การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 230 การล่มสลายของตระกูลโฮโซ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 230 การล่มสลายของตระกูลโฮโซ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 230 การล่มสลายของตระกูลโฮโซ

 

 

「มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันน่ะ!? 」

 

 

ในสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองฮอนเทน ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของลัทธิแห่งแสงที่อยู่ทางทิศตะวันออกของคิไค ชายชราคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น

 

 

เขาคือ 1 ใน 4 อาร์คบิชอปที่ประจำการอยู่ในศูนย์กลางและเป็นคนของตระกูลโฮโซมีประวัติการรับใช้ลัทธิเคียงข้างพระสันตะปาปามาช้านาน

 

 

แม้จะเป็นที่รู้จักกันดีถึงความสุขุมของเขา ทว่าบัดนี้ใบหน้าของเขานั้นแสดงความสับสนออกมาอย่างชัดเจน

 

 

สิ่งที่เข้ามารบกวนเขาในขณะนี้ก็คือเสียงปะทะกันของดาบที่สะท้อนมาจากนอกหน้าต่าง ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองแต่มันคือการต่อสู้ของคนนับร้อยที่ดังมาจากทั่วทิศทาง นั่นหมายความว่าตอนนี้เขากำลังถูกล้อมด้วยกลุ่มคนซึ่งเข้ามาโจมตี

 

 

ชายชราผมขาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามอาร์คบิชอปก็พูดออกมาด้วยท่าทีที่กระวนกระวายเช่นเดียวกัน

 

 

 

「เป็นพวกข้าต่างหากที่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมอัศวินของลัทธิถึงได้หันดาบหาตระกูลโฮโซกัน?! ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด แถมมีเพียงระดับท่านกับพระสันตะปาปาเท่านั้นด้วยที่สามารถสั่งคนพวกนี้ได้…….แล้วท่านที่เป็นถึงอาร์คบิชอปเนี่ยนะจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!」

 

 

 

บรรดาเหล่าชายชราคนอื่นๆ ก็พยักหน้าตามและมองอาร์คบิชอปด้วยความสงสัย

 

 

คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนเป็นระดับสูงของตระกูลโฮโซ ซึ่งส่วนมากอายุก็จะล่วงเลย 60 ปีกันไปแล้ว บางคนก็70 หรือ 80 ปี กลับกันทางอาร์คบิชอปนั้นยังอยู่ในช่วงวัย 50 ปี แล้วในสถานการณ์แบบนี้คนที่เป็นถึงระดับอาร์คบิชอปคนใกล้ชิดจะไม่รู้การเคลื่อนไหวของพระสันตะปาปาเลยหรือ

 

ดังนั้นอาร์ตบิชอปเองก็รู้ตัวดีว่าตนถูกสงสัยและคงไม่อาจจะหาอะไรมาหักล้างได้

 

 

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่ได้แสร้งไม่รู้แต่อย่างใด เสียงร้องที่เขาพูดออกมาคือใจจริง และเมื่อเห็นถึงสายตาคนรอบๆ เขาก็ตัดสินใจทุบโต๊ะแล้วตะโกนออกมา

 

 

「ก็บอกไปแล้วไงว่าข้าไม่รู้เรื่อง!」

 

 

 

「มันจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน!」

 

 

 

ชายชราผมขาวเถียงกลับทันที ชายคนนี้คือหนึ่งในผู้ใช้ศาสตร์แห่งนานะชิกิที่เก่งกาจ

 

 

ทว่าด้วยความชราที่่อายุปาเข้าไป 80 ปีเลยก็อาจจะทำให้ฝีมือของเขาตกลงไปบ้าง แต่อิทธิพลของเขาก็ยังเหลืออยู่มากในฐานะที่ปรึกษาของอูรุย

 

ทว่าถึงอายุจะมากขนาดนี้แต่ดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยไฟแห่งความปรารถนา เข้าจ้องไปยังอาร์บิชอปด้วยความสงสัยและเกลียดชัง ก่อนจะพูดกับอีกฝ่าย

 

 

 

