การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 42 ความลับของเวทไฟ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 42 ความลับของเวทไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 42 ความลับของเวทไฟ

 

 

แม้ว่าร่างของบาซิลิสก์จะถูกไฟลุกท่วมอยู่ แต่มันก็ยังสามารถอาละวาดต่อไปได้อีกสักพักใหญ่

 

ก็ไม่แปลกหรอกเพราะพลังชีวิตของมันไม่ใช่น้อยๆ ซะด้วย นั่นจึงทำให้ผมเลือกใช้เวทอย่าง 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』 เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมัน

 

 

ไม่ว่าบาซิลิสก์จะพยายามดิ้นรนมากแค่ไหน มันก็ไม่อาจจะหลีกหนีไปจากแขนทั้งหกนั้นได้โดยง่าย

 

 

『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』นั้นเป็นเวทระดับสูงที่สามารถใช้ในการโจมตีและจำกัดการเคลื่อนไหว ยิ่งได้พลังคิจากตัวผมเสริมเข้าไปด้วยแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงการหลบหนีออกมาได้โดยง่าย

 

 

ก่อนหน้านี้ที่ผมทำเควสดองของกิลด์ผมก็ใช้เวทนี้แหละในการจัดการพวกสกิลล่า แต่คราวนี้มันเป็นเวอร์ชันที่ทรงพลังกว่ามาก ถ้าหากจอมเวทสามารถเข้าใจถึงพลังคิได้ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็คงจะสูงขึ้นมาก พอผมเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็อดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้เลยแฮะ

 

 

ไม่บอกก็คงรู้ว่าเวทไฟนี้น่ะผมไม่สามารถใช้มันได้ตั้งแต่แรกหรอกเนอะ

 

ถึงแม้ว่า คิของผมจะเพิ่มขึ้นจากการได้รับอาภรณ์วิญญาณมา แต่ตัวผมคนเดียวไม่สามารถทำความเข้าใจกับการใช้เวทมนตร์ได้หรอก

 

 

 

เพราะนอกจากคิ (มานา) แล้วยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ในการร่ายเวทและคนที่ไม่มีองค์ประกอบที่ว่ามาเลยอย่างผมจะไปใช้เวทไฟระดับสูงนี้ได้ยังไงกันล่ะ

 

 

 

แต่คำตอบทั้งหมดก็อยู่ที่มิโรสลาฟ

 

 

ข้อมูลลับทั้งหมดที่จอมเวทผมแดงได้ศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนมาทั้งชีวิต เธอเปิดเผยทุกสิ่งออกมาให้ผมได้รู้

 

ถึงผมจะบอกว่าทุกสิ่งก็เถอะ แต่นอกจากเวทไฟนี่ผมก็ใช้อย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะนะ

 

แต่แค่เวทไฟแล้วมันจะทำไมล่ะ ขอแค่ใช้เวทอย่าง『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ที่เป็นเวทสุดแกร่งของเธอได้ผมก็พอใจแล้ว

 

 

ส่วนถ้าถามว่าที่ใช้ได้เพราะผมมีพรสวรรค์ในการใช้เวทไฟก็ไม่ใช่หรอกนะเออ

 

 

จากที่ผมมานั่งคิดดูผมว่าผลน่าจะมาจากการกินวิญญาณของมิโรสลาฟ เนื่องจากผมใช้เวลาอยู่กับเธอนานพอสมควร วิญญาณที่ผมกินมานั้นก็เยอะด้วย คงจะไม่แปลกอะไรหากส่วนหนึ่งของวิญญาณเธอที่ผมกินมาจะเชื่อมโยงกับเวทไฟเข้า

 

 

แทนที่จะคิดว่าผมสามารถปลุกพรสวรรค์ในการใช้เวทไฟได้เอง ผมว่าเหตุผลเรื่องกินวิญญาณจะเข้าท่ากว่าอีก

 

ถึงมันจะไม่มีอะไรมายืนยันตอนนี้ได้ก็เถอะ

 

 

 

 

แถมจนถึงตอนนี้ วิญญาณของผู้หญิงที่ผมกินไปนอกจากมิโรสลาฟก็มี ลูนามาเรียกับโสเภณีคนนั้นที่ซ่อง….แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สกิลอะไรของลูนามาเรียมาเลย ดังนั้นจึงทำให้ผมไม่มั่นใจในทฤษฎีนี้นัก

 

 

หากผมทำการกินวิญญาณของลูนามาเรียแบบไม่สนใจร่างกายของเธอ เหมือนมิโรสลาฟผลอาจจะต่างออกไปก็ได้…แต่ตอนนี้เธอเป็นแหล่งอาหารเดียวของผมนี่สิ

 

 

นอกจากนั้นตั้งแต่เธอกลายเป็นทาสเธอก็เชื่อฟังผมอย่างดี แถมมีพลังในการสังเกตเห็นถึงมังกรในตัวผมอีก จะให้จัดการจนจิตใจแตกสลายไปเลยก็เสียดายแย่

 

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้ ร่างกายของผมก็เกิดสั่นสะท้านขึ้น

 

 

 

ความรู้สึกทึ่คุ้นเคย ความรู้สึกที่เหมือนกับตอนอยู่ที่ถ้ำราชาแมลงวัน ตอนที่สังหารมันและได้รับวิญญาณมา บาซิลิกส์มันน่าจะถูกไฟเผาตายแล้วสินะ

