การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 263 ความว่างเปล่า

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 263 ความว่างเปล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 263 ความว่างเปล่า

 

 

โทริว ดาบที่มีไว้เพื่อสังหารมังกร

 

พอผมได้เห็นเทคนิคนี้กับตาตัวเอง ก็อดใจไม่ได้จริงๆ ที่จะชื่นชมว่ามันงดงามจนน่าหลงใหล

 

มันไม่ได้เหมือนกับกระบวนท่าลับที่รายล้อมไปด้วยเปลวเพลิง สายฟ้ากระหน่ำ หรือท่าประสานที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของสัตว์ทั้ง 4 ทิศ มันไม่ได้สั่นสะเทือนโลกสวรรค์เหมือนเรียวกิ

 

 

มันเป็นเพียงการฟัน

 

ดาบที่ถูกสร้างมาโดยมนุษย์ธรรมดาเพื่อใช้มันในการสังหารมังกร มันได้ถูกขัดเกลาและส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อะไรกันนะที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งจะสร้างเทคนิคอันสุดจะหยั่งถึงนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ ความคิดเหล่านี้ได้วนเวียนไปมาภายในหัวผมไม่หยุด

 

หากผมได้เห็นมันก่อนที่จะเข้าไปภายในคิไคผมคงไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของเทคนิคนี้ได้แน่

 

รังมังกรขนาดใหญ่ที่คว้านเอาผืนดินสีแดงลงไปจนลึก ร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์คล้ายกับงูได้เผยร่างออกมาจากรังมังกร ตัวของมันสูงเสียดฟ้า ไม่ว่าใครที่ได้เห็นของแบบนั้นก็คงจะเข้าใจได้เลยว่าผู้ก่อตั้งมายาสังหารนี้ขึ้นมาต้องทุ่มเทความพยายามมากขนาดไหนเพื่อให้ได้มันมา

 

 

แต่ถึงผมจะบอกว่าเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะหยุดการฟันดังกล่าวได้

 

 

ผมจะเอาอะไรไปหลบหรือป้องกันได้กันล่ะ ในเมื่อผมถูกโซ่แห่งสวรรค์และนรกพันธนาการเอาไว้อยู่ สิ่งที่ผมทำได้จึงมีเพียงการจ้องมองดาบนั้นเข้ามาหาและฟันร่างของผมไปเฉยๆ

 

 

 

――น่าเสียดายจริงๆ

 

 

อยู่ดีๆ ผมก็คิดแบบนั้น โทริวนั้นงดงามอย่างแน่นอน จนเรียกได้ว่ามันคือดาบที่นี่จใกล้เคียงกับภาพในอุดมคติของผมที่สุด ทว่ามันก็ยังไม่ใช่

 

 

เพราะดาบที่ผมต้องการนั้นคือดาบที่มีไว้เพื่อเอาชนะนักบุญดาบได้ หาใช่ดาบที่มีไว้เพื่อสังหารมังกร

 

 

พอคิดได้แบบนี้ ก็เหมือนมีภาพอะไรบางอย่างโผล่มาในหัว――วินาทีต่อมา ก็ได้เกิดประกายแสงวาบขึ้นมา ก่อนจะแตกกระจายเป็นชิ้นๆ แล้วลอยตามลม

 

 

ฉั้ว

 

แสงสว่างนั้นได้วิ่งไปจากไหล่ขวาผมลงไปยังเอวซ้ายเป็นมุมทแยง ขณะที่ร่างของผมถูกมัดตรึงไว้

 

 

ดาบสีดำ…โซลอีทเตอร์ก็ได้ถูกการฟันนั้นเข้าไปด้วย

 

 

 

 

「อ――อั๊ก!」

 

 

ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสได้เข้ามาทำร้ายร่างกายของผม อวัยวะภายในส่งเสียงกรีดร้อง มาพร้อมกับอาการตกใจที่อาภรณ์วิญญาณซึ่งเป็นอนิม่าของผมได้แตกสลายไป ผมรู้สึกหนาวสั่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ของเก่าที่เคยกินเข้าไปมันพร้อมจะพุ่งออกมาจากปาก ก่อนที่เลือดจำนวนมากจะกระอักออกมาจากปากของผม

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน ร่างของผมก็ได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการและล้มลงกับพื้น

 

 

แม้ความสูงของมันจะไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่มันก็เพียงพอจะทำร้ายผมได้อย่างรุนแรงแล้ว การฟื้นฟูของโซลอีทเตอร์ได้หยุดลงทันทีหลังอาภรณ์วิญญาณถูกทำลายไป

