การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง

 

「ถามจริงดิ..ไอ้เจ้าพวกนี้มันมากันไม่หยุดเลยวุ้ย หรือเพราะเราคิดผิดที่มอบศพพวกออร์คให้ไปหมดกันนะ 」

 

ผมบ่นออกมาขณะเกาหัวไปด้วยหลังปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงโดยมีข้ออ้างว่าอยากปลดทุกข์

 

นอกจากที่ผมจะปราบพวกออร์คด้วยไวเวิร์นและอาภรณ์วิญญาณของผมอย่างปลอดภัยแล้วผมยังได้กินวิญญาณออร์คพวกนั้นทั้งฝูงเลยด้วย รวมไปถึงไอ้ตัวเก่งๆ นั่นอีกหนึ่งตัวด้วย แต่ก็ไม่รู้จะบอกว่าโชคร้ายได้ไหมหรือเป็นเรื่องที่แน่อยู่แล้ว เพราะเลเวลของผมก็ไม่ขึ้นอีกตามเคย

 

ผมให้วัตถุดิบและรางวัลที่ล่ามาได้กับหมู่บ้านเมลเทนี่น่าจะเป็นรอบสุดท้ายที่ผมทำเพื่อพวกเขาแล้ว ไม่สิถ้ามาคิดดูผมลองจัดอีกสักดอกความเชื่อใจของชาวบ้านก็น่าจะพุ่งถึงขีดสุดแน่

 

เพราะอิเรียกลับมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ด้วย ผมน่าจะต้องคิดให้ดีกว่านี้สักหน่อย คือผมก็ดีใจนะที่พวกชาวบ้านเขามีความสุขกันเพราะผมก็หวังไว้แบบนั้น…แต่ผมเริ่มกังวลแล้วสิที่พวกเขาเล่นใหญ่กันขนาดนี้

 

ไม่คิดว่ามันโหดร้ายไปหน่อยหรือไง ขนาดเนื้อเสียบไม้สักอันผมยังไม่ได้แตะเลยตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ไอ้เจ้าพวกนี้นี่เลิกมารุมล้อมฉันเหมือนเป็นถ้วยรางวัลเดินได้สิฟะ ตาของพวกเอ็งมันฟ้องหมดแล้วนะเฟ้ย

 

ไม่งั้นเดี๋ยวจะยึดของคืนหมดเลยนี่ให้ตายสิ พอผมเสร็จธุระจากห้องน้ำผมก็เดินทางไปที่ทุ่งโล่งๆ หลังหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากจะกลับเข้างานแล้ว

 

ผมว่าจะไปนั่งหาอะไรกินกับหนึ่งในผู้มีพระคุณของหมู่บ้านนี้เหมือนกันอย่างคราว โซราส แต่พอไปถึงก็ต้องตกใจเพราะมีคนมาก่อนผมอีก

 

「…นักบวชซาร่า 」

 

“แล้วก็เจ้าพวกเด็กน้อยไม่ใช่เหรอ”

 

พอผมพูดไปแบบนั้น เจ้าเด็กพวกนี้ก็ประท้วงเหมือนคนบ้าใส่ผม

 

「ฉันไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย จำไว้ไม่ใช่เด็กน้อย!」

 

「ไม่ใช่เด็กน้อย!」

 

「ใช่แล้วไม่เด็กน้อย!」

 

「ฮ่าๆๆ เออโทษทีๆ แต่ยังไงพวกนายก็เป็นแค่เด็กน้อยในสายตาฉันจริงๆ นี่ หากไม่ชอบใจละก็ ก็ลองสูงแล้วแก่ให้มากกว่าฉันก่อนแล้วกัน!」

 

 

 

「หน่อยแน่- รอก่อนเถอะ! เดี๋ยวฉันจะโตกว่านายให้ดู เรื่องอายุก็ด้วย!」

 

 

「เอ่อ ไอ้นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ไอน์」

 

「ช่าย เป็นไปม่ายด้าย!」

 

「เอ๋!」

 

เจ้าพวกนี้ตบมุกกันเป็นด้วยวุ้ย ทั้งเจ้าเด็กเวรหมายเลข 2 สไว และหมายเลข 3 โดระ ส่วนไอ้เจ้าหมายเลข 1 ไอน์ก็ทำหน้าแปลกใจ

 

 

พอเด็กทั้งสามคนเข้ามาป่วนผม นักบวชซาร่าก็เปิดปากพูด

 

「พอดีเด็กพวกนี้บอกว่าค่ะว่า “ถ้ามีงานเลี้ยงฉลองก็ควรจะมาฉลองให้มังกรตัวนี้ด้วย” พวกเราก็อยากจะเรียกคุณมาเหมือนกันแต่ว่า…」

 

 

「อ๋อ ก็ตอนนั้นผมถูกคนพวกนั้นล้อมเอาไว้นี่ครับ…เอาเป็นว่าทางคราว โซราสคงไม่ได้ทำอะไรรุนแรงสินะครับ? 」

 

 

ผมถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

จากนั้นนักบวชซาร่าก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา

 

 

「ไม่หรอกค่ะ เขาค่อนข้างน่ารักและยอมอยู่เฉยๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขายอมพวกเด็กๆ แล้วก็ได้นะคะ」

 

 

 

「ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจครับ」

 

ผมพูดและเหลือบมองไปทางคราว โซราส

 

หมอนี่เอาแต่มุดหัวอยู่ในถังอาหารแล้วยัดของเข้าท้องโดยไม่สนใจผมสักนิดเลยแฮะ

 

ดูจากหางที่ฟาดพื้นไปมาระหว่างกินดูท่าจะชอบอาหารที่พวกนี้เอามาให้

 

 

…แทนที่จะบอกว่ายอมพวกเด็กๆ ผมว่ามันอาจจะติดใจอาหารจนไม่ได้สนใจมากกว่ามั้ง

 

 

พอผมพิจารณาจากกลิ่นฉุนจางๆ ที่ออกมาจากถังนั่นหรือว่า…

 

 

 

「อาหารดองเหรอครับ? 」

 

 

「ใช่ค่ะ พอดีฉันได้ยินมาว่าเขาชอบของเปลี้ยวๆ ฉันก็เลยพยายามทำอะไรดู ก็ดีใจนะคะที่เขาชอบ」

 

นักบวชซาร่ากล่าวขณะยื่นอกของตัวเองออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ดูเหมือนเธอจะพอใจเช่นเดียวกัน

 

 

เธอทำการเอาเนื้อหมูป่า (ขนาดเล็กที่รีดเลือดออกไปแล้ว) ที่พวกผมไปจับได้วันก่อนมาคว้านเครื่องในออกและทำการยัดสมุนไพรเข้าไปด้านในก่อนจะใช้ไม้เสียบขนาดใหญ่แทงเข้าไปเพื่อทำการนำไปย่างบนกองไฟพลางหมุนมันไปด้วยราวๆ 3 ชั่วโมง

 

 

ใช่แล้วมันไม่ใช่เนื้อหมูป่าธรรมดา แต่เป็นหมู่ป่าย่างทั้งตัว

 

ในขณะที่ย่างเนื้อ เธอก็เตรียมน้ำส้มสายชูไปด้วย ส่วนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากเช่นกัน ว่ากันว่าผักที่เก็บเกี่ยวในหมู่บ้านนี้ไม่ว่าจะเป็นต้ม ย่าง ผัด พวกเขาก็จะใส่น้ำส้มสายชูในขณะที่ปรุง เพื่อให้ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูและรสอูมามิของผักผสมผสานกัน แต่รอบนี้เธอจะใช้มันกับเนื้อ

 

 

 

เอาเป็นว่าถึงผมจะไม่เข้าใจในวิธีการของพวกเขาทั้งหมดก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่ากระบวนการพวกนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจมาก

 

 

 

จากนั้นพอเธอย่างเนื้อเสร็จ เธอก็จะทำการตัดเนื้อเป็นชิ้นๆ ขนาดพอดีคำของคราว โซราส แล้วก็นำน้ำส้มสายชูใส่กับเนื้อเข้าไปในถังรวมกัน ก่อนจะดองไว้ประมาณอีก 3 ชั่วโมง

 

 

…ไอ้แบบนี้ไม่ใช่ว่าการเตรียมอาหารให้คราว โซราส มันนานกว่าเตรียมอาหารในงานเลี้ยงอีกเหรอ?

 

 

「อันนี้เป็นความลับระหว่างคุณกับฉันนะคะ..」

 

 

 

「ว่าไงครับ」

 

 

 

「ของพวกนี้ฉันใช้เวลาเตรียมนานกว่าอาหารบนโต๊ะของพวกผู้ใหญ่บ้านอีกค่ะ」

 

 

 

「แค่เห็นก็รู้แล้วครับ」

 

 

 

「งั้นก็ต้องเก็บเป็นความลับไว้นะคะ」

 

 

นักบวชซาร่านี่น่ารักจริงๆ ยิ่งจังหวะเอานิ้วชี้มาไว้ที่ริมฝีปากของตนหลังพูดกับผมเสร็จ

 

 

ถามจริงเถอะ คนแบบนี้เนี่ยนะเป็นแม่ของอิเรีย เอาจริงดิ?