 

 

ก็ถือว่าเป็นข่าวดี แต่ก็แย่นิดหน่อยที่เลเวลของผมดันไม่อัพ

 

 

ครั้งล่าสุดที่ผมอัพเลเวลมาก็ตอนที่ไปปราบกริฟฟอน ถึงมันจะผ่านมาไม่นานนัก แต่ผมที่ผมฆ่าไปก็ระดับราชาเลยนะแล้วทำไมเลเวลของผมถึงไม่เพิ่มขึ้นล่ะ

 

 

ทั้งที่ตอนผมอยู่ในถ้ำราชาแมลงวันเลเวลยังไหลเป็นน้ำเลยแท้ๆ

 

 

ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นร่างของเด็กสาวตรงหน้าสั่นอย่างรุนแรงก่อนละล้มลงไป

 

 

ผมจับร่างของเธอไว้ได้ทันก่อนจะถึงพื้น

 

 

พอดูแล้วเธอน่าจะหมดสติไป แต่สีหน้าที่ซีดเซียวแบบนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเจ้านั่น

 

 

ตอนแรกผมก็ว่าจะให้เธอไปพักรอในบ้านแถวนี้ก่อนแต่ผมก็ดันเผาฟุไคนี่จนวอดวายหมดแล้ว ผมจึงต้องอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแทน

 

 

ควันที่เกิดจากการเผาไหม้มีสีม่วงเข้มแทนที่จะเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากพิษซึ่งน่าจะทำอันตรายกับร่างกายของพวกผมได้ด้วย

 

 

 

บางทีร่างกายของพวกผมอาจจะได้รับพิษนี้มาจากลมที่พัดไปมา

 

นอกจากนั้นหากให้เธออยู่ใกล้กับไฟที่ลุกแบบนี้ บางทีมันอาจจะลามเข้าไปเผาหมู่บ้านด้วยก็ได้

 

 

ตัวเลือกในการจะอยู่ที่นี่ต่อจึงถูกปัดตกไป

 

 

หรือว่าผมใจร้อนเกินไปกันนะที่ใช้เวทไฟแบบนี้ ไม่สิหากปล่อยให้ฟุไคมันแพร่ไปได้มากกว่านี้ คงจะไม่จบแค่ในป่าแต่มันจะลามไปถึงในเมืองแน่

 

 

 

ยังไงป่าที่ถูกเผาไหม้ก็ยังดีกว่าปีที่ถูกฟุไคกลืนกินแหละนะ แต่ปัญหาอยู่ที่เด็กคนนี้น่ะสิ เธอเสียบ้านเกิดไปแล้วจากนี้เธอจะทำยังไงต่อ

 

 

「เอาเป็นว่าออกจากที่นี่ก่อนแล้วกัน เป็นไปได้ว่าพวกเราอาจจะถูกโจมตีจากอย่างอื่นที่ไม่ใช่บาซิลิสก์ด้วยสิ」

 

 

ผมไม่ลืมหรอกนะว่าตอนนี้พวกเราทั้งคู่ยังไม่ปลอดภัย

 

ผมอุ้มเด็กสาวคนนี้ออกจากหมู่บ้านคิจินไปขณะระวังรอบๆ

 

 

◆◆◆

 

 

จากนั้นผมก็มุ่งหน้าไปทางถ้ำของราชาแมลงวัน

 

 

พอออกมาจากที่หมู่บ้าน ไม่นานนักผมก็เห็นต้นจิไรอาโอคุสมันเป็นต้นไม้ยักษ์ที่ผลของมันช่วยในการแก้พิษได้

 

 

พอเจอเจ้าต้นนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะหาเส้นทางไปยังถ้ำราชาแมลงวัน

 

 

เสบียงของใช้ต่างๆ ยังคงอยู่ภายในถ้ำนั้นเหมือนกับตอนที่ผมจับมิโรสลาฟมาขังไว้

 

 

 

เพราะตอนแรกของที่เหลืออยู่นี่ผมตั้งใจว่าจะใช้มันกับอิเรียไม่ก็พนักงานต้อนรับกิลด์ ถึงของที่มีอยู่มันจะถูกเอามาใช้ผิดคนแต่ก็เอาเถอะ 

 

 

 

เอาเป็นว่าสุดท้ายมันก็ทำให้พวกผมสามารถเข้าไปกบดานได้อย่างสะดวกสบาย

 

 

 

ก่อนหน้าที่ผมจะต้องปีนหน้าผาเพื่อเข้าถ้ำอย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ผมได้ติดตั้งบันไดเอาไว้ตามผนังเรียบร้อยแล้ว

 

 

ถึงผมจะเรียกมันว่าบันได แต่เอาจริงๆ มันก็แค่กิ่งไม้ยาวๆ ที่ติดเอาไว้บนผนังเท่านั้นเอง

 

สำหรับคนที่ใช้คิอย่างผมได้ ถึงจะเป็นกิ่งไม้มันก็เพียงพอให้เรียกว่าบันไดได้แล้ว แม้จะต้องอุ้มเด็กสาวกลับมาด้วยก็ไม่ใช่ปัญหา

 

 

ไม่นานนักผมก็มาถึงด้านล่างอย่างปลอดภัย

 

 

