด้วยก็ได้ โดยเฉพาะเจ้าโอเค็นนั่นคงจะพิเศษกว่าพวกหน่อย

 

 

อยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกคิจินที่ มีพลังใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ในตำนานมันจะสักแค่ไหน

 

นั่นคือสิ่งที่ผมคิด เพราะงั้นผมก็เลยยังไม่กะเอาโอเค็นให้ถึงตาย แถมคนที่กล้าเรียกตัวเองว่าสาวกแห่งพระเจ้าคงไม่ตายกะอีแค่เวทธรรมดานี่หรอกมั้ง

 

 

สภาพของโอเค็นในตอนนี้คือพยายามจะเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ผมก็เลยสนองให้ด้วยการปล่อยร่างของเขาลงสู่พื้น แล้วเหวี่ยงเท้าขวาเตะอัดส่งไปอีกดอก

 

 

 

 

 

 

「――คุ!!」

 

 

 

ปลายเท้าของผมจมเข้าไปในร่างของโอเค็น

 

 

ด้วยแรงปะทะนั้นทำให้ร่างของเขากระเด็นไปในอากาศโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา ก่อนจะร่วงลงพื้นแล้วกลิ้งเป็นลูกบอลกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้ยักษ์แล้วแน่นิ่งลงที่นั่น

 

 

 

เด็กชายที่เห็นภาพนั้นก็พูดกับผม

 

 

 

 

「….คะ….คุณลุง….? 」

 

 

 

 

เจ้าของเสียงนั้นก็คือมิตสึรุกิ อิบุกิซึ่งอยู่ในสภาพตัวติดพื้น

 

 

อิบุกิที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของโอเค็น มองหน้าผมในสภาพที่น้ำตากำลังคลอเบ้า เขารู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คือคนเดียวกันกับที่ฝึกซ้อมกับเขาก่อนหน้านี้

 

 

แต่เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดวงตาของเด็กชายจึงเต็มไปด้วยความสงสัยและหวาดกลัวอยู่ น้ำเสียงที่เขาเรียกผมไม่ใช่ความโล่งใจ มันเป็นเพียงแค่คำพูดที่หลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

 

ฉันมาเพื่อช่วยนายไง เจ้านักดาบตัวน้อยนี่――หากผมพูดแบบนี้ออกไปก็คงดูเท่ไม่น้อย เพราะคงเป็นปัญหาแน่หากสัญญาของพวกผมต้องมาจบลงก่อนจะเป็นจริง

 

 

แต่ก็แน่ละ ใครมันจะไปพูดแบบนั้นได้กัน ผมก็เลยเลือกที่จะจบคอเสื้อของอิบุกิแล้วยกขึ้นเหมือนกับลูกแมวก่อนจะส่งไปให้ท่านเอ็มมะอย่างนุ่มนวล

 

หลังจากผมเดินไปได้สองสามก้าว อิบุกิที่ยังไม่เข้าใจอะไรนักก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

 

 

 

 

 

「แม่….ท่านแม่เค้า」

 

 

 

เซซิลแม่ของอิบุกิในตอนนี้กำลังถูกคิจินสองตนจับกดกับพื้นเอาไว้อยู่ ช่วยท่าแม่ด้วย――นั่นคือสิ่งที่อิบุกิอยากจะพูด แต่เสียงของเขามันหมดลงเสียก่อน

 

 

 

เพื่อตอบสนองกับเสียงร้องที่หมดลงไปของเด็กน้อยคนนี้ ผมก็เลยต้องกลับมาสนใจพวกนักรบแห่งผืนป่าสักหน่อย

 

 

 

คงไม่จำเป็นต้องพูดมั้งว่ามีใครบ้างเพราะทั้ง มอร์แกน สกายชิพซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยเอย ซิดนีย์กับซาอิซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นทองคำ เซซิลยอดฝีมือที่เคยเป็นสมาชิกหน่วยของธงที่ 1 ทั้งหมดนั้นคือพวกนักรบแห่งผืนป่า

 

 

 

เหล่านักรบแห่งผืนป่าที่โบกสะบัดธงของตนด้วยความภาคภูมิใจที่จะทำลายล้างความชั่วร้าย

 