 

หัวของผมได้กระแทกเข้ากับพื้น แรงเฮือกสุดท้ายที่เค้นมาได้ก็สลายไปราวกับเศษน้ำแข็งบางๆ ผมใช้มันไปเพื่อไม่ให้ตัวเองตายจากการตกลงสู่พื้นไปแล้ว

 

 

 

 

「แฮกๆ 」

 

 

ผลกระทบที่เกิดขึ้นภายในร่างกายมันหนักหนาจริงๆ ความเจ็บปวดก็เกินจะทนไหว โชคดีแค่ไหนแล้วนะที่ยังไม่หมดสติไป

 

 

ท้องของของเกาะอสูรยักษ์ได้ฉายขึ้นมาตรงหน้าผม ในขณะที่ผมนอนอยู่แบบนั้น พ่อของผมก็ได้ยืนมองลงมาดูร่างของผมด้วย

 

แต่สายตาของผมตอนนี้มันชกจะพร่าเข้าไปทุกทีจนไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้แล้ว

 

 

 

แล้วสิ่งที่เข้ามาในหัวของผมแทนก็กลายเป็นใบหน้าของเด็กชายคนหนึ่งผู้มีเขางอกออกมาจากหน้าผาก มันคือความทรงจำวันสุดท้ายก่อนผมจะเสร็จสิ้นการฝึกภายในคิไค

 

 

◆◆

 

「จะทำยังไงฉันถึงจะใช้『คุ (ว่างเปล่า) 』ได้กันนะ? 」

 

 

คาการิที่ยืนพิงอยู่ตรงกำแพงเมืองไซโตะแสดงสีหน้าปั้นยากออกมาพอเจอคำถามผมเข้าไป

 

 

ตอนนี้ผมเชี่ยวชาญ 3 จาก 4 กระบวนท่าลับของคิจินแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงผมก็เข้าไม่ถึง 『ว่างเปล่า』เสียที

 

เดิมทีชิโก เป็นเทคนิคลับในหมู่คิจินซึ่งมนุษย์อย่างผมไม่มีสิทธิ์จะได้รับการสั่งสอนอยู่แล้ว แต่ที่ผมสามารถใช้มันได้ถึง 3 กระบวนท่าก็มาจากผลการต่อสู้อย่างสิ้นหวังกับพวก 4 พี่น้องนากายามะโดยไม่ได้รับคำแนะนำใดๆ เลยจากพวกเขา

 

 

ทางตัวผมก็ไม่ได้อ้อนวอนให้พวกเขามาสอนหลักการอะไรแบบนี้หรอก แต่พอได้สู้กันไปมาหลายครั้ง คราวนี้จึงเป็นฝ่ายผมที่ถามคาการิเกี่ยวกับ『ว่างเปล่า』ดูด้วยความตั้งใจของตัวเอง

 

 

 

บอกตามตรง ผมแอบหวังว่าเจ้าเด็กนี่มันจะพอใจอ่อนแนะนำผมในฐานะของขวัญก่อนจากลาอยู่บ้างนะ แต่หากคาการิปฏิเสธผมก็ไม่คิดจะต่อว่าอะไรและปล่อยผ่านไปแทน

 

ทว่าพอผมถามไปแบบนั้นหมอนี่ดันทำสีหน้ากังวลขึ้นมาเฉย

 

 

 

 

「หื้มมม พี่ฮาคุโร่บอกไม่ให้ข้าแนะนำอะไรเจ้าเกินจำเป็นด้วยสิ…แต่ตอนนี้โซระก็เชี่ยวชาญทั้ง 『กำเนิด』『ชีวิต』『ทลาย』จนทำให้หลายคนสงสัยว่าข้ากับพี่โดกะไปแอบให้คำแนะนำอะไรเจ้าอยู่ไหมด้วยสิ ขืนเจ้าใช้『ว่างเปล่า』ได้ด้วยข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปปฏิเสธคืนอื่นได้อีกกัน」

 

 

 

ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้นแต่เขาก็เหมือนตั้งใจคิดจะหาทางช่วยผมอยู่ดี

 

 

พอได้จังหวะแบบนี้ ผมก็เลยคิดว่าพอมีหวัง ดังนั้นจึงต้องลองเร่งดูสักหน่อย

 

 

