การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 64 บทสรุป

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 64 บทสรุป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 64 บทสรุป

 

「――แบบนี้นี่เอง」

 

 

ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเท้าของผมขยับไปไหนไม่ได้สะดวกเพราะเวทดิน แล้วเวทไฟก็กำลังพุ่งเข้ามาหาผม

 

ด้วยเวทป้องกันระดับ 8 ที่ทรงพลังราวกับมีป้อมปราการคอยปกป้องเขาอยู่ เขาก็จะคอยใช้เวทของตัวเองกับเวทจากอาภรณ์วิญญาณโจมตีศัตรูไปเรื่อยๆ

 

 

วิธีการหดหัวอยู่ในโซนของตัวเองแล้วคอยโจมตีออกมาเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นสไตล์การต่อสู้ที่จินโบเชี่ยวชาญ

 

 

และถึงเขาจะไม่มีอาภรณ์วิญญาณการจะทำแบบนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าตัวจินโบเป็นจอมเวทระดับสูง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยลักษณะของสกิลและคิที่เขามี ทหารกับพวกนักผจญภัยทั่วไปก็ไม่น่าจะรับมือได้เลย

 

 

หากเขาต้องการ ก็คงจะสามารถถล่มทั้งกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว

 

 

 

เวทมนตร์ที่แท้จริงระดับ 5 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาผมก็ทรงพลังไม่แพ้กันเลย

 

 

 

ตัวผมเองก็ใช้มนตร์นี้ได้อยู่หรอก แต่ด้วยพลังที่ผมมีตอนนี้อย่างมากสุดผมก็สร้างได้แค่ 6 แขนเท่านั้นเอง

 

 

แต่ตัวจินโบกลับสร้างมันขึ้นมาได้ถึง 10 แขนอย่างง่ายดาย และขนาดกับความเร็วของมันก็แตกต่างกับที่ผมใช้พอสมควร หากผมรับการโจมตีนี้เข้าไปโดยตรงร่างของผมก็น่าจะเป็นเหมือนท่อนฟืนที่โดนไฟเผาแล้วกลายเป็นถ่านไปในทันที

 

 

พูดมาแค่นี้ก็น่าจะเห็นได้ชัดแล้วถึงความแตกต่างระหว่างผมกับจินโบในฐานะจอมเวท

 

 

 

――แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เห็นต้องสนเลย

 

ระหว่างที่คิดแบบนั้น ผมก็ได้ใช้อาภรณ์วิญญาณของผมฟันเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้าทิ้ง

 

จากนั้นก็เกิดเสียงกึกก้องขึ้น แขนที่ติดไฟพวกนั้นได้สลายหายไปทันทีพร้อมกับความร้อนของมัน

 

 

 

เปลวเพลิงไม่ได้แตกกระจายไปจากการฟัน แต่มันดับสูญไปราวกับมีบางสิ่งกลืนกินเปลวเพลิงนั้นเข้าไป

 

 

 

ไม่เหลือแม้กระทั่งลมร้อนให้พัดผ่านใบหน้าของผม สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ก็คงจะเป็นกลิ่นเผาไหม้เล็กน้อยโชยมากับลม

 

 

จากนั้นผมก็เหวี่ยงดาบอีกครั้ง

 

แขนที่ 2 3 4

 

ผมค่อยๆ กลื่นกินเปลวเพลิงทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาหาผม

 

เอาไปเอามา พอผมนับมันได้ 12 เปลวเพลิงจากองค์หญิงแห่งเพลิงก็ได้หมดลง

 

 

 

หลังจากที่ผมตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันหายไปหมดแล้ว ผมก็ทำดาบของตนแทงลงไปที่พื้นทันที

 

 

ตัวดาบได้ทำการกลืนกินและดูดซับเอามานาที่กำลังกัดกร่อนผืนดินรอบๆ อยู่

 

แน่นอนว่าภูมิประเทศที่กัดเซาะไปแล้วไม่กลับคืนสู่สภาพปกติ แต่คนที่จมอยู่ในดินลึกไม่ถึงช่วงเอวก็คงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ อีกแล้ว

 

 

จินโบที่สัมผัสได้ถึงการหายไปของมานาอย่างผิดธรรมชาติก็คงจะรู้สึกตัวแล้ว ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงประหลาดใจปนตระหนกออกมา

 

 

「หึ..ฮิฮิฮิ แบบนี้นี่เองๆ! พลังของอาภรณ์วิญญาณนายน้อยก็คือการดูดซับ ที่มานามันหายไปก็น่าจะเพราะสิ่งนี้ นี่คงจะเป็นพลังเดียวกับที่ทำลายกาโควไซของข้าก่อนหน้านี้สินะ? ช่างเป็นพลังที่ผู้ใช้เวทอย่างข้าแพ้ทางจริงๆ!」

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ จินโบก็เริ่มเล่นอาภรณ์วิญญาณของเขาต่อด้วยความรุนแรง

 

 

「แต่ทว่า ข้าก็มั่นใจเช่นกันว่าปริมาณมานาที่ท่านสามารถดูดซับได้ในแต่ละครั้งย่อมมีจำกัด หากข้าทำการโจมตีเป็นวงกว้างจากทุกทิศทาง ท่านก็คงจะไม่สามารถป้องกันมันได้หมดเป็นแน่ นั่นแหละคือความสามารถของท่าน หากดูดซับมานามากจนเกินขีดจำกัด ร่างกายของท่านก็จะรับมันไว้ไม่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องแตกสลายไป ด้วยแกนพลังเวทของผู้ที่ไร้ฝีมือเช่นท่านก็จงสูญสลายไปพร้อมกับเวทมนตร์ที่แท้จริงของข้าซะ!」

 

 

ชิซูกะ โกเซ็นก็เริ่มร่ายมนตร์อีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก เสียงของมันได้สะท้อนดังไปทั่วคฤหาสน์ของดยุกยามค่ำคืน

 

 

「『――เอลิ เอลิ เอลิอุส เอลิ เอลิอุส เพื่อปกป้องวิญญาณผู้หิวโหย เหล่าวิญญาณพยาบาทที่รวมตัวกัน เสียงตะโกนแห่งความชั่วร้ายที่ดังก้อง』」

 

 

เสียงของมันดูเศร้าศร้อยก็ที่เคยเปล่งออกมา แทนที่จะเป็นเสียงคร่ำครวญ ควรจะบอกว่ามันเป็นเสียงเหมือนกับมันจะร้องไห้ออกมา

 

 

อาภรณ์วิญญาณก็คืออนิม่าของผู้ใช้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ใช่มนุษย์หรือไม่ แต่พวกมันก็มีชีวิตและตัวตนของตัวเอง นั่นก็หมายความว่าพวกมันก็มีเจตจำนงของตัวเองเช่นกัน

 

และแม้จินโบจะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้กับอาภรณ์วิญญาณ แต่เขาก็ยังคงพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงแห่งความสุขสันต์

 

「ขั้นแรก ข้าคงต้องสอนนายน้อยถึงความลับเวทมนตร์บนโลกใบนี้ ท่านรู้หรือเปล่าว่า เวทมนตร์ที่มีคำว่า “แท้จริง” อยู่ภายในนั้น เช่นเดียวกับ กาโควไซของข้าซึ่งเป็นเวทมนตร์ดินที่แท้จริงมันมีความหมายอันลึกซึ้ง ที่แม้กระทั่งจอมเวทก็มีน้อยนักที่จะทราบถึงความหมาย」

 

 

จินโบเริ่มอธิบาย

 

 

คำว่า “มะ” ในคำว่า “มาโฮ (เวทมนตร์) ” น่ะคือสิ่งที่แทนถึงตัวตนที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ หรือก็คือเวทมนตร์น่ะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยกฎของโลกใบนี้ แต่เดิมมันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหาทางรับมือกับมันได้อีกด้วย

 

(Note : เป็นการใช้คำระหว่าง อาคุมะ (ปีศาจ) กับ มาโฮ (เวทมนตร์) เพื่ออธิบายถึงหลักการ)

 

และผู้ที่นำเวทมนตร์มาสู่เหล่ามนุษย์ก็คือนักอัญเชิญในยุคโบราณ

 

 

พวกเขาได้ทำสัญญากับพวกปีศาจและดัดแปลงความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันเข้าให้กับทักษะที่มนุษย์สามารถใช้ได้

 

 

นั่นแหละคือที่มาของเวทมนตร์และคาถาต่างๆ

 

 

 

「ส่วนเวทมนตร์ที่แท้จริงคือเวทมนตร์ที่ได้รับการ 『เปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม』เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ก็ยังคงมีเวทมนตร์สูตรดั้งเดิมอยู่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง โดยที่จอมเวทระดับสูงเช่นข้านั้นจะเรียกเวทมนตร์พวกนี้ว่าเวทที่แปดเปื้อน」