พวกคนที่เคยมองดูผมในสภาพน่าสังเวชเมื่ออดีต กำลังต่อสู้กับพวกคิจินอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าผมมาไม่ทันเจ้าพวกนี้คงได้ตายกันหมดแล้วแน่ๆ

 

 

 

 

 

「…………ฟู้ว」

 

 

อยากจะหัวเราะให้ดังลั่นจริงๆ แต่ผมก็ต้องกลั้นเอาไว้ แล้วถอนหายใจออกมาแทน

 

 

เพราะมันรู้สึกสมเพชตัวเองมากจริงๆ จนไม่อยากจะขำออกมา พอคิดว่าในอดีตผมกลัวเจ้าพวกนี้มากขนาดไหน ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้ว

 

 

 

บอกตามตรงว่าลึกๆ ผมหวังให้พวกธงแห่งผืนป่าซึ่งสวมฮาโอริสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา เก่งกันกว่านี้สักหน่อยนะ

 

 

เอาง่ายๆ ก็คือ――อย่าไปโดนกระทืบกันง่ายๆ สิฟะ แบบนี้ผมก็เหมือนเป็นคนโง่ที่อยากกลับมาทดสอบพวกแกน่ะสิ

 

 

 

ต้องขอโทษอิบุกิด้วยจริงๆ แต่ผมไม่มีความตั้งใจจะช่วยพวกเซซิลแต่แรกหรอกนะ

 

 

ไอ้นี่จะเรียกว่าความผิดพลาดของนักบุญดาบเลยก็ได้นะที่ปล่อยให้พวกภรรยากับลูกๆ หนีไปทางที่มีศัตรูดักรออยู่ แถมพวกคนคุ้มกันที่มาด้วยก็ดันล้มเหลวในการปกป้องผู้อพยพแล้วมาแพ้ง่ายๆ ซะงั้น

 

 

ดังนั้นถึงพวกผู้หญิงกับเด็กจะถูกฆ่าตายไป คนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ก็คือพวกนักบุญดาบกับนักรบจากธงแห่งผืนป่า ไม่ใช่ผมสักหน่อยที่จะต้องออกหน้าไปช่วยเหลือพวกเขา

 

 

ก็เอาเถอะมาสะสางให้มันจบๆ ไป

 

 

 

 

ตอนแรกผมก็ไม่อยากจะเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาเพื่อช่วยพวกเขาหรอกนะ

 

 

 

เพราะมันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องเอามาใช้บนเกาะ แต่พอมีพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานโผล่มา มันก็เป็นอีกเรื่อง

 

 

ว่ากันตามตรงมันก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในตำนานหรอกแต่เป็นคิจินที่มีพลังใกล้เคียง แต่ก็ไม่ต่างอะไรกันนักหรอกมั้ง

 

 

เอาเป็นว่าเพื่อจะกินวิญญาณ ผมก็เลยต้องเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาเพื่อฟันพวกมัน

 

 

ถึงวิญญาณของพวกมันอาจจะไม่ได้ใหญ่โตเท่าไฮดรา แต่พอคิดว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนไปสู้กับของจริงก็ไม่เลวนัก

 

 

โชคดีที่เจ้าพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่กันครบ 32 อาจจะต้องขอบคุณพวกธงแห่งผืนป่าที่ไม่สามารถจัดการพวกมันได้แม้แต่ตัวเดียว

 

 

 

ขณะกำลังคิดเรื่องได้เสียผมก็เอาอาภรณ์วิญญาณออกมา

 

 

「――จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์」

 

 

 

 

บรรยากาศโดยรอบเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นในทันที

 

 

นี่ก็ผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่ผมฆ่าไฮดราไปแล้วเลเวลขึ้นเป็น 25 ตอนนี้เลเวลของผมอยู่ที่ 26 เรียบร้อยแล้ว คงไม่ต้องพูดซ้ำหรอกมั้งว่าหลอดอัพเลเวลของผมมันผิดไปจากชาวบ้านชาวช่องเขา

 

 

หากเทียบกับตอนที่สู้กับโกซุแล้ว ความแข็งแกร่ง เทคนิค แรงกดดันของพลัง ทุกอย่างของผมเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กับศัตรูที่ต้องเอาตัวประกันมาช่วยในแผนการสู้ไม่คนามือผมเลยสักนิด

 

 

ผมจ้องมองไปยังพวกคิจินด้วยสายตาเชือดเฉือน

 