「มันก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียวนี่ หากฉันสามารถใช้ได้ครบทุกกระบวนท่า การต่อสู้กับนายก็คงได้สนุกกว่าเดิมแน่」

 

 

「คึ…นั่นสินะ อย่างที่เจ้าว่า! แค่คิดว่าข้าจะได้รับมือกับเจ้าที่มี『ว่างเปล่า』อยู่ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้วสิ」

 

 

 

 

ร่างกายของคาการิสั่นขึ้นมาทันที ถึงจะไม่ได้บ้าบอเท่าพวกพี่ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าหมอนี่ก็คลั่งพอสมควร

 

ไม่นานนักคาการิก็มองมาที่ใบหน้าของผมอย่างจริงจัง

 

 

「โย้ช ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะช่วยสอนสิ่งที่เจ้าควรรู้เพื่อให้ไปถึง 『ว่างเปล่า』เอง!」

 

 

 

「โอ้!」

 

 

ผมก็เลยรู้สึกคาดหวังขึ้นมาทันที และรอฟังว่าจะเป็นเรื่องอะไรกันนะ

 

 

 

แล้วคาการิก็เริ่มพูดขึ้น

 

 

 

「สิ่งที่『คุ (ว่างเปล่า) 』ต้องการคือการรู้จักตัวเอง」

 

 

 

「รู้จักตัวเอง? แบบเข้าใจในเชิงปรัชญาอะไรงี้เหรอ? 」

 

 

 

「ไม่หรอกๆ มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น」

 

 

คาการิหัวเราะพลางโบกมือไปมา

 

ทว่าใบหน้าของเขาก็กลับมาจริงจังด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

 

「ก็อย่างที่ข้าได้บอกไปก่อนหน้านี้ไง 『ว่างเปล่า』 นั้นแตกต่างจาก『กำเนิด』『ชีวิต』『ทลาย』เพราะทั้ง 3 ต่างก็มีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่『ว่างเปล่า』มันคือเทคนิคที่มีไว้เพื่อหล่อหลอมความต้องการของผู้ใช้งานซึ่งส่งไปถึงอนิม่าของตัวเอง ดังนั้น『ว่างเปล่า』จะแข็งแกร่งและออกมาในรูปแบบใดจึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง」

 

 

หลังพูดจบคาการิก็พูดพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาเหมือนจะสอน

 

 

「ยกตัวอย่างก็ประมาณว่ามี 2 คนที่ต้องการแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าความปรารถนาที่จะแกร่งนั้นเหมือนกัน แต่วิธีการแสดงออกของพลังที่พวกเขาใช้นั้นกลับต่างออกไปโดยขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการแสวงหาพลังนั้น คนหนึ่งอาจจะต้องการมีพลังเพื่อชัยชนะของตน เขาจึงได้รับ『ว่างเปล่า』ที่เป็นประเภทโจมตีมา กลับกันอีกคนหนึ่งต้องการมีพลังไว้เพื่อปกป้องพวกพ้องเขาจึงได้รับ『ว่างเปล่า』ประเภทป้องกันมาแทน」

 

 

 

 

แม้ว่าจะอยากได้พลังเหมือนกัน แต่พลังที่พวกเขาได้รับกลับตรงข้ามกันเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนที่ต้องการเชี่ยวชาญ『ว่างเปล่า』จึงต้องรู้จักตัวเองให้มากที่สุด หากตัวผู้ใช้กับอนิม่าไม่สามารถผสานแนวทางความปรารถนาไปทางเดียวกันได้ พลังก็จะไม่สามารถแสดงออกมาได้ชัดเจน

 

พอพูดมาถึงตรงนี้ คาการิก็เริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วทำตัวสบายๆ แทน

 

「ก็นะ อนิม่ามันคล้ายกับตัวเรามากกว่าที่คิดอีกนะเออ」

 

「ถามจริง? 」

 

「จริงสิ ในบรรดาคิจินอย่างพวกข้าเองก็มีคนที่สามารถใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้โดยไม่เคยเรียนรู้ชิโกะด้วยซ้ำ เพราะปลายทางแล้วยังไงความเข้ากันได้ของอนิม่าก็สำคัญที่สุดแหละนะ แต่ส่วนใหญ่คนที่ใช้ได้โดยไม่มีหลักการของชิโกะเข้าไปด้วยก็มักจะใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้ไม่สมบูรณ์」

 