ผมกังวลนิดหน่อยว่าถ้ำนี้อาจจะมีพวกมอนสเตอร์ประหลาดมาอาศัยอยู่ระหว่างที่ผมออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ว่าแล้วผมก็วางเด็กสาวลงที่เตียง

 

 

เตียงนี้ก่อนหน้าถูกใช้โดยมิโรสลาฟมาก่อน มันอาจจะมีคราบแปลกๆ ติดอยู่บ้าง….แต่ก็น่าจะดีกว่าใช้เตียงผมแหละนะ…อื้อ ดีกว่าแหละๆ

 

เฮ้อในที่สุดผมก็ได้พักเสียที ระหว่างพักผมก็ยัดผลไม้ที่เก็บมาจากต้นจิไรอาโอคุสเข้าปากไป

 

 

เพราะผมคิดว่าบางทีผมอาจจะได้รับพิษจากบาซิลิสก์เข้าไปด้วยก็ได้

 

จะว่าไปพอพูดถึงเรื่องพิษ ผมก็กังวลที่เด็กคนนั้นสัมผัสตัวบาซิลิสก์โดยตรงอยู่หรอก แต่ใครมันจะไปยัดผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นใส่ปากเด็กสาวที่สลบอยู่ได้กันล่ะ เกิดใครรู้เข้าก็คงจะมองผลแปลกๆ แน่

 

 

พอผมลองฟังจังหวะการหายใจของเธอดูก็พบว่าตอนนี้เธอยังไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงนัก บางทีคิจินอาจจะต้านพิษได้ดีกว่ามนุษย์ก็ได้

 

รอจนกว่าเธอจะตื่นมากินเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

 

เอาเป็นว่าเผื่อสถานการณ์เกิดเปลี่ยนไปกะทันหัน ผมจะเฝ้าเธออยู่ข้างๆ นี่ก็แล้วกัน

 

สรุปก็คือตอนนี้ บาซิลิกซ์ก็ตายไปแล้ว เด็กสาวคนนี้ก็ช่วยเอาไว้ได้ ทางผมก็ปลอดภัยดี

 

 

ผลลัพธ์ดูเหมือนจะจบลงอย่างมีความสุข แต่…จากนี้ไปจะเอายังไงกับเธอต่อดีล่ะ

 

หากเธอกลับไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านคิจิน ชีวิตต่อจากนี้ก็คงจะไม่ง่ายแน่เพราะนอกจากเธอผมก็ไม่เห็นคิจินตนอื่นอีกเลย

 

 

 

ถึงผมจะให้เธออยู่ในรังนี้ได้ แต่พื้นที่โดยรอบก็ถูกเผาไม่ก็ผุพังไปหมดแล้ว…จะหาอาหารก็คงยาก

 

 

เพราะเธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่หิวสักหน่อย พวกสัตว์อสูรรอบๆ ป่านี่ก็คงหิวไม่แพ้กัน

 

 

เธอไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้แน่

 

 

「เอาเถอะ รอเธอตื่นค่อยว่ากันอีกที」

 

 

ผมพึมพำออกมาก่อนจะหาว

 

นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่ผมรับงานมาส่งพวกเคียวแห่งยมทูตผ่านไวเวิร์นมายังป่านี่

 

พลังงานที่ใช้ไปถึงจะมีเหลือบ้าง แต่ร่างกายของผมที่ใช้มาจนถึงก่อนหน้านี้ก็หนักพอสมควร

 

 

ดังนั้นหากได้งีบสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย

 

 

ว่าแล้วผมก็ปิดตาลง

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 42 ความลับของเวทไฟ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 42 ความลับของเวทไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 42 ความลับของเวทไฟ

 

 

แม้ว่าร่างของบาซิลิสก์จะถูกไฟลุกท่วมอยู่ แต่มันก็ยังสามารถอาละวาดต่อไปได้อีกสักพักใหญ่

 

ก็ไม่แปลกหรอกเพราะพลังชีวิตของมันไม่ใช่น้อยๆ ซะด้วย นั่นจึงทำให้ผมเลือกใช้เวทอย่าง 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』 เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมัน

 

 

ไม่ว่าบาซิลิสก์จะพยายามดิ้นรนมากแค่ไหน มันก็ไม่อาจจะหลีกหนีไปจากแขนทั้งหกนั้นได้โดยง่าย

 

 

『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』นั้นเป็นเวทระดับสูงที่สามารถใช้ในการโจมตีและจำกัดการเคลื่อนไหว ยิ่งได้พลังคิจากตัวผมเสริมเข้าไปด้วยแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงการหลบหนีออกมาได้โดยง่าย

 

 

ก่อนหน้านี้ที่ผมทำเควสดองของกิลด์ผมก็ใช้เวทนี้แหละในการจัดการพวกสกิลล่า แต่คราวนี้มันเป็นเวอร์ชันที่ทรงพลังกว่ามาก ถ้าหากจอมเวทสามารถเข้าใจถึงพลังคิได้ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็คงจะสูงขึ้นมาก พอผมเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็อดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้เลยแฮะ

 

 

ไม่บอกก็คงรู้ว่าเวทไฟนี้น่ะผมไม่สามารถใช้มันได้ตั้งแต่แรกหรอกเนอะ

 