 

 

หรือก็คือเวทมนตร์ของพวกปีศาจที่มนุษย์มิอาจรับมือได้

 

 

มันจำเป็นต้องใช้มานาและพลังชีวิตจำนวนมากในการร่าย ถึงแม้ว่าปริมาณที่จะต้องใช้นั้นสำหรับปีศาจแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ด้วยร่างกายของมนุษย์นั้นมิอาจจะทนรับภาระดังกล่าวได้

 

 

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การใช้เวทที่แปดเปื้อนนั้นส่งผลต่อวิญญาณและร่างกายของผู้ใช้ที่ฝืนใช้เวทพวกนี้ต่อไป เริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ

 

「ตัวอย่างที่พวกเรารู้กันดีก็จะมีพวกแวมไพร์ไม่ก็ลิช ในมอนสเตอร์บางจำพวกก็เป็นมนุษย์ที่ยอมละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนเพื่อไล่ตามพลังพวกนี้อยู่ด้วย ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์จึงเป็นสิ่งที่แสนอันตราย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการไปถึงจุดสูงสุดแห่งเวทมนตร์การจะศึกษาเรื่องเวทที่แปดเปื้อนก็เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้ เพราะพวกข้าจำเป็นต้องรู้ถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน」

 

เวทมนตร์ที่แปดเปื้อนมันเป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในสถาบันปราชญ์

 

 

การตระหนักถึงเวทที่แปดเปื้อนและเริ่มเรียนรู้มันด้วยตนเอง สิ่งนั้นคือก้าวแรกของการเป็นผู้ใช้เวทระดับสูง ――นั่นคือสิ่งที่จินโบต้องการจะบอก

 

และแล้วชิซูกะ โกเซ็นก็ร่ายมนตร์จบหลังจากที่จินโบพูดเสร็จ

 

 

 

「ฮิฮิฮิ จากนี้ก็ถึงเวลาที่ข้าจะปลดปล่อย กาโควไซ แบบดั้งเดิมเสียที เวทที่แปดเปื้อนระดับ 8 และเพราะข้าใช้มันผ่านอาภรณ์วิญญาณของข้านั่นจะทำให้ร่างกายของข้าไม่จำเป็นต้องรับภาระหลังจากนี้ยังไงล่ะ เพราะผลกระทบของมันนั้นจะไปลงกับตัวอาภรณ์วิญญาณของข้าแทน นอกจากนี้หากอาภรณ์วิญญาณของข้าได้รับคำสาป มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของ ชิซูกะ โกเซ็นอวตารแห่งภรรยาของข้า! เอาละๆ นายน้อย――ไม่สิ โซระ มิตสึรุกิ เชิญลิ้มลองผลของเวทที่แปดเปื้อนนี้ดูด้วยตัวเจ้าเองสิ!」

 

 

 

「『เศษซากเครื่องในบนกำแพง กองเลือดที่นองเต็มหนอง นี่คือปราการแห่งปรภพ กาโควไซ』」

 

เมื่อสิ้นเสียงร่าย ประตูสีเลือดก็เปิดขึ้นและมันมาพร้อมกับเสียงที่อยู่ด้านใน โดยสิ่งที่ออกมาจากประตูนั้นก็คือเหล่ากองทัพวิญญาณพยาบาทและภูตผีผู้หิวโหย

 

นี่คือสุดยอดเวทมนตร์แห่งการอัญเชิญ ปราการแห่งขุมนรกที่มีเหล่ากองทัพคนตายมากมายอยู่ภายใน

 

 

หากกาโควไซแบบแรกเป็นปราการที่เน้นการป้องกัน แบบหลังก็คงจะเป็นเน้นการโจมตี

 

และไม่ว่าอาภรณ์วิญญาณของผมจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงจะไม่สามารถรับมือกับพวกอันเดธที่รุมเข้ามาโจมตีผมได้ในทีเดียวจากทุกทางหรอก แล้วผมก็ไม่สามารถกลืนกินฝูงอันเดธที่ไม่มีวันหมดนี้ได้ด้วย――นี่น่าจะเป็นสิ่งที่จินโบคิดอยู่ในหัว

 

 

ไม่ว่าเขาจะคิดถูกหรือผิด ผมก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาเล็งไว้อยู่

 

แต่ผมก็ใช่ว่าจะต้องเล่นตามเกมของเขานี่เนอะ

 

 

เพราะทางผมก็ไม่ใช่จะนั่งกัดเล็บเท้าเฉยๆ ระหว่างฟังมันพล่ามสุนทรพจน์อันยาวเหยียดระหว่างรอชิซูกะ โกเซ็นร่ายมนตร์ด้วย

 

ทางผมก็ทำการรวบรวมพลังคิขั้นสูงสุดไปไว้ตรงอาภรณ์วิญญาณที่อยู่ใน

 

 

มันเหมือนกับตอนที่ผมกำจัดพวกฝูงแมนติคอร์ในป่า คิที่ผมถ่ายลงไปในใบดาบนั้นกลายเป็นสีดำทมิฬอยู่รอบใบดาบ

 

 

และในตอนที่ผมกำลังจะใช้ที่โจมตีวงกว้างอย่าง “วายุ” อีกครั้งซึ่งมันสามารถกลืนกินทุกสิ่งแม้ระยะของผมกับมันจะห่างแบบนี้ก็ตาม――

 

 

――จากนั้นดาบของผมก็ส่งเสียงบางอย่างออกมา

 

ด้วยเสียงที่ส่งออกมานั้นไม่รู้ว่าเป็นเสียงที่คำรามหรือเสียงหัวเราะของตัวดาบกันแน่

 

แต่ดูเหมือนดาบนี้จะรู้ว่าเป้าหมายที่มันต้องกลืนกินวิญญาณนั้นมันมีมากกว่าแมนติคอร์หลายเท่านัก

 

ลักษณะของมันช่างคล้ายกับเด็กที่นั่งรออาหารมื้อค่ำอยู่บนโต๊ะ โดยระหว่างนั้นพวกเขาก็เคาะช้อนส้อมเหมือนเป็นการเร่งว่าอยากจะทานอาหารเร็วๆ แล้ว

 

 

 

เอาสิจัดให้ตามคำขอ

 

 

ผมยกดาบขึ้นสูงและฟันเป็นมุมทแยง พร้อมกับตะโกนออกมาโดยมุมของมันยาวมาตั้งแต่ไหล่ลงช่วงล่าง

 

 

 

 

◆◆◆

 

「…..หา? 」

 

 

หลังจากที่ทุกอย่างภายในสวนของดยุกเงียบสงัดลงไป คนแรกที่ส่งเสียงออกมาก็คือจินโบ

 

เขาทำการตรวจสอบร่างกายของตนด้วยมือขวา

 

ส่วนแรกคือไหล่ซ้ายของเขา ต่อมาคือช่วงสะโพกขวา

 

จากนั้นเขาก็ทำการยืนยันได้แล้วว่ามีรอยฟันลึกเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงไหล่ซ้ายไปจนถึงสะโพกขวาของเขา

 

นอกจากนี้อาภรณ์วิญญาณของเขาที่ถืออยู่ในมือซ้ายก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง

 

 

และยังมีเสียงที่เหมือนแก้วนับพันแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นกระแทกเข้ากับหูของทุกคน มันเป็นเสียงที่เหมือนกับรอให้จินโบตรวจสอบสภาพของตนเสร็จเสียก่อน

 

 

มันคือเสียงของป้อมปราการทั้งสองที่เขาสร้างขึ้นแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ จากการโจมตีของผม

 

 

ในเวลาเดียวกันกับที่เวทนั้นหายไป กองทัพภูตผีของเขาก็สูญสลายหายไปด้วยราวกับมันกลับไปยังโลกที่ตนจากมา

 

 

 

「ฮิ…ฮี๊ฮี๊!!」

 

 

มันคือเสียงหัวเราะ――ไม่สิ เสียงกรีดร้องที่ออกมาจากปากของจินโบ

 

「เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง….นี่มันบ้าเกินไปแล้ว เวทที่แท้จริงกับเวทที่แปดเปื้อนระดับ 8 ของข้าทั้งสอง ถูกทำลายด้วยการโจมตีเดียวงั้นหรือ?! ไม่สิไม่ใช่การฟัน…การที่พวกมันไม่เหลือซากเลยแบบนี้ก็หมายความว่า มันถูกกลืนกินไปหมดแล้วงั้นเหรอ? นี่เจ้ากลืนมันหมดในคราวเดียวได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้ หากเจ้าดูดซับพลังจำนวนมากขนานนั้นที่ตราวเดียวร่างของเจ้าไม่มีทางรับมันได้ไหวแน่ๆ!!」