「หลังจากที่ท่านอูรุยจากไป ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่านอกจากข้าไม่มีใครเหมาะจะเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปอีก แล้วในยามวิกฤตเช่นนี้มันก็ควรจะต้องหาผู้รับผิดชอบไม่ใช่หรือไงกัน?!」

 

「หลังจากที่ท่านอูรุยจากไป ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่านอกจากข้าไม่มีใครเหมาะจะเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปอีก แล้วในยามวิกฤตเช่นนี้มันก็ควรจะต้องหาผู้รับผิดชอบไม่ใช่หรือไงกัน?!」

 

「หากไม่ใช่คนที่ยอมรับข้าเป็นผู้นำตั้งแต่แรกก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดหรอก ทั้งที่ข้าก็บอกไปแล้วแท้ๆ ว่าข้าอยากจะสานต่อเดินรอยตามสิ่งที่ท่านอูรุยตั้งใจไว้ แต่ก็เป็นพวกเจ้าเหล่านานะชิกิไม่ใช่หรือไงที่คัดค้าน แล้วพอเกิดเรื่องก็มาถามหาความรับผิดชอบจากข้าในฐานะผู้นำน่ะหรือ!」

 

 

 

 

หลังจากอาร์คบิชอปตอบ เขาก็จ้องไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยความเกลียดชัง

 

ภายในตระกูลโฮโซนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลักๆ นั่นก็คือเหล่าผู้ใช้ศาสตร์นานะชิกิที่เชี่ยวชาญ กับฝ่ายบุ๋นที่ทำงานเอกสาร ติดต่อประสานงานและไม่ได้ฝึกศาสตร์นานะชิกิอย่างถ่องแท้นัก โดยฝ่ายแรกนั้นจะมีชายชราที่บ่นอยู่เป็นผู้นำส่วนอีกฝั่งก็เป็นของอาร์คบิช็อป

 

แล้วอาร์คบิช็อปก็พูดต่อ

 

 

「ที่ทางท่านสันตะปาปาโกรธขนาดนี้ย่อมเป็นเพราะความผิดพลาดคราวนี้แน่นอน การกบฏที่ต้องใช้ทั้งกำลังเงินและการสนับสนุนจำนวนมากถูกบดขยี้หายอย่างง่ายดายโดยเจ้าเด็กเหลือขอคาการิจากนากายามะ แถมเรื่องที่ลัทธิแห่งแสงมีส่วนเกี่ยวข้องกับคาซานก็แดงขึ้นมาอีก ทั้งหมดก็เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนฝั่งเจ้านั่นแหละ วิกฤติในคราวนี้อย่าคิดจะมาโยนให้ข้าแบกรับเลย พวกเจ้าต่างหากที่ต้องรับผิดชอบ!」

 

 

ด้วยคำพูดอันดุดันของอาร์คบิชอป สายตาทั้งหมดที่จ้องมองเขาตอนแรกจึงหันกลับไปมองชายชราตรงข้าม

 

 

สีหน้าฝ่ายบู้ของนานะชิกิก็แสดงสีหน้าต่างกันออกไป บ้างก็บึ้งตึง บ้างก็ตกใจ บ้างก็หลบสายตา บ้างก็ยิ้มแห้งๆ ถึงใบหน้าของพวกเขาจะแสดงออกมาต่างกันแต่สิ่งหนึ่งที่เขาเหมือนกันก็คือ พวกเขาพยายามปฏิเสธในสิ่งที่อาร์คบิชอปพูด

 

 

ว่าแล้วชายชราก็โต้ตอบกลับไป

 

「มันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของเจ้าชินโตต่างหากแล้วผู้กระทำผิดก็ถูกจัดการไปนานแล้วด้วย เรื่องคราวนี้จากที่ท่านสันตะปาปาบอกผู้ที่ต้องแบกรับความผิดเพียงผู้เดียวก็คือท่านอูรุย แล้วเขาก็ยอมสละหัวตัวเองให้กับลัทธิไปแล้ว ดังนั้นคนที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ควรมีใครจะต้องรับผิดชอบอีกไม่ใช่หรือไงกันในเรื่องคราวนี้!」