พอได้ยินคำว่าไม่สมบูรณ์ก็ชวนให้นึกถึงเออซูร่าขึ้นมาซะงั้น เพราะอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของเออซูร่า แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังบอกเลยว่ายังไม่สมบูรณ์

 

ถึงเธอมักจะย้ำว่าเป็นเพราะตัวเองไร้ความสามารถ แต่บางทีคงเป็นเหตุผลอื่นด้วยจริงๆ จากนั้นผมก็เริ่มมาทบทวนถึงสิ่งที่คาการิพูดอีกครั้ง

 

คือผมก็พอเข้าใจถึงสิ่งที่คาการิพยายามอยากจะสื่อนะ ส่วนตัวผมว่าเป้าหมายของผมก็ชัดเจนอยู่นะ ในส่วนที่ว่าอยากจะเอาชนะพ่อของผม แต่ผมก็ยังไม่สามารถใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้อยู่ดีเพราะ อนิม่าของผมมันดันไม่เล่นด้วยนะเงียบไปเลยจนถึงตอนนี้

 

ถ้างั้นหมายความว่าผมมาผิดทางเหรอ ระหว่างที่ขมวดคิ้วคิด คาการิก็เปิดปากพูดต่อ

 

「ข้าว่าโซระคิดมากเกินไปหน่อยนะ」

 

「หืม? 」

 

「ข้าก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วไงว่าเจ้าต้องรู้จักตัวเอง ไม่เห็นจะต้องไปนึกถึง อนิม่า พ่อ หรือแม่ของเจ้าว่าเป็นอย่างไร ขอแค่ให้เจ้ามองเข้าไปในตัวของเจ้าตรงๆ ก็พอ」

 

คาการิพูดต่อ

 

อนิม่าคืออีกตัวตนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ภายในส่วนลึกของจิตวิญญาณ มันคือตัวตนที่แสนบริสุทธิ์ เจ้าของร่างย่อมมิอาจหลอกหลวงใดๆ กับมันได้

 

ด้วยเหตุนี้เองตัวของผู้ใช้กับอนิม่าจึงมีความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจเป็นแบบเดียวกันเสมอ

 

หากไม่เป็นเช่นนั้นก็แปลว่าตัวผู้ใช้เองนั่นแหละที่บิดเบือนหรือไม่เข้าใจถึงความปรารถจริงๆ ของตน จนทำให้ทั้งสองไม่สามารถประสานกันได้

 

คาการิพูดแล้วก็ยิ้มออกมาหมอนี่บอกว่าได้พูดถึงสิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับ 『ว่างเปล่า』 ไปหมดแล้วที่เหลือก็ให้ผมไปฝึกฝนจนกว่าจะเจอกันอีกรอบ ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนหงุดหงิดจริงๆ

 

◆◆

 

――รู้จักตัวเองสินะ

 

 

ในช่วงที่สติของผมจะหมดลงไปทุกที ผมก็นึกถึงคำแนะนำของคาการิขึ้นมา

 

หลังจากตอนนั้นผมก็คิดถึงเรื่องนี้สองสามทีอยู่นะ แต่ก็เข้าไปถึงสักที ทว่าตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงยังไม่สามารถใช้มันได้

 

ก็จริงว่าความปรารถในในการเอาชนะพ่อของผมนั้นมันชัดเจน แต่วิธีการในการเอาชนะนั้นมีหลากหลาย แถมหากเลือกชนะด้วยดาบ คำถามก็จะเกิดขึ้นอีกว่า จะเอาชนะเขาได้เพื่อให้เขามาคุกเข่าต่อหน้าด้วยความพ่ายแพ้ หรือต้องการจะเอาชนะโดยการสังหารเขาได้ตายไปเสียเลยอีก

 

 

ความรู้สึกของผมที่มีต่อพ่อนั้นมันซับซ้อนจริงๆ เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมชื่นชมเขา พอโตขึ้นผมเกรงกลัวเขา พอถูกเนรเทศออกจากเกาะมาผมแค้นและหวังว่าสักวันหนึ่งจะกลับไปเพื่อให้เขายอมรับ แล้วตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าต้องการเหนือกว่าเขา

 

บางทีก็เคารพ บางทีก็เกรงกลัว บางทีก็รู้สึกไม่พอใจ บางทีก็อยากจะเข้าไปท้าทาย――ผมได้สร้างความรู้สึกที่มีต่อพ่อของผมมามากมาย จนมันทำให้เกิดความบิดเบี้ยวไปเสียหมด

 