 

 

พอคิจินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าของผม พวกมันก็เริ่มตอบสนองสิ่งนั้น มีตัวหนึ่งทำการกระโจนเข้ามาหาผมจากด้านหน้า

 

 

แต่แทนที่มันจะเล็งไปทางผม เป้าหมายของมันจริงๆ กลับเป็นมอร์แกน สกายชิพที่ล้มอยู่กับพื้น

 

 

มันได้ทำการใช้ดาบจ่อไปยังคอของนักรบชราก่อนจะพูดขึ้น

 

 

 

「หากเจ้ายะ――」

 

 

 

หมอนี่อาจจะพยายามบอกผมว่าอย่าขยับก็ได้มั้ง หากปล่อยให้มันพูดอีกสักหน่อยก็น่าจะเจอประโยคทำนองว่า ถ้าแกขยับอีกแม้แต่ก้าวเดียวหัวไอ้แก่นี่ปลิวแน่

 

――ทว่ามันก็ไม่มีสิทธิ์จะได้พูดอะไรออกมาเสียแล้วเพราะเป็นหัวของมันนั่นแหละที่ปลิวออกจากตัวเป็นที่เรียบร้อย

 

 

 

ผมทำการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและตัดหัวของมันทันทีที่ร่างของผมผ่านมันไป คมดาบสีดำของโซลอีทเตอร์ได้ทำการกลืนกินเลือดของคิจินและเปล่งแสงสีแดงออกมาจากดาบ

 

ความปั่นป่วนเกิดขึ้นมาภายในหมู่ของพวกมัน สิ่งที่พวกมันเห็นอาจจะเป็นภาพที่ผมกำลังเทเลพอร์ตไปมาก็ได้

 

 

จากนั้นเสียงกรีดร้องของพวกมันก็ดังขึ้น

 

 

 

 

「นะ?!」

 

 

 

「คึก――แกนะแก เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ!」

 

 

 

「อึก!」

 

 

 

 

เหล่าคิจินต่างส่งเสียงร้องออกมาแตกต่างกันออกไป แต่แน่นอนว่าไม่ได้มีผมคนเดียวหรอกนะที่เข้าไปโจมตีพวกมัน

 

 

เพราะนอกจากพวกคิจินแล้วคนที่เคลื่อนไหวหลังจากเห็นการกระทำของผมก็คือพวกนักรบแห่งผืนป่า

 

 

มุราซาเมะของซิดนีย์ได้ทำการบั่นคอคิจินตนหนึ่งได้สำเร็จ ลองกินุสของซาอิเองก็ทะลวงอกของอีกฝ่าย ทางเซซิลเองก็จัดการกับคิจินที่จับร่างของเธอเอาไว้ได้

 

 

พวกคิจินที่เหลือก็เลยตัดสินใจกระโดดถอยไปยังจุดที่โอเค็นซึ่งนอนหมดสภาพอยู่ พวกเขาอาจจะกำลังหาทางออกเพื่อปกป้องเจ้านายก็ได้

 

 

แน่นอนว่าผมไม่ยอมปล่อยให้พวกมันหลุดมือไปมากกว่านี้แน่ ขอบคุณพวกนักรบแห่งผืนป่าจริงๆ ที่ทำให้อาหารเรียกน้ำย่อยของผมหายไปหลายตัวให้ตายสิ ที่เหลือผมไม่ยกให้หรอกนะเออ

 

 

 

「ท่านแม่!」

 

 

 

「อิบุกิ!」

 

 

 

อิบุกิร้องไห้ขณะเข้าไปกอดเซซิลจากทางด้านหลัง ทางเซซิลเองก็หันมากอดลูกชายของเธอที่วิ่งเข้ามาหา เอ็มมะที่เห็นก็มองพวกเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน

 

ทางซิดนีย์เองก็รีบเข้าไปดูอาการปู่ของเขา บางทีพวกภรรยาน้อยกับคนอื่นๆ ที่เห็นภาพตรงหน้านี้อาจจะคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มไปในทิศทางที่ดีแล้ว จึงแสดงสีหน้าโล่งอกกันออกมา

 

 

 

พอดูสภาพโดยรวมของทุกคนเสร็จ ผมก็เดินตรงเข้าไปหาโอเค็นที่นอนหมดสภาพอยู่ทันที

 