ถึงแม้ว่า คิของผมจะเพิ่มขึ้นจากการได้รับอาภรณ์วิญญาณมา แต่ตัวผมคนเดียวไม่สามารถทำความเข้าใจกับการใช้เวทมนตร์ได้หรอก

 

 

 

เพราะนอกจากคิ (มานา) แล้วยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ในการร่ายเวทและคนที่ไม่มีองค์ประกอบที่ว่ามาเลยอย่างผมจะไปใช้เวทไฟระดับสูงนี้ได้ยังไงกันล่ะ

 

 

 

แต่คำตอบทั้งหมดก็อยู่ที่มิโรสลาฟ

 

 

ข้อมูลลับทั้งหมดที่จอมเวทผมแดงได้ศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนมาทั้งชีวิต เธอเปิดเผยทุกสิ่งออกมาให้ผมได้รู้

 

ถึงผมจะบอกว่าทุกสิ่งก็เถอะ แต่นอกจากเวทไฟนี่ผมก็ใช้อย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะนะ

 

แต่แค่เวทไฟแล้วมันจะทำไมล่ะ ขอแค่ใช้เวทอย่าง『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ที่เป็นเวทสุดแกร่งของเธอได้ผมก็พอใจแล้ว

 

 

ส่วนถ้าถามว่าที่ใช้ได้เพราะผมมีพรสวรรค์ในการใช้เวทไฟก็ไม่ใช่หรอกนะเออ

 

 

จากที่ผมมานั่งคิดดูผมว่าผลน่าจะมาจากการกินวิญญาณของมิโรสลาฟ เนื่องจากผมใช้เวลาอยู่กับเธอนานพอสมควร วิญญาณที่ผมกินมานั้นก็เยอะด้วย คงจะไม่แปลกอะไรหากส่วนหนึ่งของวิญญาณเธอที่ผมกินมาจะเชื่อมโยงกับเวทไฟเข้า

 

 

แทนที่จะคิดว่าผมสามารถปลุกพรสวรรค์ในการใช้เวทไฟได้เอง ผมว่าเหตุผลเรื่องกินวิญญาณจะเข้าท่ากว่าอีก

 

ถึงมันจะไม่มีอะไรมายืนยันตอนนี้ได้ก็เถอะ

 

 

 

 

แถมจนถึงตอนนี้ วิญญาณของผู้หญิงที่ผมกินไปนอกจากมิโรสลาฟก็มี ลูนามาเรียกับโสเภณีคนนั้นที่ซ่อง….แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สกิลอะไรของลูนามาเรียมาเลย ดังนั้นจึงทำให้ผมไม่มั่นใจในทฤษฎีนี้นัก

 

 

หากผมทำการกินวิญญาณของลูนามาเรียแบบไม่สนใจร่างกายของเธอ เหมือนมิโรสลาฟผลอาจจะต่างออกไปก็ได้…แต่ตอนนี้เธอเป็นแหล่งอาหารเดียวของผมนี่สิ

 

 

นอกจากนั้นตั้งแต่เธอกลายเป็นทาสเธอก็เชื่อฟังผมอย่างดี แถมมีพลังในการสังเกตเห็นถึงมังกรในตัวผมอีก จะให้จัดการจนจิตใจแตกสลายไปเลยก็เสียดายแย่

 

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้ ร่างกายของผมก็เกิดสั่นสะท้านขึ้น

 

 

 

ความรู้สึกทึ่คุ้นเคย ความรู้สึกที่เหมือนกับตอนอยู่ที่ถ้ำราชาแมลงวัน ตอนที่สังหารมันและได้รับวิญญาณมา บาซิลิกส์มันน่าจะถูกไฟเผาตายแล้วสินะ

 

 

ก็ถือว่าเป็นข่าวดี แต่ก็แย่นิดหน่อยที่เลเวลของผมดันไม่อัพ

 

 

ครั้งล่าสุดที่ผมอัพเลเวลมาก็ตอนที่ไปปราบกริฟฟอน ถึงมันจะผ่านมาไม่นานนัก แต่ผมที่ผมฆ่าไปก็ระดับราชาเลยนะแล้วทำไมเลเวลของผมถึงไม่เพิ่มขึ้นล่ะ

 

 

ทั้งที่ตอนผมอยู่ในถ้ำราชาแมลงวันเลเวลยังไหลเป็นน้ำเลยแท้ๆ

 

 

ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นร่างของเด็กสาวตรงหน้าสั่นอย่างรุนแรงก่อนละล้มลงไป

 

 

ผมจับร่างของเธอไว้ได้ทันก่อนจะถึงพื้น

 

 

พอดูแล้วเธอน่าจะหมดสติไป แต่สีหน้าที่ซีดเซียวแบบนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเจ้านั่น

 

 

ตอนแรกผมก็ว่าจะให้เธอไปพักรอในบ้านแถวนี้ก่อนแต่ผมก็ดันเผาฟุไคนี่จนวอดวายหมดแล้ว ผมจึงต้องอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแทน

 

 

ควันที่เกิดจากการเผาไหม้มีสีม่วงเข้มแทนที่จะเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากพิษซึ่งน่าจะทำอันตรายกับร่างกายของพวกผมได้ด้วย

 

 

 

บางทีร่างกายของพวกผมอาจจะได้รับพิษนี้มาจากลมที่พัดไปมา

 