 

 

ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายชราที่พูดกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

 

 

แม้ผืนดินจะเน่าเปื่อยจนทำให้เดินยากไปบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่าทางของเขาก็ดูเหมือนไม่คิดจะหนีอะไรด้วย

 

และถึงเขาจะพยายามหนีไป แต่ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บหนักแบบนั้นมันจะได้อีกสักแค่ไหนเชียว นอกจากนี้วิญญาณของเขามันก็บอกทุกอย่างกับผมแล้ว

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่คิดจะหนีด้วยแหละมั้งเพราะคงรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับคนอย่างจินโบแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้

 

 

เหตุผลง่ายๆ สำหรับเขาที่ไม่คิดจะหนีไปก็คงจะเป็นเพราะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นไม่ได้จนไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก

 

 

ก็ดูสิหมอนี่ยังเอาแต่กรีดร้องออกมาไม่หยุดเสียที

 

 

「อาภรณ์วิญญาณคือสิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในจิตใจของผู้ใช้ การที่เจ้าสามารถกลืนกินเวทที่แปดเปื้อนได้แบบนี้…ไอ้สารยำนี่ เจ้ามีปีศาจตนใดสิ่งอยู่ในร่างของเจ้ากัน!? 」

 

 

หืม จากนายน้อยกลายเป็นไอ้สารยำไปแล้วแฮะ คนเรานี่เนอะ――ที่จริงผมก็กะจะเล่นลิ้นกับตาแก่นี่อีกสักหน่อยนะ แต่ดูเหมือนคงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว

 

 

นอกจากนี้ผมก็ไม่อยากจะให้คนอื่นเห็นผมมาล้อเลียนตาแก่ใกล้ตายหรอก ถึงมันจะเป็นศัตรูก็เถอะ

 

 

 

ด้วยเหตุนี้เองผมจึงไม่คิดจะพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกมา สิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ก็มีเพียงฟังคำลาตายของอีกฝ่าย

 

 

「สำหรับคนที่จะตายแล้วถึงแกจะรู้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เอาเป็นว่ามีอะไรจะสั่งเสียไหม? 」

 

 

「ส-สั่งเสีย?! นี่ท่านคิดจะฆ่าข้างั้นเหรอ?! เดี๋ยวสิ เดี๋ยวนายน้อย! ท่านเป็นถึงบุตรชายของตระกูลมิทซึรุกิเลยนะ แต่ท่านคิดจะฆ่าข้าซึ่งเป็นหนึ่งในนักรบของธงแห่งผืนป่าเชียวหรือ?!」

 

 

「โทษทีว่ะ แต่ฉันโดนเนรเทศออกมาแล้วนี่สิ ดังนั้นแกไม่จำเป็นต้องคิดว่าฉันเป็นเจ้านายแกหรอกเนอะ」

 

 

「อย่าได้ด่วนตัดสินเช่นนั้นเลย! ใช่แล้ว เดี๋ยวข้าจะเป็นพยานให้กับท่านเองนายน้อย! ชายชราผู้อยู่ลำดับ 9 แห่งธงที่ 4! หากนายท่านเห็นว่านายน้อยแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้ นายท่านจะต้องยอมรับในตัวท่านและยินดีต้อนรับท่านกลับเกาะในฐานะของลูกชายเป็นแน่!」

 

 

「ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเขาไม่มีทางจะให้ฉันกลับไป ก็จริงอยู่ว่ามิทซึรุกิเป็นนามสกุลของแม่ฉันด้วย ฉันก็อยากจะได้ชื่อนั้นคืนมาอย่างเป็นทางการอยู่หรอก แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดจะยืมพลังของแกเพื่อสิ่งนั้น」

 

 

 

หลังจากที่ผมพูดจบ ผมก็ใช้อาภรณ์วิญญาณของผม

 

 

 

แทงเข้าไปที่ใบหน้าของชิซูกะ โกเซ็นด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

ความแข็งของมันเทียบเท่ากับดาบของผมในตอนที่ปะทะกันครั้งแรก แต่ตอนนี้ด้วยอาการบาดเจ็บของมันก่อนหน้าจึงทำให้สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับบิวะทั่วไป

 

 

 

ชิซุกะ โกเซ็นได้สูญสลายหายไปกลายเป็นฝุ่นผงลอยในอากาศ โดยที่ไม่อาจจะโจมตีสวนได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

…และในช่วงวินาทีนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนมากระซิบที่ข้างหูของผม

 

 

มันเป็นเสียงที่เบาเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจว่ามันสื่อถึงอะไร

 

 

แต่สิ่งเดียวที่ผมเข้าใจก็คือมันเป็นน้ำเสียงที่ดูสงบและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

 

หลังจากที่เขาสูญเสียอาภรณ์วิญญาณไป จินโบก็เริ่มเบิกตาที่มืดบอดกว้างและอ้าปากกว้างออกมาราวกับเดือดดาล

 

แต่ก่อนที่เขาจะได้กรีดร้องขึ้นมาอีก ผมก็ใช้ดาบสีดำของผมตัดหัวของเขาในทันที

 

 

นั่นทำให้จินโบไม่อาจจะพูดอะไรออกมาเป็นครั้งสุดท้ายได้อีก และผมก็ไม่อยากจะได้ยินมันอีกแล้วด้วย

 

 

หลังจากที่ผมตัดหัวเขาเสร็จ ผมก็เดินหันหลังให้กับเขาในทันที

 

เบื้องหลังของผมคือหัวที่เหี่ยวย่นซึ่งแยกออกมาจากลำตัวกำลังตกสู่พื้น โดยเลือดที่พุ่งออกมาจากคอนั้นช่างเหมือนน้ำพุเสียเหลือเกิน

 

———

Note 1 : ค้างกลับมาเลยต้องรีบเอาให้จบ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 64 บทสรุป

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 64 บทสรุป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 64 บทสรุป

 

「――แบบนี้นี่เอง」

 

 

ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเท้าของผมขยับไปไหนไม่ได้สะดวกเพราะเวทดิน แล้วเวทไฟก็กำลังพุ่งเข้ามาหาผม

 

ด้วยเวทป้องกันระดับ 8 ที่ทรงพลังราวกับมีป้อมปราการคอยปกป้องเขาอยู่ เขาก็จะคอยใช้เวทของตัวเองกับเวทจากอาภรณ์วิญญาณโจมตีศัตรูไปเรื่อยๆ

 

 

วิธีการหดหัวอยู่ในโซนของตัวเองแล้วคอยโจมตีออกมาเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นสไตล์การต่อสู้ที่จินโบเชี่ยวชาญ

 

 

และถึงเขาจะไม่มีอาภรณ์วิญญาณการจะทำแบบนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าตัวจินโบเป็นจอมเวทระดับสูง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยลักษณะของสกิลและคิที่เขามี ทหารกับพวกนักผจญภัยทั่วไปก็ไม่น่าจะรับมือได้เลย

 

 

หากเขาต้องการ ก็คงจะสามารถถล่มทั้งกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว

 

 

 

เวทมนตร์ที่แท้จริงระดับ 5 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาผมก็ทรงพลังไม่แพ้กันเลย

 

 

 

ตัวผมเองก็ใช้มนตร์นี้ได้อยู่หรอก แต่ด้วยพลังที่ผมมีตอนนี้อย่างมากสุดผมก็สร้างได้แค่ 6 แขนเท่านั้นเอง

 

 

แต่ตัวจินโบกลับสร้างมันขึ้นมาได้ถึง 10 แขนอย่างง่ายดาย และขนาดกับความเร็วของมันก็แตกต่างกับที่ผมใช้พอสมควร หากผมรับการโจมตีนี้เข้าไปโดยตรงร่างของผมก็น่าจะเป็นเหมือนท่อนฟืนที่โดนไฟเผาแล้วกลายเป็นถ่านไปในทันที

 

 

พูดมาแค่นี้ก็น่าจะเห็นได้ชัดแล้วถึงความแตกต่างระหว่างผมกับจินโบในฐานะจอมเวท

 

 

 

――แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เห็นต้องสนเลย

 

ระหว่างที่คิดแบบนั้น ผมก็ได้ใช้อาภรณ์วิญญาณของผมฟันเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้าทิ้ง

 

จากนั้นก็เกิดเสียงกึกก้องขึ้น แขนที่ติดไฟพวกนั้นได้สลายหายไปทันทีพร้อมกับความร้อนของมัน

 

 

 

เปลวเพลิงไม่ได้แตกกระจายไปจากการฟัน แต่มันดับสูญไปราวกับมีบางสิ่งกลืนกินเปลวเพลิงนั้นเข้าไป

 

 

 

