การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 116 กลับบ้านเกิด

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 116 กลับบ้านเกิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 116 กลับบ้านเกิด

 

ผมได้มุ่งหน้าไปทางตะวันออก โดยผ่านถนนที่ชื่อว่า『ถนนแห่งกฎเกณฑ์』ซึ่งตัดผ่านไปยังจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าจากทิศตะวันออกไปตะวันตก

 

ถนนดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่แห่งจักรวรรดิที่ผู้คนและรถม้าทั้งทวีปใช้ในการสัญจรตลอดทั้งวัน หากจะหารถม้าสักคันในการติดไปด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ผมก็เลือกที่จะเดินไปยังเกาะอสูรยักษ์ด้วยเท้าของตัวเอง ราวกับอยากจะสำรวจตามรอยอดีตของตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งก็เคยผ่านถนนเส้นนี้มาจากทางตะวันตก

 

พอได้ทำแบบนี้แล้วก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่าความทรงจำของผมมันดูคลุมเครือแปลกๆ

 

ผมมั่นใจว่าตอนที่ผมถูกเนรเทศออกมาจากเกาะอสูรยักษ์แล้วไปยังอาณาจักรคานาเรียผมก็ใช้เส้นทางนี้นะ แต่ทำไมผมถึงจำสภาพแวดล้อมรอบๆ ของมันไม่ได้เลยกัน ยิ่งพอได้ผ่านเมืองหรือหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งนึกไม่ออกเลยว่ามีความทรงจำที่ได้พักโรงแรมระหว่างทาง ทานอาหารประจำถิ่นของจุดนั้นๆ หรือเคยเห็นทิวทัศน์ดังกล่าวมาก่อน

 

――พอรู้ตัวแบบนี้มันก็เห็นได้ชัดเลยว่า

 

เมื่อ 5 ปีก่อนผมหมกมุ่นอยู่กับการมองไปแต่ข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมาคิดพิจารณาอะไรเลย ผมทำแค่เพียงก้าวเดินต่อไปและคิดว่าอนาคตที่สดใสจะรอผมอยู่ตรงปลายทาง

 

ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะมองทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวผม แถมผมก็ไม่มีเงินมากพอจะเพลิดเพลินไปกับอาหารระหว่างทางได้ คงไม่แปลกอะไรมั้งหากผมจะไม่มีโอกาสได้สร้างความทรงจำดีๆ ระหว่างการเดินทาง

 

 

ทั้งหมดที่ผมจำได้มีเพียงความเร่าร้อนที่แผดเผาร่าง

 

ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงคนหัวเราะรอบตัวผม ผมก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาหัวเราะตัวผมจนทำให้ผมไหล่สั่น ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือเด็กชายที่เป็นแบบนั้นแหละ

 

หากเป็นไปได้ผมก็อยากจะบอกกับเด็กคนนี้จริงๆ ว่า อนาคต 5 ปีข้างหน้าที่รอนายอยู่น่ะมันมีแต่ความสิ้นหวัง นายจะได้พบกับขีดจำกัดของตัวเองและความผิดพลาดอีกมากมาย

 

ทว่าหากนายผ่านมันไปได้โดยไม่ย่อท้อปลายทางที่สดใสจะรอนายอยู่――นั่นคือสิ่งที่ผมอยากบอกกับเขา

 

 

「แต่เอาเถอะ เราก็ไม่เห็นต้องไปบอกตัวเองเลยนี่ ยังไงเราก็มาถึงตรงนี้แล้ว」

 

ผมหัวเราะออกมาให้กับคำพูดของตัวเอง

 

จากนั้นผมก็มองไปยังข้อมือซ้ายของตัวเองที่กำลังสวมสร้อยข้อมือที่เป็นงานฝีมือ มันเป็นของขวัญจากซูซูเมะที่มอบให้ผมหลังออกจากเมืองอิชกะ โดยบอกว่ามันเหมือนเครื่องรางที่ทำให้สุขภาพดีและปลอดภัยซึ่งนิยมมอบให้กับในหมู่คิจิน

 

นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับหากผมยังก้าวต่อไปข้างหน้า

 

ผมก้าวไปอีกครั้งยังพื้นที่ตัวเองเคยเดินผ่านมาเมื่อ 5 ปี ก่อนจะพุ่งไปด้วยความรวดเร็วราวกับกำลังถูกใครไล่ตามอยู่ จนในที่สุดก็ค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นปลายทางตรงหน้า