 

ดูจากคำพูดคำจาของมันก่อนหน้านี้ คงจะเป็นพวกรักลูกน้องพอสมควร หากรู้ว่าลูกน้องตัวเองถูกฆ่าตายไปซะหมดคงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ บางทีมันอาจจะแสดงไพ่บนมือทั้งหมดที่มีเลยก็ได้ แต่ความเป็นไปได้ที่มันคิดจะหนีก็มีอยู่ ผมเลยไม่อยากจะละสายตาไปจากพวกมัน

 

 

 

แต่แล้วก็มีเสียงเรียกผมมาจากทางด้านหลัง

 

 

 

 

 

 

「ให้ตายสิๆ รอดแล้วเรา ขอบใจนายมากนะโซระ แข็งแกร่งขึ้นมาเลยนี่」

 

 

 

 

เจ้าของเสียงนั้นก็คือ ซาอิ คุมอน

 

 

หากได้ฟังเพียงแค่คำพูด มันก็เหมือนกับซาอิกำลังขอบคุณผมอยู่จริงๆ ทว่าสายตาของเขาที่ส่งมานั้นมันเหมือนกับจะบอกว่าที่พูดมันแค่การประชดชัดๆ นอกจากนี้เขายังน่าจะคิดอีกว่าไฟที่ผมใช้ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าโอเค็นจริงๆ

 

 

 

พอเห็นว่าผมสนใจสิ่งที่เขาพูด ซาอิก็เลยเลือกจะพูดต่อ

 

 

「แต่ถ้านายมาเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดีนะ ไม่ใช่เอาแต่แอบดูเงียบๆ แถมนายยังรู้จักกับไอ้เจ้าไทซานอะไรนี่ด้วย――แบบนี้ไม่ใช่ว่านายมาถึงที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะ? 」

 

——–

Note 1 : ก็คือถ้าไม่ใช่เพราะเอ็มมะ ได้ตายกันยกตี้ไปละ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 133

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 133 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 133 สะสาง

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่น จากมือของผม จำนวนมือสีแดงฉานที่ออกมานั้นคือ 10

 

 

นี่คือพลังทำลายล้างขององค์หญิงแห่งเปลวเพลิงซึ่งเกิดการระเบิดในระยะเป็นศูนย์ แต่ถึงมันจะระเบิดในระยะนี้ร่างกายของผมที่ถูกปกป้องเอาไว้ด้วยเกราะคิก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร

 

 

 

 

「อึก! แค๊ก…คุ! อ่า….อุ!…..คุ…! อะ…! อะ――! ――――อะ!」

 

 

 

 

โอเค็นที่ถูกยกขึ้นไปในอากาศด้วยมือเพียงข้างเดียวซึ่งรับการโจมตีนี้เข้าไปเต็มๆ สภาพใบหน้าของเขาที่โดนความร้อนระดับนี้เข้าไปก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษาทุกครั้งที่เกิดการระเบิดขึ้นและร่างกายที่สั่นไปมาจากแรงระเบิดที่ได้รับ

 

 

พอแรงระเบิดเกิดขึ้นครบ 10 ครั้งผมก็มองดูสภาพของโอเค็นที่ส่งเสียงหายใจอย่างโรยรินออกมาจากจะงอกปากของเขา แล้วก็พูดขึ้น

 

 

 

 

「อย่ารีบตายง่ายๆ ก็แล้วกัน เจ้าไทซาน」

 

 

 

หากจะตายทั้งทีก็ลองทุ่มสุดตัวให้ดูหน่อยผมคิดแบบนั้น ก่อนจะจ้องมองไปในทิศที่คฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิอยู่

 

 

มาทันสินะ

 

 

ขนาดอยู่ตรงนี้ผมยังสัมผัสได้ถึงพลังที่มืดมิดจนสามารถเขย่าชั้นบรรยากาศได้เลย แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากมันทำให้ผมนึกถึงตอนที่สู้กับไฮดราซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนานในป่าทีทิส

 

 

 

ก่อนหน้านี้ผมแอบเข้าไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเบิร์ชเพื่อดูอาการของไคลอา พอเสร็จจากตรงนั้นก็เลยตั้งใจจะกลับไปที่เมืองอิชกะเลย เพราะผมไม่สนใจเรื่องของเกาะหรอกว่าจะเป็นยังไง