ไม่เหลือแม้กระทั่งลมร้อนให้พัดผ่านใบหน้าของผม สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ก็คงจะเป็นกลิ่นเผาไหม้เล็กน้อยโชยมากับลม

 

 

จากนั้นผมก็เหวี่ยงดาบอีกครั้ง

 

แขนที่ 2 3 4

 

ผมค่อยๆ กลื่นกินเปลวเพลิงทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาหาผม

 

เอาไปเอามา พอผมนับมันได้ 12 เปลวเพลิงจากองค์หญิงแห่งเพลิงก็ได้หมดลง

 

 

 

หลังจากที่ผมตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันหายไปหมดแล้ว ผมก็ทำดาบของตนแทงลงไปที่พื้นทันที

 

 

ตัวดาบได้ทำการกลืนกินและดูดซับเอามานาที่กำลังกัดกร่อนผืนดินรอบๆ อยู่

 

แน่นอนว่าภูมิประเทศที่กัดเซาะไปแล้วไม่กลับคืนสู่สภาพปกติ แต่คนที่จมอยู่ในดินลึกไม่ถึงช่วงเอวก็คงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ อีกแล้ว

 

 

จินโบที่สัมผัสได้ถึงการหายไปของมานาอย่างผิดธรรมชาติก็คงจะรู้สึกตัวแล้ว ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงประหลาดใจปนตระหนกออกมา

 

 

「หึ..ฮิฮิฮิ แบบนี้นี่เองๆ! พลังของอาภรณ์วิญญาณนายน้อยก็คือการดูดซับ ที่มานามันหายไปก็น่าจะเพราะสิ่งนี้ นี่คงจะเป็นพลังเดียวกับที่ทำลายกาโควไซของข้าก่อนหน้านี้สินะ? ช่างเป็นพลังที่ผู้ใช้เวทอย่างข้าแพ้ทางจริงๆ!」

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ จินโบก็เริ่มเล่นอาภรณ์วิญญาณของเขาต่อด้วยความรุนแรง

 

 

「แต่ทว่า ข้าก็มั่นใจเช่นกันว่าปริมาณมานาที่ท่านสามารถดูดซับได้ในแต่ละครั้งย่อมมีจำกัด หากข้าทำการโจมตีเป็นวงกว้างจากทุกทิศทาง ท่านก็คงจะไม่สามารถป้องกันมันได้หมดเป็นแน่ นั่นแหละคือความสามารถของท่าน หากดูดซับมานามากจนเกินขีดจำกัด ร่างกายของท่านก็จะรับมันไว้ไม่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องแตกสลายไป ด้วยแกนพลังเวทของผู้ที่ไร้ฝีมือเช่นท่านก็จงสูญสลายไปพร้อมกับเวทมนตร์ที่แท้จริงของข้าซะ!」

 

 

ชิซูกะ โกเซ็นก็เริ่มร่ายมนตร์อีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก เสียงของมันได้สะท้อนดังไปทั่วคฤหาสน์ของดยุกยามค่ำคืน

 

 

「『――เอลิ เอลิ เอลิอุส เอลิ เอลิอุส เพื่อปกป้องวิญญาณผู้หิวโหย เหล่าวิญญาณพยาบาทที่รวมตัวกัน เสียงตะโกนแห่งความชั่วร้ายที่ดังก้อง』」

 

 

เสียงของมันดูเศร้าศร้อยก็ที่เคยเปล่งออกมา แทนที่จะเป็นเสียงคร่ำครวญ ควรจะบอกว่ามันเป็นเสียงเหมือนกับมันจะร้องไห้ออกมา

 

 

อาภรณ์วิญญาณก็คืออนิม่าของผู้ใช้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ใช่มนุษย์หรือไม่ แต่พวกมันก็มีชีวิตและตัวตนของตัวเอง นั่นก็หมายความว่าพวกมันก็มีเจตจำนงของตัวเองเช่นกัน

 

และแม้จินโบจะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้กับอาภรณ์วิญญาณ แต่เขาก็ยังคงพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงแห่งความสุขสันต์

 

「ขั้นแรก ข้าคงต้องสอนนายน้อยถึงความลับเวทมนตร์บนโลกใบนี้ ท่านรู้หรือเปล่าว่า เวทมนตร์ที่มีคำว่า “แท้จริง” อยู่ภายในนั้น เช่นเดียวกับ กาโควไซของข้าซึ่งเป็นเวทมนตร์ดินที่แท้จริงมันมีความหมายอันลึกซึ้ง ที่แม้กระทั่งจอมเวทก็มีน้อยนักที่จะทราบถึงความหมาย」

 

 

จินโบเริ่มอธิบาย

 

 

คำว่า “มะ” ในคำว่า “มาโฮ (เวทมนตร์) ” น่ะคือสิ่งที่แทนถึงตัวตนที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ หรือก็คือเวทมนตร์น่ะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยกฎของโลกใบนี้ แต่เดิมมันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหาทางรับมือกับมันได้อีกด้วย

 

(Note : เป็นการใช้คำระหว่าง อาคุมะ (ปีศาจ) กับ มาโฮ (เวทมนตร์) เพื่ออธิบายถึงหลักการ)

 

และผู้ที่นำเวทมนตร์มาสู่เหล่ามนุษย์ก็คือนักอัญเชิญในยุคโบราณ

 

 

พวกเขาได้ทำสัญญากับพวกปีศาจและดัดแปลงความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันเข้าให้กับทักษะที่มนุษย์สามารถใช้ได้

 

 

นั่นแหละคือที่มาของเวทมนตร์และคาถาต่างๆ

 

 

 

「ส่วนเวทมนตร์ที่แท้จริงคือเวทมนตร์ที่ได้รับการ 『เปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม』เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ก็ยังคงมีเวทมนตร์สูตรดั้งเดิมอยู่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง โดยที่จอมเวทระดับสูงเช่นข้านั้นจะเรียกเวทมนตร์พวกนี้ว่าเวทที่แปดเปื้อน」

 

 

หรือก็คือเวทมนตร์ของพวกปีศาจที่มนุษย์มิอาจรับมือได้

 

 

มันจำเป็นต้องใช้มานาและพลังชีวิตจำนวนมากในการร่าย ถึงแม้ว่าปริมาณที่จะต้องใช้นั้นสำหรับปีศาจแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ด้วยร่างกายของมนุษย์นั้นมิอาจจะทนรับภาระดังกล่าวได้

 

 

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การใช้เวทที่แปดเปื้อนนั้นส่งผลต่อวิญญาณและร่างกายของผู้ใช้ที่ฝืนใช้เวทพวกนี้ต่อไป เริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ

 

「ตัวอย่างที่พวกเรารู้กันดีก็จะมีพวกแวมไพร์ไม่ก็ลิช ในมอนสเตอร์บางจำพวกก็เป็นมนุษย์ที่ยอมละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนเพื่อไล่ตามพลังพวกนี้อยู่ด้วย ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์จึงเป็นสิ่งที่แสนอันตราย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการไปถึงจุดสูงสุดแห่งเวทมนตร์การจะศึกษาเรื่องเวทที่แปดเปื้อนก็เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้ เพราะพวกข้าจำเป็นต้องรู้ถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน」

 

เวทมนตร์ที่แปดเปื้อนมันเป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในสถาบันปราชญ์

 

 

การตระหนักถึงเวทที่แปดเปื้อนและเริ่มเรียนรู้มันด้วยตนเอง สิ่งนั้นคือก้าวแรกของการเป็นผู้ใช้เวทระดับสูง ――นั่นคือสิ่งที่จินโบต้องการจะบอก

 

และแล้วชิซูกะ โกเซ็นก็ร่ายมนตร์จบหลังจากที่จินโบพูดเสร็จ

 

 

 

「ฮิฮิฮิ จากนี้ก็ถึงเวลาที่ข้าจะปลดปล่อย กาโควไซ แบบดั้งเดิมเสียที เวทที่แปดเปื้อนระดับ 8 และเพราะข้าใช้มันผ่านอาภรณ์วิญญาณของข้านั่นจะทำให้ร่างกายของข้าไม่จำเป็นต้องรับภาระหลังจากนี้ยังไงล่ะ เพราะผลกระทบของมันนั้นจะไปลงกับตัวอาภรณ์วิญญาณของข้าแทน นอกจากนี้หากอาภรณ์วิญญาณของข้าได้รับคำสาป มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของ ชิซูกะ โกเซ็นอวตารแห่งภรรยาของข้า! เอาละๆ นายน้อย――ไม่สิ โซระ มิตสึรุกิ เชิญลิ้มลองผลของเวทที่แปดเปื้อนนี้ดูด้วยตัวเจ้าเองสิ!」

 

 

 