สิ่งที่ระบุได้อย่างชัดเจนจริงๆ มีเพียงแค่ ตัวตนของพ่อผม ที่มีอยู่ภายในใจของมิตสึรุกิ โซระมาโดยตลอด เคารพเพราะอยากถูกยอมรับ กลัวเพราะอยากถูกยอมรับ ขุ่นเคืองเพราะอยากถูกยอมรับ ความอยากจะเอาชนะทั้งหมดมันคือสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาจากความปรารถนาที่อยากจะให้พ่อของผมยอมรับในตัวผม และเหนือกว่าเขาไปให้ได้

 

แต่ก็เพราะมันมีความซับซ้อนและดูแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน มันจึงยากที่จะทำให้โซลอีทเตอร์เข้าใจได้ ตัวผมที่ไม่สามารถกำหนดปลายทางของเป้าหมายได้ชัดเจนพอ ก็ย่อมไม่มีทางเข้าถึงอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้อยู่แล้ว

 

 

แล้วผมก็ได้เห็นมัน การโจมตีของโทริว ดาบที่ใกล้เคียงกับอุดมคติของผมที่สุด

 

โทริวดาบที่มีไว้เพื่อสังหารมังกร ดาบของมิตสึรุกิที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ผมจำต้องใช้ดาบเล่มนั้นในการแปรเปลี่ยนมันให้เป็นดาบในการเอาชนะพ่อของผมหาใช่พวกมังกรหรือเผ่าพันธุ์ในตำนาน แม้จะได้เห็นถึงเรื่องราวในอดีตที่โซลอีทเตอร์แสดงออกมาให้เห็น ความรู้สึกของผมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

ปัจจุบันมีเพียงแค่พ่อของผมเท่านั้นแหละมั้งที่สามารถใช้โทริวได้ แล้วการที่ผมมาสู้กับพ่อตัวเอง แล้วชักนำให้พวกคิจินเข้าสู้กับตระกูลมิตสึรุกิ ความเป็นไปได้ที่มังกรจะฟื้นขึ้นมาแล้วทำลายล้างทวีปจนไม่มีใครมาหยุดไว้ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 

 

แต่ว่าใครสนกันล่ะ

 

หากกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นจริงๆ ผมก็คงจะหาทางออกหลายๆ ทางก่อนจะมาสู้กับพ่อของผมไปแล้ว อย่างการหาทางรอดอื่นให้พวกคิจิน บอกถึงเรื่องราวในอดีตกับตระกูลมิตสิรุกิอย่างจริงใจ เป็นสื่อกลางของสองเผ่าพันธุ์ให้ปรับความเข้าใจกันอ่ะแบบนั้น

 

การที่ผมไม่เลือกอะไรแบบนั้นมันก็น่าจะชัดแล้วมั้งว่าผมไม่ได้สนใจเลยสักนิด ผมก็แค่อยากจะสู้กับพ่อของผม แล้วสร้างเหตุผลขึ้นมาให้เหมาะสมเท่านั้นเอง ไม่สำคัญหรอกว่าโลกจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเพียงผมได้สู้กับพ่อของผม ส่วนที่ไปสู้กับรากุนะแล้วยังออมมือให้ก็เป็นเพราะไม่อยากโดนท่านเอ็มมะเกลียดเฉยๆ

 

 

ให้ตายสิคิดไปคิดมาชวนให้ปวดหัวจริงๆ

 

เอาเป็นว่าการต่อสู้ครั้งนี้ของผมมันส่วนตัวล้วนๆ ผมยอมรับเลยว่าเห็นแก่ตัว

 

แต่ไม่ว่ามันจะแย่สักแค่ไหน ตัวผมในตอนนี้ก็ปรารถนาเพียงแค่อยากจะสู้แล้วเอาชนะพ่อของผมให้จงได้

 

――มันคือความปรารถนาที่แสนบิดเบี้ยวอย่างแท้จริง ผมพยายามจะนึกให้ออกถึงดาบที่จะสามารถเอาชนะพ่อของผมให้ได้

 

แล้วก็เป็นช่วงเวลานี้เอง ที่ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก

 

 

พลังภายในร่างที่หมดลงไป อาภรณ์วิญญาณที่แตกสลาย ร่างกายที่ใกล้จะสิ้นลม แต่แล้วมันยังไงกันล่ะ

 

ยังไงจุดเริ่มต้นของคนเราก็คือความว่างเปล่าอยู่แล้ว เราก็แค่ต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง

 

 