 

บ้านเกิดของผมซึ่งอยู่บริเวณทะเลทางเหนือห่างออกไปไม่ไกลจากจุดที่ผมอยู่แล้ว

 

 

◆◆◆

 

 

ทิวทัศน์ของเกาะอสูรยักษ์ช่างดูเหมือนกับผีเสื้อกำลังสยายปีก

 

ผืนแผ่นดินที่ประกบกันจากทางฝั่งซ้ายและเหนือเกือบจะเรียกได้ว่าสมมาตร โดยมีชูโตะซึ่งเป็นเมืองเพียงแห่งเดียวอยู่ใจกลางของเกาะ

 

และบริเวณทางใต้ของชูโตะมีท่าเรือเพียงแห่งเดียวของเกาะที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตั้งอยู่ อันที่จริงมันก็ไม่เหมือนท่าเรืออะไรนักหรอก เพราะมันไม่ได้มีพวกเรือประมงหรือเรือโดยสารมาพักกัน จะให้พูดที่มีอยู่ตรงนั้นก็แค่เรือข้ามฟากซึ่งเชื่อมต่อกับทวีปหลักเท่านั้น แถมยังไปกลับแค่วันละ 2 ครั้งด้วยจึงทำให้บริเวณดังกล่าวเงียบเหงาไม่มีชีวิตชีวา

 

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เรือข้ามฟากที่เดินทางอยู่ก็มีเหล่านักรบจากธงแห่งผืนป่าคุ้มกันอยู่เสมอ เพราะที่นี่คือเกาะอสูรยักษ์ ที่ซึ่งเหล่ามอนสเตอร์สุดแกร่งแพร่กระจายอยู่เต็มไปหมด แถมพวกมันไม่ได้อยู่แค่บนผืนดินด้วย ดังนั้นหากไม่มีพวกเขาอยู่ การเดินทางไปมาคงบอกเลยว่าเป็นไปได้ยาก

 

แน่นอนว่าถึงจะบอกว่าเป็นนักรบจากธงแห่งผืนป่า แต่ก็เป็นแค่พวกระดับล่างเท่านั้น เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกระดับสูงๆ จะมาทำหน้าที่ในการคุ้มกันเรือซึ่งเป็นตำแหน่งต่ำต้อยแบบนี้ ไม่มีทางหรอก…..มันควรจะไม่มีทางสิ――

 

 

「พวกเรากำลังรออยู่เลยครับ ท่านโซระ」

 

โกซุ ชิมะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขล้นที่อัดอยู่ข้างใน

 

ทำไมนายมาอยู่นี่ได้ ผมก็อยากจะถามหรอก แต่คำตอบของมันก็ชัดแล้ว เพราะทางตระกูลมิตสึรุกิเป็นคนเชิญผมมาเองนี่นา

 

การจะเดินทางไปยังเกาะอสูรยักษ์ได้ คนคนนั้นจะต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน เพราะไม่ใช่ว่าใครก็ซื้อตั๋วข้ามฟากได้เสียหน่อยนี่เนอะ แถมตั๋วดังกล่าวก็จะกำหนดวันและเงื่อนไขต่างๆ ไว้เฉพาะแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้บริการได้แค่ 2 ครั้งต่อวัน นั่นคือรอบเช้าและรอบบ่าย

 

ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่ผมซึ่งอยากจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่ตัวเองเฉยๆ จะได้รับตั๋วนั้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สรุปก็คือโกซุที่รู้วันเดินทางแน่ชัดของผมจึงสามารถปรากฏตัวและรอผมในเวลาที่เหมาะสมได้

 

――อันที่จริงผมจะขี่คราว โซราสและวิ่งข้ามทะเลด้วยพลังคิเพื่อทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจก็ได้อยู่หรอก แต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรขนาดนั้นเพราะคงดูไม่จืดแน่หากผมทำไปโดยไม่รู้ว่าจะมีคนรออยู่ตรงปลายทางนั้นหรือไม่

 

 

「ขอขอบคุณที่มารอต้อนรับ ท่านชิมะ」

 

ผมพูดกับเขาอย่างสุภาพและให้เกียรติ

 