 

 

….จะว่าไป อันที่จริงหากผมย้อนนึกกลับไปสักหน่อย ผมก็มักจะเห็นอิเรียแสดงใบหน้าแบบนี้เหมือนกันนะตอนพวกเราอยู่ปาร์ตี้เดียวกันนี่หว่า แต่มันก็เฉพาะกับราสอ่ะนะ

 

 

 

ตั้งแต่ผมถูกเตะออกมาจากดาบฮายาบูสะ ใบหน้าของอิเรียที่ผมเห็นก็มีแต่บูดบึ้งตลอด ผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย

 

 

 

เรื่องต่อมาที่ผมกังวลก็คือเจ้าคราว โซราสมันจะเป็นยังไงต่อไป พอได้ลิ้มลองอาหารชั้นเลิศที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจในการทำขนาดนี้

 

มันจะยอมกินเนื้อดิบได้อีกไหมนะพอเจอของรสชาติดีกว่า

 

ผมขอโทษมันไว้ก่อนเลยแล้วกัน เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่ผมจะเอาอาหารสุดยอดแบบนี้ให้ได้ทุกมื้อ

 

ลูนามาเรียก็ทำอาหารเก่งอยู่หรอก แต่พอเป็นพวกเมนูเนื้อแล้วเธอก็เหมือนจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ตามประสาเอลฟ์ ส่วนชีลที่มาจากครอบครัวใหญ่ก็เน้นแต่ปริมาณไม่ได้เน้นคุณภาพนัก

 

 

ทางซูซูเมะที่โตมาในป่าการทำอาหารในหัวของเธอก็มีแค่ การต้มไม่ก็ปรุงสุกหน้ากองไฟเท่านั้น

 

เพราะงั้นผมก็เลยคิดๆ อยู่ว่าตัวเองน่าจะต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยด้านนี้ คงไม่ต้องบอกนะว่าทักษะทำอาหารของผมเป็นยังไง

 

เอาเป็นว่าไม่มีทางเลยที่พวกผมจะสามารถสร้างอาหารระดับเดียวกับนักบวชซาร่าได้

 

…ไม่สิ เดี๋ยวนะ ไอ้แบบนี้ผมน่าจะใช้มันเป็นข้ออ้างในการมาที่หมู่บ้านนี้ได้บ่อยๆ นะ

 

 

การจะเดินทางจากเมืองอิชกะมาเมลเทด้วยรถม้านั้นจำเป็นต้องใช้เวลาถึง 7 วัน การจะไปมาบ่อยๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับผมที่มีไวเวิร์นขอแค่ครึ่งวันก็ถึงแล้ว

 

 

 

เพราะการจะมาหานักบวชซาร่าบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลเลยก็คงจะน่าสงสัยออก แต่ถ้าผมยกเรื่องจานโปรดของคราว โซราส ผมก็น่าจะเลี่ยงข้อสงสัยนี้ได้

 

 

นอกจากนั้นหากผมสามารถเชิญนักบวชซาร่าเข้าปาร์ตี้ผมได้ก็คงจะลดเวลาลงได้อีกเยอะ แต่ไอ้ผมก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดแย่งตัวนักบวชระดับสูงที่ใช้ปาฏิหาริย์ดูแลพวกเด็กๆ ในชนบทเพียงผู้เดียวได้หรอก

 

หมู่บ้านนี้คงได้ลุกเป็นไฟแน่หากนักบวชซาร่าจากไป สุดท้ายพวกเขาก็คงโทษว่าเป็นความผิดของผม

 

 

นอกจากนี้ผมว่าเธอก็คงจะไม่ยอมรับคำชวนของผมหรอก เนื่องจากเธอเป็นถึงหัวหน้านักบวชที่ดูแลวิหารหมู่บ้านนี้ ไหนจะมีพวกเด็กๆ อีก ช่างน่าเสียดายจริงๆ เดี๋ยวนะ-

 

พอมานึกดีๆ …หากผมสามารถหาผู้ใช้ปาฏิหาริย์คนใหม่มาแทนที่เธอได้ ก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้วนี่?

 

นอกจากนี้ผมก็สามารถรับเอาเจ้าเด็ก 3 คนนั้นมาดูแลได้ด้วย โชคดีที่บ้านของพวกผมมันใหญ่โตจนมีห้องว่างเหลือเยอะเลยด้วย แค่พื้นที่ให้คน3-4คนน่ะของง่ายๆ

 

 

แต่ว่า…ผมได้ยินมาว่าหลุมฝังศพของสามีเธอก็อยู่หมู่บ้านนี้นี่นา ไอ้แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้สิน้า….ไม่ๆ หากผมมายอมแพ้เอาตั้งแต่แรกเกมก็จบกันพอดี

 

 

ในตอนแรกผมก็ตั้งใจจะมาที่นี่เพราะเรื่องของราสกับอิเรียหรอกนะ…ถึงผมจะได้รับความเชื่อใจจากคนในหมู่บ้านมาแล้วแต่ผมก็ไม่เรียกว่านั่นคือความสำเร็จได้ ผมต้องการผลลัพธ์สักอย่างที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้หน่อย

 

 

 

จากนั้นผมก็ค่อยๆ เปิดปากพูดกับนักบวชซาร่า

 

 

 

「เอ่อ คือว่านี่อาจจะเป็นคำถามแปลกๆ สักหน่อยแต่ว่า…」

 

 

 

「เชิญพูดมาได้เลยค่ะ」

 

 

「เนื้อที่ดองน้ำส้มสายชูไว้นี่เก็บไว้ได้นานหรือเปล่าครับ? 」

 

 

 

「อ๋อเรื่องนั้นเหรอคะ ก็ได้สักพักเลยค่ะ ช่วงนี้อากาศก็เริ่มร้อนแล้วด้วยคงจะดีหากรีบกินสักหน่อยนะคะ แต่ถ้ากับเขาคนนี้ฉันว่าไม่น่าจะมีอะไรต้องเป็นห่วงนะคะ」

 

 

นักบวชซาร่ากล่าวขณะมองไปยังคราว โซราสด้วยรอยยิ้ม

 

 

เอาเถอะ ถ้าเป็นอาหารที่ทำมาตอนนี้ผมว่ายังไงก็คงไม่เหลือหรอก

 

 

-ฟิ้ววว- คราว โซราสเรอออกมาด้วยความพึงพอใจจากนั้นมันก็ดึงหัวของตัวเองออกมาจากถัง ทันใดนั้นมันก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นผม

 

มันเดินมาหาผมเหมือนกับกำลังจะขอโทษแต่ว่า…อึก หน้าเลอะน้ำส้มสายชูไปหมดแล้วนะแก แต่ก็ไม่แปลกหรอกถ้ามันเพิ่งเอาหน้าไปจุ่มในถังที่เต็มไปด้วยน้ำส้มสายชูนี่นะ

 

 

「เป็นไงล่ะอร่อยไหม? 」

 

 

 

「-พุกิ้ว–พุกิ้ว-」

 

 

 

คราว โซราสร้องออกมาด้วยความร่าเริง หางของมันก็ฟาดพื้นไปมาสองสามครั้งได้ จากนั้นผมก็หยิบเอาผ้าขนหนูออกมาจากกระเป๋าด้านข้างและเช็ดใบหน้าของมัน

 

คงถูกใจอาหารนี้จริงๆ

 

 

แถมเหมือนจะไม่ใช่แค่อาหาร แต่เป็นนักบวชซาร่าด้วยอีกคน

 

 

 

คราว โซราสไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องมัน แต่มันก็ยอมให้เธอเอาผ้าเช็ดมาเช็ดมันที่เปื้อนน้ำส้มสายชูพร้อมกับผม

 

 

ทั้งที่ปกติมันต้องไม่ยอมให้ใครมาแตะตัวนอกจากผมแท้ๆ เน้อ อย่าบอกนะว่ามันเชื่องกับเธอแล้ว… ไอ้เจ้านี่โดนเทมด้วยอาหารไปแล้วสินะ?