 

 

 

「คึ……ก!」

 

 

ผมพยายามประคองร่างที่ล้มอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นและกัดฟันแน่น สองเท้าส่งแรงไปยังพื้นเพื่อไม่ให้ร่างนี้ล้มลงไปอีกครั้ง

 

 

สบสายตากับพ่อของผมที่มองมา ภาพในตอนนี้ของผมชัดเจน

 

 

 

สายตาของเขาที่มองมายังผมไม่ใช่แค่ก้อนหินริมทางอีกต่อไป มันคือดวงตาของนักดาบที่ปรารถนาจะสู้กับผู้แข็งแกร่ง ทั้งร่างกาย หัวใจของผมได้สั่นสะท้านไปจนหมดเมื่อรู้สึกของสายตานั้น

 

 

ผมได้กลืนสิ่งที่จะไหลออกมาจากปากกลับเข้าไปแล้วจ้องมองดวงตาของพ่อผมอย่างไม่ลดละ

 

 

มื อขวาของผมที่จับอาภรณ์วิญญาณซึ่งหักไปแล้วนั้นได้พยายามรวบรวมแรงส่งไปยังนิ้วทุกส่วนเพื่อกำมันเอาไว้แน่น ผมสัมผัสได้เสียงหัวใจเต้นที่ไม่ได้มาจากหัวใจของผมแต่เป็นด้ามจับของดาบ

 

 

 

 

「ท่านพ่อ ตอนนี้แหละผมจะเอาชนะท่านให้จงได้」

 

 

 

หลังจากพูดด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ผมก็ตั้งท่าเตรียมอาภรณ์วิญญาณขึ้นแม้มันจะหักไปแล้วครึ่งหนึ่ง

 

ก่อนจะพูดคำนั้นออกไป

 

 

――อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า

◆◆

 

 

ณ ที่แห่งนั้น เท่าที่สุดสายตาจะมองเห็นได้ มีเพียงผืนดินรกร้างและเศษหินกระจัดกระจายเต็มไปหมด

 

 

ทว่าตรงใจกลางกลับมีพฤกษาใหญ่หนึ่งที่แสนงดงามยืนตระหง่าน

 

เบื้องหลังนั้นมีร่างขนาดใหญ่ที่หมอบราบอยู่กับพื้นราวกับจะปกป้องพฤกษานั้น

 

 

สิ่งมีชีวิตยักษ์ที่ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ ชวนให้นึกถึงราตรี มันคือมังกรสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ในตำนาน

 

 

นามนั้นคือโซลอีทเตอร์ สิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 1000 ปีก่อนจากจ้าวมังกรเป็นตัวแรก มังกรแห่งการกบฎที่ได้รับพลังในการกลืนกินทุกสิ่งมาไว้กับตัว แล้วก็ใช้พลังนั้นในการกลืนกินจ้าวมังกรที่สร้างตนขึ้นมา

 

 

 

เดิมทีแล้วโซลอีทเตอร์นั้นไม่ควรจะทำร้ายจ้าวมังกรได้ มันไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม จริยธรรม หรือบุญคุณอะไรทั้งสิ้น มันเป็นเพียงหลักการง่ายๆ อย่างผู้สร้างย่อมไม่ควรถูกสิ่งที่สร้างกลับมาแว้งกัดได้

 

ทว่าโซลอีทเตอร์กลับไม่ได้มีโซ่ตรวนดังกล่าว ช่างน่าแปลกที่นอกจากตัวของมันแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดเลยที่มีพลังกลืนกินเช่นมันอีก ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ โลกา มังกร สปิริตแห่งดวงดารา ก็มิอาจหลุดพ้นจากพลังของมันไปได้เลย

 

 

โซลอีทเตอร์ไม่มีทางรู้ได้เลยจริงๆ ว่าเหตุใดมังกรถึงมอบพลังแบบนี้ให้กับเขา

 

 

จะบอกว่าเป็นการมอบพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับลูกแรกและไม่ได้คิดว่าจะถูกทรยศงั้นหรือ

 

 

หรือเพราะตาบอดจากความเกลียดชังหนอนแมลงที่กลืนกินโลกใบนี้จนทำให้มันได้รับพลังที่ไม่สมควรจะได้กัน

 

 

 

หรือมองว่าพอใช้งานมันเสร็จก็จะสั่งให้มันฆ่าตัวตายเพื่อตัดไฟไปเสีย

 

 