 

 

ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่อัศวินจากลัทธิจะหันดาบมาหาตระกูลโฮโซ แทนที่จะคิดว่าสันตะปาปาเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน มองเสียว่าผู้นำตระกูลโฮโซคนปัจจุบันคิดไม่ซื่อกับลัทธิก็เลยหาทางจัดการยังจะสมเหตุสมผลกว่า ชายชราพูดเช่นนั้นขณะจ้องมองไปยังอาร์คบิชอป

 

 

ทางอาร์คบิชอปก็โต้กลับด้วยความโมโห

 

 

 

「ไร้สาระสิ้นดี! พวกเจ้าส่วนใหญ่มักจะภูมิใจกับความจริงที่ว่าตนแข็งแกร่งและภูมิใจจนผยองเพราะนานะชิกิ ดังนั้นนี่ก็เป็นเวลาที่จะแสดงความผยองนั้นแล้วนี่ คงไม่คิดจะปัดความรับผิดชอบทิ้งไปได้หรอกนะ คิดจะปล่อยให้ชินโตกับท่านอูรุยรับผิดแล้วนั่งดูเฉยๆ หรือไง เจ้านั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบโดยการถวายหัวตัวเองให้ท่านสันตะปาปา!」

 

 

 

อาร์คบิชอปพูดเหมือนอัดอั้นมานาน

 

 

ภายในตระกูลโฮโซนั้นมีความบาดหมางที่ฝังรากลึกระหว่างผู้ที่ฝึกศาสตร์นานะชิกิจนเชี่ยวชาญ กับฝ่ายนั่งโต๊ะทำงาน

 

ฝ่ายแรกก็มักจะเย้ยว่าฝ่ายหลังเป็นพวกคนขลาดที่ออกคำสั่งอยู่ในขุดที่ปลอดภัย ส่วนฝ่ายหลังก็มักจะบอกว่า ฝ่ายหน้าเป็นเพียงพวกสมองกล้ามที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากแกว่งดาบ ขาดการมองภาพรวม

 

 

พออาร์คบิชอปรู้ว่าชินโตกับอูรุยพลาดท่าที่เขาไดโกะเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น ยิ่งพอได้รู้ว่าสันตะปาปาต้องการหัวของอูรุยเพื่อเป็นการลงโทษ เขาก็ยิ่งเห็นโอกาสที่ตนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลทันที

 

แน่นอนว่าแค่การส่งพวกนานะชิกิไปตายสำหรับเขาแล้วไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยหากมันช่วยบรรเทาความโกรธของสันตะปาปาได้ จากนั้นไม่นานคนของฝั่งเขาก็เริ่มเข้ามาผสมโรง

 

แน่นอนว่าฝ่ายนานะชิกิก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อคำพูดพวกนั้น

 

 

「สำหรับพวกโง่เง่าอยากพวกเจ้า คงคิดไม่ได้หรอกแต่ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะทำผิดหรือไม่ แต่การรับผิดชอบในสิ่งที่พวกพ้องของเจ้าทำก็เป็นเรื่องสมควรไม่ใช่หรือไง」

 

 

「อยากจะหัวเราะ ประการแรกเลยทำไมท่านสันตะปาปาถึงสั่งเคลื่อนกำลังพลของลัทธิโดยที่อาร์คบิชอปไม่รู้ได้ล่ะ มันไม่ได้หมายถึงเขาตกเป็นเป้าหมายของเรื่องในคราวนี้หรอกหรือ」

 

「คึกๆๆ! นั่นสิๆ เจ้าพูดได้ถูก! หากมีใครสักคนจะต้องรับผิดชอบก็เป็นท่านอาร์คบิชอปนั่นแหละ พวกนั่งโต๊ะที่มักจะส่งพวกข้าออกไปทำเรื่องสกปรกข้างนอก พวกเจ้าเป็นคนคิดแผนการทั้งหมดเองไม่ใช่หรือไง แล้วจะมานั่งอยู่ในที่ปลอดภัยดูพวกเราตายต่ออีกหรือ เวลาแบบนี้พวกเจ้าควรใช้ร่างอ้วนๆ ของพวกเจ้าไปจัดการสถานการณ์เสียสิ!」