 

ผมเผยรอยยิ้มออกมา

 

 

「ผมว่าแบบนี้ วันหลังหมอนี่คงจะเอาของที่ล่าได้มาให้คุณแทนท่าจะเป็นผมแล้วมั้งครับ คุณนักบวชซาร่า」

 

 

「หากผู้กอบกู้หมู่บ้านของเราต้องการ ฉันก็ยินดีจะทำอาหารให้เขาทานนะคะ แต่ถ้าให้ทำแบบนี้ทุกวันฉันว่าถึงเป็นฉันก็ไม่น่าจะไหว…」

 

 

「ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจละครับ…เอ่อ ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าผมขอให้คุณช่วยทำหลังจากนี้ได้สินะครับ แน่นอนว่าผมไม่พูดเรื่องไร้เหตุผลอย่างให้ทำทุกวันหรอกครับ แน่นอนว่าผมจะจ่ายค่าอาหารให้ในราคาที่เหมาะสมด้วย」

 

 

「ด้วยความยินดีค่ะ นอกจากนี้แทนที่จะเอาเงินมาให้ฉัน ขอให้คุณบริจาคส่วนนั้นให้ทางวิหารเถอะค่ะ」

 

 

นักบวชซาร่าพูดขณะแสดงรอยยิ้มที่สดใสออกมาบนใบหน้า

 

วินาทีนั้นผมรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที

 

 

 

..แย่แล้วสิ แค่แว๊บเดี๋ยว เมื่อกี้ผมเกือบจะเข้าไป “กินเธอ” แล้วสิ

 

 

อ-เอาเป็นว่า ผลลัพธ์ก็ถือว่าน่าพอใจล่ะนะ ทำได้ดีมากคราว โซราสจากนี้ไปผมก็ไม่ต้องคิดหาข้ออ้างอื่นในการมาที่นี่แล้ว

 

 

หากเป็นแบบนี้ผมก็น่าจะกลับเมืองอิชกะได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก

 

 

พอผมบอกนักบวชซาร่าว่าพวกผมจำเป็นต้องกลับไปแล้ว เธอก็ตกใจ

 

 

 

「…คุณจะกลับแล้วเหรอคะ? 」

 

 

「ครับ เพราะผมก็ปลีกตัวมาจากเมืองอิชกะได้ 5 วันแล้วด้วย ผมค่อนข้างกังวลกับคนในแคลนที่รออยู่แถมฟุไคก็ยังแก้กันไม่หมดด้วย」

 

 

ถึงฟุไคควรจะถูกเผาจนเหี้ยนหมดแล้วแต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นมาใหม่ไม่ได้อีก ฟีโอดอร์เลยบอกผมว่าหากเป็นไปได้ก็รีบกลับมาที่เมืองอิชกะโดยเร็วสักหน่อยน่าจะดี

 

 

ผมเป็นห่วงซูซูเมะด้วยสิ แต่เรื่องนั้นผมก็ฝากให้ลูนามาเรียช่วยดูแลเธอไปแล้วก่อนออกมา แต่หากลูนามาเรียหรือชีลเกิดปัญหาขึ้นซะเองคงจะแย่ ผมก็เลยต้องรีบกลับอยู่ดี

 

 

 

ทั้งเอลฟ์ (รูปงาม) กับมนุษย์สัตว์ (สาวน้อยสุดสวย) ทั้งคู่ต่างก็เป็นทาสที่สวมปลอกคอเอาไว้ ความโดดเด่นของพวกเธอจึงไม่ต่างจากซูซูเมะเลย คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเธอจะดึงดูดพวกบ้าบอหรือพวกแปลกๆ เข้ามา

 

 

 

หากมองในมุมคนอื่น เขาก็คงเห็นว่าผมใช้เวลาอยู่ที่หมู่บ้านเมลเทนี้นานไปหน่อย

 

แต่ถึงผมจะไม่ได้อธิบายอะไรไปมาก แต่ดูเหมือนทางนักบวชซาร่าก็จะเข้าใจ

 

 

เธอจึงก้มหัวให้กับผมและขอบคุณผมอีกครั้ง

 

 

「ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเท่าไหร่ก็คงไม่พอ」

 

 

「ไม่หรอกครับไม่หรอก อย่าคิดมากเลย เวลามีคนเดือดร้อนการจะเข้าไปช่วยเหลือก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว」

 

 

ผมแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาให้มากที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มอย่างผมจะทำได้…จนผมก็อยากเห็นเลยแฮะว่าใบหน้าผมตอนนี้เป็นยังไง หวังว่าคงจะไม่ใช่ใบหน้าเหมือนพวกนักต้มตุ๋นที่พยายามหลอกแม่ม่ายกับเด็กเล็กหรอกนะ

 

จริงสิพอมาคิดดู ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ เจ้าเด็ก3คนนั้นทำไมเงียบกันไปซะหมดล่ะ

 

 

 

พอผมหันไปดู3หน่อนั้นก็พบว่าพวกเขาหลับไปกันหมดแล้ว ก็นั่นสินะหากเป็นช่วงปกติพวกเขาก็ไม่น่าจะอยู่กันถึงตอนนี้เลย

 

 

 

เจ้าเด็กเวรหมายเลข 1 ไอน์ นั่งอ้าปากหาวเสียงดัง ส่วนอีก 2 หน่อ ก็นั่งผงกหัวไปมา

 

 

นักบวชซาร่าเห็นแบบนี้ก็เรียกไอน์

 

 

 

「นี่ไอน์ พาชไวกับโดระไปที่ห้องหน่อยสิ」

 

 

 

「…ด้ายค้าบ」

 

 

ไอน์พยักหน้าให้ก่อนจะขยี้ตา จากนั้นเขาก็ใช้มือขวาจับชไวและมือซ้ายกับโดระ

 

 

ผมครุ่นคิดขณะมองแผ่นหลังของทั้งสามที่เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน

 

 

หื้ม ไอน์นี่เป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ เลยน้อ

 

 

พอเห็นแบบนั้นก็ทำให้ผมนนึกถึงช่วงที่ผมกับรากุนะยังคอยดูแลกันและกันอยู่ แต่ความทรงจำพวกนั้นมันก็เลือนรางไปแล้ว

 

เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นตอนไหนกันนะ ผมว่าน่าจะเป็นตอนที่แม่ของผมกับแม่ของรากุนะ ยังมีชีวิตอยู่นั่นสิน่าจะช่วงผม 7 ขวบได้มั้ง

 

 

พอผมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ผมก็รู้สึกถึงสายตาที่มองผมมาจากด้านหลัง

 

 

 

พอผมมองกลับไป ผมก็เห็นนักบวชซาร่าที่ควรจะตามพวกเด็กๆ กลับไปแล้วกำลังรอผมอยู่

 

 

 

มันเป็นแววตาที่อ่อนโยนที่ทำให้เห็นว่าเธอเป็นห่วงผม แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เธอก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเหงาหงอยที่เกาะกินจิตใจผมอยู่

 

 

เพราะงั้นมันก็เลยทำให้ผมเขินเป็นอย่างมากจนไม่กล้ามองหน้าเธอ

 

———

Note 1 : แก้แค้นโดยการเปิดโปงความชั่วอีกฝ่าย ไม่  แก้แค้นโดยการจีบแม่อีกฝ่าย ใช่! โซระเอ็งลืมเหตุผลการมาหมู่บ้านนี้แล้วสินะ…

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง

 

「ถามจริงดิ..ไอ้เจ้าพวกนี้มันมากันไม่หยุดเลยวุ้ย หรือเพราะเราคิดผิดที่มอบศพพวกออร์คให้ไปหมดกันนะ 」

 

ผมบ่นออกมาขณะเกาหัวไปด้วยหลังปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงโดยมีข้ออ้างว่าอยากปลดทุกข์

 

นอกจากที่ผมจะปราบพวกออร์คด้วยไวเวิร์นและอาภรณ์วิญญาณของผมอย่างปลอดภัยแล้วผมยังได้กินวิญญาณออร์คพวกนั้นทั้งฝูงเลยด้วย รวมไปถึงไอ้ตัวเก่งๆ นั่นอีกหนึ่งตัวด้วย แต่ก็ไม่รู้จะบอกว่าโชคร้ายได้ไหมหรือเป็นเรื่องที่แน่อยู่แล้ว เพราะเลเวลของผมก็ไม่ขึ้นอีกตามเคย

 

ผมให้วัตถุดิบและรางวัลที่ล่ามาได้กับหมู่บ้านเมลเทนี่น่าจะเป็นรอบสุดท้ายที่ผมทำเพื่อพวกเขาแล้ว ไม่สิถ้ามาคิดดูผมลองจัดอีกสักดอกความเชื่อใจของชาวบ้านก็น่าจะพุ่งถึงขีดสุดแน่

 

เพราะอิเรียกลับมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ด้วย ผมน่าจะต้องคิดให้ดีกว่านี้สักหน่อย คือผมก็ดีใจนะที่พวกชาวบ้านเขามีความสุขกันเพราะผมก็หวังไว้แบบนั้น…แต่ผมเริ่มกังวลแล้วสิที่พวกเขาเล่นใหญ่กันขนาดนี้

 

ไม่คิดว่ามันโหดร้ายไปหน่อยหรือไง ขนาดเนื้อเสียบไม้สักอันผมยังไม่ได้แตะเลยตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ไอ้เจ้าพวกนี้นี่เลิกมารุมล้อมฉันเหมือนเป็นถ้วยรางวัลเดินได้สิฟะ ตาของพวกเอ็งมันฟ้องหมดแล้วนะเฟ้ย

 

ไม่งั้นเดี๋ยวจะยึดของคืนหมดเลยนี่ให้ตายสิ พอผมเสร็จธุระจากห้องน้ำผมก็เดินทางไปที่ทุ่งโล่งๆ หลังหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากจะกลับเข้างานแล้ว

 

ผมว่าจะไปนั่งหาอะไรกินกับหนึ่งในผู้มีพระคุณของหมู่บ้านนี้เหมือนกันอย่างคราว โซราส แต่พอไปถึงก็ต้องตกใจเพราะมีคนมาก่อนผมอีก

 

「…นักบวชซาร่า 」

 

“แล้วก็เจ้าพวกเด็กน้อยไม่ใช่เหรอ”

 

พอผมพูดไปแบบนั้น เจ้าเด็กพวกนี้ก็ประท้วงเหมือนคนบ้าใส่ผม

 

「ฉันไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย จำไว้ไม่ใช่เด็กน้อย!」

 

「ไม่ใช่เด็กน้อย!」

 

「ใช่แล้วไม่เด็กน้อย!」

 

「ฮ่าๆๆ เออโทษทีๆ แต่ยังไงพวกนายก็เป็นแค่เด็กน้อยในสายตาฉันจริงๆ นี่ หากไม่ชอบใจละก็ ก็ลองสูงแล้วแก่ให้มากกว่าฉันก่อนแล้วกัน!」

 

 

 

「หน่อยแน่- รอก่อนเถอะ! เดี๋ยวฉันจะโตกว่านายให้ดู เรื่องอายุก็ด้วย!」

 

 

「เอ่อ ไอ้นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ไอน์」

 

「ช่าย เป็นไปม่ายด้าย!」

 

「เอ๋!」

 

เจ้าพวกนี้ตบมุกกันเป็นด้วยวุ้ย ทั้งเจ้าเด็กเวรหมายเลข 2 สไว และหมายเลข 3 โดระ ส่วนไอ้เจ้าหมายเลข 1 ไอน์ก็ทำหน้าแปลกใจ

 

 

พอเด็กทั้งสามคนเข้ามาป่วนผม นักบวชซาร่าก็เปิดปากพูด

 

「พอดีเด็กพวกนี้บอกว่าค่ะว่า “ถ้ามีงานเลี้ยงฉลองก็ควรจะมาฉลองให้มังกรตัวนี้ด้วย” พวกเราก็อยากจะเรียกคุณมาเหมือนกันแต่ว่า…」

 

 

「อ๋อ ก็ตอนนั้นผมถูกคนพวกนั้นล้อมเอาไว้นี่ครับ…เอาเป็นว่าทางคราว โซราสคงไม่ได้ทำอะไรรุนแรงสินะครับ? 」

 

 

ผมถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

จากนั้นนักบวชซาร่าก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา

 

 

「ไม่หรอกค่ะ เขาค่อนข้างน่ารักและยอมอยู่เฉยๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขายอมพวกเด็กๆ แล้วก็ได้นะคะ」

 

 

 

「ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจครับ」

 

ผมพูดและเหลือบมองไปทางคราว โซราส

 

หมอนี่เอาแต่มุดหัวอยู่ในถังอาหารแล้วยัดของเข้าท้องโดยไม่สนใจผมสักนิดเลยแฮะ

 

ดูจากหางที่ฟาดพื้นไปมาระหว่างกินดูท่าจะชอบอาหารที่พวกนี้เอามาให้

 

 

…แทนที่จะบอกว่ายอมพวกเด็กๆ ผมว่ามันอาจจะติดใจอาหารจนไม่ได้สนใจมากกว่ามั้ง

 

 

พอผมพิจารณาจากกลิ่นฉุนจางๆ ที่ออกมาจากถังนั่นหรือว่า…

 

 

 

「อาหารดองเหรอครับ? 」

 

 

「ใช่ค่ะ พอดีฉันได้ยินมาว่าเขาชอบของเปลี้ยวๆ ฉันก็เลยพยายามทำอะไรดู ก็ดีใจนะคะที่เขาชอบ」

 

นักบวชซาร่ากล่าวขณะยื่นอกของตัวเองออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ดูเหมือนเธอจะพอใจเช่นเดียวกัน

 

 

เธอทำการเอาเนื้อหมูป่า (ขนาดเล็กที่รีดเลือดออกไปแล้ว) ที่พวกผมไปจับได้วันก่อนมาคว้านเครื่องในออกและทำการยัดสมุนไพรเข้าไปด้านในก่อนจะใช้ไม้เสียบขนาดใหญ่แทงเข้าไปเพื่อทำการนำไปย่างบนกองไฟพลางหมุนมันไปด้วยราวๆ 3 ชั่วโมง

 

 

ใช่แล้วมันไม่ใช่เนื้อหมูป่าธรรมดา แต่เป็นหมู่ป่าย่างทั้งตัว

 

ในขณะที่ย่างเนื้อ เธอก็เตรียมน้ำส้มสายชูไปด้วย ส่วนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากเช่นกัน ว่ากันว่าผักที่เก็บเกี่ยวในหมู่บ้านนี้ไม่ว่าจะเป็นต้ม ย่าง ผัด พวกเขาก็จะใส่น้ำส้มสายชูในขณะที่ปรุง เพื่อให้ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูและรสอูมามิของผักผสมผสานกัน แต่รอบนี้เธอจะใช้มันกับเนื้อ

 

 

 

เอาเป็นว่าถึงผมจะไม่เข้าใจในวิธีการของพวกเขาทั้งหมดก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่ากระบวนการพวกนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจมาก

 

 

 

จากนั้นพอเธอย่างเนื้อเสร็จ เธอก็จะทำการตัดเนื้อเป็นชิ้นๆ ขนาดพอดีคำของคราว โซราส แล้วก็นำน้ำส้มสายชูใส่กับเนื้อเข้าไปในถังรวมกัน ก่อนจะดองไว้ประมาณอีก 3 ชั่วโมง

 

 

…ไอ้แบบนี้ไม่ใช่ว่าการเตรียมอาหารให้คราว โซราส มันนานกว่าเตรียมอาหารในงานเลี้ยงอีกเหรอ?

 

 

「อันนี้เป็นความลับระหว่างคุณกับฉันนะคะ..」

 

 

 

「ว่าไงครับ」

 

 

 

「ของพวกนี้ฉันใช้เวลาเตรียมนานกว่าอาหารบนโต๊ะของพวกผู้ใหญ่บ้านอีกค่ะ」

 

 

 

「แค่เห็นก็รู้แล้วครับ」

 

 

 

「งั้นก็ต้องเก็บเป็นความลับไว้นะคะ」

 

 

นักบวชซาร่านี่น่ารักจริงๆ ยิ่งจังหวะเอานิ้วชี้มาไว้ที่ริมฝีปากของตนหลังพูดกับผมเสร็จ

 

 

ถามจริงเถอะ คนแบบนี้เนี่ยนะเป็นแม่ของอิเรีย เอาจริงดิ?

 

 

….จะว่าไป อันที่จริงหากผมย้อนนึกกลับไปสักหน่อย ผมก็มักจะเห็นอิเรียแสดงใบหน้าแบบนี้เหมือนกันนะตอนพวกเราอยู่ปาร์ตี้เดียวกันนี่หว่า แต่มันก็เฉพาะกับราสอ่ะนะ

 

 

 

ตั้งแต่ผมถูกเตะออกมาจากดาบฮายาบูสะ ใบหน้าของอิเรียที่ผมเห็นก็มีแต่บูดบึ้งตลอด ผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย

 

 

 

เรื่องต่อมาที่ผมกังวลก็คือเจ้าคราว โซราสมันจะเป็นยังไงต่อไป พอได้ลิ้มลองอาหารชั้นเลิศที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจในการทำขนาดนี้

 

มันจะยอมกินเนื้อดิบได้อีกไหมนะพอเจอของรสชาติดีกว่า

 

ผมขอโทษมันไว้ก่อนเลยแล้วกัน เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่ผมจะเอาอาหารสุดยอดแบบนี้ให้ได้ทุกมื้อ

 

ลูนามาเรียก็ทำอาหารเก่งอยู่หรอก แต่พอเป็นพวกเมนูเนื้อแล้วเธอก็เหมือนจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ตามประสาเอลฟ์ ส่วนชีลที่มาจากครอบครัวใหญ่ก็เน้นแต่ปริมาณไม่ได้เน้นคุณภาพนัก

 

 

ทางซูซูเมะที่โตมาในป่าการทำอาหารในหัวของเธอก็มีแค่ การต้มไม่ก็ปรุงสุกหน้ากองไฟเท่านั้น

 

เพราะงั้นผมก็เลยคิดๆ อยู่ว่าตัวเองน่าจะต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยด้านนี้ คงไม่ต้องบอกนะว่าทักษะทำอาหารของผมเป็นยังไง

 

เอาเป็นว่าไม่มีทางเลยที่พวกผมจะสามารถสร้างอาหารระดับเดียวกับนักบวชซาร่าได้

 

…ไม่สิ เดี๋ยวนะ ไอ้แบบนี้ผมน่าจะใช้มันเป็นข้ออ้างในการมาที่หมู่บ้านนี้ได้บ่อยๆ นะ

 

 

การจะเดินทางจากเมืองอิชกะมาเมลเทด้วยรถม้านั้นจำเป็นต้องใช้เวลาถึง 7 วัน การจะไปมาบ่อยๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับผมที่มีไวเวิร์นขอแค่ครึ่งวันก็ถึงแล้ว

 

 

 

เพราะการจะมาหานักบวชซาร่าบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลเลยก็คงจะน่าสงสัยออก แต่ถ้าผมยกเรื่องจานโปรดของคราว โซราส ผมก็น่าจะเลี่ยงข้อสงสัยนี้ได้

 

 

นอกจากนั้นหากผมสามารถเชิญนักบวชซาร่าเข้าปาร์ตี้ผมได้ก็คงจะลดเวลาลงได้อีกเยอะ แต่ไอ้ผมก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดแย่งตัวนักบวชระดับสูงที่ใช้ปาฏิหาริย์ดูแลพวกเด็กๆ ในชนบทเพียงผู้เดียวได้หรอก

 

หมู่บ้านนี้คงได้ลุกเป็นไฟแน่หากนักบวชซาร่าจากไป สุดท้ายพวกเขาก็คงโทษว่าเป็นความผิดของผม

 

 

นอกจากนี้ผมว่าเธอก็คงจะไม่ยอมรับคำชวนของผมหรอก เนื่องจากเธอเป็นถึงหัวหน้านักบวชที่ดูแลวิหารหมู่บ้านนี้ ไหนจะมีพวกเด็กๆ อีก ช่างน่าเสียดายจริงๆ เดี๋ยวนะ-

 

พอมานึกดีๆ …หากผมสามารถหาผู้ใช้ปาฏิหาริย์คนใหม่มาแทนที่เธอได้ ก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้วนี่?