 

แต่สิ่งที่หยุดผมเอาไว้ก็คือเสียงคำรามที่ดังไปทั่วเกาะ ความผันผวนของพลังที่แผ่ออกมาทำให้ผมนึกของไฮดราที่เจอในป่าทีทิส มันเลยทำให้ผมคิดใหม่ว่าจะกลับไปเลยดีไหม

 

พอผมแอบไปส่องดูก็พบว่า มีรากุนะกับคนอื่นๆ กำลังพยายามรับมือกับคิจินที่มีขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ หลังจากแอบฟังก็ได้ความว่าไอ้เจ้าตัวนั้นคือเทพปีศาจและตอนนี้ก็มีเหล่าคิจินเข้ามาโจมตีเกาะ

 

พอผมเห็นวิญญาณของเทพปีศาจที่ว่าแล้วน้ำลายผมก็ไหลขึ้นมาทันที แต่พอสังเกตดูรอบๆ แล้ว ผมก็ดันไม่เห็นร่างของนักบุญดาบที่ควรจะออกหน้ามารับมือกับเทพปีศาจนี่ซะงั้น เพราะตราบใดที่นักบุญดาบยังอยู่ตระกูลนี้ก็ไม่มีทางล่มสลายแน่ ทว่าภาพตรงหน้ากลับมีเพียงรากุนะและอายากะเท่านั้นที่พอจะรับมือกับเทพปีศาจได้ โกซุและสองสุดยอดนั่นผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ในกรณีนี้พวกเขาอาจจะกำลังรับมือกับพวกที่อยู่นอกกำแพงก็ได้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เป็นกังวลว่าท่านเอ็มมะจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า

 

 

ด้วยเหตุนี้ผมจึงเข้าไปในคฤหาสน์และตามหาท่านเอ็มมะ แต่ก็ไม่เจอใครเลยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิงคนอื่น ผมเลยคิดว่าพวกเขาอาจจะอพยพกันไปตามคำสั่งของพ่อผมแล้ว ผมก็เลยเลือกจะตามไปยังอุโมงค์ลับที่ผมไปเจอมาในสมัยเด็ก

 

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น….

 

บางทีพวกคิจินที่อยู่ที่นี่คงจะมีไพ่ตายเหมือนกับอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของโกซุด้วยก็ได้ โดยเฉพาะเจ้าโอเค็นนั่นคงจะพิเศษกว่าพวกหน่อย

 

 

อยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกคิจินที่ มีพลังใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ในตำนานมันจะสักแค่ไหน

 

นั่นคือสิ่งที่ผมคิด เพราะงั้นผมก็เลยยังไม่กะเอาโอเค็นให้ถึงตาย แถมคนที่กล้าเรียกตัวเองว่าสาวกแห่งพระเจ้าคงไม่ตายกะอีแค่เวทธรรมดานี่หรอกมั้ง

 

 

สภาพของโอเค็นในตอนนี้คือพยายามจะเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ผมก็เลยสนองให้ด้วยการปล่อยร่างของเขาลงสู่พื้น แล้วเหวี่ยงเท้าขวาเตะอัดส่งไปอีกดอก

 

 

 

 

 

 

「――คุ!!」

 

 

 

ปลายเท้าของผมจมเข้าไปในร่างของโอเค็น

 

 

ด้วยแรงปะทะนั้นทำให้ร่างของเขากระเด็นไปในอากาศโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา ก่อนจะร่วงลงพื้นแล้วกลิ้งเป็นลูกบอลกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้ยักษ์แล้วแน่นิ่งลงที่นั่น

 

 

 

เด็กชายที่เห็นภาพนั้นก็พูดกับผม

 

 

 

 

「….คะ….คุณลุง….? 」

 

 

 

 

เจ้าของเสียงนั้นก็คือมิตสึรุกิ อิบุกิซึ่งอยู่ในสภาพตัวติดพื้น

 

 

อิบุกิที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของโอเค็น มองหน้าผมในสภาพที่น้ำตากำลังคลอเบ้า เขารู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คือคนเดียวกันกับที่ฝึกซ้อมกับเขาก่อนหน้านี้

 

 