ฟู้ววว โซลอีทเตอร์พ่นลมหายใจออกมาจากจมูกของมัน มันไม่ใช่เรื่องที่จะคิดหาทางออกได้โดยง่ายเลย

 

จากนั้นมันก็หันคอยาวๆ ของมันไปแนบชิดกับพฤกษาที่มันปกป้องอยู่ แต่ถ้าจะพูดให้ชัดกว่านั้นคือสิ่งที่โซลอีทเตอร์กำลังแนบชิดอยู่นั้นหาใช่พฤกษา แต่เป็นกิ่งก้านที่อยู่บนพฤกษานั้นต่างหาก

 

 

 

ก้านพฤกษาหรือที่รู้จักกันในชื่อก้านปรสิตที่จะดูดกลืนสารอาหารของพฤกษาที่ตนอาศัยอยู่ หากมองในจุดนี้ก็นับว่าเป็นภัยต่อพฤกษาจริงๆ

 

 

อย่างไรก็ตามเหล่ามนุษย์ก็ได้ให้ความเคารพต่อพฤกษานี้อันเนื่องมาจาก ก้านปรสิตดังกล่าวที่ทำให้พฤกษาสามารถรักษาความเขียวขจีไว้ได้แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาว จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตและความเป็นนิรันดร์

 

 

 

โซลอีทเตอร์อ้าปากและแยกเขี้ยวของมันออก ปลายฟันที่เหมือนกับดาบอันแหลมคมของมันฉีกกระชากพฤกษาอย่างช่ำชอง

 

 

 

――เวลาได้มาถึงแล้ว

 

 

ก้านพฤกษาที่แสดงตัวตนอยู่ในตำแห่งของบัลเดอร์

 

 

เทพแห่งแสงสว่างผู้ที่ถูกกล่าวขานว่า ฉลาดและงดงาม ซึ่งเป็นที่รักของเหล่าเทพทั้งหลาย

 

อยู่มาวันหนึ่งบัลเดอร์ได้ฝันเห็นถึงการตายของตัวเอง ด้วยความเป็นกังวลองค์เทพีมารดาของบัลเดอร์จึงทำให้สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหมดบนโลกไม่สามารถทำร้ายบัลเดอร์ได้ ด้วยเหตุนี้บัลเดอร์จึงเป็นเทพที่ไม่สามารถถูกอันตรายใดๆ เข้าทำร้ายได้เลย

 

 

จะเว้นก็เสียแต่สิ่งหนึ่งที่องค์เทพีพลาดไป นั่นก็คือก้านพฤษา

 

 

มันคือปรสิตแห่งพฤกษาที่แสนเปราะบาง ซึ่งไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากร่างที่มันเกาะอยู่ตายลงไป แถมมันโฮสต์ของมันก็เป็นเพียงพฤกษาเกิดใหม่ ไม่มีทางที่ของแบบนี้จะทำอันตรายบัลเดอร์ได้เลย องค์เทพีเลยมองข้ามสิ่งนั้นไป

 

 

ช่วงเวลาต่อมาเทพแห่งความชั่วร้ายได้รู้เรื่องนี้เข้าและใช้ก้านพฤษานี้เป็นศรในการสังหารบัลเดอร์ลง

 

บัลเดอร์ผู้ควรจะเป็นอมตะได้ถูกมันสังหาร มหาสงครามครั้งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้นพร้อมกับการตายของเขา ความรุนแรงของมันได้แผ่ขยายมาจนถึงโลก จนเกิดเป็นเรื่องราวของตำนานที่เรียกว่าแร็คนาร็อค

 

 

ความเป็นจริงแล้วก้านพฤกษามิได้ทำตามความตั้งใจของตัวเองเลย ไม่ใช่ว่าตนหลีกเลี่ยงองค์เทพี ไม่ใช่ว่าตนเห็นด้วยกับแผนการของเทพผู้ชั่วร้าย ไม่ใช่ว่าตนต้องการจะสังหารบัลเดอร์

 

 

 

ก้านพฤกษานั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็จบลงตรงที่บัลเดอร์ถูกสังหารเพราะมัน

 

เพราะเปราะบางและอ่อนแอ ตนจึงสามารถสังหารเทพลงได้

 

แล้วในตอนนี้ ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังพยายามจะเอาชนะพ่อของตนผู้ครอบครองบัลเดอร์เอาไว้อยู่ และเฟ้นหาถึงสิ่งที่จะสังหารบัลเดอร์ลงได้