「『เศษซากเครื่องในบนกำแพง กองเลือดที่นองเต็มหนอง นี่คือปราการแห่งปรภพ กาโควไซ』」

 

เมื่อสิ้นเสียงร่าย ประตูสีเลือดก็เปิดขึ้นและมันมาพร้อมกับเสียงที่อยู่ด้านใน โดยสิ่งที่ออกมาจากประตูนั้นก็คือเหล่ากองทัพวิญญาณพยาบาทและภูตผีผู้หิวโหย

 

นี่คือสุดยอดเวทมนตร์แห่งการอัญเชิญ ปราการแห่งขุมนรกที่มีเหล่ากองทัพคนตายมากมายอยู่ภายใน

 

 

หากกาโควไซแบบแรกเป็นปราการที่เน้นการป้องกัน แบบหลังก็คงจะเป็นเน้นการโจมตี

 

และไม่ว่าอาภรณ์วิญญาณของผมจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงจะไม่สามารถรับมือกับพวกอันเดธที่รุมเข้ามาโจมตีผมได้ในทีเดียวจากทุกทางหรอก แล้วผมก็ไม่สามารถกลืนกินฝูงอันเดธที่ไม่มีวันหมดนี้ได้ด้วย――นี่น่าจะเป็นสิ่งที่จินโบคิดอยู่ในหัว

 

 

ไม่ว่าเขาจะคิดถูกหรือผิด ผมก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาเล็งไว้อยู่

 

แต่ผมก็ใช่ว่าจะต้องเล่นตามเกมของเขานี่เนอะ

 

 

เพราะทางผมก็ไม่ใช่จะนั่งกัดเล็บเท้าเฉยๆ ระหว่างฟังมันพล่ามสุนทรพจน์อันยาวเหยียดระหว่างรอชิซูกะ โกเซ็นร่ายมนตร์ด้วย

 

ทางผมก็ทำการรวบรวมพลังคิขั้นสูงสุดไปไว้ตรงอาภรณ์วิญญาณที่อยู่ใน

 

 

มันเหมือนกับตอนที่ผมกำจัดพวกฝูงแมนติคอร์ในป่า คิที่ผมถ่ายลงไปในใบดาบนั้นกลายเป็นสีดำทมิฬอยู่รอบใบดาบ

 

 

และในตอนที่ผมกำลังจะใช้ที่โจมตีวงกว้างอย่าง “วายุ” อีกครั้งซึ่งมันสามารถกลืนกินทุกสิ่งแม้ระยะของผมกับมันจะห่างแบบนี้ก็ตาม――

 

 

――จากนั้นดาบของผมก็ส่งเสียงบางอย่างออกมา

 

ด้วยเสียงที่ส่งออกมานั้นไม่รู้ว่าเป็นเสียงที่คำรามหรือเสียงหัวเราะของตัวดาบกันแน่

 

แต่ดูเหมือนดาบนี้จะรู้ว่าเป้าหมายที่มันต้องกลืนกินวิญญาณนั้นมันมีมากกว่าแมนติคอร์หลายเท่านัก

 

ลักษณะของมันช่างคล้ายกับเด็กที่นั่งรออาหารมื้อค่ำอยู่บนโต๊ะ โดยระหว่างนั้นพวกเขาก็เคาะช้อนส้อมเหมือนเป็นการเร่งว่าอยากจะทานอาหารเร็วๆ แล้ว

 

 

 

เอาสิจัดให้ตามคำขอ

 

 

ผมยกดาบขึ้นสูงและฟันเป็นมุมทแยง พร้อมกับตะโกนออกมาโดยมุมของมันยาวมาตั้งแต่ไหล่ลงช่วงล่าง

 

 

 

 

◆◆◆

 

「…..หา? 」

 

 

หลังจากที่ทุกอย่างภายในสวนของดยุกเงียบสงัดลงไป คนแรกที่ส่งเสียงออกมาก็คือจินโบ

 

เขาทำการตรวจสอบร่างกายของตนด้วยมือขวา

 

ส่วนแรกคือไหล่ซ้ายของเขา ต่อมาคือช่วงสะโพกขวา

 

จากนั้นเขาก็ทำการยืนยันได้แล้วว่ามีรอยฟันลึกเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงไหล่ซ้ายไปจนถึงสะโพกขวาของเขา

 

นอกจากนี้อาภรณ์วิญญาณของเขาที่ถืออยู่ในมือซ้ายก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง

 

 

และยังมีเสียงที่เหมือนแก้วนับพันแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นกระแทกเข้ากับหูของทุกคน มันเป็นเสียงที่เหมือนกับรอให้จินโบตรวจสอบสภาพของตนเสร็จเสียก่อน

 

 

มันคือเสียงของป้อมปราการทั้งสองที่เขาสร้างขึ้นแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ จากการโจมตีของผม

 

 

ในเวลาเดียวกันกับที่เวทนั้นหายไป กองทัพภูตผีของเขาก็สูญสลายหายไปด้วยราวกับมันกลับไปยังโลกที่ตนจากมา

 

 

 

「ฮิ…ฮี๊ฮี๊!!」

 

 

มันคือเสียงหัวเราะ――ไม่สิ เสียงกรีดร้องที่ออกมาจากปากของจินโบ

 

「เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง….นี่มันบ้าเกินไปแล้ว เวทที่แท้จริงกับเวทที่แปดเปื้อนระดับ 8 ของข้าทั้งสอง ถูกทำลายด้วยการโจมตีเดียวงั้นหรือ?! ไม่สิไม่ใช่การฟัน…การที่พวกมันไม่เหลือซากเลยแบบนี้ก็หมายความว่า มันถูกกลืนกินไปหมดแล้วงั้นเหรอ? นี่เจ้ากลืนมันหมดในคราวเดียวได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้ หากเจ้าดูดซับพลังจำนวนมากขนานนั้นที่ตราวเดียวร่างของเจ้าไม่มีทางรับมันได้ไหวแน่ๆ!!」

 

 

ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายชราที่พูดกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

 

 

แม้ผืนดินจะเน่าเปื่อยจนทำให้เดินยากไปบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่าทางของเขาก็ดูเหมือนไม่คิดจะหนีอะไรด้วย

 

และถึงเขาจะพยายามหนีไป แต่ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บหนักแบบนั้นมันจะได้อีกสักแค่ไหนเชียว นอกจากนี้วิญญาณของเขามันก็บอกทุกอย่างกับผมแล้ว

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่คิดจะหนีด้วยแหละมั้งเพราะคงรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับคนอย่างจินโบแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้

 

 

เหตุผลง่ายๆ สำหรับเขาที่ไม่คิดจะหนีไปก็คงจะเป็นเพราะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นไม่ได้จนไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก

 

 

ก็ดูสิหมอนี่ยังเอาแต่กรีดร้องออกมาไม่หยุดเสียที

 

 

「อาภรณ์วิญญาณคือสิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในจิตใจของผู้ใช้ การที่เจ้าสามารถกลืนกินเวทที่แปดเปื้อนได้แบบนี้…ไอ้สารยำนี่ เจ้ามีปีศาจตนใดสิ่งอยู่ในร่างของเจ้ากัน!? 」

 

 

หืม จากนายน้อยกลายเป็นไอ้สารยำไปแล้วแฮะ คนเรานี่เนอะ――ที่จริงผมก็กะจะเล่นลิ้นกับตาแก่นี่อีกสักหน่อยนะ แต่ดูเหมือนคงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว

 

 

นอกจากนี้ผมก็ไม่อยากจะให้คนอื่นเห็นผมมาล้อเลียนตาแก่ใกล้ตายหรอก ถึงมันจะเป็นศัตรูก็เถอะ

 

 

 

ด้วยเหตุนี้เองผมจึงไม่คิดจะพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกมา สิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ก็มีเพียงฟังคำลาตายของอีกฝ่าย

 

 

「สำหรับคนที่จะตายแล้วถึงแกจะรู้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เอาเป็นว่ามีอะไรจะสั่งเสียไหม? 」

 

 

「ส-สั่งเสีย?! นี่ท่านคิดจะฆ่าข้างั้นเหรอ?! เดี๋ยวสิ เดี๋ยวนายน้อย! ท่านเป็นถึงบุตรชายของตระกูลมิทซึรุกิเลยนะ แต่ท่านคิดจะฆ่าข้าซึ่งเป็นหนึ่งในนักรบของธงแห่งผืนป่าเชียวหรือ?!」

 

 

「โทษทีว่ะ แต่ฉันโดนเนรเทศออกมาแล้วนี่สิ ดังนั้นแกไม่จำเป็นต้องคิดว่าฉันเป็นเจ้านายแกหรอกเนอะ」

 

 