แต่เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดวงตาของเด็กชายจึงเต็มไปด้วยความสงสัยและหวาดกลัวอยู่ น้ำเสียงที่เขาเรียกผมไม่ใช่ความโล่งใจ มันเป็นเพียงแค่คำพูดที่หลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

 

ฉันมาเพื่อช่วยนายไง เจ้านักดาบตัวน้อยนี่――หากผมพูดแบบนี้ออกไปก็คงดูเท่ไม่น้อย เพราะคงเป็นปัญหาแน่หากสัญญาของพวกผมต้องมาจบลงก่อนจะเป็นจริง

 

 

แต่ก็แน่ละ ใครมันจะไปพูดแบบนั้นได้กัน ผมก็เลยเลือกที่จะจบคอเสื้อของอิบุกิแล้วยกขึ้นเหมือนกับลูกแมวก่อนจะส่งไปให้ท่านเอ็มมะอย่างนุ่มนวล

 

หลังจากผมเดินไปได้สองสามก้าว อิบุกิที่ยังไม่เข้าใจอะไรนักก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

 

 

 

 

 

「แม่….ท่านแม่เค้า」

 

 

 

เซซิลแม่ของอิบุกิในตอนนี้กำลังถูกคิจินสองตนจับกดกับพื้นเอาไว้อยู่ ช่วยท่าแม่ด้วย――นั่นคือสิ่งที่อิบุกิอยากจะพูด แต่เสียงของเขามันหมดลงเสียก่อน

 

 

 

เพื่อตอบสนองกับเสียงร้องที่หมดลงไปของเด็กน้อยคนนี้ ผมก็เลยต้องกลับมาสนใจพวกนักรบแห่งผืนป่าสักหน่อย

 

 

 

คงไม่จำเป็นต้องพูดมั้งว่ามีใครบ้างเพราะทั้ง มอร์แกน สกายชิพซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยเอย ซิดนีย์กับซาอิซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นทองคำ เซซิลยอดฝีมือที่เคยเป็นสมาชิกหน่วยของธงที่ 1 ทั้งหมดนั้นคือพวกนักรบแห่งผืนป่า

 

 

 

เหล่านักรบแห่งผืนป่าที่โบกสะบัดธงของตนด้วยความภาคภูมิใจที่จะทำลายล้างความชั่วร้าย

 

พวกคนที่เคยมองดูผมในสภาพน่าสังเวชเมื่ออดีต กำลังต่อสู้กับพวกคิจินอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าผมมาไม่ทันเจ้าพวกนี้คงได้ตายกันหมดแล้วแน่ๆ

 

 

 

 

 

「…………ฟู้ว」

 

 

อยากจะหัวเราะให้ดังลั่นจริงๆ แต่ผมก็ต้องกลั้นเอาไว้ แล้วถอนหายใจออกมาแทน

 

 

เพราะมันรู้สึกสมเพชตัวเองมากจริงๆ จนไม่อยากจะขำออกมา พอคิดว่าในอดีตผมกลัวเจ้าพวกนี้มากขนาดไหน ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้ว

 

 

 

บอกตามตรงว่าลึกๆ ผมหวังให้พวกธงแห่งผืนป่าซึ่งสวมฮาโอริสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา เก่งกันกว่านี้สักหน่อยนะ

 

 

เอาง่ายๆ ก็คือ――อย่าไปโดนกระทืบกันง่ายๆ สิฟะ แบบนี้ผมก็เหมือนเป็นคนโง่ที่อยากกลับมาทดสอบพวกแกน่ะสิ

 

 

 

ต้องขอโทษอิบุกิด้วยจริงๆ แต่ผมไม่มีความตั้งใจจะช่วยพวกเซซิลแต่แรกหรอกนะ

 

 

ไอ้นี่จะเรียกว่าความผิดพลาดของนักบุญดาบเลยก็ได้นะที่ปล่อยให้พวกภรรยากับลูกๆ หนีไปทางที่มีศัตรูดักรออยู่ แถมพวกคนคุ้มกันที่มาด้วยก็ดันล้มเหลวในการปกป้องผู้อพยพแล้วมาแพ้ง่ายๆ ซะงั้น

 

 

ดังนั้นถึงพวกผู้หญิงกับเด็กจะถูกฆ่าตายไป คนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ก็คือพวกนักบุญดาบกับนักรบจากธงแห่งผืนป่า ไม่ใช่ผมสักหน่อยที่จะต้องออกหน้าไปช่วยเหลือพวกเขา