นอกจากนั้นหากให้เธออยู่ใกล้กับไฟที่ลุกแบบนี้ บางทีมันอาจจะลามเข้าไปเผาหมู่บ้านด้วยก็ได้

 

 

ตัวเลือกในการจะอยู่ที่นี่ต่อจึงถูกปัดตกไป

 

 

หรือว่าผมใจร้อนเกินไปกันนะที่ใช้เวทไฟแบบนี้ ไม่สิหากปล่อยให้ฟุไคมันแพร่ไปได้มากกว่านี้ คงจะไม่จบแค่ในป่าแต่มันจะลามไปถึงในเมืองแน่

 

 

 

ยังไงป่าที่ถูกเผาไหม้ก็ยังดีกว่าปีที่ถูกฟุไคกลืนกินแหละนะ แต่ปัญหาอยู่ที่เด็กคนนี้น่ะสิ เธอเสียบ้านเกิดไปแล้วจากนี้เธอจะทำยังไงต่อ

 

 

「เอาเป็นว่าออกจากที่นี่ก่อนแล้วกัน เป็นไปได้ว่าพวกเราอาจจะถูกโจมตีจากอย่างอื่นที่ไม่ใช่บาซิลิสก์ด้วยสิ」

 

 

ผมไม่ลืมหรอกนะว่าตอนนี้พวกเราทั้งคู่ยังไม่ปลอดภัย

 

ผมอุ้มเด็กสาวคนนี้ออกจากหมู่บ้านคิจินไปขณะระวังรอบๆ

 

 

◆◆◆

 

 

จากนั้นผมก็มุ่งหน้าไปทางถ้ำของราชาแมลงวัน

 

 

พอออกมาจากที่หมู่บ้าน ไม่นานนักผมก็เห็นต้นจิไรอาโอคุสมันเป็นต้นไม้ยักษ์ที่ผลของมันช่วยในการแก้พิษได้

 

 

พอเจอเจ้าต้นนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะหาเส้นทางไปยังถ้ำราชาแมลงวัน

 

 

เสบียงของใช้ต่างๆ ยังคงอยู่ภายในถ้ำนั้นเหมือนกับตอนที่ผมจับมิโรสลาฟมาขังไว้

 

 

 

เพราะตอนแรกของที่เหลืออยู่นี่ผมตั้งใจว่าจะใช้มันกับอิเรียไม่ก็พนักงานต้อนรับกิลด์ ถึงของที่มีอยู่มันจะถูกเอามาใช้ผิดคนแต่ก็เอาเถอะ 

 

 

 

เอาเป็นว่าสุดท้ายมันก็ทำให้พวกผมสามารถเข้าไปกบดานได้อย่างสะดวกสบาย

 

 

 

ก่อนหน้าที่ผมจะต้องปีนหน้าผาเพื่อเข้าถ้ำอย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ผมได้ติดตั้งบันไดเอาไว้ตามผนังเรียบร้อยแล้ว

 

 

ถึงผมจะเรียกมันว่าบันได แต่เอาจริงๆ มันก็แค่กิ่งไม้ยาวๆ ที่ติดเอาไว้บนผนังเท่านั้นเอง

 

สำหรับคนที่ใช้คิอย่างผมได้ ถึงจะเป็นกิ่งไม้มันก็เพียงพอให้เรียกว่าบันไดได้แล้ว แม้จะต้องอุ้มเด็กสาวกลับมาด้วยก็ไม่ใช่ปัญหา

 

 

ไม่นานนักผมก็มาถึงด้านล่างอย่างปลอดภัย

 

 

ผมกังวลนิดหน่อยว่าถ้ำนี้อาจจะมีพวกมอนสเตอร์ประหลาดมาอาศัยอยู่ระหว่างที่ผมออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ว่าแล้วผมก็วางเด็กสาวลงที่เตียง

 

 

เตียงนี้ก่อนหน้าถูกใช้โดยมิโรสลาฟมาก่อน มันอาจจะมีคราบแปลกๆ ติดอยู่บ้าง….แต่ก็น่าจะดีกว่าใช้เตียงผมแหละนะ…อื้อ ดีกว่าแหละๆ

 

เฮ้อในที่สุดผมก็ได้พักเสียที ระหว่างพักผมก็ยัดผลไม้ที่เก็บมาจากต้นจิไรอาโอคุสเข้าปากไป

 

 

เพราะผมคิดว่าบางทีผมอาจจะได้รับพิษจากบาซิลิสก์เข้าไปด้วยก็ได้

 

จะว่าไปพอพูดถึงเรื่องพิษ ผมก็กังวลที่เด็กคนนั้นสัมผัสตัวบาซิลิสก์โดยตรงอยู่หรอก แต่ใครมันจะไปยัดผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นใส่ปากเด็กสาวที่สลบอยู่ได้กันล่ะ เกิดใครรู้เข้าก็คงจะมองผลแปลกๆ แน่

 

 

พอผมลองฟังจังหวะการหายใจของเธอดูก็พบว่าตอนนี้เธอยังไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงนัก บางทีคิจินอาจจะต้านพิษได้ดีกว่ามนุษย์ก็ได้

 

รอจนกว่าเธอจะตื่นมากินเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

 

เอาเป็นว่าเผื่อสถานการณ์เกิดเปลี่ยนไปกะทันหัน ผมจะเฝ้าเธออยู่ข้างๆ นี่ก็แล้วกัน

 