「อย่าได้ด่วนตัดสินเช่นนั้นเลย! ใช่แล้ว เดี๋ยวข้าจะเป็นพยานให้กับท่านเองนายน้อย! ชายชราผู้อยู่ลำดับ 9 แห่งธงที่ 4! หากนายท่านเห็นว่านายน้อยแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้ นายท่านจะต้องยอมรับในตัวท่านและยินดีต้อนรับท่านกลับเกาะในฐานะของลูกชายเป็นแน่!」

 

 

「ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเขาไม่มีทางจะให้ฉันกลับไป ก็จริงอยู่ว่ามิทซึรุกิเป็นนามสกุลของแม่ฉันด้วย ฉันก็อยากจะได้ชื่อนั้นคืนมาอย่างเป็นทางการอยู่หรอก แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดจะยืมพลังของแกเพื่อสิ่งนั้น」

 

 

 

หลังจากที่ผมพูดจบ ผมก็ใช้อาภรณ์วิญญาณของผม

 

 

 

แทงเข้าไปที่ใบหน้าของชิซูกะ โกเซ็นด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

ความแข็งของมันเทียบเท่ากับดาบของผมในตอนที่ปะทะกันครั้งแรก แต่ตอนนี้ด้วยอาการบาดเจ็บของมันก่อนหน้าจึงทำให้สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับบิวะทั่วไป

 

 

 

ชิซุกะ โกเซ็นได้สูญสลายหายไปกลายเป็นฝุ่นผงลอยในอากาศ โดยที่ไม่อาจจะโจมตีสวนได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

…และในช่วงวินาทีนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนมากระซิบที่ข้างหูของผม

 

 

มันเป็นเสียงที่เบาเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจว่ามันสื่อถึงอะไร

 

 

แต่สิ่งเดียวที่ผมเข้าใจก็คือมันเป็นน้ำเสียงที่ดูสงบและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

 

หลังจากที่เขาสูญเสียอาภรณ์วิญญาณไป จินโบก็เริ่มเบิกตาที่มืดบอดกว้างและอ้าปากกว้างออกมาราวกับเดือดดาล

 

แต่ก่อนที่เขาจะได้กรีดร้องขึ้นมาอีก ผมก็ใช้ดาบสีดำของผมตัดหัวของเขาในทันที

 

 

นั่นทำให้จินโบไม่อาจจะพูดอะไรออกมาเป็นครั้งสุดท้ายได้อีก และผมก็ไม่อยากจะได้ยินมันอีกแล้วด้วย

 

 

หลังจากที่ผมตัดหัวเขาเสร็จ ผมก็เดินหันหลังให้กับเขาในทันที

 

เบื้องหลังของผมคือหัวที่เหี่ยวย่นซึ่งแยกออกมาจากลำตัวกำลังตกสู่พื้น โดยเลือดที่พุ่งออกมาจากคอนั้นช่างเหมือนน้ำพุเสียเหลือเกิน

 

———

Note 1 : ค้างกลับมาเลยต้องรีบเอาให้จบ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 64 บทสรุป

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 64 บทสรุป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 64 บทสรุป

 

「――แบบนี้นี่เอง」

 

 

ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเท้าของผมขยับไปไหนไม่ได้สะดวกเพราะเวทดิน แล้วเวทไฟก็กำลังพุ่งเข้ามาหาผม

 

ด้วยเวทป้องกันระดับ 8 ที่ทรงพลังราวกับมีป้อมปราการคอยปกป้องเขาอยู่ เขาก็จะคอยใช้เวทของตัวเองกับเวทจากอาภรณ์วิญญาณโจมตีศัตรูไปเรื่อยๆ

 

 

วิธีการหดหัวอยู่ในโซนของตัวเองแล้วคอยโจมตีออกมาเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นสไตล์การต่อสู้ที่จินโบเชี่ยวชาญ

 

 

และถึงเขาจะไม่มีอาภรณ์วิญญาณการจะทำแบบนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าตัวจินโบเป็นจอมเวทระดับสูง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยลักษณะของสกิลและคิที่เขามี ทหารกับพวกนักผจญภัยทั่วไปก็ไม่น่าจะรับมือได้เลย

 

 

หากเขาต้องการ ก็คงจะสามารถถล่มทั้งกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว

 

 

 

เวทมนตร์ที่แท้จริงระดับ 5 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาผมก็ทรงพลังไม่แพ้กันเลย

 

 

 

ตัวผมเองก็ใช้มนตร์นี้ได้อยู่หรอก แต่ด้วยพลังที่ผมมีตอนนี้อย่างมากสุดผมก็สร้างได้แค่ 6 แขนเท่านั้นเอง

 

 

แต่ตัวจินโบกลับสร้างมันขึ้นมาได้ถึง 10 แขนอย่างง่ายดาย และขนาดกับความเร็วของมันก็แตกต่างกับที่ผมใช้พอสมควร หากผมรับการโจมตีนี้เข้าไปโดยตรงร่างของผมก็น่าจะเป็นเหมือนท่อนฟืนที่โดนไฟเผาแล้วกลายเป็นถ่านไปในทันที

 

 

พูดมาแค่นี้ก็น่าจะเห็นได้ชัดแล้วถึงความแตกต่างระหว่างผมกับจินโบในฐานะจอมเวท

 

 

 

――แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เห็นต้องสนเลย

 

ระหว่างที่คิดแบบนั้น ผมก็ได้ใช้อาภรณ์วิญญาณของผมฟันเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้าทิ้ง

 

จากนั้นก็เกิดเสียงกึกก้องขึ้น แขนที่ติดไฟพวกนั้นได้สลายหายไปทันทีพร้อมกับความร้อนของมัน

 

 

 

เปลวเพลิงไม่ได้แตกกระจายไปจากการฟัน แต่มันดับสูญไปราวกับมีบางสิ่งกลืนกินเปลวเพลิงนั้นเข้าไป

 

 

 

ไม่เหลือแม้กระทั่งลมร้อนให้พัดผ่านใบหน้าของผม สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ก็คงจะเป็นกลิ่นเผาไหม้เล็กน้อยโชยมากับลม

 

 

จากนั้นผมก็เหวี่ยงดาบอีกครั้ง

 

แขนที่ 2 3 4

 

ผมค่อยๆ กลื่นกินเปลวเพลิงทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาหาผม

 

เอาไปเอามา พอผมนับมันได้ 12 เปลวเพลิงจากองค์หญิงแห่งเพลิงก็ได้หมดลง

 

 

 

หลังจากที่ผมตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันหายไปหมดแล้ว ผมก็ทำดาบของตนแทงลงไปที่พื้นทันที

 

 

ตัวดาบได้ทำการกลืนกินและดูดซับเอามานาที่กำลังกัดกร่อนผืนดินรอบๆ อยู่

 

แน่นอนว่าภูมิประเทศที่กัดเซาะไปแล้วไม่กลับคืนสู่สภาพปกติ แต่คนที่จมอยู่ในดินลึกไม่ถึงช่วงเอวก็คงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ อีกแล้ว

 

 

จินโบที่สัมผัสได้ถึงการหายไปของมานาอย่างผิดธรรมชาติก็คงจะรู้สึกตัวแล้ว ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงประหลาดใจปนตระหนกออกมา

 

 

「หึ..ฮิฮิฮิ แบบนี้นี่เองๆ! พลังของอาภรณ์วิญญาณนายน้อยก็คือการดูดซับ ที่มานามันหายไปก็น่าจะเพราะสิ่งนี้ นี่คงจะเป็นพลังเดียวกับที่ทำลายกาโควไซของข้าก่อนหน้านี้สินะ? ช่างเป็นพลังที่ผู้ใช้เวทอย่างข้าแพ้ทางจริงๆ!」

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ จินโบก็เริ่มเล่นอาภรณ์วิญญาณของเขาต่อด้วยความรุนแรง

 

 

「แต่ทว่า ข้าก็มั่นใจเช่นกันว่าปริมาณมานาที่ท่านสามารถดูดซับได้ในแต่ละครั้งย่อมมีจำกัด หากข้าทำการโจมตีเป็นวงกว้างจากทุกทิศทาง ท่านก็คงจะไม่สามารถป้องกันมันได้หมดเป็นแน่ นั่นแหละคือความสามารถของท่าน หากดูดซับมานามากจนเกินขีดจำกัด ร่างกายของท่านก็จะรับมันไว้ไม่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องแตกสลายไป ด้วยแกนพลังเวทของผู้ที่ไร้ฝีมือเช่นท่านก็จงสูญสลายไปพร้อมกับเวทมนตร์ที่แท้จริงของข้าซะ!」

 

 

ชิซูกะ โกเซ็นก็เริ่มร่ายมนตร์อีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก เสียงของมันได้สะท้อนดังไปทั่วคฤหาสน์ของดยุกยามค่ำคืน

 

 

「『――เอลิ เอลิ เอลิอุส เอลิ เอลิอุส เพื่อปกป้องวิญญาณผู้หิวโหย เหล่าวิญญาณพยาบาทที่รวมตัวกัน เสียงตะโกนแห่งความชั่วร้ายที่ดังก้อง』」

 

 

เสียงของมันดูเศร้าศร้อยก็ที่เคยเปล่งออกมา แทนที่จะเป็นเสียงคร่ำครวญ ควรจะบอกว่ามันเป็นเสียงเหมือนกับมันจะร้องไห้ออกมา

 

 

อาภรณ์วิญญาณก็คืออนิม่าของผู้ใช้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ใช่มนุษย์หรือไม่ แต่พวกมันก็มีชีวิตและตัวตนของตัวเอง นั่นก็หมายความว่าพวกมันก็มีเจตจำนงของตัวเองเช่นกัน

 

และแม้จินโบจะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้กับอาภรณ์วิญญาณ แต่เขาก็ยังคงพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงแห่งความสุขสันต์

 

「ขั้นแรก ข้าคงต้องสอนนายน้อยถึงความลับเวทมนตร์บนโลกใบนี้ ท่านรู้หรือเปล่าว่า เวทมนตร์ที่มีคำว่า “แท้จริง” อยู่ภายในนั้น เช่นเดียวกับ กาโควไซของข้าซึ่งเป็นเวทมนตร์ดินที่แท้จริงมันมีความหมายอันลึกซึ้ง ที่แม้กระทั่งจอมเวทก็มีน้อยนักที่จะทราบถึงความหมาย」

 

 

จินโบเริ่มอธิบาย

 

 

คำว่า “มะ” ในคำว่า “มาโฮ (เวทมนตร์) ” น่ะคือสิ่งที่แทนถึงตัวตนที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ หรือก็คือเวทมนตร์น่ะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยกฎของโลกใบนี้ แต่เดิมมันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหาทางรับมือกับมันได้อีกด้วย

 

(Note : เป็นการใช้คำระหว่าง อาคุมะ (ปีศาจ) กับ มาโฮ (เวทมนตร์) เพื่ออธิบายถึงหลักการ)

 

และผู้ที่นำเวทมนตร์มาสู่เหล่ามนุษย์ก็คือนักอัญเชิญในยุคโบราณ

 

 

พวกเขาได้ทำสัญญากับพวกปีศาจและดัดแปลงความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันเข้าให้กับทักษะที่มนุษย์สามารถใช้ได้

 

 

นั่นแหละคือที่มาของเวทมนตร์และคาถาต่างๆ

 

 

 

「ส่วนเวทมนตร์ที่แท้จริงคือเวทมนตร์ที่ได้รับการ 『เปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม』เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ก็ยังคงมีเวทมนตร์สูตรดั้งเดิมอยู่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง โดยที่จอมเวทระดับสูงเช่นข้านั้นจะเรียกเวทมนตร์พวกนี้ว่าเวทที่แปดเปื้อน」

 

 

หรือก็คือเวทมนตร์ของพวกปีศาจที่มนุษย์มิอาจรับมือได้

 

 

มันจำเป็นต้องใช้มานาและพลังชีวิตจำนวนมากในการร่าย ถึงแม้ว่าปริมาณที่จะต้องใช้นั้นสำหรับปีศาจแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ด้วยร่างกายของมนุษย์นั้นมิอาจจะทนรับภาระดังกล่าวได้

 

 

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การใช้เวทที่แปดเปื้อนนั้นส่งผลต่อวิญญาณและร่างกายของผู้ใช้ที่ฝืนใช้เวทพวกนี้ต่อไป เริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ

 

「ตัวอย่างที่พวกเรารู้กันดีก็จะมีพวกแวมไพร์ไม่ก็ลิช ในมอนสเตอร์บางจำพวกก็เป็นมนุษย์ที่ยอมละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนเพื่อไล่ตามพลังพวกนี้อยู่ด้วย ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์จึงเป็นสิ่งที่แสนอันตราย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการไปถึงจุดสูงสุดแห่งเวทมนตร์การจะศึกษาเรื่องเวทที่แปดเปื้อนก็เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้ เพราะพวกข้าจำเป็นต้องรู้ถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน」

 

เวทมนตร์ที่แปดเปื้อนมันเป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในสถาบันปราชญ์

 

 

การตระหนักถึงเวทที่แปดเปื้อนและเริ่มเรียนรู้มันด้วยตนเอง สิ่งนั้นคือก้าวแรกของการเป็นผู้ใช้เวทระดับสูง ――นั่นคือสิ่งที่จินโบต้องการจะบอก

 

และแล้วชิซูกะ โกเซ็นก็ร่ายมนตร์จบหลังจากที่จินโบพูดเสร็จ

 

 

 

「ฮิฮิฮิ จากนี้ก็ถึงเวลาที่ข้าจะปลดปล่อย กาโควไซ แบบดั้งเดิมเสียที เวทที่แปดเปื้อนระดับ 8 และเพราะข้าใช้มันผ่านอาภรณ์วิญญาณของข้านั่นจะทำให้ร่างกายของข้าไม่จำเป็นต้องรับภาระหลังจากนี้ยังไงล่ะ เพราะผลกระทบของมันนั้นจะไปลงกับตัวอาภรณ์วิญญาณของข้าแทน นอกจากนี้หากอาภรณ์วิญญาณของข้าได้รับคำสาป มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของ ชิซูกะ โกเซ็นอวตารแห่งภรรยาของข้า! เอาละๆ นายน้อย――ไม่สิ โซระ มิตสึรุกิ เชิญลิ้มลองผลของเวทที่แปดเปื้อนนี้ดูด้วยตัวเจ้าเองสิ!」

 

 

 

「『เศษซากเครื่องในบนกำแพง กองเลือดที่นองเต็มหนอง นี่คือปราการแห่งปรภพ กาโควไซ』」

 

เมื่อสิ้นเสียงร่าย ประตูสีเลือดก็เปิดขึ้นและมันมาพร้อมกับเสียงที่อยู่ด้านใน โดยสิ่งที่ออกมาจากประตูนั้นก็คือเหล่ากองทัพวิญญาณพยาบาทและภูตผีผู้หิวโหย

 

นี่คือสุดยอดเวทมนตร์แห่งการอัญเชิญ ปราการแห่งขุมนรกที่มีเหล่ากองทัพคนตายมากมายอยู่ภายใน

 

 

หากกาโควไซแบบแรกเป็นปราการที่เน้นการป้องกัน แบบหลังก็คงจะเป็นเน้นการโจมตี

 

และไม่ว่าอาภรณ์วิญญาณของผมจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงจะไม่สามารถรับมือกับพวกอันเดธที่รุมเข้ามาโจมตีผมได้ในทีเดียวจากทุกทางหรอก แล้วผมก็ไม่สามารถกลืนกินฝูงอันเดธที่ไม่มีวันหมดนี้ได้ด้วย――นี่น่าจะเป็นสิ่งที่จินโบคิดอยู่ในหัว

 

 

ไม่ว่าเขาจะคิดถูกหรือผิด ผมก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาเล็งไว้อยู่

 

แต่ผมก็ใช่ว่าจะต้องเล่นตามเกมของเขานี่เนอะ

 

 

เพราะทางผมก็ไม่ใช่จะนั่งกัดเล็บเท้าเฉยๆ ระหว่างฟังมันพล่ามสุนทรพจน์อันยาวเหยียดระหว่างรอชิซูกะ โกเซ็นร่ายมนตร์ด้วย

 

ทางผมก็ทำการรวบรวมพลังคิขั้นสูงสุดไปไว้ตรงอาภรณ์วิญญาณที่อยู่ใน

 

 

มันเหมือนกับตอนที่ผมกำจัดพวกฝูงแมนติคอร์ในป่า คิที่ผมถ่ายลงไปในใบดาบนั้นกลายเป็นสีดำทมิฬอยู่รอบใบดาบ

 

 

และในตอนที่ผมกำลังจะใช้ที่โจมตีวงกว้างอย่าง “วายุ” อีกครั้งซึ่งมันสามารถกลืนกินทุกสิ่งแม้ระยะของผมกับมันจะห่างแบบนี้ก็ตาม――

 

 

――จากนั้นดาบของผมก็ส่งเสียงบางอย่างออกมา

 

ด้วยเสียงที่ส่งออกมานั้นไม่รู้ว่าเป็นเสียงที่คำรามหรือเสียงหัวเราะของตัวดาบกันแน่

 

แต่ดูเหมือนดาบนี้จะรู้ว่าเป้าหมายที่มันต้องกลืนกินวิญญาณนั้นมันมีมากกว่าแมนติคอร์หลายเท่านัก