 

 

ก็เอาเถอะมาสะสางให้มันจบๆ ไป

 

 

 

 

ตอนแรกผมก็ไม่อยากจะเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาเพื่อช่วยพวกเขาหรอกนะ

 

 

 

เพราะมันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องเอามาใช้บนเกาะ แต่พอมีพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานโผล่มา มันก็เป็นอีกเรื่อง

 

 

ว่ากันตามตรงมันก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในตำนานหรอกแต่เป็นคิจินที่มีพลังใกล้เคียง แต่ก็ไม่ต่างอะไรกันนักหรอกมั้ง

 

 

เอาเป็นว่าเพื่อจะกินวิญญาณ ผมก็เลยต้องเอาอาภรณ์วิญญาณออกมาเพื่อฟันพวกมัน

 

 

ถึงวิญญาณของพวกมันอาจจะไม่ได้ใหญ่โตเท่าไฮดรา แต่พอคิดว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนไปสู้กับของจริงก็ไม่เลวนัก

 

 

โชคดีที่เจ้าพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่กันครบ 32 อาจจะต้องขอบคุณพวกธงแห่งผืนป่าที่ไม่สามารถจัดการพวกมันได้แม้แต่ตัวเดียว

 

 

 

ขณะกำลังคิดเรื่องได้เสียผมก็เอาอาภรณ์วิญญาณออกมา

 

 

「――จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์」

 

 

 

 

บรรยากาศโดยรอบเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นในทันที

 

 

นี่ก็ผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่ผมฆ่าไฮดราไปแล้วเลเวลขึ้นเป็น 25 ตอนนี้เลเวลของผมอยู่ที่ 26 เรียบร้อยแล้ว คงไม่ต้องพูดซ้ำหรอกมั้งว่าหลอดอัพเลเวลของผมมันผิดไปจากชาวบ้านชาวช่องเขา

 

 

หากเทียบกับตอนที่สู้กับโกซุแล้ว ความแข็งแกร่ง เทคนิค แรงกดดันของพลัง ทุกอย่างของผมเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กับศัตรูที่ต้องเอาตัวประกันมาช่วยในแผนการสู้ไม่คนามือผมเลยสักนิด

 

 

ผมจ้องมองไปยังพวกคิจินด้วยสายตาเชือดเฉือน

 

 

 

พอคิจินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าของผม พวกมันก็เริ่มตอบสนองสิ่งนั้น มีตัวหนึ่งทำการกระโจนเข้ามาหาผมจากด้านหน้า

 

 

แต่แทนที่มันจะเล็งไปทางผม เป้าหมายของมันจริงๆ กลับเป็นมอร์แกน สกายชิพที่ล้มอยู่กับพื้น

 

 

มันได้ทำการใช้ดาบจ่อไปยังคอของนักรบชราก่อนจะพูดขึ้น

 

 

 

「หากเจ้ายะ――」

 

 

 

หมอนี่อาจจะพยายามบอกผมว่าอย่าขยับก็ได้มั้ง หากปล่อยให้มันพูดอีกสักหน่อยก็น่าจะเจอประโยคทำนองว่า ถ้าแกขยับอีกแม้แต่ก้าวเดียวหัวไอ้แก่นี่ปลิวแน่

 

――ทว่ามันก็ไม่มีสิทธิ์จะได้พูดอะไรออกมาเสียแล้วเพราะเป็นหัวของมันนั่นแหละที่ปลิวออกจากตัวเป็นที่เรียบร้อย

 

 

 

ผมทำการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและตัดหัวของมันทันทีที่ร่างของผมผ่านมันไป คมดาบสีดำของโซลอีทเตอร์ได้ทำการกลืนกินเลือดของคิจินและเปล่งแสงสีแดงออกมาจากดาบ

 

ความปั่นป่วนเกิดขึ้นมาภายในหมู่ของพวกมัน สิ่งที่พวกมันเห็นอาจจะเป็นภาพที่ผมกำลังเทเลพอร์ตไปมาก็ได้

 

 

จากนั้นเสียงกรีดร้องของพวกมันก็ดังขึ้น

 

 

 

 

「นะ?!」

 

 

 

「คึก――แกนะแก เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ!」

 

 

 

「อึก!」

 