 

นอกจากนี้ผมก็สามารถรับเอาเจ้าเด็ก 3 คนนั้นมาดูแลได้ด้วย โชคดีที่บ้านของพวกผมมันใหญ่โตจนมีห้องว่างเหลือเยอะเลยด้วย แค่พื้นที่ให้คน3-4คนน่ะของง่ายๆ

 

 

แต่ว่า…ผมได้ยินมาว่าหลุมฝังศพของสามีเธอก็อยู่หมู่บ้านนี้นี่นา ไอ้แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้สิน้า….ไม่ๆ หากผมมายอมแพ้เอาตั้งแต่แรกเกมก็จบกันพอดี

 

 

ในตอนแรกผมก็ตั้งใจจะมาที่นี่เพราะเรื่องของราสกับอิเรียหรอกนะ…ถึงผมจะได้รับความเชื่อใจจากคนในหมู่บ้านมาแล้วแต่ผมก็ไม่เรียกว่านั่นคือความสำเร็จได้ ผมต้องการผลลัพธ์สักอย่างที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้หน่อย

 

 

 

จากนั้นผมก็ค่อยๆ เปิดปากพูดกับนักบวชซาร่า

 

 

 

「เอ่อ คือว่านี่อาจจะเป็นคำถามแปลกๆ สักหน่อยแต่ว่า…」

 

 

 

「เชิญพูดมาได้เลยค่ะ」

 

 

「เนื้อที่ดองน้ำส้มสายชูไว้นี่เก็บไว้ได้นานหรือเปล่าครับ? 」

 

 

 

「อ๋อเรื่องนั้นเหรอคะ ก็ได้สักพักเลยค่ะ ช่วงนี้อากาศก็เริ่มร้อนแล้วด้วยคงจะดีหากรีบกินสักหน่อยนะคะ แต่ถ้ากับเขาคนนี้ฉันว่าไม่น่าจะมีอะไรต้องเป็นห่วงนะคะ」

 

 

นักบวชซาร่ากล่าวขณะมองไปยังคราว โซราสด้วยรอยยิ้ม

 

 

เอาเถอะ ถ้าเป็นอาหารที่ทำมาตอนนี้ผมว่ายังไงก็คงไม่เหลือหรอก

 

 

-ฟิ้ววว- คราว โซราสเรอออกมาด้วยความพึงพอใจจากนั้นมันก็ดึงหัวของตัวเองออกมาจากถัง ทันใดนั้นมันก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นผม

 

มันเดินมาหาผมเหมือนกับกำลังจะขอโทษแต่ว่า…อึก หน้าเลอะน้ำส้มสายชูไปหมดแล้วนะแก แต่ก็ไม่แปลกหรอกถ้ามันเพิ่งเอาหน้าไปจุ่มในถังที่เต็มไปด้วยน้ำส้มสายชูนี่นะ

 

 

「เป็นไงล่ะอร่อยไหม? 」

 

 

 

「-พุกิ้ว–พุกิ้ว-」

 

 

 

คราว โซราสร้องออกมาด้วยความร่าเริง หางของมันก็ฟาดพื้นไปมาสองสามครั้งได้ จากนั้นผมก็หยิบเอาผ้าขนหนูออกมาจากกระเป๋าด้านข้างและเช็ดใบหน้าของมัน

 

คงถูกใจอาหารนี้จริงๆ

 

 

แถมเหมือนจะไม่ใช่แค่อาหาร แต่เป็นนักบวชซาร่าด้วยอีกคน

 

 

 

คราว โซราสไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องมัน แต่มันก็ยอมให้เธอเอาผ้าเช็ดมาเช็ดมันที่เปื้อนน้ำส้มสายชูพร้อมกับผม

 

 

ทั้งที่ปกติมันต้องไม่ยอมให้ใครมาแตะตัวนอกจากผมแท้ๆ เน้อ อย่าบอกนะว่ามันเชื่องกับเธอแล้ว… ไอ้เจ้านี่โดนเทมด้วยอาหารไปแล้วสินะ?

 

ผมเผยรอยยิ้มออกมา

 

 

「ผมว่าแบบนี้ วันหลังหมอนี่คงจะเอาของที่ล่าได้มาให้คุณแทนท่าจะเป็นผมแล้วมั้งครับ คุณนักบวชซาร่า」

 

 

「หากผู้กอบกู้หมู่บ้านของเราต้องการ ฉันก็ยินดีจะทำอาหารให้เขาทานนะคะ แต่ถ้าให้ทำแบบนี้ทุกวันฉันว่าถึงเป็นฉันก็ไม่น่าจะไหว…」

 

 

「ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจละครับ…เอ่อ ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าผมขอให้คุณช่วยทำหลังจากนี้ได้สินะครับ แน่นอนว่าผมไม่พูดเรื่องไร้เหตุผลอย่างให้ทำทุกวันหรอกครับ แน่นอนว่าผมจะจ่ายค่าอาหารให้ในราคาที่เหมาะสมด้วย」

 

 

「ด้วยความยินดีค่ะ นอกจากนี้แทนที่จะเอาเงินมาให้ฉัน ขอให้คุณบริจาคส่วนนั้นให้ทางวิหารเถอะค่ะ」

 

 

นักบวชซาร่าพูดขณะแสดงรอยยิ้มที่สดใสออกมาบนใบหน้า

 

วินาทีนั้นผมรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที

 

 

 

..แย่แล้วสิ แค่แว๊บเดี๋ยว เมื่อกี้ผมเกือบจะเข้าไป “กินเธอ” แล้วสิ

 

 

อ-เอาเป็นว่า ผลลัพธ์ก็ถือว่าน่าพอใจล่ะนะ ทำได้ดีมากคราว โซราสจากนี้ไปผมก็ไม่ต้องคิดหาข้ออ้างอื่นในการมาที่นี่แล้ว

 

 

หากเป็นแบบนี้ผมก็น่าจะกลับเมืองอิชกะได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก

 

 

พอผมบอกนักบวชซาร่าว่าพวกผมจำเป็นต้องกลับไปแล้ว เธอก็ตกใจ

 

 

 

「…คุณจะกลับแล้วเหรอคะ? 」

 

 

「ครับ เพราะผมก็ปลีกตัวมาจากเมืองอิชกะได้ 5 วันแล้วด้วย ผมค่อนข้างกังวลกับคนในแคลนที่รออยู่แถมฟุไคก็ยังแก้กันไม่หมดด้วย」

 

 

ถึงฟุไคควรจะถูกเผาจนเหี้ยนหมดแล้วแต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นมาใหม่ไม่ได้อีก ฟีโอดอร์เลยบอกผมว่าหากเป็นไปได้ก็รีบกลับมาที่เมืองอิชกะโดยเร็วสักหน่อยน่าจะดี

 

 

ผมเป็นห่วงซูซูเมะด้วยสิ แต่เรื่องนั้นผมก็ฝากให้ลูนามาเรียช่วยดูแลเธอไปแล้วก่อนออกมา แต่หากลูนามาเรียหรือชีลเกิดปัญหาขึ้นซะเองคงจะแย่ ผมก็เลยต้องรีบกลับอยู่ดี

 

 

 

ทั้งเอลฟ์ (รูปงาม) กับมนุษย์สัตว์ (สาวน้อยสุดสวย) ทั้งคู่ต่างก็เป็นทาสที่สวมปลอกคอเอาไว้ ความโดดเด่นของพวกเธอจึงไม่ต่างจากซูซูเมะเลย คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเธอจะดึงดูดพวกบ้าบอหรือพวกแปลกๆ เข้ามา

 

 

 

หากมองในมุมคนอื่น เขาก็คงเห็นว่าผมใช้เวลาอยู่ที่หมู่บ้านเมลเทนี้นานไปหน่อย

 

แต่ถึงผมจะไม่ได้อธิบายอะไรไปมาก แต่ดูเหมือนทางนักบวชซาร่าก็จะเข้าใจ

 

 

เธอจึงก้มหัวให้กับผมและขอบคุณผมอีกครั้ง

 

 

「ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเท่าไหร่ก็คงไม่พอ」

 

 

「ไม่หรอกครับไม่หรอก อย่าคิดมากเลย เวลามีคนเดือดร้อนการจะเข้าไปช่วยเหลือก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว」

 

 

ผมแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาให้มากที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มอย่างผมจะทำได้…จนผมก็อยากเห็นเลยแฮะว่าใบหน้าผมตอนนี้เป็นยังไง หวังว่าคงจะไม่ใช่ใบหน้าเหมือนพวกนักต้มตุ๋นที่พยายามหลอกแม่ม่ายกับเด็กเล็กหรอกนะ

 

จริงสิพอมาคิดดู ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ เจ้าเด็ก3คนนั้นทำไมเงียบกันไปซะหมดล่ะ

 

 

 

พอผมหันไปดู3หน่อนั้นก็พบว่าพวกเขาหลับไปกันหมดแล้ว ก็นั่นสินะหากเป็นช่วงปกติพวกเขาก็ไม่น่าจะอยู่กันถึงตอนนี้เลย

 

 

 

เจ้าเด็กเวรหมายเลข 1 ไอน์ นั่งอ้าปากหาวเสียงดัง ส่วนอีก 2 หน่อ ก็นั่งผงกหัวไปมา

 

 

นักบวชซาร่าเห็นแบบนี้ก็เรียกไอน์

 

 

 

「นี่ไอน์ พาชไวกับโดระไปที่ห้องหน่อยสิ」

 

 

 

「…ด้ายค้าบ」

 

 

ไอน์พยักหน้าให้ก่อนจะขยี้ตา จากนั้นเขาก็ใช้มือขวาจับชไวและมือซ้ายกับโดระ

 

 

ผมครุ่นคิดขณะมองแผ่นหลังของทั้งสามที่เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน

 

 

หื้ม ไอน์นี่เป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ เลยน้อ

 

 

พอเห็นแบบนั้นก็ทำให้ผมนนึกถึงช่วงที่ผมกับรากุนะยังคอยดูแลกันและกันอยู่ แต่ความทรงจำพวกนั้นมันก็เลือนรางไปแล้ว

 

เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นตอนไหนกันนะ ผมว่าน่าจะเป็นตอนที่แม่ของผมกับแม่ของรากุนะ ยังมีชีวิตอยู่นั่นสิน่าจะช่วงผม 7 ขวบได้มั้ง

 

 

พอผมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ผมก็รู้สึกถึงสายตาที่มองผมมาจากด้านหลัง

 

 

 

พอผมมองกลับไป ผมก็เห็นนักบวชซาร่าที่ควรจะตามพวกเด็กๆ กลับไปแล้วกำลังรอผมอยู่

 

 

 

มันเป็นแววตาที่อ่อนโยนที่ทำให้เห็นว่าเธอเป็นห่วงผม แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เธอก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเหงาหงอยที่เกาะกินจิตใจผมอยู่

 

 

เพราะงั้นมันก็เลยทำให้ผมเขินเป็นอย่างมากจนไม่กล้ามองหน้าเธอ

 

———

Note 1 : แก้แค้นโดยการเปิดโปงความชั่วอีกฝ่าย ไม่  แก้แค้นโดยการจีบแม่อีกฝ่าย ใช่! โซระเอ็งลืมเหตุผลการมาหมู่บ้านนี้แล้วสินะ…

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51 เบื้องหลังงานเลี้ยงฉลอง

 

「ถามจริงดิ..ไอ้เจ้าพวกนี้มันมากันไม่หยุดเลยวุ้ย หรือเพราะเราคิดผิดที่มอบศพพวกออร์คให้ไปหมดกันนะ 」

 

ผมบ่นออกมาขณะเกาหัวไปด้วยหลังปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงโดยมีข้ออ้างว่าอยากปลดทุกข์

 

นอกจากที่ผมจะปราบพวกออร์คด้วยไวเวิร์นและอาภรณ์วิญญาณของผมอย่างปลอดภัยแล้วผมยังได้กินวิญญาณออร์คพวกนั้นทั้งฝูงเลยด้วย รวมไปถึงไอ้ตัวเก่งๆ นั่นอีกหนึ่งตัวด้วย แต่ก็ไม่รู้จะบอกว่าโชคร้ายได้ไหมหรือเป็นเรื่องที่แน่อยู่แล้ว เพราะเลเวลของผมก็ไม่ขึ้นอีกตามเคย

 

ผมให้วัตถุดิบและรางวัลที่ล่ามาได้กับหมู่บ้านเมลเทนี่น่าจะเป็นรอบสุดท้ายที่ผมทำเพื่อพวกเขาแล้ว ไม่สิถ้ามาคิดดูผมลองจัดอีกสักดอกความเชื่อใจของชาวบ้านก็น่าจะพุ่งถึงขีดสุดแน่

 

เพราะอิเรียกลับมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ด้วย ผมน่าจะต้องคิดให้ดีกว่านี้สักหน่อย คือผมก็ดีใจนะที่พวกชาวบ้านเขามีความสุขกันเพราะผมก็หวังไว้แบบนั้น…แต่ผมเริ่มกังวลแล้วสิที่พวกเขาเล่นใหญ่กันขนาดนี้

 

ไม่คิดว่ามันโหดร้ายไปหน่อยหรือไง ขนาดเนื้อเสียบไม้สักอันผมยังไม่ได้แตะเลยตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ไอ้เจ้าพวกนี้นี่เลิกมารุมล้อมฉันเหมือนเป็นถ้วยรางวัลเดินได้สิฟะ ตาของพวกเอ็งมันฟ้องหมดแล้วนะเฟ้ย

 

ไม่งั้นเดี๋ยวจะยึดของคืนหมดเลยนี่ให้ตายสิ พอผมเสร็จธุระจากห้องน้ำผมก็เดินทางไปที่ทุ่งโล่งๆ หลังหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากจะกลับเข้างานแล้ว

 

ผมว่าจะไปนั่งหาอะไรกินกับหนึ่งในผู้มีพระคุณของหมู่บ้านนี้เหมือนกันอย่างคราว โซราส แต่พอไปถึงก็ต้องตกใจเพราะมีคนมาก่อนผมอีก

 

「…นักบวชซาร่า 」

 

“แล้วก็เจ้าพวกเด็กน้อยไม่ใช่เหรอ”

 

พอผมพูดไปแบบนั้น เจ้าเด็กพวกนี้ก็ประท้วงเหมือนคนบ้าใส่ผม

 

「ฉันไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย จำไว้ไม่ใช่เด็กน้อย!」

 

「ไม่ใช่เด็กน้อย!」

 

「ใช่แล้วไม่เด็กน้อย!」

 

「ฮ่าๆๆ เออโทษทีๆ แต่ยังไงพวกนายก็เป็นแค่เด็กน้อยในสายตาฉันจริงๆ นี่ หากไม่ชอบใจละก็ ก็ลองสูงแล้วแก่ให้มากกว่าฉันก่อนแล้วกัน!」

 

 

 

「หน่อยแน่- รอก่อนเถอะ! เดี๋ยวฉันจะโตกว่านายให้ดู เรื่องอายุก็ด้วย!」

 

 

「เอ่อ ไอ้นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ไอน์」

 

「ช่าย เป็นไปม่ายด้าย!」

 

「เอ๋!」

 

เจ้าพวกนี้ตบมุกกันเป็นด้วยวุ้ย ทั้งเจ้าเด็กเวรหมายเลข 2 สไว และหมายเลข 3 โดระ ส่วนไอ้เจ้าหมายเลข 1 ไอน์ก็ทำหน้าแปลกใจ

 

 

พอเด็กทั้งสามคนเข้ามาป่วนผม นักบวชซาร่าก็เปิดปากพูด

 

「พอดีเด็กพวกนี้บอกว่าค่ะว่า “ถ้ามีงานเลี้ยงฉลองก็ควรจะมาฉลองให้มังกรตัวนี้ด้วย” พวกเราก็อยากจะเรียกคุณมาเหมือนกันแต่ว่า…」

 

 

「อ๋อ ก็ตอนนั้นผมถูกคนพวกนั้นล้อมเอาไว้นี่ครับ…เอาเป็นว่าทางคราว โซราสคงไม่ได้ทำอะไรรุนแรงสินะครับ? 」

 

 

ผมถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

จากนั้นนักบวชซาร่าก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา

 

 

「ไม่หรอกค่ะ เขาค่อนข้างน่ารักและยอมอยู่เฉยๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขายอมพวกเด็กๆ แล้วก็ได้นะคะ」

 

 

 

「ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจครับ」

 

ผมพูดและเหลือบมองไปทางคราว โซราส

 

หมอนี่เอาแต่มุดหัวอยู่ในถังอาหารแล้วยัดของเข้าท้องโดยไม่สนใจผมสักนิดเลยแฮะ

 

ดูจากหางที่ฟาดพื้นไปมาระหว่างกินดูท่าจะชอบอาหารที่พวกนี้เอามาให้

 

 

…แทนที่จะบอกว่ายอมพวกเด็กๆ ผมว่ามันอาจจะติดใจอาหารจนไม่ได้สนใจมากกว่ามั้ง

 

 

พอผมพิจารณาจากกลิ่นฉุนจางๆ ที่ออกมาจากถังนั่นหรือว่า…

 

 

 

「อาหารดองเหรอครับ? 」

 

 

「ใช่ค่ะ พอดีฉันได้ยินมาว่าเขาชอบของเปลี้ยวๆ ฉันก็เลยพยายามทำอะไรดู ก็ดีใจนะคะที่เขาชอบ」