 

 

อีกฝ่ายเถียงกันไปมาโดยไม่คิดจะฟังความของอีกฝ่ายเลย

 

 

ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ท่ามกลางสมครามน้ำลาย โดยพยายามดีดให้อีกฝ่ายเสียสละตัวเองเพื่อความอยู่รอด โดยไม่สนแล้วว่าที่พูดกันนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ

 

 

สรุปก็คือการกระทำเหล่านี้มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการหนีความเป็นจริงจากภัยร้ายที่รออยู่ด้านนอก

 

แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ

 

 

 

 

เพราะตระกูลโฮโซนั้นอาศัยอยู่ใต้เงาของลัทธิในคิไคมากว่า 300 ปี พวกเขาทำงานสกปรกให้กับลัทธิอยู่เสมอ พวกเขาคือดาบของสันตะปาปาที่คอยจัดการคนที่ขัดขวางลัทธิ ไม่ว่าจะเป็นคิจินหรือมนุษย์

 

 

 

 

หลังได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนและรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของสันตะปาปา พวกเขาก็คิดว่าคนคือแขนขวาที่ขาดไปไม่ได้

 

พวกเขาเชื่อว่าตนแตกต่างจากข้ารับใช้กลุ่มอื่น อันที่จริงลัทธิก็ได้ให้ความสำคัญกับตระกูลโฮโซและมอบสิทธิพิเศษมากมายให้กับพวกเขาตลอดมา แล้วในตอนนี้จะบอกว่าสันตะปาปาเปลี่ยนไปแล้วคิดจะจัดการกับตระกูลโฮโซนั้น ย่อมทำใจเชื่อได้ยาก

 

 

――บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความผิดพลาดในการสื่อสาร

 

 

 

――หรือบางทีอาจจะมีคนวางแผนลอบกัดพวกเขา

 

 

 

หรือจะเป็นการพิสูจน์ศรัทธาว่าพวกเขาจะโต้ตอบสันตะปาปาหรือไม่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ความสงสัยและความไม่แน่ใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายในวงโต้แย้ง และแล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

『ช่างเป็นสงครามแห่งการโต้เถียงของเด็กน้อยที่เอะอะเสียจริง』

 

เสียงที่ทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นขนลุกไปทั้งตัวก้องไปทั่วห้อง

 

 

เป็นน้ำเสียงที่แสนเย็นชาแต่ก็แฝงไปด้วยความบริสุทธิ์ราวกับฟังคนร้องบทกวี ซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศในที่แห่งนี้เลยสักนิด

 

 

คำพูดอีกคนผู้นี้มีจุดหมายจะต่อว่าทั้งสองฝ่าย โดยปกติแล้วคนผู้นี้ก็ควรจะโดนทั้งสองฝ่ายรุมต่อว่าแทน

 

ทว่ากลับไม่มีใครเลยที่กล้าจะต่อว่าบุคคลดังกล่าว เป็นเพราะเขารู้ว่าเสียงนี้เป็นของผู้ใด

 

 

「ท่านสันตะปาปา」

 

 

 

「โอะ-โอ้…ยินดีต้อนรับครับ ท่านสันตะปาปา!」

 

 

 

「ต้องให้ท่านมาเห็นเรื่องแบบนี้เสียได้ เป็นเพราะพวกข้าไร้ความสามารถแท้ๆ!」

 

 

 

ราวกับเป็นการตอบสนองเสียงพวกนั้น สันตะปาปาปรากฏตัวขึ้นมาราวกับโผล่มาจากความว่างเปล่า

 

 

ชุดนักบวชสีขาวของลัทธิแห่งแสง ใบหน้าที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้า จึงไม่สามารถรู้หน้าตาหรืออายุที่ชัดเจนได้ ทว่าส่วนนูนบริเวณหน้าอกก็ทำให้พอทราบว่าเป็นเพศใด

 

 