สรุปก็คือตอนนี้ บาซิลิกซ์ก็ตายไปแล้ว เด็กสาวคนนี้ก็ช่วยเอาไว้ได้ ทางผมก็ปลอดภัยดี

 

 

ผลลัพธ์ดูเหมือนจะจบลงอย่างมีความสุข แต่…จากนี้ไปจะเอายังไงกับเธอต่อดีล่ะ

 

หากเธอกลับไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านคิจิน ชีวิตต่อจากนี้ก็คงจะไม่ง่ายแน่เพราะนอกจากเธอผมก็ไม่เห็นคิจินตนอื่นอีกเลย

 

 

 

ถึงผมจะให้เธออยู่ในรังนี้ได้ แต่พื้นที่โดยรอบก็ถูกเผาไม่ก็ผุพังไปหมดแล้ว…จะหาอาหารก็คงยาก

 

 

เพราะเธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่หิวสักหน่อย พวกสัตว์อสูรรอบๆ ป่านี่ก็คงหิวไม่แพ้กัน

 

 

เธอไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้แน่

 

 

「เอาเถอะ รอเธอตื่นค่อยว่ากันอีกที」

 

 

ผมพึมพำออกมาก่อนจะหาว

 

นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่ผมรับงานมาส่งพวกเคียวแห่งยมทูตผ่านไวเวิร์นมายังป่านี่

 

พลังงานที่ใช้ไปถึงจะมีเหลือบ้าง แต่ร่างกายของผมที่ใช้มาจนถึงก่อนหน้านี้ก็หนักพอสมควร

 

 

ดังนั้นหากได้งีบสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย

 

 

ว่าแล้วผมก็ปิดตาลง

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 42 ความลับของเวทไฟ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 42 ความลับของเวทไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 42 ความลับของเวทไฟ

 

 

แม้ว่าร่างของบาซิลิสก์จะถูกไฟลุกท่วมอยู่ แต่มันก็ยังสามารถอาละวาดต่อไปได้อีกสักพักใหญ่

 

ก็ไม่แปลกหรอกเพราะพลังชีวิตของมันไม่ใช่น้อยๆ ซะด้วย นั่นจึงทำให้ผมเลือกใช้เวทอย่าง 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』 เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมัน

 

 

ไม่ว่าบาซิลิสก์จะพยายามดิ้นรนมากแค่ไหน มันก็ไม่อาจจะหลีกหนีไปจากแขนทั้งหกนั้นได้โดยง่าย

 

 

『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』นั้นเป็นเวทระดับสูงที่สามารถใช้ในการโจมตีและจำกัดการเคลื่อนไหว ยิ่งได้พลังคิจากตัวผมเสริมเข้าไปด้วยแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงการหลบหนีออกมาได้โดยง่าย

 

 

ก่อนหน้านี้ที่ผมทำเควสดองของกิลด์ผมก็ใช้เวทนี้แหละในการจัดการพวกสกิลล่า แต่คราวนี้มันเป็นเวอร์ชันที่ทรงพลังกว่ามาก ถ้าหากจอมเวทสามารถเข้าใจถึงพลังคิได้ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็คงจะสูงขึ้นมาก พอผมเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็อดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้เลยแฮะ

 

 

ไม่บอกก็คงรู้ว่าเวทไฟนี้น่ะผมไม่สามารถใช้มันได้ตั้งแต่แรกหรอกเนอะ

 

ถึงแม้ว่า คิของผมจะเพิ่มขึ้นจากการได้รับอาภรณ์วิญญาณมา แต่ตัวผมคนเดียวไม่สามารถทำความเข้าใจกับการใช้เวทมนตร์ได้หรอก

 

 

 

เพราะนอกจากคิ (มานา) แล้วยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ในการร่ายเวทและคนที่ไม่มีองค์ประกอบที่ว่ามาเลยอย่างผมจะไปใช้เวทไฟระดับสูงนี้ได้ยังไงกันล่ะ

 

 

 

แต่คำตอบทั้งหมดก็อยู่ที่มิโรสลาฟ

 

 

ข้อมูลลับทั้งหมดที่จอมเวทผมแดงได้ศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนมาทั้งชีวิต เธอเปิดเผยทุกสิ่งออกมาให้ผมได้รู้

 

ถึงผมจะบอกว่าทุกสิ่งก็เถอะ แต่นอกจากเวทไฟนี่ผมก็ใช้อย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะนะ

 

แต่แค่เวทไฟแล้วมันจะทำไมล่ะ ขอแค่ใช้เวทอย่าง『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ที่เป็นเวทสุดแกร่งของเธอได้ผมก็พอใจแล้ว

 

 

ส่วนถ้าถามว่าที่ใช้ได้เพราะผมมีพรสวรรค์ในการใช้เวทไฟก็ไม่ใช่หรอกนะเออ

 

 

จากที่ผมมานั่งคิดดูผมว่าผลน่าจะมาจากการกินวิญญาณของมิโรสลาฟ เนื่องจากผมใช้เวลาอยู่กับเธอนานพอสมควร วิญญาณที่ผมกินมานั้นก็เยอะด้วย คงจะไม่แปลกอะไรหากส่วนหนึ่งของวิญญาณเธอที่ผมกินมาจะเชื่อมโยงกับเวทไฟเข้า