 

 

จริงอยู่ที่พลังของโซลอีทเตอร์นั้นสามารถกลืนกินเทพเจ้า ปีศาจ ยักษา หรือแม้กระทั่งมนุษย์ได้ ทว่าตัวของมันนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังหารเทพพระเจ้าหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย

 

อย่างไรก็ตาม ถึงมันจะไม่ใช่สิ่งที่ใช้ในการสังหารเทพ แต่เมื่อใดก็ตามที่เทพได้ตกเป็นเป้าหมายของมันแล้ว ตัวเทพก็มิอาจหลุดพ้นไปได้

 

ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งไม่เคยมีสิ่งใดติดตัวอยู่เลย แล้วพยายามเติมพลังทีละน้อยนิดลงไปในตัวตนที่แสนว่างเปล่าของตัวเอง โดยมีเป้าหมายอยากจะเหนือกว่าพ่อของตน ด้วยความปรารถนาอันบิดเบี้ยวนี้ จนก่อให้เกิดอนิม่านี้ขึ้นมา

 

――มนุษย์นี้ช่างเป็นสิ่งที่ลึกลับเสียจริง แม้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี แต่ก็สามารถสังหารเหล่ามังกรและเทพลงได้ จะบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งก็ไม่ใช่ จะบอกว่าชั่วช้าไปเลยก็ไม่เชิง สิ่งที่พวกมันได้กระทำนั้นจะบอกว่าอยู่จุดกึ่งกลางก็ยากจะอธิบาย

 

 

 

 

ในอดีตโซลอีทเตอร์รู้สึกประหลาดใจและตกใจจนอยากจะหัวเราะให้กับพวกมนุษย์จริงๆ ตัวมันนั้นต่างจากมังกรตนอื่นที่ใช้ชีวิตเพียงแค่ฆ่าล้าง ทำลายเหล่ามนุษย์ บดขยี้พวกที่ต่อต้านเหมือนบีบไข่ จนนำพวกมันไปสู่การสูญพันธุ์

 

 

 

แต่ถึงจะทำแบบนั้น พวกมนุษย์ก็ไม่เคยหยุดต่อต้านและยอมแพ้ หากเมืองสูญสิ้น มนุษย์ก็จะรวบรวมเศษดินหินมาสร้างเป็นปราการ หากผืนดินถูกเผาไหม้ พวกมนุษย์ก็จะหลบไปอยู่ใต้ดินแทน

 

 

สิ่งมีชีวิตแสนโสมมที่พยายามใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่รู้สึกหรือยอมรับบาปของตนซึ่งกำลังกัดกินดวงดาวอยู่

 

แม้ภายในใจของโซลอีทเตอร์จะเกลียดชังพวกมันมาก และรู้สึกรำคาญใจที่เห็นมนุษย์อยู่ แต่มันก็ยังเกิดความสงสารเล็กน้อยขึ้นภายในใจ

 

 

และเพราะความสงสารนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้โซลอีทเตอร์เริ่มสนใจสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ตนเหยียบย่ำมาจนถึงตอนนี้

 

โดยที่มันไม่รู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการกบฏต่อจ้าวมังกร

 

 

ปากของมังกรดำบิดเบี้ยวเล็กน้อยขณะจับพฤกษาไว้ในปาก ราวกับจะบอกว่าหากเป็นมนุษย์มันก็คงจะยิ้มอยู่

 

 

 

จากนั้นมันจึงยกร่างของตนขึ้นและกระพือปีกบนหลังของมัน

 

ร่างอันใหญ่โตราวกับภูเขาลูกเล็กๆ ลอยขึ้นไปในอากาศราวกับว่าไร้ซึ่งน้ำหนักใดๆ

 

 

เสียงของชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของอนิม่าได้ดังขึ้นภายในหูของโซลอีทเตอร์

 

 

โซลอีทเตอร์จึงเปิดปากของตนพร้อมกับเปล่งเสียงออกมา โดยที่ก้านพฤกษายังคาเขี้ยวของมันอยู่

 

 

――ถึงเวลาที่ข้าจะต้องโบยบินสู่นภาเพื่อสังหารทวยเทพอีกครา

 

—–

Note  : มิสเทลทีน คอนเฟิร์ม // ขอแก้เทคนิคท่าของคิจินหน่อย เซย์จูไคคุ กำเนิด ชีวิต(ใช้ชีวิต) ทลาย(ตาย) ว่างเปล่า 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด