การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 106 รังมังกร

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 106 รังมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 106 รังมังกร

 

「ถ้างั้นก็..」

 

หลังจากจัดการเรื่องของทั้ง 3 คนจากเกาะเสร็จ โกซุกับคนที่เหลือก็กลับไปยังเกาะ ส่วนทางผมก็เดินทางผ่านป่าไปพร้อมกับตัวประกันอย่างไคลอา

 

ความรวดเร็วในการเดินช่างเชื่องช้าราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ จนไคลอามองผมด้วยสีหน้าที่สงสัย

 

มือที่จับผมของเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ผมก็ปล่อยไปนานแล้วด้วย

 

การที่ผมจับผมเธอกระชากร่างของเธอขึ้นมาให้ยืนหรือเดินก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็มีไว้เพื่อขู่โกซุกับคลิมเท่านั้นเอง แถมมันยังช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดอย่าง “ถ้าพวกนายตามมาอีก ฉันฆ่ายัยนี่ทิ้งแน่”

 

แต่พอทั้ง 2 คนไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้จะทำไปทำไมอีก แถมผมก็ไม่สนใจจะอธิบายอะไรให้เธอฟังด้วย ทางไคลอาก็เลยแสดงท่าทีระมัดระวังตัวผมเป็นอย่างมาก

 

บอกไว้ก่อนนะว่าที่ผมเดินไปกันน่ะ มันไม่ใช่เมืองอิชกะแต่เป็นส่วนลึกของป่าทีทิสที่ผมจำเป็นต้องไปสะสางปัญหาซึ่งเหลืออยู่

 

ก่อนที่ผมจะไปต่อสู้กับไฮดรา ลูนามาเรียเคยบอกกับผมเรื่องมังกรประมาณว่า

 

「มังกรที่แท้จริงนั้นจะไม่มีระยะของการฟังตัวแบบไข่ค่ะ ภัยพิบัติในตำนานเหล่านี้จะถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับเลือดเนื้อทันที เมื่อเงื่อนไขของโลกใบนี้ตรงกับที่มันต้องการ นั่นแหละค่ะคือสิ่งที่เรียกว่ามังกร」

 

หากเป็นอย่างที่เธอพูด ก็แสดงว่าป่าทีทิสที่ไฮดราเกินขึ้นมาในตอนนี้มันมีเงื่อนไขที่ตรงกันสำหรับการกำเนิดของมังกร

 

หรือก็คือถึงจะฆ่าไฮดราไปแล้วปัญหาจริงๆ ก็ยังไม่ถูกแก้ ในอนาคตพวกมังกรตัวต่อๆ ไปก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้จากป่านี้อีก

 

ก็จริงอยู่ว่า ความเป็นไปได้ที่มันจะไม่เกิดก็มีอยู่หรอก ข้อมูลทุกอย่างที่พวกผมมีก็ไม่รู้จะว่าถูกรู้เปล่า เงื่อนไขพวกนี้มีอะไรบ้างก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

 

แต่อย่างน้อยก็ต้องลองสำรวจหาดู

 

นี่เลยเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ผมปล่อยให้เจ้าไฮดรานั่นแกล้งตายไปก่อน

 

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่ามันแกล้งตาย ก็เพราะตอนที่ผมตัดหัวทั้ง 8 ของมันไปแล้ว วิญญาณที่ไหลเข้ามาในร่างของผมมันนิดเดียวเองนี่นา จะบอกว่ามันไหลเข้ามาช้าก็ไม่ใช่ด้วย เพราะอย่างตอนฆ่าราชาแมลงวัน ราชางู จินโบ วิญญาณจำนวนมากก็ไหลเข้ามาสู่ร่างของผมในทีเดียวทันทีที่ผมฆ่าพวกนั้นเสร็จ

 

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าไฮดราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานจะได้วิญญาณเพียงน้อยนิด ผมก็เลยมั่นใจว่ามันยังไม่ตายจริงๆ

 

อันที่จริงก็กะจะฆ่าไฮดราหลังพวกโกซุไปแล้วหรอกนะ แต่พอมาคิดว่ามันสามารถแแกล้งตายและมีความนึกคิดที่ไม่อยากจะตายแบบนี้ ผมก็เลยมองว่าสติปัญญาของมันน่าจะมีอยู่ในระดับหนึ่ง มันก็คงรู้แล้วด้วยว่าความต่างชั้นระหว่างผมกับมันมากแค่ไหน

 

พอภัยคุกคามอย่างผมหายไปแล้ว ไฮดรามันต้องรีบกลับไปที่รังของมัน เพื่อทำการฟื้นตัวแน่นอน หากผมตามรอยมันไปผมก็น่าจะเจอเงื่อนไขในการเกิดของพวกมังกรได้ อย่างน้อยก็เงื่อนงำอะไรสักอย่างติดมือกลับไป

 

แม้ว่ามันอาจจะดูไม่เข้าท่าไปบ้าง จนสุดท้ายอาจจะต้องทำให้ผมสู้กับไฮดราอีกครั้งแต่ของแบบนั้น ผมไม่เกี่ยงหรอกนะเออ

 

ว่าแล้วเชียว สิ่งนั้นมันเริ่มเคลื่อนไวอีกครั้ง

 

 

「โฮ่แบบนี้นี่เอง แกซ่อนหัวที่ 9 ของตัวเองไว้ในร่างมาโดยตลอดเลยสินะ」

 

ผมค่อยๆ แอบตามไฮดราที่เดินผ่านไปยังส่วนทางเหนือของป่าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

 

หัวที่ 9 โผล่ออกมาจากเศษซากร่างของมัน โดยที่หางและหัวอีก 8 ของมันได้กลายเป็นชิ้นเนื้อไปแล้ว นี่สินะร่างจริงของไฮดรา

 

จากนั้นมันก็ใช้หัวสุดท้ายของมันในการกัดกินชิ้นส่วนร่างที่กระจัดกระจายออกไปเพื่องอกส่วนที่ต้องการและเริ่มเคลื่อนไหว

 

มันค่อยๆ เลื้อยไปตามพื้นลักษณะไม่ต่างจากงูยักษ์เลย และผืนดินที่มันเลื้อยผ่านไปก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยพิษ ร่องรอยแห่งความเกียจคล้านในการเดินไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว

 

 

「นั่นมัน คุณโซระคะ?!」

 

 

ผมที่กำลังค่อยๆ แอบตามไฮดราไปอย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้มันสังเกตเห็น อยู่ดีๆ ก็มีเสียงที่ตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากช่วงบริเวณอก

 

พอผมหันลงไปมองก็เห็นไคลอาที่อยู่ในอาการสับสนและเขินอายอยู่

 

 

「เงียบซะ เดี๋ยวก็เผลอกัดลิ้นตัวเองหรอก」

 

 

「ด-ได้ค่ะ…แต่ว่า…ฉันคิดว่าตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างจะมีปัญหานิดหน่อยนะคะ」

 

ดูเหมือนไคลอาจะกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งที่เธอกำลังอยู่ในขณะนี้ สภาพของเธอกำลังถูกผมอุ้มอยู่ในท่าเจ้าหญิง ก็เข้าใจได้หรอกว่ามันรู้สึกแปลกๆ หากต้องถูกคนที่สู้กันเมื่อกี้มาอุ้มแบบนี้ แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าสภาพของไคลอาที่หมดแรงไปแล้วจะตามผมมาทัน แถมจะให้เธอขี่หลังมันก็เสี่ยงด้วยเพราะเธอจะอยู่นอกระยะสายตาผม จะให้ทิ้งไว้แล้วค่อยมารับทีหลังก็ไม่ได้ด้วย

 

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว การอุ้มเธอในลักษณะนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว แถมหากเป็นตอนนี้ถึงไคลอาจะโจมตีผม ผมก็สวนกลับได้ในทันที

 

 

「ทนเอาหน่อยแล้วกัน」

 

พอเห็นว่าผมสั่งไปโดยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไคลอาก็ก้มหน้าลงไปแบบยอมแพ้

 

แน่นอนว่าในขณะที่ผมกำลังคุยกับเธออยู่ ผมก็เคลื่อนไหวผ่านไปมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังบินอยู่

 

ไฮดรากำลังมุ่งไปทางทิศเหนือ ส่วนลึกที่สุดของป่าทีทิส ตลอดเส้นทางที่ผมผ่านไปนั้นมันกลายเป็นทะเลพิษไปหมดแล้ว จนขนาดผมยังคิดเลยว่าถ้าต้องให้ดำลงทะเลพิษนี่ไปคงจะงานหยาบไม่น้อย ทางไฮดราก็ยังคงเลื้อยผ่านพิษพวกนี้ไปเรื่อยๆ

 

การหลบหนีอย่างสิ้นหวังของมันบ่งบอกได้ชัดเลยว่าผมกับมันแตกต่างกันแค่ไหน เห็นแบบนี้ก็แอบรู้สึกผิดแปลกๆ แฮะ มันเหมือนกับตอนผมยังเด็กๆ ที่ร้องไห้วิ่งหนีกลับบ้านไปหาแม่ที่รอผมอยู่เลย

 

ไม่นานนักพวกผมก็เดินทางมาถึงส่วนลึกที่สุดของป่าเสียที

 

ถ้าถามว่ารู้ได้ไงก็คงเป็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของมันนี่แหละ ไม่ใช่คำอุปมาอะไรนะ คือสภาพโดยรอบของมันเปลี่ยนไปจริงๆ

 

ความหนาแน่นของอากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

ตอนแรกผมก็คิดหรอกว่าเป็นพิษของไฮดราที่ทะลวงบาเรียคิของผมเข้ามาได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แฮะ

 

พลังชีวิตบริเวณจุดนี้มีอยู่อย่างท่วมท้น กลุ่มก้อนของมานาที่โลกสร้างขึ้นมาได้ไหลเวียนอยู่ภายในอากาศทั่วบริเวณ ไม่ว่าใครก็คงสัมผัสได้แน่ว่ามานาบริเวณนี้มันหนาแน่นมากจริงๆ จนทำให้มั่นใจเลยว่าผมสามารถใช้ทั้งมานาและพลังคิในการร่ายมนตร์เดิมซ้ำๆ ได้เป็นสิบๆ ครั้งโดยไม่เหนื่อยแน่ๆ

 

ความหนาแน่นของพลังชีวิตและมานามันเยอะมากจนน่าขนลุกเลย

 

ผมค่อยๆ ลดความเร็วในการวิ่งลง ราวกับมีอะไรมาดึงความสนใจเอาไว้ ก่อนจะระวังตัวมากยิ่งขึ้น และพอผมก้าวเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ทิวทัศน์โดยรอบมันส่งความรู้สึกแบบนั้นมามากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกพืชในส่วนลึกของป่ามีลักษณะที่แตกต่างกับพืชที่อยู่รอบนอกป่าจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสายพันธุ์ใหม่หรือไม่เคยเจอมาก่อนหรอกนะ พืชทุกชนิดในนี้ผมเคยเห็นมันมาหมดแล้ว

 

แต่อัตราการเติบโตของมันในบริเวณนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย

 

 

อย่างหญ้าโครุชิระ ที่ผมเห็นทางขวามือโดยปกติแล้วต้นของมันจะโตสูงไม่เกิน 1 เมตร แต่ภายในป่านี้มันกลับโตสูงถึง 2 เมตรซะงั้น ผลพาลที่ขนาดของมันจะอยู่ที่ประมาณกำปั้น กลับมีขนาดใหญ่เท่าหัวของผู้ใหญ่คนหนึ่ง

 

พืชในบริเวณนี้ทั้งหมดมันสภาพประมาณนั้นแหละ

 

ผลจากการดูดซับมานาที่มีอยู่ภายในนี้ ป่าส่วนลึกจึงผิดแปลกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น สมกับเป็นส่วนลึกที่สุดของป่าทีทิสที่สิ่งมีชีวิตในตำนานอาศัยอยู่จริงๆ

 

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามานาจำนวนมากขนาดนี้มันสร้างขึ้นมาได้ยังไง แต่ถ้าลองพิจารณาดูดีๆแล้ว คงไม่ใช่แค่กับพืชเท่านั้น หากพวกสัตว์อสูรได้อาบมานาพวกนี้เข้าไปละก็ การกลายพันธุ์หรือวิวัฒนาการก็คงจะเป็นไปได้ไม่น้อยเลย

 

ผมวางไคลอาลงกับพื้นแล้วนำอาภรณ์วิญญาณออกมา มันคงจะดีกว่าถ้าถือสิ่งนี้เอาไว้ สัญชาตญาณของผมมันบอกมาแบบนั้น หากไม่รีบเอามันออกมาแย่แน่

 

บางทีไคลอาคงรู้สึกได้ไม่ต่างจากผมนัก เธอจึงนำอาภรณ์วิญญาณของเธอออกมาด้วย

 

 

ตรงจุดนี้ก็แอบโชคดีนิดหน่อยที่ตามหลังไฮดรามา เพราะตลอดเส้นทางที่มันเลื้อยไป ต้นไม้ถูกโค่นไปหมดแล้ว

 

ผมค่อยๆ ตามไปอย่างระมัดระวัง โดยมองรอบๆ ไปด้วย แล้วผมก็สังเกตเห็นว่าพวกกิ่งไม้ที่ถูกร่างของไฮดราชนจนหักไป มันงอกใหม่ขึ้นมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่พืชธรรมดาจะทำได้

 

จะว่าไปแล้ว ตรงนี้มันจุดที่ไฮดราเกิดก่อนจะมุ่งไปยังเมืองอิชกะไม่ใช่หรือไงกัน ถ้าเป็นงั้นทำไมต้นไม้รอบๆ ที่ควรจะโดนฟุไคกลืนกินไปหมดแล้วถึงยังอยู่ได้ล่ะ ก็จริงอยู่ว่าบางส่วนก็คงไม่ได้โดนเข้าไปตรงๆ แต่พายุที่ไฮดราสร้างขึ้นมันก็ควรจะพัดพาเอาพืชพวกนี้ลอยตามไปด้วยสิ

 

 

แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร พืชบริเวณรอบๆ ก็มีอยู่อย่างหนาแน่นราวกับป้อมปราการทางธรรมชาติ จนพูดได้ว่าพวกมันดูดซับพิษไฮดราเข้าไปก่อนจะฟื้นฟูร่างตัวเองด้วยพลังชีวิตที่เหลือล้นของมัน แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในไม่กี่วัน

 

ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าพิษในป่ามันก็ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นภายในนี้จะต้องมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่ควรเป็นอยู่แล้ว

 

พอผมคิดแบบนั้น วิสัยทัศน์ของผมก็เริ่มสั่นไหว

 

 

ผมค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมาเหมือนมีอาการเมา ร่างกายของผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ จังหวะเท้าก็เริ่มไม่มั่นคง หากผมดื่มเหล้ามากเกินไป อาการก็คงจะเป็นประมาณนี้แหละ

 

นอกจากนี้ผมก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ บริเวณช่วงท้องส่วนบนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ

 

ความผิดปกติพวกนี้ต้องเป็นเพราะมานาในป่าแน่ๆ

 

โดยปกติแล้ว มานาจะไม่ได้ส่งผลเสียกับร่างกาย แต่มันช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ใช่จอมเวทผู้คนก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมานามากนี้ได้

 

แต่หากความเข้มข้นของมานามีสูงจนเกินไปมันจะส่งผลเสียแทน เพราะมานาพวกนี้มันจะไปกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้สูงเกินกว่าที่จะรับได้ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของผมรู้สึกผิดปกติไป

 

หากเป็นพิษ พวกผมก็คงสามารถป้องกันได้ด้วยคิ แต่ในกรณีที่เป็นมานา ร่างกายของพวกผมจะรับมันเข้ามาเหมือนอากาศ จึงไม่สามารถป้องกันได้ด้วยคิ แถมในกรณีนี้หากผมเร่งใช้พลังคิมากขึ้น ร่างกายก็จะกระตุ้นการดูดซับมานาให้สูงกว่าเดิมอีก พอเจอแบบนี้เข้าไปมันหนักกว่าต้องรับมือกับพิษของไฮดราอีกแฮะ

 

หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ มีหวังได้ตายเอาแน่ พวกผมจึงเร่งตามไฮดราให้เร็วขึ้น

 

จะว่าไปพวกผมเข้ามากันลึกขนาดไหนแล้วนะ

 

สภาพของไคลอาในตอนนี้เหมือนจะพยายามเอามือปิดปากไม่ให้ตัวเองอ้วกออกมา ทางผมเองก็เวียนหัวคลื่นไส้จนสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อหากลดการ์ดตัวเองลง

 

บอกตามตรงนะว่าพวกผมโชคดีมากที่ไม่ถูกโจมตีสวนกลับมาระหว่างตามมันไป น่าอาจจะเป็นเพราะความกลัวของมันก็ได้เลยไม่ได้สนใจพวกผม แต่ก็ต้องขอบคุณจริงๆ

 

จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้เจอสิ่งนั้น

 

รูขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้น

 

รูของมันใหญ่และกว้างเป็นอย่างมาก ในวินาทีที่ผมเห็นรูดังกล่าว ผมเห็นได้เลยว่าขนาดของมันใหญ่พอจะกลืนกินเมืองอิชกะ ไม่สิเมืองหลวงเข้าไปได้หมดเลยด้วยซ้ำ

 

ปริมาณของมานาจำนวนมากได้พวยพุ่งออกมาจากรูดังกล่าวราวกับคำราม ความทรมานก่อนหน้านี้ที่ผมเผชิญมันเป็นเพียงแค่ 1 ใน 10 จากบริเวณหน้ารูดังกล่าว ความรุนแรงของมันมีมากจริงๆ จนเหมือนกับมันสามารถพุ่งทะลวงท้องฟ้าไปได้เลย

 

ไอ้สิ่งนี้มันบ้าอะไรกันเนี่ย ของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า มานาหรือพลังเวทได้อีกแล้ว หากจะให้พูดมันน่าจะเป็นพลังงานที่มาจากเรื่องราวในตำนานอย่าง อีเทอร์ไม่ก็พลังเทวะชัดๆ

 

พลังที่ไร้ขีดจำกัดนี้มันได้ไหลเวียนอยู่รอบตัวผมราวกับฝันร้าย

 

ให้ตายสิ ถ้าเป็นไอ้นี่ละก็ ผมก็คงเชื่อได้ไม่ยากเลยหากสิ่งมีชีวิตในตำนานจะเกิดขึ้นมา

 

ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ก็พอจะเข้าใจได้หากใช้ความรู้ที่มีอยู่ในการเรียบเรียง

 

รูขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนผืนดินซึ่งมีพลังจากบรรพกาลเอ่อล้นออกมา เหล่าวีรบุรุษในอดีตก็มักจะสร้างอาณาจักรของตนไว้เหนือสิ่งนี้เสมอ

 

สิ่งที่เรียกกันว่า รังมังกร

 

——-

อธิบายท้ายตอนของผู้เขียน

อนิม่า  

ตัวตนที่อยู่ภายในส่วนลึกของร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์ ผู้คนเรียกขนาดมันว่าอนิม่า อนิม่านั้นจะถูกแบ่งกรอบออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน นั่นคือแบบเฉพาะกับโลกจัดสรร โดยส่วนแรกนั้นจะเป็นอนิม่าที่เกิดขึ้นมาจากจิตไร้สำนึกส่วนบุคคลของคนผู้นั้น (ความทรงจำของผู้ใช้) ที่สร้างขึ้นมาเอง ส่วนแบบหลังจะเป็นอนิม่าที่เกิดขึ้นมาจากจิตไร้สำนึกร่วม (ความทรงจำของผู้ใช้กับสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เงื่อนไขตรงกัน) หากจะให้ยกตัวอย่างจากเรื่องก่อนหน้านี้ก็คือ จินโบ ที่มีอนิม่าแบบแรก(สร้างมาจากความทรงจำที่เกี่ยวกับภรรยาเขา) ส่วนอนิม่าของ โซระ โกซุ ไคลอา คลิม จะเป็นรูปแบบโลกจัดสรร ก็คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าหากเป็นกรอบของโลกจัดสรร อนิม่าจะทรงพลังกว่าอย่างแรก แต่สุดท้ายมันก็มีข้อยกเว้นบางอย่างอยู่เหมือนกัน

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 106 รังมังกร

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 106 รังมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 106 รังมังกร

 

「ถ้างั้นก็..」

 

หลังจากจัดการเรื่องของทั้ง 3 คนจากเกาะเสร็จ โกซุกับคนที่เหลือก็กลับไปยังเกาะ ส่วนทางผมก็เดินทางผ่านป่าไปพร้อมกับตัวประกันอย่างไคลอา

 

ความรวดเร็วในการเดินช่างเชื่องช้าราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ จนไคลอามองผมด้วยสีหน้าที่สงสัย

 

มือที่จับผมของเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ผมก็ปล่อยไปนานแล้วด้วย

 

การที่ผมจับผมเธอกระชากร่างของเธอขึ้นมาให้ยืนหรือเดินก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็มีไว้เพื่อขู่โกซุกับคลิมเท่านั้นเอง แถมมันยังช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดอย่าง “ถ้าพวกนายตามมาอีก ฉันฆ่ายัยนี่ทิ้งแน่”

 

แต่พอทั้ง 2 คนไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้จะทำไปทำไมอีก แถมผมก็ไม่สนใจจะอธิบายอะไรให้เธอฟังด้วย ทางไคลอาก็เลยแสดงท่าทีระมัดระวังตัวผมเป็นอย่างมาก

 

บอกไว้ก่อนนะว่าที่ผมเดินไปกันน่ะ มันไม่ใช่เมืองอิชกะแต่เป็นส่วนลึกของป่าทีทิสที่ผมจำเป็นต้องไปสะสางปัญหาซึ่งเหลืออยู่

 

ก่อนที่ผมจะไปต่อสู้กับไฮดรา ลูนามาเรียเคยบอกกับผมเรื่องมังกรประมาณว่า

 

「มังกรที่แท้จริงนั้นจะไม่มีระยะของการฟังตัวแบบไข่ค่ะ ภัยพิบัติในตำนานเหล่านี้จะถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับเลือดเนื้อทันที เมื่อเงื่อนไขของโลกใบนี้ตรงกับที่มันต้องการ นั่นแหละค่ะคือสิ่งที่เรียกว่ามังกร」

 

หากเป็นอย่างที่เธอพูด ก็แสดงว่าป่าทีทิสที่ไฮดราเกินขึ้นมาในตอนนี้มันมีเงื่อนไขที่ตรงกันสำหรับการกำเนิดของมังกร

 

หรือก็คือถึงจะฆ่าไฮดราไปแล้วปัญหาจริงๆ ก็ยังไม่ถูกแก้ ในอนาคตพวกมังกรตัวต่อๆ ไปก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้จากป่านี้อีก

 

ก็จริงอยู่ว่า ความเป็นไปได้ที่มันจะไม่เกิดก็มีอยู่หรอก ข้อมูลทุกอย่างที่พวกผมมีก็ไม่รู้จะว่าถูกรู้เปล่า เงื่อนไขพวกนี้มีอะไรบ้างก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

 

แต่อย่างน้อยก็ต้องลองสำรวจหาดู

 

นี่เลยเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ผมปล่อยให้เจ้าไฮดรานั่นแกล้งตายไปก่อน

 

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่ามันแกล้งตาย ก็เพราะตอนที่ผมตัดหัวทั้ง 8 ของมันไปแล้ว วิญญาณที่ไหลเข้ามาในร่างของผมมันนิดเดียวเองนี่นา จะบอกว่ามันไหลเข้ามาช้าก็ไม่ใช่ด้วย เพราะอย่างตอนฆ่าราชาแมลงวัน ราชางู จินโบ วิญญาณจำนวนมากก็ไหลเข้ามาสู่ร่างของผมในทีเดียวทันทีที่ผมฆ่าพวกนั้นเสร็จ

 

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าไฮดราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานจะได้วิญญาณเพียงน้อยนิด ผมก็เลยมั่นใจว่ามันยังไม่ตายจริงๆ

 

อันที่จริงก็กะจะฆ่าไฮดราหลังพวกโกซุไปแล้วหรอกนะ แต่พอมาคิดว่ามันสามารถแแกล้งตายและมีความนึกคิดที่ไม่อยากจะตายแบบนี้ ผมก็เลยมองว่าสติปัญญาของมันน่าจะมีอยู่ในระดับหนึ่ง มันก็คงรู้แล้วด้วยว่าความต่างชั้นระหว่างผมกับมันมากแค่ไหน

 

พอภัยคุกคามอย่างผมหายไปแล้ว ไฮดรามันต้องรีบกลับไปที่รังของมัน เพื่อทำการฟื้นตัวแน่นอน หากผมตามรอยมันไปผมก็น่าจะเจอเงื่อนไขในการเกิดของพวกมังกรได้ อย่างน้อยก็เงื่อนงำอะไรสักอย่างติดมือกลับไป

 

แม้ว่ามันอาจจะดูไม่เข้าท่าไปบ้าง จนสุดท้ายอาจจะต้องทำให้ผมสู้กับไฮดราอีกครั้งแต่ของแบบนั้น ผมไม่เกี่ยงหรอกนะเออ

 

ว่าแล้วเชียว สิ่งนั้นมันเริ่มเคลื่อนไวอีกครั้ง

 

 

「โฮ่แบบนี้นี่เอง แกซ่อนหัวที่ 9 ของตัวเองไว้ในร่างมาโดยตลอดเลยสินะ」

 

ผมค่อยๆ แอบตามไฮดราที่เดินผ่านไปยังส่วนทางเหนือของป่าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

 

หัวที่ 9 โผล่ออกมาจากเศษซากร่างของมัน โดยที่หางและหัวอีก 8 ของมันได้กลายเป็นชิ้นเนื้อไปแล้ว นี่สินะร่างจริงของไฮดรา

 

จากนั้นมันก็ใช้หัวสุดท้ายของมันในการกัดกินชิ้นส่วนร่างที่กระจัดกระจายออกไปเพื่องอกส่วนที่ต้องการและเริ่มเคลื่อนไหว

 

มันค่อยๆ เลื้อยไปตามพื้นลักษณะไม่ต่างจากงูยักษ์เลย และผืนดินที่มันเลื้อยผ่านไปก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยพิษ ร่องรอยแห่งความเกียจคล้านในการเดินไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว

 

 

「นั่นมัน คุณโซระคะ?!」

 

 

ผมที่กำลังค่อยๆ แอบตามไฮดราไปอย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้มันสังเกตเห็น อยู่ดีๆ ก็มีเสียงที่ตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากช่วงบริเวณอก

 

พอผมหันลงไปมองก็เห็นไคลอาที่อยู่ในอาการสับสนและเขินอายอยู่

 

 

「เงียบซะ เดี๋ยวก็เผลอกัดลิ้นตัวเองหรอก」

 

 

「ด-ได้ค่ะ…แต่ว่า…ฉันคิดว่าตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างจะมีปัญหานิดหน่อยนะคะ」

 

ดูเหมือนไคลอาจะกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งที่เธอกำลังอยู่ในขณะนี้ สภาพของเธอกำลังถูกผมอุ้มอยู่ในท่าเจ้าหญิง ก็เข้าใจได้หรอกว่ามันรู้สึกแปลกๆ หากต้องถูกคนที่สู้กันเมื่อกี้มาอุ้มแบบนี้ แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าสภาพของไคลอาที่หมดแรงไปแล้วจะตามผมมาทัน แถมจะให้เธอขี่หลังมันก็เสี่ยงด้วยเพราะเธอจะอยู่นอกระยะสายตาผม จะให้ทิ้งไว้แล้วค่อยมารับทีหลังก็ไม่ได้ด้วย

 

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว การอุ้มเธอในลักษณะนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว แถมหากเป็นตอนนี้ถึงไคลอาจะโจมตีผม ผมก็สวนกลับได้ในทันที

 

 

「ทนเอาหน่อยแล้วกัน」

 

พอเห็นว่าผมสั่งไปโดยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไคลอาก็ก้มหน้าลงไปแบบยอมแพ้

 

แน่นอนว่าในขณะที่ผมกำลังคุยกับเธออยู่ ผมก็เคลื่อนไหวผ่านไปมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังบินอยู่

 

ไฮดรากำลังมุ่งไปทางทิศเหนือ ส่วนลึกที่สุดของป่าทีทิส ตลอดเส้นทางที่ผมผ่านไปนั้นมันกลายเป็นทะเลพิษไปหมดแล้ว จนขนาดผมยังคิดเลยว่าถ้าต้องให้ดำลงทะเลพิษนี่ไปคงจะงานหยาบไม่น้อย ทางไฮดราก็ยังคงเลื้อยผ่านพิษพวกนี้ไปเรื่อยๆ

 

การหลบหนีอย่างสิ้นหวังของมันบ่งบอกได้ชัดเลยว่าผมกับมันแตกต่างกันแค่ไหน เห็นแบบนี้ก็แอบรู้สึกผิดแปลกๆ แฮะ มันเหมือนกับตอนผมยังเด็กๆ ที่ร้องไห้วิ่งหนีกลับบ้านไปหาแม่ที่รอผมอยู่เลย

 

ไม่นานนักพวกผมก็เดินทางมาถึงส่วนลึกที่สุดของป่าเสียที

 

ถ้าถามว่ารู้ได้ไงก็คงเป็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของมันนี่แหละ ไม่ใช่คำอุปมาอะไรนะ คือสภาพโดยรอบของมันเปลี่ยนไปจริงๆ

 

ความหนาแน่นของอากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

ตอนแรกผมก็คิดหรอกว่าเป็นพิษของไฮดราที่ทะลวงบาเรียคิของผมเข้ามาได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แฮะ

 

พลังชีวิตบริเวณจุดนี้มีอยู่อย่างท่วมท้น กลุ่มก้อนของมานาที่โลกสร้างขึ้นมาได้ไหลเวียนอยู่ภายในอากาศทั่วบริเวณ ไม่ว่าใครก็คงสัมผัสได้แน่ว่ามานาบริเวณนี้มันหนาแน่นมากจริงๆ จนทำให้มั่นใจเลยว่าผมสามารถใช้ทั้งมานาและพลังคิในการร่ายมนตร์เดิมซ้ำๆ ได้เป็นสิบๆ ครั้งโดยไม่เหนื่อยแน่ๆ

 

ความหนาแน่นของพลังชีวิตและมานามันเยอะมากจนน่าขนลุกเลย

 

ผมค่อยๆ ลดความเร็วในการวิ่งลง ราวกับมีอะไรมาดึงความสนใจเอาไว้ ก่อนจะระวังตัวมากยิ่งขึ้น และพอผมก้าวเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ทิวทัศน์โดยรอบมันส่งความรู้สึกแบบนั้นมามากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกพืชในส่วนลึกของป่ามีลักษณะที่แตกต่างกับพืชที่อยู่รอบนอกป่าจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสายพันธุ์ใหม่หรือไม่เคยเจอมาก่อนหรอกนะ พืชทุกชนิดในนี้ผมเคยเห็นมันมาหมดแล้ว

 

แต่อัตราการเติบโตของมันในบริเวณนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย

 

 

อย่างหญ้าโครุชิระ ที่ผมเห็นทางขวามือโดยปกติแล้วต้นของมันจะโตสูงไม่เกิน 1 เมตร แต่ภายในป่านี้มันกลับโตสูงถึง 2 เมตรซะงั้น ผลพาลที่ขนาดของมันจะอยู่ที่ประมาณกำปั้น กลับมีขนาดใหญ่เท่าหัวของผู้ใหญ่คนหนึ่ง

 

พืชในบริเวณนี้ทั้งหมดมันสภาพประมาณนั้นแหละ

 

ผลจากการดูดซับมานาที่มีอยู่ภายในนี้ ป่าส่วนลึกจึงผิดแปลกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น สมกับเป็นส่วนลึกที่สุดของป่าทีทิสที่สิ่งมีชีวิตในตำนานอาศัยอยู่จริงๆ

 

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามานาจำนวนมากขนาดนี้มันสร้างขึ้นมาได้ยังไง แต่ถ้าลองพิจารณาดูดีๆแล้ว คงไม่ใช่แค่กับพืชเท่านั้น หากพวกสัตว์อสูรได้อาบมานาพวกนี้เข้าไปละก็ การกลายพันธุ์หรือวิวัฒนาการก็คงจะเป็นไปได้ไม่น้อยเลย

 

ผมวางไคลอาลงกับพื้นแล้วนำอาภรณ์วิญญาณออกมา มันคงจะดีกว่าถ้าถือสิ่งนี้เอาไว้ สัญชาตญาณของผมมันบอกมาแบบนั้น หากไม่รีบเอามันออกมาแย่แน่

 

บางทีไคลอาคงรู้สึกได้ไม่ต่างจากผมนัก เธอจึงนำอาภรณ์วิญญาณของเธอออกมาด้วย

 

 

ตรงจุดนี้ก็แอบโชคดีนิดหน่อยที่ตามหลังไฮดรามา เพราะตลอดเส้นทางที่มันเลื้อยไป ต้นไม้ถูกโค่นไปหมดแล้ว

 

ผมค่อยๆ ตามไปอย่างระมัดระวัง โดยมองรอบๆ ไปด้วย แล้วผมก็สังเกตเห็นว่าพวกกิ่งไม้ที่ถูกร่างของไฮดราชนจนหักไป มันงอกใหม่ขึ้นมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่พืชธรรมดาจะทำได้

 

จะว่าไปแล้ว ตรงนี้มันจุดที่ไฮดราเกิดก่อนจะมุ่งไปยังเมืองอิชกะไม่ใช่หรือไงกัน ถ้าเป็นงั้นทำไมต้นไม้รอบๆ ที่ควรจะโดนฟุไคกลืนกินไปหมดแล้วถึงยังอยู่ได้ล่ะ ก็จริงอยู่ว่าบางส่วนก็คงไม่ได้โดนเข้าไปตรงๆ แต่พายุที่ไฮดราสร้างขึ้นมันก็ควรจะพัดพาเอาพืชพวกนี้ลอยตามไปด้วยสิ

 

 

แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร พืชบริเวณรอบๆ ก็มีอยู่อย่างหนาแน่นราวกับป้อมปราการทางธรรมชาติ จนพูดได้ว่าพวกมันดูดซับพิษไฮดราเข้าไปก่อนจะฟื้นฟูร่างตัวเองด้วยพลังชีวิตที่เหลือล้นของมัน แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในไม่กี่วัน

 

ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าพิษในป่ามันก็ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นภายในนี้จะต้องมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่ควรเป็นอยู่แล้ว

 

พอผมคิดแบบนั้น วิสัยทัศน์ของผมก็เริ่มสั่นไหว

 

 

ผมค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมาเหมือนมีอาการเมา ร่างกายของผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ จังหวะเท้าก็เริ่มไม่มั่นคง หากผมดื่มเหล้ามากเกินไป อาการก็คงจะเป็นประมาณนี้แหละ

 

นอกจากนี้ผมก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ บริเวณช่วงท้องส่วนบนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ

 

ความผิดปกติพวกนี้ต้องเป็นเพราะมานาในป่าแน่ๆ

 

โดยปกติแล้ว มานาจะไม่ได้ส่งผลเสียกับร่างกาย แต่มันช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ใช่จอมเวทผู้คนก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมานามากนี้ได้

 

แต่หากความเข้มข้นของมานามีสูงจนเกินไปมันจะส่งผลเสียแทน เพราะมานาพวกนี้มันจะไปกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้สูงเกินกว่าที่จะรับได้ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของผมรู้สึกผิดปกติไป

 

หากเป็นพิษ พวกผมก็คงสามารถป้องกันได้ด้วยคิ แต่ในกรณีที่เป็นมานา ร่างกายของพวกผมจะรับมันเข้ามาเหมือนอากาศ จึงไม่สามารถป้องกันได้ด้วยคิ แถมในกรณีนี้หากผมเร่งใช้พลังคิมากขึ้น ร่างกายก็จะกระตุ้นการดูดซับมานาให้สูงกว่าเดิมอีก พอเจอแบบนี้เข้าไปมันหนักกว่าต้องรับมือกับพิษของไฮดราอีกแฮะ

 

หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ มีหวังได้ตายเอาแน่ พวกผมจึงเร่งตามไฮดราให้เร็วขึ้น

 

จะว่าไปพวกผมเข้ามากันลึกขนาดไหนแล้วนะ

 

สภาพของไคลอาในตอนนี้เหมือนจะพยายามเอามือปิดปากไม่ให้ตัวเองอ้วกออกมา ทางผมเองก็เวียนหัวคลื่นไส้จนสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อหากลดการ์ดตัวเองลง

 

บอกตามตรงนะว่าพวกผมโชคดีมากที่ไม่ถูกโจมตีสวนกลับมาระหว่างตามมันไป น่าอาจจะเป็นเพราะความกลัวของมันก็ได้เลยไม่ได้สนใจพวกผม แต่ก็ต้องขอบคุณจริงๆ

 

จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้เจอสิ่งนั้น

 

รูขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้น

 

รูของมันใหญ่และกว้างเป็นอย่างมาก ในวินาทีที่ผมเห็นรูดังกล่าว ผมเห็นได้เลยว่าขนาดของมันใหญ่พอจะกลืนกินเมืองอิชกะ ไม่สิเมืองหลวงเข้าไปได้หมดเลยด้วยซ้ำ

 

ปริมาณของมานาจำนวนมากได้พวยพุ่งออกมาจากรูดังกล่าวราวกับคำราม ความทรมานก่อนหน้านี้ที่ผมเผชิญมันเป็นเพียงแค่ 1 ใน 10 จากบริเวณหน้ารูดังกล่าว ความรุนแรงของมันมีมากจริงๆ จนเหมือนกับมันสามารถพุ่งทะลวงท้องฟ้าไปได้เลย

 

ไอ้สิ่งนี้มันบ้าอะไรกันเนี่ย ของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า มานาหรือพลังเวทได้อีกแล้ว หากจะให้พูดมันน่าจะเป็นพลังงานที่มาจากเรื่องราวในตำนานอย่าง อีเทอร์ไม่ก็พลังเทวะชัดๆ

 

พลังที่ไร้ขีดจำกัดนี้มันได้ไหลเวียนอยู่รอบตัวผมราวกับฝันร้าย

 

ให้ตายสิ ถ้าเป็นไอ้นี่ละก็ ผมก็คงเชื่อได้ไม่ยากเลยหากสิ่งมีชีวิตในตำนานจะเกิดขึ้นมา

 

ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ก็พอจะเข้าใจได้หากใช้ความรู้ที่มีอยู่ในการเรียบเรียง

 

รูขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนผืนดินซึ่งมีพลังจากบรรพกาลเอ่อล้นออกมา เหล่าวีรบุรุษในอดีตก็มักจะสร้างอาณาจักรของตนไว้เหนือสิ่งนี้เสมอ

 

สิ่งที่เรียกกันว่า รังมังกร

 

——-

อธิบายท้ายตอนของผู้เขียน

อนิม่า  

ตัวตนที่อยู่ภายในส่วนลึกของร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์ ผู้คนเรียกขนาดมันว่าอนิม่า อนิม่านั้นจะถูกแบ่งกรอบออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน นั่นคือแบบเฉพาะกับโลกจัดสรร โดยส่วนแรกนั้นจะเป็นอนิม่าที่เกิดขึ้นมาจากจิตไร้สำนึกส่วนบุคคลของคนผู้นั้น (ความทรงจำของผู้ใช้) ที่สร้างขึ้นมาเอง ส่วนแบบหลังจะเป็นอนิม่าที่เกิดขึ้นมาจากจิตไร้สำนึกร่วม (ความทรงจำของผู้ใช้กับสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เงื่อนไขตรงกัน) หากจะให้ยกตัวอย่างจากเรื่องก่อนหน้านี้ก็คือ จินโบ ที่มีอนิม่าแบบแรก(สร้างมาจากความทรงจำที่เกี่ยวกับภรรยาเขา) ส่วนอนิม่าของ โซระ โกซุ ไคลอา คลิม จะเป็นรูปแบบโลกจัดสรร ก็คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าหากเป็นกรอบของโลกจัดสรร อนิม่าจะทรงพลังกว่าอย่างแรก แต่สุดท้ายมันก็มีข้อยกเว้นบางอย่างอยู่เหมือนกัน

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+