 

นักบวชซาร่ากล่าวขณะยื่นอกของตัวเองออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ดูเหมือนเธอจะพอใจเช่นเดียวกัน

 

 

เธอทำการเอาเนื้อหมูป่า (ขนาดเล็กที่รีดเลือดออกไปแล้ว) ที่พวกผมไปจับได้วันก่อนมาคว้านเครื่องในออกและทำการยัดสมุนไพรเข้าไปด้านในก่อนจะใช้ไม้เสียบขนาดใหญ่แทงเข้าไปเพื่อทำการนำไปย่างบนกองไฟพลางหมุนมันไปด้วยราวๆ 3 ชั่วโมง

 

 

ใช่แล้วมันไม่ใช่เนื้อหมูป่าธรรมดา แต่เป็นหมู่ป่าย่างทั้งตัว

 

ในขณะที่ย่างเนื้อ เธอก็เตรียมน้ำส้มสายชูไปด้วย ส่วนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากเช่นกัน ว่ากันว่าผักที่เก็บเกี่ยวในหมู่บ้านนี้ไม่ว่าจะเป็นต้ม ย่าง ผัด พวกเขาก็จะใส่น้ำส้มสายชูในขณะที่ปรุง เพื่อให้ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูและรสอูมามิของผักผสมผสานกัน แต่รอบนี้เธอจะใช้มันกับเนื้อ

 

 

 

เอาเป็นว่าถึงผมจะไม่เข้าใจในวิธีการของพวกเขาทั้งหมดก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่ากระบวนการพวกนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจมาก

 

 

 

จากนั้นพอเธอย่างเนื้อเสร็จ เธอก็จะทำการตัดเนื้อเป็นชิ้นๆ ขนาดพอดีคำของคราว โซราส แล้วก็นำน้ำส้มสายชูใส่กับเนื้อเข้าไปในถังรวมกัน ก่อนจะดองไว้ประมาณอีก 3 ชั่วโมง

 

 

…ไอ้แบบนี้ไม่ใช่ว่าการเตรียมอาหารให้คราว โซราส มันนานกว่าเตรียมอาหารในงานเลี้ยงอีกเหรอ?

 

 

「อันนี้เป็นความลับระหว่างคุณกับฉันนะคะ..」

 

 

 

「ว่าไงครับ」

 

 

 

「ของพวกนี้ฉันใช้เวลาเตรียมนานกว่าอาหารบนโต๊ะของพวกผู้ใหญ่บ้านอีกค่ะ」

 

 

 

「แค่เห็นก็รู้แล้วครับ」

 

 

 

「งั้นก็ต้องเก็บเป็นความลับไว้นะคะ」

 

 

นักบวชซาร่านี่น่ารักจริงๆ ยิ่งจังหวะเอานิ้วชี้มาไว้ที่ริมฝีปากของตนหลังพูดกับผมเสร็จ

 

 

ถามจริงเถอะ คนแบบนี้เนี่ยนะเป็นแม่ของอิเรีย เอาจริงดิ?

 

 

….จะว่าไป อันที่จริงหากผมย้อนนึกกลับไปสักหน่อย ผมก็มักจะเห็นอิเรียแสดงใบหน้าแบบนี้เหมือนกันนะตอนพวกเราอยู่ปาร์ตี้เดียวกันนี่หว่า แต่มันก็เฉพาะกับราสอ่ะนะ

 

 

 

ตั้งแต่ผมถูกเตะออกมาจากดาบฮายาบูสะ ใบหน้าของอิเรียที่ผมเห็นก็มีแต่บูดบึ้งตลอด ผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย

 

 

 

เรื่องต่อมาที่ผมกังวลก็คือเจ้าคราว โซราสมันจะเป็นยังไงต่อไป พอได้ลิ้มลองอาหารชั้นเลิศที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจในการทำขนาดนี้

 

มันจะยอมกินเนื้อดิบได้อีกไหมนะพอเจอของรสชาติดีกว่า

 

ผมขอโทษมันไว้ก่อนเลยแล้วกัน เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่ผมจะเอาอาหารสุดยอดแบบนี้ให้ได้ทุกมื้อ

 

ลูนามาเรียก็ทำอาหารเก่งอยู่หรอก แต่พอเป็นพวกเมนูเนื้อแล้วเธอก็เหมือนจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ตามประสาเอลฟ์ ส่วนชีลที่มาจากครอบครัวใหญ่ก็เน้นแต่ปริมาณไม่ได้เน้นคุณภาพนัก

 

 

ทางซูซูเมะที่โตมาในป่าการทำอาหารในหัวของเธอก็มีแค่ การต้มไม่ก็ปรุงสุกหน้ากองไฟเท่านั้น

 

เพราะงั้นผมก็เลยคิดๆ อยู่ว่าตัวเองน่าจะต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยด้านนี้ คงไม่ต้องบอกนะว่าทักษะทำอาหารของผมเป็นยังไง

 

เอาเป็นว่าไม่มีทางเลยที่พวกผมจะสามารถสร้างอาหารระดับเดียวกับนักบวชซาร่าได้

 

…ไม่สิ เดี๋ยวนะ ไอ้แบบนี้ผมน่าจะใช้มันเป็นข้ออ้างในการมาที่หมู่บ้านนี้ได้บ่อยๆ นะ

 

 

การจะเดินทางจากเมืองอิชกะมาเมลเทด้วยรถม้านั้นจำเป็นต้องใช้เวลาถึง 7 วัน การจะไปมาบ่อยๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับผมที่มีไวเวิร์นขอแค่ครึ่งวันก็ถึงแล้ว

 

 

 

เพราะการจะมาหานักบวชซาร่าบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลเลยก็คงจะน่าสงสัยออก แต่ถ้าผมยกเรื่องจานโปรดของคราว โซราส ผมก็น่าจะเลี่ยงข้อสงสัยนี้ได้

 

 

นอกจากนั้นหากผมสามารถเชิญนักบวชซาร่าเข้าปาร์ตี้ผมได้ก็คงจะลดเวลาลงได้อีกเยอะ แต่ไอ้ผมก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดแย่งตัวนักบวชระดับสูงที่ใช้ปาฏิหาริย์ดูแลพวกเด็กๆ ในชนบทเพียงผู้เดียวได้หรอก

 

หมู่บ้านนี้คงได้ลุกเป็นไฟแน่หากนักบวชซาร่าจากไป สุดท้ายพวกเขาก็คงโทษว่าเป็นความผิดของผม

 

 

นอกจากนี้ผมว่าเธอก็คงจะไม่ยอมรับคำชวนของผมหรอก เนื่องจากเธอเป็นถึงหัวหน้านักบวชที่ดูแลวิหารหมู่บ้านนี้ ไหนจะมีพวกเด็กๆ อีก ช่างน่าเสียดายจริงๆ เดี๋ยวนะ-

 

พอมานึกดีๆ …หากผมสามารถหาผู้ใช้ปาฏิหาริย์คนใหม่มาแทนที่เธอได้ ก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้วนี่?

 

นอกจากนี้ผมก็สามารถรับเอาเจ้าเด็ก 3 คนนั้นมาดูแลได้ด้วย โชคดีที่บ้านของพวกผมมันใหญ่โตจนมีห้องว่างเหลือเยอะเลยด้วย แค่พื้นที่ให้คน3-4คนน่ะของง่ายๆ

 

 

แต่ว่า…ผมได้ยินมาว่าหลุมฝังศพของสามีเธอก็อยู่หมู่บ้านนี้นี่นา ไอ้แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้สิน้า….ไม่ๆ หากผมมายอมแพ้เอาตั้งแต่แรกเกมก็จบกันพอดี

 

 

ในตอนแรกผมก็ตั้งใจจะมาที่นี่เพราะเรื่องของราสกับอิเรียหรอกนะ…ถึงผมจะได้รับความเชื่อใจจากคนในหมู่บ้านมาแล้วแต่ผมก็ไม่เรียกว่านั่นคือความสำเร็จได้ ผมต้องการผลลัพธ์สักอย่างที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้หน่อย

 

 

 

จากนั้นผมก็ค่อยๆ เปิดปากพูดกับนักบวชซาร่า

 

 

 

「เอ่อ คือว่านี่อาจจะเป็นคำถามแปลกๆ สักหน่อยแต่ว่า…」

 

 

 

「เชิญพูดมาได้เลยค่ะ」

 

 

「เนื้อที่ดองน้ำส้มสายชูไว้นี่เก็บไว้ได้นานหรือเปล่าครับ? 」

 

 

 

「อ๋อเรื่องนั้นเหรอคะ ก็ได้สักพักเลยค่ะ ช่วงนี้อากาศก็เริ่มร้อนแล้วด้วยคงจะดีหากรีบกินสักหน่อยนะคะ แต่ถ้ากับเขาคนนี้ฉันว่าไม่น่าจะมีอะไรต้องเป็นห่วงนะคะ」

 

 

นักบวชซาร่ากล่าวขณะมองไปยังคราว โซราสด้วยรอยยิ้ม

 

 

เอาเถอะ ถ้าเป็นอาหารที่ทำมาตอนนี้ผมว่ายังไงก็คงไม่เหลือหรอก

 