การปรากฏตัวของผู้นำสูงสุดแห่งลัทธิมันคือการเคลื่อนไหวที่ยากจะรู้ว่าเป็นเพราะเทคนิคหรือศาสตร์อะไรกันแน่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดแปลกใจกับการปรากฏตัวของเธอเลย ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่สามารถสัมผัสตัวตนของเธอได้เลยสักนิดก็ตาม

 

 

ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโฮโซรู้ดีอยู่แล้วว่าคนระดับสันตะปาปาย่อมทำเรื่องแบบนี้ได้

 

สันตะปาปาเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึมต่อหน้าพวกคนที่คุกเข่าให้เธอ

 

 

 

『300 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่สงครามครั้งสุดท้ายนั้น บาเรียที่อาโทริสร้างไว้นั้นอ่อนแอลงเข้าไปทุกวัน และในไม่ช้า พระเจ้าของพวกเราก็จะหลุดพ้นจากพันธนาการอันแสนน่ารังเกียจของนาง เมื่อนั้นเวลาที่จะชำระโลกให้บริสุทธิ์ก็จะมาถึงแล้ว』

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้น ก็เกิดเสียงชื่นชมขึ้นภายในกลุ่มคนตระกูลโฮโซ

 

อย่างไรก็ตามถึงพวกเขาจะพูดชื่นชมมากขนาดไหน เสียงของการต่อสู้ภายนอกห้องก็ไม่ได้หยุดลง เสียงของดาบที่ปะทะกันยังดังก้องไปทั่ว

 

 

ระหว่างที่พวกคนข้างนอกปะทะกัน สันตะปาปาก็ปรากฏตัวขึ้น ด้วยความสงสัยในเจตนาของสันตะปาปา อาร์คบิชอปจึงได้เอ่ยปากพูดอย่างระวัง

 

 

 

「ฝ่าบาท นับจากนี้พวกเราตระกูลโฮโซก็จะพยายามฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อเตรียมรับใช้ท่านอีกครั้งเมื่อท่านต้องการครับ」

 

 

 

『นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ดังนั้นฉันจะยกโทษให้กับพวกเจ้าที่กระทำบาปในอดีต ตระกูลโฮโซจะกลายเป็นผู้เบิกทางแด่โลกที่บริสุทธิ์นับจากนี้』

 

 

 

「บาป? ผู้เบิกทาง? ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน――――――อุ? 」

 

 

อาร์คบิชอปสงสัยกับคำพูดแปลกๆ ของสันตะปาปาและพยายามถามอีกฝ่าย

 

 

 

ทว่าก็มีเส้นใยบางอย่างตัดผ่านคอของอาร์คบิชอปไป จากนั้นคอของเขาก็ขาดเพราะเส้นใยนั้น ใบหน้าแห่งความสงสัยได้เกิดขึ้น ก่อนที่หัวกับตัวของเขาจะล้มลงไปกับพื้น

 

จากนั้นไม่นาน เลือดสดๆ ก็พุ่งออกมาจากร่างที่ไร้หัวของอาร์คบิชอป

 

 

ความเงียบงันได้เกิดขึ้นชั่วขณะก่อนที่ความตื่นตระหนกจะเริ่ม

 

 

 

「ท-ท่านสันตะปาปา?!」

 

 

 

「นี่ท่านคิดจะทำอะไรกัน?!」

 

 

 

ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น

 

 

ราวกับว่าเธอได้พูดในสิ่งที่จำเป็นต้องพูดไปหมดแล้ว จากนั้นการโจมตีที่มองไม่เห็นของเธอก็ได้ตัดหัวของคนภายในห้องนั้นต่อ

 

 

แม้แต่คนที่โง่ที่สุดภายในห้องก็ยังเข้าใจว่าตอนนี้พวกเขาถูกลัทธิและสันตะปาปาทอดทิ้งแล้ว

 

 

เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น ความสงสัยก็กลายเป็นความโกรธทันที

 

 

「นี่แกวางแผนจะทำลายความภักดีของพวกข้าที่มอบให้มาตลอด 300 ปีเพราะเรื่องนี้งั้นหรือ!」