 

 

แทนที่จะคิดว่าผมสามารถปลุกพรสวรรค์ในการใช้เวทไฟได้เอง ผมว่าเหตุผลเรื่องกินวิญญาณจะเข้าท่ากว่าอีก

 

ถึงมันจะไม่มีอะไรมายืนยันตอนนี้ได้ก็เถอะ

 

 

 

 

แถมจนถึงตอนนี้ วิญญาณของผู้หญิงที่ผมกินไปนอกจากมิโรสลาฟก็มี ลูนามาเรียกับโสเภณีคนนั้นที่ซ่อง….แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สกิลอะไรของลูนามาเรียมาเลย ดังนั้นจึงทำให้ผมไม่มั่นใจในทฤษฎีนี้นัก

 

 

หากผมทำการกินวิญญาณของลูนามาเรียแบบไม่สนใจร่างกายของเธอ เหมือนมิโรสลาฟผลอาจจะต่างออกไปก็ได้…แต่ตอนนี้เธอเป็นแหล่งอาหารเดียวของผมนี่สิ

 

 

นอกจากนั้นตั้งแต่เธอกลายเป็นทาสเธอก็เชื่อฟังผมอย่างดี แถมมีพลังในการสังเกตเห็นถึงมังกรในตัวผมอีก จะให้จัดการจนจิตใจแตกสลายไปเลยก็เสียดายแย่

 

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้ ร่างกายของผมก็เกิดสั่นสะท้านขึ้น

 

 

 

ความรู้สึกทึ่คุ้นเคย ความรู้สึกที่เหมือนกับตอนอยู่ที่ถ้ำราชาแมลงวัน ตอนที่สังหารมันและได้รับวิญญาณมา บาซิลิกส์มันน่าจะถูกไฟเผาตายแล้วสินะ

 

 

ก็ถือว่าเป็นข่าวดี แต่ก็แย่นิดหน่อยที่เลเวลของผมดันไม่อัพ

 

 

ครั้งล่าสุดที่ผมอัพเลเวลมาก็ตอนที่ไปปราบกริฟฟอน ถึงมันจะผ่านมาไม่นานนัก แต่ผมที่ผมฆ่าไปก็ระดับราชาเลยนะแล้วทำไมเลเวลของผมถึงไม่เพิ่มขึ้นล่ะ

 

 

ทั้งที่ตอนผมอยู่ในถ้ำราชาแมลงวันเลเวลยังไหลเป็นน้ำเลยแท้ๆ

 

 

ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นร่างของเด็กสาวตรงหน้าสั่นอย่างรุนแรงก่อนละล้มลงไป

 

 

ผมจับร่างของเธอไว้ได้ทันก่อนจะถึงพื้น

 

 

พอดูแล้วเธอน่าจะหมดสติไป แต่สีหน้าที่ซีดเซียวแบบนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเจ้านั่น

 

 

ตอนแรกผมก็ว่าจะให้เธอไปพักรอในบ้านแถวนี้ก่อนแต่ผมก็ดันเผาฟุไคนี่จนวอดวายหมดแล้ว ผมจึงต้องอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแทน

 

 

ควันที่เกิดจากการเผาไหม้มีสีม่วงเข้มแทนที่จะเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากพิษซึ่งน่าจะทำอันตรายกับร่างกายของพวกผมได้ด้วย

 

 

 

บางทีร่างกายของพวกผมอาจจะได้รับพิษนี้มาจากลมที่พัดไปมา

 

นอกจากนั้นหากให้เธออยู่ใกล้กับไฟที่ลุกแบบนี้ บางทีมันอาจจะลามเข้าไปเผาหมู่บ้านด้วยก็ได้

 

 

ตัวเลือกในการจะอยู่ที่นี่ต่อจึงถูกปัดตกไป

 

 

หรือว่าผมใจร้อนเกินไปกันนะที่ใช้เวทไฟแบบนี้ ไม่สิหากปล่อยให้ฟุไคมันแพร่ไปได้มากกว่านี้ คงจะไม่จบแค่ในป่าแต่มันจะลามไปถึงในเมืองแน่

 

 

 

ยังไงป่าที่ถูกเผาไหม้ก็ยังดีกว่าปีที่ถูกฟุไคกลืนกินแหละนะ แต่ปัญหาอยู่ที่เด็กคนนี้น่ะสิ เธอเสียบ้านเกิดไปแล้วจากนี้เธอจะทำยังไงต่อ

 

 

「เอาเป็นว่าออกจากที่นี่ก่อนแล้วกัน เป็นไปได้ว่าพวกเราอาจจะถูกโจมตีจากอย่างอื่นที่ไม่ใช่บาซิลิสก์ด้วยสิ」

 

 

ผมไม่ลืมหรอกนะว่าตอนนี้พวกเราทั้งคู่ยังไม่ปลอดภัย

 

ผมอุ้มเด็กสาวคนนี้ออกจากหมู่บ้านคิจินไปขณะระวังรอบๆ

 

 

◆◆◆

 

 

จากนั้นผมก็มุ่งหน้าไปทางถ้ำของราชาแมลงวัน

 

 

พอออกมาจากที่หมู่บ้าน ไม่นานนักผมก็เห็นต้นจิไรอาโอคุสมันเป็นต้นไม้ยักษ์ที่ผลของมันช่วยในการแก้พิษได้