 

-ฟิ้ววว- คราว โซราสเรอออกมาด้วยความพึงพอใจจากนั้นมันก็ดึงหัวของตัวเองออกมาจากถัง ทันใดนั้นมันก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นผม

 

มันเดินมาหาผมเหมือนกับกำลังจะขอโทษแต่ว่า…อึก หน้าเลอะน้ำส้มสายชูไปหมดแล้วนะแก แต่ก็ไม่แปลกหรอกถ้ามันเพิ่งเอาหน้าไปจุ่มในถังที่เต็มไปด้วยน้ำส้มสายชูนี่นะ

 

 

「เป็นไงล่ะอร่อยไหม? 」

 

 

 

「-พุกิ้ว–พุกิ้ว-」

 

 

 

คราว โซราสร้องออกมาด้วยความร่าเริง หางของมันก็ฟาดพื้นไปมาสองสามครั้งได้ จากนั้นผมก็หยิบเอาผ้าขนหนูออกมาจากกระเป๋าด้านข้างและเช็ดใบหน้าของมัน

 

คงถูกใจอาหารนี้จริงๆ

 

 

แถมเหมือนจะไม่ใช่แค่อาหาร แต่เป็นนักบวชซาร่าด้วยอีกคน

 

 

 

คราว โซราสไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องมัน แต่มันก็ยอมให้เธอเอาผ้าเช็ดมาเช็ดมันที่เปื้อนน้ำส้มสายชูพร้อมกับผม

 

 

ทั้งที่ปกติมันต้องไม่ยอมให้ใครมาแตะตัวนอกจากผมแท้ๆ เน้อ อย่าบอกนะว่ามันเชื่องกับเธอแล้ว… ไอ้เจ้านี่โดนเทมด้วยอาหารไปแล้วสินะ?

 

ผมเผยรอยยิ้มออกมา

 

 

「ผมว่าแบบนี้ วันหลังหมอนี่คงจะเอาของที่ล่าได้มาให้คุณแทนท่าจะเป็นผมแล้วมั้งครับ คุณนักบวชซาร่า」

 

 

「หากผู้กอบกู้หมู่บ้านของเราต้องการ ฉันก็ยินดีจะทำอาหารให้เขาทานนะคะ แต่ถ้าให้ทำแบบนี้ทุกวันฉันว่าถึงเป็นฉันก็ไม่น่าจะไหว…」

 

 

「ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจละครับ…เอ่อ ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าผมขอให้คุณช่วยทำหลังจากนี้ได้สินะครับ แน่นอนว่าผมไม่พูดเรื่องไร้เหตุผลอย่างให้ทำทุกวันหรอกครับ แน่นอนว่าผมจะจ่ายค่าอาหารให้ในราคาที่เหมาะสมด้วย」

 

 

「ด้วยความยินดีค่ะ นอกจากนี้แทนที่จะเอาเงินมาให้ฉัน ขอให้คุณบริจาคส่วนนั้นให้ทางวิหารเถอะค่ะ」

 

 

นักบวชซาร่าพูดขณะแสดงรอยยิ้มที่สดใสออกมาบนใบหน้า

 

วินาทีนั้นผมรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที

 

 

 

..แย่แล้วสิ แค่แว๊บเดี๋ยว เมื่อกี้ผมเกือบจะเข้าไป “กินเธอ” แล้วสิ

 

 

อ-เอาเป็นว่า ผลลัพธ์ก็ถือว่าน่าพอใจล่ะนะ ทำได้ดีมากคราว โซราสจากนี้ไปผมก็ไม่ต้องคิดหาข้ออ้างอื่นในการมาที่นี่แล้ว

 

 

หากเป็นแบบนี้ผมก็น่าจะกลับเมืองอิชกะได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก

 

 

พอผมบอกนักบวชซาร่าว่าพวกผมจำเป็นต้องกลับไปแล้ว เธอก็ตกใจ

 

 

 

「…คุณจะกลับแล้วเหรอคะ? 」

 

 

「ครับ เพราะผมก็ปลีกตัวมาจากเมืองอิชกะได้ 5 วันแล้วด้วย ผมค่อนข้างกังวลกับคนในแคลนที่รออยู่แถมฟุไคก็ยังแก้กันไม่หมดด้วย」

 

 

ถึงฟุไคควรจะถูกเผาจนเหี้ยนหมดแล้วแต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นมาใหม่ไม่ได้อีก ฟีโอดอร์เลยบอกผมว่าหากเป็นไปได้ก็รีบกลับมาที่เมืองอิชกะโดยเร็วสักหน่อยน่าจะดี

 

 

ผมเป็นห่วงซูซูเมะด้วยสิ แต่เรื่องนั้นผมก็ฝากให้ลูนามาเรียช่วยดูแลเธอไปแล้วก่อนออกมา แต่หากลูนามาเรียหรือชีลเกิดปัญหาขึ้นซะเองคงจะแย่ ผมก็เลยต้องรีบกลับอยู่ดี

 

 

 

ทั้งเอลฟ์ (รูปงาม) กับมนุษย์สัตว์ (สาวน้อยสุดสวย) ทั้งคู่ต่างก็เป็นทาสที่สวมปลอกคอเอาไว้ ความโดดเด่นของพวกเธอจึงไม่ต่างจากซูซูเมะเลย คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเธอจะดึงดูดพวกบ้าบอหรือพวกแปลกๆ เข้ามา

 

 

 

หากมองในมุมคนอื่น เขาก็คงเห็นว่าผมใช้เวลาอยู่ที่หมู่บ้านเมลเทนี้นานไปหน่อย

 

แต่ถึงผมจะไม่ได้อธิบายอะไรไปมาก แต่ดูเหมือนทางนักบวชซาร่าก็จะเข้าใจ

 

 

เธอจึงก้มหัวให้กับผมและขอบคุณผมอีกครั้ง

 

 

「ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเท่าไหร่ก็คงไม่พอ」

 

 

「ไม่หรอกครับไม่หรอก อย่าคิดมากเลย เวลามีคนเดือดร้อนการจะเข้าไปช่วยเหลือก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว」

 

 

ผมแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาให้มากที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มอย่างผมจะทำได้…จนผมก็อยากเห็นเลยแฮะว่าใบหน้าผมตอนนี้เป็นยังไง หวังว่าคงจะไม่ใช่ใบหน้าเหมือนพวกนักต้มตุ๋นที่พยายามหลอกแม่ม่ายกับเด็กเล็กหรอกนะ

 

จริงสิพอมาคิดดู ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ เจ้าเด็ก3คนนั้นทำไมเงียบกันไปซะหมดล่ะ

 

 

 

พอผมหันไปดู3หน่อนั้นก็พบว่าพวกเขาหลับไปกันหมดแล้ว ก็นั่นสินะหากเป็นช่วงปกติพวกเขาก็ไม่น่าจะอยู่กันถึงตอนนี้เลย

 

 

 

เจ้าเด็กเวรหมายเลข 1 ไอน์ นั่งอ้าปากหาวเสียงดัง ส่วนอีก 2 หน่อ ก็นั่งผงกหัวไปมา

 

 

นักบวชซาร่าเห็นแบบนี้ก็เรียกไอน์

 

 

 

「นี่ไอน์ พาชไวกับโดระไปที่ห้องหน่อยสิ」

 

 

 

「…ด้ายค้าบ」

 

 

ไอน์พยักหน้าให้ก่อนจะขยี้ตา จากนั้นเขาก็ใช้มือขวาจับชไวและมือซ้ายกับโดระ

 

 

ผมครุ่นคิดขณะมองแผ่นหลังของทั้งสามที่เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน

 

 

หื้ม ไอน์นี่เป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ เลยน้อ

 

 

พอเห็นแบบนั้นก็ทำให้ผมนนึกถึงช่วงที่ผมกับรากุนะยังคอยดูแลกันและกันอยู่ แต่ความทรงจำพวกนั้นมันก็เลือนรางไปแล้ว

 

เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นตอนไหนกันนะ ผมว่าน่าจะเป็นตอนที่แม่ของผมกับแม่ของรากุนะ ยังมีชีวิตอยู่นั่นสิน่าจะช่วงผม 7 ขวบได้มั้ง

 

 

พอผมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ผมก็รู้สึกถึงสายตาที่มองผมมาจากด้านหลัง

 

 

 

พอผมมองกลับไป ผมก็เห็นนักบวชซาร่าที่ควรจะตามพวกเด็กๆ กลับไปแล้วกำลังรอผมอยู่

 

 

 

มันเป็นแววตาที่อ่อนโยนที่ทำให้เห็นว่าเธอเป็นห่วงผม แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เธอก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเหงาหงอยที่เกาะกินจิตใจผมอยู่

 

 

เพราะงั้นมันก็เลยทำให้ผมเขินเป็นอย่างมากจนไม่กล้ามองหน้าเธอ

 

———

Note 1 : แก้แค้นโดยการเปิดโปงความชั่วอีกฝ่าย ไม่  แก้แค้นโดยการจีบแม่อีกฝ่าย ใช่! โซระเอ็งลืมเหตุผลการมาหมู่บ้านนี้แล้วสินะ…

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+