 

ลักษณะของมันช่างคล้ายกับเด็กที่นั่งรออาหารมื้อค่ำอยู่บนโต๊ะ โดยระหว่างนั้นพวกเขาก็เคาะช้อนส้อมเหมือนเป็นการเร่งว่าอยากจะทานอาหารเร็วๆ แล้ว

 

 

 

เอาสิจัดให้ตามคำขอ

 

 

ผมยกดาบขึ้นสูงและฟันเป็นมุมทแยง พร้อมกับตะโกนออกมาโดยมุมของมันยาวมาตั้งแต่ไหล่ลงช่วงล่าง

 

 

 

 

◆◆◆

 

「…..หา? 」

 

 

หลังจากที่ทุกอย่างภายในสวนของดยุกเงียบสงัดลงไป คนแรกที่ส่งเสียงออกมาก็คือจินโบ

 

เขาทำการตรวจสอบร่างกายของตนด้วยมือขวา

 

ส่วนแรกคือไหล่ซ้ายของเขา ต่อมาคือช่วงสะโพกขวา

 

จากนั้นเขาก็ทำการยืนยันได้แล้วว่ามีรอยฟันลึกเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงไหล่ซ้ายไปจนถึงสะโพกขวาของเขา

 

นอกจากนี้อาภรณ์วิญญาณของเขาที่ถืออยู่ในมือซ้ายก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง

 

 

และยังมีเสียงที่เหมือนแก้วนับพันแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นกระแทกเข้ากับหูของทุกคน มันเป็นเสียงที่เหมือนกับรอให้จินโบตรวจสอบสภาพของตนเสร็จเสียก่อน

 

 

มันคือเสียงของป้อมปราการทั้งสองที่เขาสร้างขึ้นแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ จากการโจมตีของผม

 

 

ในเวลาเดียวกันกับที่เวทนั้นหายไป กองทัพภูตผีของเขาก็สูญสลายหายไปด้วยราวกับมันกลับไปยังโลกที่ตนจากมา

 

 

 

「ฮิ…ฮี๊ฮี๊!!」

 

 

มันคือเสียงหัวเราะ――ไม่สิ เสียงกรีดร้องที่ออกมาจากปากของจินโบ

 

「เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง….นี่มันบ้าเกินไปแล้ว เวทที่แท้จริงกับเวทที่แปดเปื้อนระดับ 8 ของข้าทั้งสอง ถูกทำลายด้วยการโจมตีเดียวงั้นหรือ?! ไม่สิไม่ใช่การฟัน…การที่พวกมันไม่เหลือซากเลยแบบนี้ก็หมายความว่า มันถูกกลืนกินไปหมดแล้วงั้นเหรอ? นี่เจ้ากลืนมันหมดในคราวเดียวได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้ หากเจ้าดูดซับพลังจำนวนมากขนานนั้นที่ตราวเดียวร่างของเจ้าไม่มีทางรับมันได้ไหวแน่ๆ!!」

 

 

ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายชราที่พูดกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

 

 

แม้ผืนดินจะเน่าเปื่อยจนทำให้เดินยากไปบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่าทางของเขาก็ดูเหมือนไม่คิดจะหนีอะไรด้วย

 

และถึงเขาจะพยายามหนีไป แต่ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บหนักแบบนั้นมันจะได้อีกสักแค่ไหนเชียว นอกจากนี้วิญญาณของเขามันก็บอกทุกอย่างกับผมแล้ว

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่คิดจะหนีด้วยแหละมั้งเพราะคงรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับคนอย่างจินโบแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้

 

 

เหตุผลง่ายๆ สำหรับเขาที่ไม่คิดจะหนีไปก็คงจะเป็นเพราะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นไม่ได้จนไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก

 

 

ก็ดูสิหมอนี่ยังเอาแต่กรีดร้องออกมาไม่หยุดเสียที

 

 

「อาภรณ์วิญญาณคือสิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในจิตใจของผู้ใช้ การที่เจ้าสามารถกลืนกินเวทที่แปดเปื้อนได้แบบนี้…ไอ้สารยำนี่ เจ้ามีปีศาจตนใดสิ่งอยู่ในร่างของเจ้ากัน!? 」

 

 

หืม จากนายน้อยกลายเป็นไอ้สารยำไปแล้วแฮะ คนเรานี่เนอะ――ที่จริงผมก็กะจะเล่นลิ้นกับตาแก่นี่อีกสักหน่อยนะ แต่ดูเหมือนคงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว

 

 

นอกจากนี้ผมก็ไม่อยากจะให้คนอื่นเห็นผมมาล้อเลียนตาแก่ใกล้ตายหรอก ถึงมันจะเป็นศัตรูก็เถอะ

 

 

 

ด้วยเหตุนี้เองผมจึงไม่คิดจะพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกมา สิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ก็มีเพียงฟังคำลาตายของอีกฝ่าย

 

 

「สำหรับคนที่จะตายแล้วถึงแกจะรู้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เอาเป็นว่ามีอะไรจะสั่งเสียไหม? 」

 

 

「ส-สั่งเสีย?! นี่ท่านคิดจะฆ่าข้างั้นเหรอ?! เดี๋ยวสิ เดี๋ยวนายน้อย! ท่านเป็นถึงบุตรชายของตระกูลมิทซึรุกิเลยนะ แต่ท่านคิดจะฆ่าข้าซึ่งเป็นหนึ่งในนักรบของธงแห่งผืนป่าเชียวหรือ?!」

 

 

「โทษทีว่ะ แต่ฉันโดนเนรเทศออกมาแล้วนี่สิ ดังนั้นแกไม่จำเป็นต้องคิดว่าฉันเป็นเจ้านายแกหรอกเนอะ」

 

 

「อย่าได้ด่วนตัดสินเช่นนั้นเลย! ใช่แล้ว เดี๋ยวข้าจะเป็นพยานให้กับท่านเองนายน้อย! ชายชราผู้อยู่ลำดับ 9 แห่งธงที่ 4! หากนายท่านเห็นว่านายน้อยแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้ นายท่านจะต้องยอมรับในตัวท่านและยินดีต้อนรับท่านกลับเกาะในฐานะของลูกชายเป็นแน่!」

 

 

「ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเขาไม่มีทางจะให้ฉันกลับไป ก็จริงอยู่ว่ามิทซึรุกิเป็นนามสกุลของแม่ฉันด้วย ฉันก็อยากจะได้ชื่อนั้นคืนมาอย่างเป็นทางการอยู่หรอก แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดจะยืมพลังของแกเพื่อสิ่งนั้น」

 

 

 

หลังจากที่ผมพูดจบ ผมก็ใช้อาภรณ์วิญญาณของผม

 

 

 

แทงเข้าไปที่ใบหน้าของชิซูกะ โกเซ็นด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

ความแข็งของมันเทียบเท่ากับดาบของผมในตอนที่ปะทะกันครั้งแรก แต่ตอนนี้ด้วยอาการบาดเจ็บของมันก่อนหน้าจึงทำให้สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับบิวะทั่วไป

 

 

 

ชิซุกะ โกเซ็นได้สูญสลายหายไปกลายเป็นฝุ่นผงลอยในอากาศ โดยที่ไม่อาจจะโจมตีสวนได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

…และในช่วงวินาทีนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนมากระซิบที่ข้างหูของผม

 

 

มันเป็นเสียงที่เบาเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจว่ามันสื่อถึงอะไร

 

 

แต่สิ่งเดียวที่ผมเข้าใจก็คือมันเป็นน้ำเสียงที่ดูสงบและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

 

หลังจากที่เขาสูญเสียอาภรณ์วิญญาณไป จินโบก็เริ่มเบิกตาที่มืดบอดกว้างและอ้าปากกว้างออกมาราวกับเดือดดาล

 

แต่ก่อนที่เขาจะได้กรีดร้องขึ้นมาอีก ผมก็ใช้ดาบสีดำของผมตัดหัวของเขาในทันที

 

 

นั่นทำให้จินโบไม่อาจจะพูดอะไรออกมาเป็นครั้งสุดท้ายได้อีก และผมก็ไม่อยากจะได้ยินมันอีกแล้วด้วย

 

 

หลังจากที่ผมตัดหัวเขาเสร็จ ผมก็เดินหันหลังให้กับเขาในทันที

 

เบื้องหลังของผมคือหัวที่เหี่ยวย่นซึ่งแยกออกมาจากลำตัวกำลังตกสู่พื้น โดยเลือดที่พุ่งออกมาจากคอนั้นช่างเหมือนน้ำพุเสียเหลือเกิน

 

———

Note 1 : ค้างกลับมาเลยต้องรีบเอาให้จบ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+