 

 

พอเจอเจ้าต้นนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะหาเส้นทางไปยังถ้ำราชาแมลงวัน

 

 

เสบียงของใช้ต่างๆ ยังคงอยู่ภายในถ้ำนั้นเหมือนกับตอนที่ผมจับมิโรสลาฟมาขังไว้

 

 

 

เพราะตอนแรกของที่เหลืออยู่นี่ผมตั้งใจว่าจะใช้มันกับอิเรียไม่ก็พนักงานต้อนรับกิลด์ ถึงของที่มีอยู่มันจะถูกเอามาใช้ผิดคนแต่ก็เอาเถอะ 

 

 

 

เอาเป็นว่าสุดท้ายมันก็ทำให้พวกผมสามารถเข้าไปกบดานได้อย่างสะดวกสบาย

 

 

 

ก่อนหน้าที่ผมจะต้องปีนหน้าผาเพื่อเข้าถ้ำอย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ผมได้ติดตั้งบันไดเอาไว้ตามผนังเรียบร้อยแล้ว

 

 

ถึงผมจะเรียกมันว่าบันได แต่เอาจริงๆ มันก็แค่กิ่งไม้ยาวๆ ที่ติดเอาไว้บนผนังเท่านั้นเอง

 

สำหรับคนที่ใช้คิอย่างผมได้ ถึงจะเป็นกิ่งไม้มันก็เพียงพอให้เรียกว่าบันไดได้แล้ว แม้จะต้องอุ้มเด็กสาวกลับมาด้วยก็ไม่ใช่ปัญหา

 

 

ไม่นานนักผมก็มาถึงด้านล่างอย่างปลอดภัย

 

 

ผมกังวลนิดหน่อยว่าถ้ำนี้อาจจะมีพวกมอนสเตอร์ประหลาดมาอาศัยอยู่ระหว่างที่ผมออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ว่าแล้วผมก็วางเด็กสาวลงที่เตียง

 

 

เตียงนี้ก่อนหน้าถูกใช้โดยมิโรสลาฟมาก่อน มันอาจจะมีคราบแปลกๆ ติดอยู่บ้าง….แต่ก็น่าจะดีกว่าใช้เตียงผมแหละนะ…อื้อ ดีกว่าแหละๆ

 

เฮ้อในที่สุดผมก็ได้พักเสียที ระหว่างพักผมก็ยัดผลไม้ที่เก็บมาจากต้นจิไรอาโอคุสเข้าปากไป

 

 

เพราะผมคิดว่าบางทีผมอาจจะได้รับพิษจากบาซิลิสก์เข้าไปด้วยก็ได้

 

จะว่าไปพอพูดถึงเรื่องพิษ ผมก็กังวลที่เด็กคนนั้นสัมผัสตัวบาซิลิสก์โดยตรงอยู่หรอก แต่ใครมันจะไปยัดผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นใส่ปากเด็กสาวที่สลบอยู่ได้กันล่ะ เกิดใครรู้เข้าก็คงจะมองผลแปลกๆ แน่

 

 

พอผมลองฟังจังหวะการหายใจของเธอดูก็พบว่าตอนนี้เธอยังไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงนัก บางทีคิจินอาจจะต้านพิษได้ดีกว่ามนุษย์ก็ได้

 

รอจนกว่าเธอจะตื่นมากินเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

 

เอาเป็นว่าเผื่อสถานการณ์เกิดเปลี่ยนไปกะทันหัน ผมจะเฝ้าเธออยู่ข้างๆ นี่ก็แล้วกัน

 

สรุปก็คือตอนนี้ บาซิลิกซ์ก็ตายไปแล้ว เด็กสาวคนนี้ก็ช่วยเอาไว้ได้ ทางผมก็ปลอดภัยดี

 

 

ผลลัพธ์ดูเหมือนจะจบลงอย่างมีความสุข แต่…จากนี้ไปจะเอายังไงกับเธอต่อดีล่ะ

 

หากเธอกลับไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านคิจิน ชีวิตต่อจากนี้ก็คงจะไม่ง่ายแน่เพราะนอกจากเธอผมก็ไม่เห็นคิจินตนอื่นอีกเลย

 

 

 

ถึงผมจะให้เธออยู่ในรังนี้ได้ แต่พื้นที่โดยรอบก็ถูกเผาไม่ก็ผุพังไปหมดแล้ว…จะหาอาหารก็คงยาก

 

 

เพราะเธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่หิวสักหน่อย พวกสัตว์อสูรรอบๆ ป่านี่ก็คงหิวไม่แพ้กัน

 

 

เธอไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้แน่

 

 

「เอาเถอะ รอเธอตื่นค่อยว่ากันอีกที」

 

 

ผมพึมพำออกมาก่อนจะหาว

 

นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่ผมรับงานมาส่งพวกเคียวแห่งยมทูตผ่านไวเวิร์นมายังป่านี่

 

พลังงานที่ใช้ไปถึงจะมีเหลือบ้าง แต่ร่างกายของผมที่ใช้มาจนถึงก่อนหน้านี้ก็หนักพอสมควร

 

 

ดังนั้นหากได้งีบสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย

 

 

ว่าแล้วผมก็ปิดตาลง

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+