ที่ผมมาที่นี่ไม่ได้เพื่อมาหาเรื่อง เหมือนกับตอนที่เจอกับเขาในเมืองอิชกะ ดังนั้นผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสู้กับเขา

 

ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองไปยังหน้าของโกซุ ทันใดนั้นเสียงที่ดูเหมือนงุนงงก็ออกมาจากปากของเขา

 

 

 

「…มีอะไรติดอยู่บนใบหน้าของผมหรือครับ? 」

 

「ก็ไม่หรอก ว่าแต่ผมสามารถเข้าไปในเกาะได้แล้วใช่ไหม หรือต้องทำอะไรอย่างอื่นก่อน? 」

 

 

「ไม่หรอกครับ ท่านสามารถเข้าไปได้ทันที เดี๋ยวผมจะเป็นผู้นำทางท่านไปเอง」

 

 

「งั้นเหรอ ทางนี้ขอรบกวนหน่อยละกัน」

 

ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะก้มหัวคำนับตามมารยาทของจักรวรรดิให้โกซุ

 

ตระกูลมิตสึรุกิก็เป็นหนึ่งในตระกูลชนชั้นสูงของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า แถมไอ้ผมมันก็เป็นสามัญชนธรรมดาไม่มียศอะไรกับเขาด้วย เพราะทางตระกูลก็ตัดขาดกับผมไปแล้ว ดังนั้นผมก็ต้องใช้คำพูดคำจามีมารยาทกับเขาตามธรรมเนียมไป

 

พอเห็นผมทำแบบนั้นแล้ว โกซุก็ยิ้มแห้งๆ ออกมาราวกับจะบอกว่าช่วยไม่ได้สินะ

 

 

「ท่านสามารถเอาชนะนักรบแห่งผืนป่าและเสนอข้อเรียกร้องที่หยาบคายกับนายท่านไปแล้ว ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องแสร้งทำตัวสุภาพเอาตอนนี้หรอกครับ」

 

「ก็ท่านผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอุตส่าห์ตอบรับข้อเรียกร้องที่แสนหยาบคายของผม ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะต้องแสดงความสุภาพกับฝั่งของเขานี่」

 

ผมพูดออกไปโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนลักษณะการพูด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเสียหน่อย ผมไม่ได้อยากจะกลับไปคุยกับพวกเขาอย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนตรงหน้าผมถึงแสดงท่าทีมีความสุขออกมาซะงั้น

 

ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกนะว่าเขาจะคิดยังไง เอาเป็นว่าในตอนนี้ก็ตอบพูดแบบสุภาพไปก่อนแล้วกัน

 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ระวังตัวเลยนะในสถานการณ์แบบนี้

 

เพราะพวกเขาอาจจะเชิญผมมาที่เกาะเพื่อฆ่าผมก็ได้

 

ก็จริงว่าผู้นำตระกูลกับโกซุอาจจะไม่ทำแบบนั้น แต่ตระกูลเบิร์ชนี่ไม่แน่ เพราะตัวผมที่กระทืบลูกบุญธรรมถึง 2 คนของเขาจนทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเสียหาย ก็ไม่แปลกหรอกหากพวกนั้นจะเกลียดผมขึ้นมา

 

พูดถึงลูกบุญธรรมพวกนั้นแล้ว อันที่จริงผมกะจะส่งไคลอากลับมาที่เกาะก่อนที่ผมจะเดินทางมาถึงด้วยซ้ำ

 

แต่ทางเธอก็ปฏิเสธคำเชิญของพวกธงที่ 4 ไม่ยอมให้ผมใช้โอกาสจัดการเธอได้เลยสินะ ทั้งที่เปิดโอกาสให้แล้วตอนเดินทางไปเบลก้า

 

แต่กลับเธอเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ในป่าทีทิสแทนซะอย่างงั้น ผมก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยเธอตามใจอยาก

 

พักหลังมานี้เธอก็เริ่มคุยกับซูซูเมะ ชีล และมิโรสลาฟได้ตามปกติแล้ว แถมเธอยังก้มหัวให้กับผมทันทีที่ผมยอมปล่อยเธอให้ทำตามใจอีก ถึงก่อนออกมาจะเห็นว่าเธอทำตัวเศร้าๆ ก็เถอะ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเธอเสียใจที่อดกินอาหารฝีมือของคุณซาร่าแล้วละมั้ง

 

ผมคิดถึงเรื่องนั้นระหว่างที่เดินทางข้ามฟากมายังเกาะอสูรยักษ์

 

พวกมอนสเตอร์ในทะเลไม่ได้เข้ามาโจมตีพวกผมตอนอยู่บนเรือ บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังคิที่โกซุปล่อยออกมาตรงหัวเรือข่มพวกมันอยู่ก็ได้

 

พอถึงท่าเรือของอีกฟากโดยไม่มีปัญหาใดๆ ระหว่างนั้น คนที่รออยู่ตรงปลายทางก็คือคนที่ผมเคยเรียกว่าพี่สาว เซซิล ชิมะ

 

 

「ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ท่าน…โซระ」

 

ดูเหมือนเธอจะลังเลที่จะเรียกชื่อผมอยู่พักหนึ่ง บางทีอาจะกังวลเกี่ยวกับฏิกิริยาของผมที่มีต่อคำพูดนั้นก็ได้ เพราะในอดีตผมไม่ชอบให้เธอเรียกผมว่า นายน้อย หรือ ท่านโซระ ผมมักจะบอกกับเธอเสมอว่าให้เรียกผมว่าโซระเสมือนว่าเธอเป็นพี่สาวจริงๆ ของผม

 

พอได้มองย้อนกลับไปแล้วมันก็ดูไม่สมเหตุสมผลจริงๆ นั่นแหละ เพราะด้วยสถานะของเธอแล้วไม่มีทางเรียกผมซึ่งเป็นทายาทของตระกูลหลักแบบนั้นได้ แต่เซซิลก็ยังใจดียอมเรียกผมว่าโซระตอนที่พวกเราอยู่กันสองต่อสอง

 

ผมที่นึกถึงคืนวันเหล่านั้นได้ก็ทำการก้มหัวราวกับอยากจะขอโทษเธอ

 

「ขอบคุณที่มารอต้อนรับ ท่านหญิงชิมะ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องเรียกผมอยากให้เกียรติขนาดนั้นก็ได้ เพราะท่านก็เป็นถึงท่านหญิงของผู้นำตระกูล หากท่านทำแบบนั้นเดี๋ยวผมจะถูกตำหนิเอาได้นะครับ」

 

ผมพูดและเงยหน้าขึ้นมองเซซิลที่เงียบไปและทำท่าเหมือนสับสน

 

เมื่อ 5 ปีที่แล้วเส้นผมของเธอถูกรวบมัดเอาไว้เพื่อให้ง่ายต่อการสู้ แต่ตอนนี้เธอกลับปล่อยผมลงหมดแล้ว ร่างกายที่ผอมเพรียวเหมือนกับนักรบก็เปลี่ยนไปกลายเป็นร่างที่ได้ทรวดทรงสมหญิงขึ้น

 

นี่สินะความเปลี่ยนแปลงของนักรบที่กลายเป็นภรรยาติดบ้านไป

 

ผมคิดแบบนั้นก่อนจะละสายตาจากเซซิลและเดินตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิ

 

แต่ก่อนจะทำแบบนั้น โกซุก็ส่งเสียงเรียกผมมาจากด้านหลังจนทำให้ผมหันหน้ากลับไป

 

「ท่านโซระ ได้โปรดช่วยพูดคุยกับน้องสาวของผมสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่ เนื่องจากนางรอที่จะได้พบท่านมาเป็นเดือนๆ แล้วตั้งแต่ที่นายท่านตัดสินใจเรื่องนั้น」

 

「ท่านชิมะ…」

 

มีเพียงแค่ส่วนหัวของผมเท่านั้นที่หันกลับไปมองพี่น้องทั้งสอง

 

ที่ผมไม่เรียกชื่อของเขาก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมได้สนใจความแตกต่างของสองพี่น้องนี้เลยสักนิด

 

「ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุยเล่นนะ นอกจากนี้การปล่อยให้ผู้นำตระกูลที่เรียกผมมาต้องรอ เนื่องจากการพูดคุยของพวกเรา เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ในฐานะรับใช้ของตระกูลท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ? 」

——–

Note 1 : กลับมาละครับ ว่าแต่นึกว่าพี่แกจะตบเบฮีมอธก่อนกลับเกาะ อ่าวไม่แฮะแค่หาข่าว

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 116 กลับบ้านเกิด

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 116 กลับบ้านเกิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 116 กลับบ้านเกิด

 

ผมได้มุ่งหน้าไปทางตะวันออก โดยผ่านถนนที่ชื่อว่า『ถนนแห่งกฎเกณฑ์』ซึ่งตัดผ่านไปยังจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าจากทิศตะวันออกไปตะวันตก

 

ถนนดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่แห่งจักรวรรดิที่ผู้คนและรถม้าทั้งทวีปใช้ในการสัญจรตลอดทั้งวัน หากจะหารถม้าสักคันในการติดไปด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ผมก็เลือกที่จะเดินไปยังเกาะอสูรยักษ์ด้วยเท้าของตัวเอง ราวกับอยากจะสำรวจตามรอยอดีตของตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งก็เคยผ่านถนนเส้นนี้มาจากทางตะวันตก

 

พอได้ทำแบบนี้แล้วก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่าความทรงจำของผมมันดูคลุมเครือแปลกๆ

 

ผมมั่นใจว่าตอนที่ผมถูกเนรเทศออกมาจากเกาะอสูรยักษ์แล้วไปยังอาณาจักรคานาเรียผมก็ใช้เส้นทางนี้นะ แต่ทำไมผมถึงจำสภาพแวดล้อมรอบๆ ของมันไม่ได้เลยกัน ยิ่งพอได้ผ่านเมืองหรือหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งนึกไม่ออกเลยว่ามีความทรงจำที่ได้พักโรงแรมระหว่างทาง ทานอาหารประจำถิ่นของจุดนั้นๆ หรือเคยเห็นทิวทัศน์ดังกล่าวมาก่อน

 

――พอรู้ตัวแบบนี้มันก็เห็นได้ชัดเลยว่า

 

เมื่อ 5 ปีก่อนผมหมกมุ่นอยู่กับการมองไปแต่ข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมาคิดพิจารณาอะไรเลย ผมทำแค่เพียงก้าวเดินต่อไปและคิดว่าอนาคตที่สดใสจะรอผมอยู่ตรงปลายทาง

 

ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะมองทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวผม แถมผมก็ไม่มีเงินมากพอจะเพลิดเพลินไปกับอาหารระหว่างทางได้ คงไม่แปลกอะไรมั้งหากผมจะไม่มีโอกาสได้สร้างความทรงจำดีๆ ระหว่างการเดินทาง

 

 

ทั้งหมดที่ผมจำได้มีเพียงความเร่าร้อนที่แผดเผาร่าง

 

ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงคนหัวเราะรอบตัวผม ผมก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาหัวเราะตัวผมจนทำให้ผมไหล่สั่น ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือเด็กชายที่เป็นแบบนั้นแหละ

 

หากเป็นไปได้ผมก็อยากจะบอกกับเด็กคนนี้จริงๆ ว่า อนาคต 5 ปีข้างหน้าที่รอนายอยู่น่ะมันมีแต่ความสิ้นหวัง นายจะได้พบกับขีดจำกัดของตัวเองและความผิดพลาดอีกมากมาย

 

ทว่าหากนายผ่านมันไปได้โดยไม่ย่อท้อปลายทางที่สดใสจะรอนายอยู่――นั่นคือสิ่งที่ผมอยากบอกกับเขา

 

 

「แต่เอาเถอะ เราก็ไม่เห็นต้องไปบอกตัวเองเลยนี่ ยังไงเราก็มาถึงตรงนี้แล้ว」

 

ผมหัวเราะออกมาให้กับคำพูดของตัวเอง

 

จากนั้นผมก็มองไปยังข้อมือซ้ายของตัวเองที่กำลังสวมสร้อยข้อมือที่เป็นงานฝีมือ มันเป็นของขวัญจากซูซูเมะที่มอบให้ผมหลังออกจากเมืองอิชกะ โดยบอกว่ามันเหมือนเครื่องรางที่ทำให้สุขภาพดีและปลอดภัยซึ่งนิยมมอบให้กับในหมู่คิจิน

 

นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับหากผมยังก้าวต่อไปข้างหน้า

 

ผมก้าวไปอีกครั้งยังพื้นที่ตัวเองเคยเดินผ่านมาเมื่อ 5 ปี ก่อนจะพุ่งไปด้วยความรวดเร็วราวกับกำลังถูกใครไล่ตามอยู่ จนในที่สุดก็ค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นปลายทางตรงหน้า

 

บ้านเกิดของผมซึ่งอยู่บริเวณทะเลทางเหนือห่างออกไปไม่ไกลจากจุดที่ผมอยู่แล้ว

 

 

◆◆◆

 

 

ทิวทัศน์ของเกาะอสูรยักษ์ช่างดูเหมือนกับผีเสื้อกำลังสยายปีก

 

ผืนแผ่นดินที่ประกบกันจากทางฝั่งซ้ายและเหนือเกือบจะเรียกได้ว่าสมมาตร โดยมีชูโตะซึ่งเป็นเมืองเพียงแห่งเดียวอยู่ใจกลางของเกาะ

 

และบริเวณทางใต้ของชูโตะมีท่าเรือเพียงแห่งเดียวของเกาะที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตั้งอยู่ อันที่จริงมันก็ไม่เหมือนท่าเรืออะไรนักหรอก เพราะมันไม่ได้มีพวกเรือประมงหรือเรือโดยสารมาพักกัน จะให้พูดที่มีอยู่ตรงนั้นก็แค่เรือข้ามฟากซึ่งเชื่อมต่อกับทวีปหลักเท่านั้น แถมยังไปกลับแค่วันละ 2 ครั้งด้วยจึงทำให้บริเวณดังกล่าวเงียบเหงาไม่มีชีวิตชีวา

 

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เรือข้ามฟากที่เดินทางอยู่ก็มีเหล่านักรบจากธงแห่งผืนป่าคุ้มกันอยู่เสมอ เพราะที่นี่คือเกาะอสูรยักษ์ ที่ซึ่งเหล่ามอนสเตอร์สุดแกร่งแพร่กระจายอยู่เต็มไปหมด แถมพวกมันไม่ได้อยู่แค่บนผืนดินด้วย ดังนั้นหากไม่มีพวกเขาอยู่ การเดินทางไปมาคงบอกเลยว่าเป็นไปได้ยาก

 

แน่นอนว่าถึงจะบอกว่าเป็นนักรบจากธงแห่งผืนป่า แต่ก็เป็นแค่พวกระดับล่างเท่านั้น เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกระดับสูงๆ จะมาทำหน้าที่ในการคุ้มกันเรือซึ่งเป็นตำแหน่งต่ำต้อยแบบนี้ ไม่มีทางหรอก…..มันควรจะไม่มีทางสิ――

 

 

「พวกเรากำลังรออยู่เลยครับ ท่านโซระ」

 

โกซุ ชิมะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขล้นที่อัดอยู่ข้างใน

 

ทำไมนายมาอยู่นี่ได้ ผมก็อยากจะถามหรอก แต่คำตอบของมันก็ชัดแล้ว เพราะทางตระกูลมิตสึรุกิเป็นคนเชิญผมมาเองนี่นา

 

การจะเดินทางไปยังเกาะอสูรยักษ์ได้ คนคนนั้นจะต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน เพราะไม่ใช่ว่าใครก็ซื้อตั๋วข้ามฟากได้เสียหน่อยนี่เนอะ แถมตั๋วดังกล่าวก็จะกำหนดวันและเงื่อนไขต่างๆ ไว้เฉพาะแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้บริการได้แค่ 2 ครั้งต่อวัน นั่นคือรอบเช้าและรอบบ่าย

 

ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่ผมซึ่งอยากจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่ตัวเองเฉยๆ จะได้รับตั๋วนั้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สรุปก็คือโกซุที่รู้วันเดินทางแน่ชัดของผมจึงสามารถปรากฏตัวและรอผมในเวลาที่เหมาะสมได้

 

――อันที่จริงผมจะขี่คราว โซราสและวิ่งข้ามทะเลด้วยพลังคิเพื่อทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจก็ได้อยู่หรอก แต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรขนาดนั้นเพราะคงดูไม่จืดแน่หากผมทำไปโดยไม่รู้ว่าจะมีคนรออยู่ตรงปลายทางนั้นหรือไม่

 

 

「ขอขอบคุณที่มารอต้อนรับ ท่านชิมะ」

 

ผมพูดกับเขาอย่างสุภาพและให้เกียรติ

 

ที่ผมมาที่นี่ไม่ได้เพื่อมาหาเรื่อง เหมือนกับตอนที่เจอกับเขาในเมืองอิชกะ ดังนั้นผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสู้กับเขา

 

ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองไปยังหน้าของโกซุ ทันใดนั้นเสียงที่ดูเหมือนงุนงงก็ออกมาจากปากของเขา

 

 

 

「…มีอะไรติดอยู่บนใบหน้าของผมหรือครับ? 」

 

「ก็ไม่หรอก ว่าแต่ผมสามารถเข้าไปในเกาะได้แล้วใช่ไหม หรือต้องทำอะไรอย่างอื่นก่อน? 」

 

 

「ไม่หรอกครับ ท่านสามารถเข้าไปได้ทันที เดี๋ยวผมจะเป็นผู้นำทางท่านไปเอง」

 

 

「งั้นเหรอ ทางนี้ขอรบกวนหน่อยละกัน」

 

ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะก้มหัวคำนับตามมารยาทของจักรวรรดิให้โกซุ

 

ตระกูลมิตสึรุกิก็เป็นหนึ่งในตระกูลชนชั้นสูงของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า แถมไอ้ผมมันก็เป็นสามัญชนธรรมดาไม่มียศอะไรกับเขาด้วย เพราะทางตระกูลก็ตัดขาดกับผมไปแล้ว ดังนั้นผมก็ต้องใช้คำพูดคำจามีมารยาทกับเขาตามธรรมเนียมไป

 

พอเห็นผมทำแบบนั้นแล้ว โกซุก็ยิ้มแห้งๆ ออกมาราวกับจะบอกว่าช่วยไม่ได้สินะ

 

 

「ท่านสามารถเอาชนะนักรบแห่งผืนป่าและเสนอข้อเรียกร้องที่หยาบคายกับนายท่านไปแล้ว ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องแสร้งทำตัวสุภาพเอาตอนนี้หรอกครับ」

 

「ก็ท่านผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอุตส่าห์ตอบรับข้อเรียกร้องที่แสนหยาบคายของผม ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะต้องแสดงความสุภาพกับฝั่งของเขานี่」

 

ผมพูดออกไปโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนลักษณะการพูด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเสียหน่อย ผมไม่ได้อยากจะกลับไปคุยกับพวกเขาอย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนตรงหน้าผมถึงแสดงท่าทีมีความสุขออกมาซะงั้น

 

ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกนะว่าเขาจะคิดยังไง เอาเป็นว่าในตอนนี้ก็ตอบพูดแบบสุภาพไปก่อนแล้วกัน

 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ระวังตัวเลยนะในสถานการณ์แบบนี้

 

เพราะพวกเขาอาจจะเชิญผมมาที่เกาะเพื่อฆ่าผมก็ได้

 

ก็จริงว่าผู้นำตระกูลกับโกซุอาจจะไม่ทำแบบนั้น แต่ตระกูลเบิร์ชนี่ไม่แน่ เพราะตัวผมที่กระทืบลูกบุญธรรมถึง 2 คนของเขาจนทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเสียหาย ก็ไม่แปลกหรอกหากพวกนั้นจะเกลียดผมขึ้นมา

 

พูดถึงลูกบุญธรรมพวกนั้นแล้ว อันที่จริงผมกะจะส่งไคลอากลับมาที่เกาะก่อนที่ผมจะเดินทางมาถึงด้วยซ้ำ

 

แต่ทางเธอก็ปฏิเสธคำเชิญของพวกธงที่ 4 ไม่ยอมให้ผมใช้โอกาสจัดการเธอได้เลยสินะ ทั้งที่เปิดโอกาสให้แล้วตอนเดินทางไปเบลก้า

 

แต่กลับเธอเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ในป่าทีทิสแทนซะอย่างงั้น ผมก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยเธอตามใจอยาก

 

พักหลังมานี้เธอก็เริ่มคุยกับซูซูเมะ ชีล และมิโรสลาฟได้ตามปกติแล้ว แถมเธอยังก้มหัวให้กับผมทันทีที่ผมยอมปล่อยเธอให้ทำตามใจอีก ถึงก่อนออกมาจะเห็นว่าเธอทำตัวเศร้าๆ ก็เถอะ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเธอเสียใจที่อดกินอาหารฝีมือของคุณซาร่าแล้วละมั้ง

 

ผมคิดถึงเรื่องนั้นระหว่างที่เดินทางข้ามฟากมายังเกาะอสูรยักษ์

 

พวกมอนสเตอร์ในทะเลไม่ได้เข้ามาโจมตีพวกผมตอนอยู่บนเรือ บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังคิที่โกซุปล่อยออกมาตรงหัวเรือข่มพวกมันอยู่ก็ได้

 

พอถึงท่าเรือของอีกฟากโดยไม่มีปัญหาใดๆ ระหว่างนั้น คนที่รออยู่ตรงปลายทางก็คือคนที่ผมเคยเรียกว่าพี่สาว เซซิล ชิมะ

 

 

「ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ท่าน…โซระ」

 

ดูเหมือนเธอจะลังเลที่จะเรียกชื่อผมอยู่พักหนึ่ง บางทีอาจะกังวลเกี่ยวกับฏิกิริยาของผมที่มีต่อคำพูดนั้นก็ได้ เพราะในอดีตผมไม่ชอบให้เธอเรียกผมว่า นายน้อย หรือ ท่านโซระ ผมมักจะบอกกับเธอเสมอว่าให้เรียกผมว่าโซระเสมือนว่าเธอเป็นพี่สาวจริงๆ ของผม

 

พอได้มองย้อนกลับไปแล้วมันก็ดูไม่สมเหตุสมผลจริงๆ นั่นแหละ เพราะด้วยสถานะของเธอแล้วไม่มีทางเรียกผมซึ่งเป็นทายาทของตระกูลหลักแบบนั้นได้ แต่เซซิลก็ยังใจดียอมเรียกผมว่าโซระตอนที่พวกเราอยู่กันสองต่อสอง

 

ผมที่นึกถึงคืนวันเหล่านั้นได้ก็ทำการก้มหัวราวกับอยากจะขอโทษเธอ

 

「ขอบคุณที่มารอต้อนรับ ท่านหญิงชิมะ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องเรียกผมอยากให้เกียรติขนาดนั้นก็ได้ เพราะท่านก็เป็นถึงท่านหญิงของผู้นำตระกูล หากท่านทำแบบนั้นเดี๋ยวผมจะถูกตำหนิเอาได้นะครับ」

 

ผมพูดและเงยหน้าขึ้นมองเซซิลที่เงียบไปและทำท่าเหมือนสับสน

 

เมื่อ 5 ปีที่แล้วเส้นผมของเธอถูกรวบมัดเอาไว้เพื่อให้ง่ายต่อการสู้ แต่ตอนนี้เธอกลับปล่อยผมลงหมดแล้ว ร่างกายที่ผอมเพรียวเหมือนกับนักรบก็เปลี่ยนไปกลายเป็นร่างที่ได้ทรวดทรงสมหญิงขึ้น

 

นี่สินะความเปลี่ยนแปลงของนักรบที่กลายเป็นภรรยาติดบ้านไป

 

ผมคิดแบบนั้นก่อนจะละสายตาจากเซซิลและเดินตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิ

 

แต่ก่อนจะทำแบบนั้น โกซุก็ส่งเสียงเรียกผมมาจากด้านหลังจนทำให้ผมหันหน้ากลับไป

 

「ท่านโซระ ได้โปรดช่วยพูดคุยกับน้องสาวของผมสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่ เนื่องจากนางรอที่จะได้พบท่านมาเป็นเดือนๆ แล้วตั้งแต่ที่นายท่านตัดสินใจเรื่องนั้น」

 

「ท่านชิมะ…」

 

มีเพียงแค่ส่วนหัวของผมเท่านั้นที่หันกลับไปมองพี่น้องทั้งสอง

 

ที่ผมไม่เรียกชื่อของเขาก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมได้สนใจความแตกต่างของสองพี่น้องนี้เลยสักนิด

 

「ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุยเล่นนะ นอกจากนี้การปล่อยให้ผู้นำตระกูลที่เรียกผมมาต้องรอ เนื่องจากการพูดคุยของพวกเรา เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ในฐานะรับใช้ของตระกูลท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ? 」

——–

Note 1 : กลับมาละครับ ว่าแต่นึกว่าพี่แกจะตบเบฮีมอธก่อนกลับเกาะ อ่าวไม่แฮะแค่หาข่าว

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+