 

 

 

เหล่าคิจินต่างส่งเสียงร้องออกมาแตกต่างกันออกไป แต่แน่นอนว่าไม่ได้มีผมคนเดียวหรอกนะที่เข้าไปโจมตีพวกมัน

 

 

เพราะนอกจากพวกคิจินแล้วคนที่เคลื่อนไหวหลังจากเห็นการกระทำของผมก็คือพวกนักรบแห่งผืนป่า

 

 

มุราซาเมะของซิดนีย์ได้ทำการบั่นคอคิจินตนหนึ่งได้สำเร็จ ลองกินุสของซาอิเองก็ทะลวงอกของอีกฝ่าย ทางเซซิลเองก็จัดการกับคิจินที่จับร่างของเธอเอาไว้ได้

 

 

พวกคิจินที่เหลือก็เลยตัดสินใจกระโดดถอยไปยังจุดที่โอเค็นซึ่งนอนหมดสภาพอยู่ พวกเขาอาจจะกำลังหาทางออกเพื่อปกป้องเจ้านายก็ได้

 

 

แน่นอนว่าผมไม่ยอมปล่อยให้พวกมันหลุดมือไปมากกว่านี้แน่ ขอบคุณพวกนักรบแห่งผืนป่าจริงๆ ที่ทำให้อาหารเรียกน้ำย่อยของผมหายไปหลายตัวให้ตายสิ ที่เหลือผมไม่ยกให้หรอกนะเออ

 

 

 

「ท่านแม่!」

 

 

 

「อิบุกิ!」

 

 

 

อิบุกิร้องไห้ขณะเข้าไปกอดเซซิลจากทางด้านหลัง ทางเซซิลเองก็หันมากอดลูกชายของเธอที่วิ่งเข้ามาหา เอ็มมะที่เห็นก็มองพวกเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน

 

ทางซิดนีย์เองก็รีบเข้าไปดูอาการปู่ของเขา บางทีพวกภรรยาน้อยกับคนอื่นๆ ที่เห็นภาพตรงหน้านี้อาจจะคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มไปในทิศทางที่ดีแล้ว จึงแสดงสีหน้าโล่งอกกันออกมา

 

 

 

พอดูสภาพโดยรวมของทุกคนเสร็จ ผมก็เดินตรงเข้าไปหาโอเค็นที่นอนหมดสภาพอยู่ทันที

 

 

ดูจากคำพูดคำจาของมันก่อนหน้านี้ คงจะเป็นพวกรักลูกน้องพอสมควร หากรู้ว่าลูกน้องตัวเองถูกฆ่าตายไปซะหมดคงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ บางทีมันอาจจะแสดงไพ่บนมือทั้งหมดที่มีเลยก็ได้ แต่ความเป็นไปได้ที่มันคิดจะหนีก็มีอยู่ ผมเลยไม่อยากจะละสายตาไปจากพวกมัน

 

 

 

แต่แล้วก็มีเสียงเรียกผมมาจากทางด้านหลัง

 

 

 

 

 

 

「ให้ตายสิๆ รอดแล้วเรา ขอบใจนายมากนะโซระ แข็งแกร่งขึ้นมาเลยนี่」

 

 

 

 

เจ้าของเสียงนั้นก็คือ ซาอิ คุมอน

 

 

หากได้ฟังเพียงแค่คำพูด มันก็เหมือนกับซาอิกำลังขอบคุณผมอยู่จริงๆ ทว่าสายตาของเขาที่ส่งมานั้นมันเหมือนกับจะบอกว่าที่พูดมันแค่การประชดชัดๆ นอกจากนี้เขายังน่าจะคิดอีกว่าไฟที่ผมใช้ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าโอเค็นจริงๆ

 

 

 

พอเห็นว่าผมสนใจสิ่งที่เขาพูด ซาอิก็เลยเลือกจะพูดต่อ

 

 

「แต่ถ้านายมาเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดีนะ ไม่ใช่เอาแต่แอบดูเงียบๆ แถมนายยังรู้จักกับไอ้เจ้าไทซานอะไรนี่ด้วย――แบบนี้ไม่ใช่ว่านายมาถึงที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะ? 」

 

——–

Note 1 : ก็คือถ้าไม่ใช่เพราะเอ็มมะ ได้ตายกันยกตี้ไปละ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+