 

 

 

「ทั้งที่พวกข้าสละเลือดเนื้อเพื่อแกมาขนาดนี้ อยากจะรู้จริงๆ ว่าจะหาคนแบบพวกข้าได้ที่ไหนอีก คิดหรือไงว่าลัทธิที่ขาดพวกข้าไปจะทำอะไรจากนี้ต่อได้?!」

 

 

「ทั้งที่อดทนมองดูท่านอูรุยเสียสละตัวเอง! นักจิ้งจอกเอ้ย! ข้าจะเป็นคนสังหารเจ้าเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านอูรุยที่เสียสละตัวเองเดี๋ยวนี้แหละ! นานะชิกิ ชุคโตะอาการาเซน (คมดาบเพลิงสีชาต) 」

 

 

 

 

 

การตอบสนองของสันตะปาปาที่ถูกการโจมตีจากหลายทิศทางนั้นมีเพียงแค่สิ่งเดียว

 

นั่นคือการปรบมือเพียงครั้งเดียว ทั้งเสียงพูดและการเคลื่อนไหวของแต่คนภายในห้องก็หยุดลง

 

 

 

 

 

「อะไรกัน?!」

 

 

 

「คึก」

 

 

 

「บ-บ้าน่า! จองจำควรจะทำงานแล้วสิ…!」

 

 

ครึ่งหนึ่งของคนในห้องได้ตายลงไปแล้ว และอีกครึ่งหนึ่งไม่สามารถขยับได้ ก่อนที่จะรู้สึกตัวเสียงต่อสู้ภายนอกก็ได้หยุดลงไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงความเงียบงัน

 

 

ไม่นานนักสันตะปาปาก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบลง

 

 

『เพื่อโลกที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ การจะกำจัดเหล่าคนที่ไม่คู่ควรกับโลกใบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฉันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกโฮโซมันไร้ความสามารถ ตั้งแต่เมื่อ 300 ปีก่อนไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด สุดท้ายก็มีเพียงมิตสึรุกิที่คู่ควร เพื่อความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นับจากนี้ฉันกับตระกูลมิตสึรุกิจะเป็นคนสานต่อเอง ขอบคุณที่พยายามมาเป็นเวลานานก็แล้วกัน」

 

 

 

พอเขาได้ยินคำพูดเช่นนั้น โดยเฉพาะคำว่ามิตสึรุกิ ทุกคนก็ตกอยู่ในความตะลึงไม่ว่าจะเป็นคนฝ่ายไหนในตระกูล

 

 

จากนั้นสันตะปาปาก็ปรบมืออีกครั้ง ทันใดนั้น

 

 

คลึก กรุบ

 

เสียงคล้ายกับผลไม้ถูกบดขยี้ดังขึ้นทั่วห้อง

 

 

 

เมื่อบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว สันตะปาปาก็ถอนหายใจออกมาก่อนหันไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองไซโตะ เมืองหลวงของนากายามะ

 

แล้วเสียงที่เธอพูดต่อจากนี้ก็เปลี่ยนไป มันไม่ใช่เสียงที่แสนเย็นชาซึ่งใช้กับตระกูลโฮโซก่อนหน้านี้

 

 

เธอพูดกับบางสิ่งที่ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่ตรงนี้ แม้จะบางเบาราวกับเสียงกระซิบแต่น้ำเสียงนั้นก็ช่างหอมหวานจนชวนให้ฝัน

 

 

『ในที่สุดพวกเราก็จะได้แก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดเมื่อ 300 ปีก่อน แล้วฉันก็จะได้เจอท่านอีกครั้ง พวกเราจะมาร่วมกันทางคืนสิ่งที่สูญเสียไปในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น และสถานที่แห่งนั้น….』

 

 

พอพูดคำนั้นจบ สันตะปาปาก็ทิ้งท้ายคำพูดสุดท้ายเอาไว้ด้วยเสียงที่แผ่วเบาที่สุด

 

 

 

――ท่านจินของฉัน

 

——–

Note 1 : โซเฟียแหละmรงนี้

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด