การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 153 การสนทนายามค่ำคืน

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 153 การสนทนายามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 153 สนทนายามค่ำคืน

 

「….เอ่อ มาสเตอร์ค่ะ」

 

 

 

ในช่วงกลางดึกผมได้เรียกลูนามาเรียมาที่ห้องของผม ก่อนจะเริ่มเปิดปากพูดหลังยืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

 

 

「อะไรเหรอ? 」

 

 

 

「ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ตรงไหล่ของมาสเตอร์นั่นคืออันดีนสปิริตแห่งน้ำที่ฉันเป็นคนอัยเชิญมาใช่ไหมคะ? 」

 

 

 

「ก็ใช่นะ ตรงเจ้าซาลาแมนเดอร์ที่เป็นสปิริตไฟตรงเท้านี่ก็ด้วย」

 

 

 

ผมพูดจบแล้วก็ชี้ไปที่เท้าของผม ซาลาแมนเดอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็โผล่ออกมาให้เห็น ทางลูนามาเรียจึงเบิกตากว้างขึ้น

 

 

ร่างกายของอันดีนนั้นมีลักษณะคล้ายคนเท่ากำปั้น ส่วนซาลาแมนเดอร์ออกมาในรูปร่างคล้ายกิ้งก่าขนาดเท่ากำปั้นเช่นเดียวกัน

 

 

ทั้งสองนี้คือสิ่งที่ช่วยการเรื่องน้ำภายในอ่างไม้ฮิโนกิในห้องอาบน้ำ อันดีนทำหน้าที่ในการชำระล้างให้น้ำบริสุทธิ์ ส่วนซาลาแมนเดอร์ก็ทำให้น้ำอุ่น

 

ในตอนแรกผมไม่เคยเห็นพวกมันปรากฏตัวออกมาเลยขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง พวกมันก็เริ่มออกมาให้เห็นจากเงามืดบ้างแล้ว

 

ในอดีตผมมักจะมอบหินเวทให้กับพวกมันผ่านทางลูนามาเรียเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยจัดการเรื่องน้ำให้พวกผม บางทีอาจจะเพราะเรื่องนี้พวกมันก็เลยเริ่มเปิดใจให้กับผม พอหลังๆ กวักมือเรียกพวกมันก็เริ่มค่อยๆ เข้ามาหาผม จนในที่สุดระยะห่างของพวกเราก็น้อยพอจะวางมือบนหัวของอันดีนเพื่อลูบ ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าคิดถึงจริงๆ ――

 

 

 

「ตอนนี้พวกมันก็ตามฉันออกมาจากห้องอาบน้ำซะแล้วสิ」

 

 

 

「อยู่ๆ ก็มาพูดอะไรน่าทึ่งให้ฟังง่ายๆ เลยนะคะ….」

 

 

 

ลูนามาเรียพูดด้วยน้ำเสียงตะลึงและประทับใจ โดยปกติแล้วพวกสปิริตจะไม่แสดงตัวให้มนุษย์ได้เห็น นอกจากนี้ลูนามาเรียยังบอกอีกว่าหากไม่ใช่คำสั่งของตัวผู้ใช้อย่างตัวเธอเอง ก็เป็นเรื่องยากมากจริงๆ ที่พวกมันจะคิดทำตามใจแล้วตามติดผมมา เธอจึงรู้สึกตกใจ

 

 

 

 

「บางทีการที่พวกเขาได้อยู่เคียงข้างมาสเตอร์คงทำให้มีความสุขมั้งคะ」

 

 

 

「คงเรียกว่ารู้สึกเป็นเกียรติได้สินะ」

 

 

 

พอผมพูดแล้วสะกิดอันดีนที่อยู่บนไหล่ด้วยปลายนิ้ว เธอก็เอาตัวเข้ามากอดนิ้วของผมเอาไว้ สปิริตคือมวลของมานาที่ไหลเวียนอยู่ภายในโลก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกมันชอบหินเวทมนตร์ที่มีปริมาณของมานาไหลเวียนอยู่มากมาย บางทีตัวผมซึ่งมีอนิม่าของสายพันธุ์ในตำนานไหลเวียนอยู่ คงถูกใจพวกสปิริตไม่ต่างหากหินเวท

 

 

 

หลังจากนั้นสปิริตทั้ง 2 ก็ถูกลูนามาเรียขอให้ออกไปจากห้องอย่างไม่เต็มใจนัก ลูนามาเรียที่เห็นแบบนี้ก็เลยลองหยอกผมด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก

 

 

 

 

 

「มาสเตอร์คะ ไม่สนใจอยากเรียนวิธีการใช้เวทสปิริตเหรอคะ? ฉันคิดว่ามาสเตอร์ตอนนี้น่าจะเป็นผู้ใช้สปิริตที่เก่งกว่าฉันอีกนะคะ」

 

 

 

「ก็ฟังดูไม่เลวนะ」

 

 

 

ถึงอีกฝ่ายจะล้อเล่นแต่ผมจริงจังนะเอ้อ

 

 

สปิริตนั้นก็คือมวลของมานา ที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับจอมเวทผู้ได้เวทมนตร์โดยการดึงเอามานามาเปลี่ยนเป็นพลัง ดังนั้นในมุมของพวกมัน จอมเวทก็ไม่ต่างอะไรกับผู้กลืนกินพวกมันเพื่อเปลี่ยนเป็นพลัง

 

 

 

อันที่จริงผมก็ใช้เวทมนตร์อยู่นะ ดังนั้นก็ไม่น่าจะเข้ากับพวกสปิริตได้ดีนัก แต่ถ้าสามารถเรียนวิธีการใช้เวทสปิริตได้ ผมก็อยากอยู่เหมือนกัน เพราะไพ่ในมือยิ่งมีมากก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไง

 

 

แต่สุดท้ายก็คงได้แค่พูดแหละ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้มีเวลามากพอจะมาเรียนสกิลอะไรใหม่ๆ

 

ผมจึงได้มองไปยังลูนามาเรียที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

 

 

ปราชญ์เอลฟ์คนนี้ก็แสดงท่าทีไม่ต่างอะไรกับซูซูเมะ ดังนั้นสาเหตุก็คงเหมือนกัน ตัวเธอในตอนนี้คงไม่พอใจกับสภาพของตัวเองหลังต้องเผชิญหน้ากับพวกโกซุก็เลยหาทางทำอะไรสักอย่าง

 

 

 

เหตุผลที่เธอเข้ากับดาบควันโลหิตก็เพราะอยากจะชดใช้ความผิดที่เคยเอาผมไปเป็นเหยื่อล่อราชาแมลงวัน ตัวเธอคงมองว่าหากตัวเองยังอ่อนแอแบบนี้ คงไม่มีทางชดใช้อะไรได้แน่――ตัวเธอที่เป็นคนเอาจริงเอาจังก็เลยต้องดิ้นรน

 

 

 

ความกลัวของเธอที่กลัวว่าสักวันจะถูกผมตราหน้าว่าไร้ประโยชน์ และไม่รู้ว่าจะถูกทำอะไรต่อไปหากเธอไม่มีประโยชน์อะไรแล้วนอกจากเป็นแหล่งให้วิญญาณกับผม

 

 

อันที่จริงปัญหานี้มันก็แก้ได้ง่ายนะ เพราะส่วนตัวผมก็ไม่ได้มองว่าเธอไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ก็ไม่ได้คิดจะโทษอะไรเธอเลยด้วย

 

 

พอผมพูดไปแบบนั้น แทนที่เธอจะสบายใจ ท่าทางของเธอกลับตรงกันข้ามจากที่ผมคิด

 

ไม่มีสัญญาณแห่งความสบายใจอยู่เลย ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย มือของเธอก็กำเอาไว้แน่น เหมือนจะรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

 

――เอ๋ ทำไมล่ะ? ผมว่าผมก็แสดงท่าทีที่ดีกับเธอสุดๆ แล้วนะ

 

 

เพราะเห็นว่าผมสับสนกับท่าทางของเธอ ลูนามาเรียก็เลยเปิดปากพูดด้วยสีหน้าที่ดูมุ่งมั่น

 

 

 

「มาสเตอร์ ฉันมีเรื่องจะขอร้องค่ะ」

 

 

 

「อื้อ」

 

 

 

พอลูนามาเรียจริงจัง ผมก็เลยต้องจริงจังด้วย

 

 

จากนั้นคำพูดที่ออกมาจากปากของเธอก็เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง

 

 

 

 

 

「ช่วยเป็นคนฝึกให้กับฉันทีค่ะ」

 

 

 

「…………ฝึกเหรอ? 」

 

 

 

ผมถามก่อนจะเอียงหัวสงสัย

 

การฝึกงั้นเหรอ? ผมคิดก่อนจะถามเธออีกครั้ง

 

 

 

 

「ขอถามหน่อย ว่าเธอจะให้ฉันฝึกอะไรให้เธอกันล่ะ? 」

 

 

「การฝึกทักษะดาบค่ะ…ที่สำคัญ อยากจะให้คุณฝึกฉันในการรับมือกับมายาดาบเดียวค่ะ」

 

 

 

 

ลูนามาเรียขอร้องผมด้วยท่าทางที่จริงจัง

 

การฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับมายาดาบเดียวงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าเอลฟ์คนนี้กำลังจะประกาศสงครามว่าเธอจะโค่นผมให้ได้ในสักวันหนึ่งน่ะ――ไม่สิๆ เป็นไปไม่ได้หรอก

 

 

ผมมองไปยังดวงตาของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น เพื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของผมกับตระกูลมิตสึรุกิแล้ว ลูนามาเรียมองว่าพวกธงแห่งผืนป่าอาจจะเคลื่อนไหวอีกก็ได้ เธอเลยไม่อยากจะมีจุดจบเหมือนกับคราวก่อน

 

 

 

แต่ไม่ว่าเธอจะฝึกกับผมมากขนาดไหน เธอก็ไม่สามารถต้านทานพวกนั้นที่เอาจริงได้แน่ ตอนที่เธอได้สู้กับคลิมเธอก็คงเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ถึงมันจะน่าสิ้นหวังขนาดไหนเธอก็ยังพยายามดิ้นรนต่อไปอย่างการขอผมฝึกฝนให้เธอ

 

 

 

นี่สินะความตั้งใจของลูนามาเรีย ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้ว

 

 

เธอแพ้อย่างหมดรูปให้กับคลิม สุดท้ายความไร้ประโยชน์ของเธอก็ทำให้เธอรู้สึกละอายใจและพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น

 

 

ผมก็พยายามบอกลูนามาเรียไปแล้วว่าเธอไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ เพราะพวกที่ไร้ประโยชน์จริงๆ คือพวกที่ไม่ยอมดิ้นรนต่างหาก ――แต่ในมุมของเธอมันก็สามารถจับใจความได้ว่า ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเธอตั้งแต่แรก ดังนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมาหรอก สำหรับผู้ที่พยายามช่วยเหลือผมเท่าที่ตัวเองจะทำได้ก็ย่อมรู้สึกโมโหและกัดฟันทน

 

 

….ผมคงจะสื่อสารได้แย่จริงๆ จนทำให้เธอต้องกำหมัดแน่นเบอร์นั้น

 

 

แน่นอนว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอเลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะต้องพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรม

 

 

แต่สุดท้าย ผมก็ไม่ควรจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของลูนามาเรียที่อ่อนแอกว่าได้ง่ายๆ เพราะหากผมทำแบบนั้น ผมก็ไม่ต่างอะไรเลยกับพวกที่คอยดูถูกผมก่อนที่ผมจะได้อาภรณ์วิญญาณมา

 

พอคิดได้แบบนี้ เหงื่อที่เย็นยะเยือกจะไหลผ่านไปตามสันหลังของผม เป็นเพราะเธอเลยทำให้ผมพอตระหนักได้ว่าตัวเองเริ่มทำตัวเย่อหยิ่งขึ้นในฐานะผู้แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวผมในอดีตเกลียดชังยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

 

 

 

「……เกือบจะแย่แล้วสิ」

 

 

 

「อ-เอ่อ มาสเตอร์คะ? 」

 

 

「ขอบใจเธอมากเลยนะลูน่า เป็นเพราะเธอแท้ๆ ――――นั่นสินะ ส่วนเรื่องการฝึก ไว้เดี๋ยวมาลองกันดู หากเธอพอจะคุ้นเคยวิธีการรับมือกับฉันแล้ว บางทีเธออาจจะพอจับจังหวะของพวกธงแห่งผืนป่าด้วยก็ได้」

 

 

 

「ข-ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ฟังคำขอร้องของฉัน!」

 

 

 

เธอกล่าวออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขออกมาเป็นครั้งแรกในค่ำคืน

 

 

 

ปราชญ์ผู้รอบรู้โค้งตัวคำนับผมรอบหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง

 

 

 

「แล้วที่ขอบคุณฉัน มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ? 」

 

 

 

「ไม่มีอะไรมากหรอกน่า ก็ประมาณว่าฉันดีใจนะที่เธออยู่ตรงนี้นะ ลูน่า」

 

 

 

「อ-เอ๋…เอ่อ…คือว่า….ขอบพระคุณค่ะ…? 」

 

 

 

ลูนามาเรียเหมือนจะพูดขอบคุณผมกลับโดยแสดงท่าทีแปลกๆออกมา

 

 

เมื่อมองไปที่ลูนามาเรียแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

—–

ลูน่า

 

ในตอนนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเธอได้เรียกเธอเช่นนั้น กว่าที่เธอจะได้สติมันก็ผ่านไปแล้วประมาณสิบวินาที

 

การประมวนผลในสมองของเธอเกิดการปั่นป่วน เพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของเขามันทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก

 

ครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป แต่นี่มันสองครั้งเลยนะ มันไม่ใช่แค่ภาพหลอนแล้วเธอมั่นใจนั่นทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้ส่องกระจกเธอก็รู้ได้ทันทีว่า ใบหน้าของเธอคงแดงแจ๋ไปหมดแล้ว

 

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โซระเคยเรียกชื่อเธอว่า ลูน่า ก็ตอนที่พวกเธออยู่ในปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะด้วยกัน แต่หลังจากเกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่าง เขาก็เรียกตัวเธอว่า “เธอ” เพียงเท่านั้น และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้ว่าเธอจะมาอยู่ที่ดาบควันโลหิตแล้วก็ตาม

 

นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่น

 

ลูนามาเรียก็รู้ดีว่าเขาคงไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง บางทีโซระอาจจะแค่คิดอะไรหลายๆอย่างอยู่ในหัว ก็เลยเผลอพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ทำให้เธอมีความสุขเป็นอย่างมาก ลูนามาเรียจึงอดประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าอกก่อนจะกำมันไว้แน่นไม่ได้จริงๆ

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 153 การสนทนายามค่ำคืน

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 153 การสนทนายามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 153 สนทนายามค่ำคืน

 

「….เอ่อ มาสเตอร์ค่ะ」

 

 

 

ในช่วงกลางดึกผมได้เรียกลูนามาเรียมาที่ห้องของผม ก่อนจะเริ่มเปิดปากพูดหลังยืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

 

 

「อะไรเหรอ? 」

 

 

 

「ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ตรงไหล่ของมาสเตอร์นั่นคืออันดีนสปิริตแห่งน้ำที่ฉันเป็นคนอัยเชิญมาใช่ไหมคะ? 」

 

 

 

「ก็ใช่นะ ตรงเจ้าซาลาแมนเดอร์ที่เป็นสปิริตไฟตรงเท้านี่ก็ด้วย」

 

 

 

ผมพูดจบแล้วก็ชี้ไปที่เท้าของผม ซาลาแมนเดอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็โผล่ออกมาให้เห็น ทางลูนามาเรียจึงเบิกตากว้างขึ้น

 

 

ร่างกายของอันดีนนั้นมีลักษณะคล้ายคนเท่ากำปั้น ส่วนซาลาแมนเดอร์ออกมาในรูปร่างคล้ายกิ้งก่าขนาดเท่ากำปั้นเช่นเดียวกัน

 

 

ทั้งสองนี้คือสิ่งที่ช่วยการเรื่องน้ำภายในอ่างไม้ฮิโนกิในห้องอาบน้ำ อันดีนทำหน้าที่ในการชำระล้างให้น้ำบริสุทธิ์ ส่วนซาลาแมนเดอร์ก็ทำให้น้ำอุ่น

 

ในตอนแรกผมไม่เคยเห็นพวกมันปรากฏตัวออกมาเลยขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง พวกมันก็เริ่มออกมาให้เห็นจากเงามืดบ้างแล้ว

 

ในอดีตผมมักจะมอบหินเวทให้กับพวกมันผ่านทางลูนามาเรียเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยจัดการเรื่องน้ำให้พวกผม บางทีอาจจะเพราะเรื่องนี้พวกมันก็เลยเริ่มเปิดใจให้กับผม พอหลังๆ กวักมือเรียกพวกมันก็เริ่มค่อยๆ เข้ามาหาผม จนในที่สุดระยะห่างของพวกเราก็น้อยพอจะวางมือบนหัวของอันดีนเพื่อลูบ ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าคิดถึงจริงๆ ――

 

 

 

「ตอนนี้พวกมันก็ตามฉันออกมาจากห้องอาบน้ำซะแล้วสิ」

 

 

 

「อยู่ๆ ก็มาพูดอะไรน่าทึ่งให้ฟังง่ายๆ เลยนะคะ….」

 

 

 

ลูนามาเรียพูดด้วยน้ำเสียงตะลึงและประทับใจ โดยปกติแล้วพวกสปิริตจะไม่แสดงตัวให้มนุษย์ได้เห็น นอกจากนี้ลูนามาเรียยังบอกอีกว่าหากไม่ใช่คำสั่งของตัวผู้ใช้อย่างตัวเธอเอง ก็เป็นเรื่องยากมากจริงๆ ที่พวกมันจะคิดทำตามใจแล้วตามติดผมมา เธอจึงรู้สึกตกใจ

 

 

 

 

「บางทีการที่พวกเขาได้อยู่เคียงข้างมาสเตอร์คงทำให้มีความสุขมั้งคะ」

 

 

 

「คงเรียกว่ารู้สึกเป็นเกียรติได้สินะ」

 

 

 

พอผมพูดแล้วสะกิดอันดีนที่อยู่บนไหล่ด้วยปลายนิ้ว เธอก็เอาตัวเข้ามากอดนิ้วของผมเอาไว้ สปิริตคือมวลของมานาที่ไหลเวียนอยู่ภายในโลก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกมันชอบหินเวทมนตร์ที่มีปริมาณของมานาไหลเวียนอยู่มากมาย บางทีตัวผมซึ่งมีอนิม่าของสายพันธุ์ในตำนานไหลเวียนอยู่ คงถูกใจพวกสปิริตไม่ต่างหากหินเวท

 

 

 

หลังจากนั้นสปิริตทั้ง 2 ก็ถูกลูนามาเรียขอให้ออกไปจากห้องอย่างไม่เต็มใจนัก ลูนามาเรียที่เห็นแบบนี้ก็เลยลองหยอกผมด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก

 

 

 

 

 

「มาสเตอร์คะ ไม่สนใจอยากเรียนวิธีการใช้เวทสปิริตเหรอคะ? ฉันคิดว่ามาสเตอร์ตอนนี้น่าจะเป็นผู้ใช้สปิริตที่เก่งกว่าฉันอีกนะคะ」

 

 

 

「ก็ฟังดูไม่เลวนะ」

 

 

 

ถึงอีกฝ่ายจะล้อเล่นแต่ผมจริงจังนะเอ้อ

 

 

สปิริตนั้นก็คือมวลของมานา ที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับจอมเวทผู้ได้เวทมนตร์โดยการดึงเอามานามาเปลี่ยนเป็นพลัง ดังนั้นในมุมของพวกมัน จอมเวทก็ไม่ต่างอะไรกับผู้กลืนกินพวกมันเพื่อเปลี่ยนเป็นพลัง

 

 

 

อันที่จริงผมก็ใช้เวทมนตร์อยู่นะ ดังนั้นก็ไม่น่าจะเข้ากับพวกสปิริตได้ดีนัก แต่ถ้าสามารถเรียนวิธีการใช้เวทสปิริตได้ ผมก็อยากอยู่เหมือนกัน เพราะไพ่ในมือยิ่งมีมากก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไง

 

 

แต่สุดท้ายก็คงได้แค่พูดแหละ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้มีเวลามากพอจะมาเรียนสกิลอะไรใหม่ๆ

 

ผมจึงได้มองไปยังลูนามาเรียที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

 

 

ปราชญ์เอลฟ์คนนี้ก็แสดงท่าทีไม่ต่างอะไรกับซูซูเมะ ดังนั้นสาเหตุก็คงเหมือนกัน ตัวเธอในตอนนี้คงไม่พอใจกับสภาพของตัวเองหลังต้องเผชิญหน้ากับพวกโกซุก็เลยหาทางทำอะไรสักอย่าง

 

 

 

เหตุผลที่เธอเข้ากับดาบควันโลหิตก็เพราะอยากจะชดใช้ความผิดที่เคยเอาผมไปเป็นเหยื่อล่อราชาแมลงวัน ตัวเธอคงมองว่าหากตัวเองยังอ่อนแอแบบนี้ คงไม่มีทางชดใช้อะไรได้แน่――ตัวเธอที่เป็นคนเอาจริงเอาจังก็เลยต้องดิ้นรน

 

 

 

ความกลัวของเธอที่กลัวว่าสักวันจะถูกผมตราหน้าว่าไร้ประโยชน์ และไม่รู้ว่าจะถูกทำอะไรต่อไปหากเธอไม่มีประโยชน์อะไรแล้วนอกจากเป็นแหล่งให้วิญญาณกับผม

 

 

อันที่จริงปัญหานี้มันก็แก้ได้ง่ายนะ เพราะส่วนตัวผมก็ไม่ได้มองว่าเธอไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ก็ไม่ได้คิดจะโทษอะไรเธอเลยด้วย

 

 

พอผมพูดไปแบบนั้น แทนที่เธอจะสบายใจ ท่าทางของเธอกลับตรงกันข้ามจากที่ผมคิด

 

ไม่มีสัญญาณแห่งความสบายใจอยู่เลย ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย มือของเธอก็กำเอาไว้แน่น เหมือนจะรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

 

――เอ๋ ทำไมล่ะ? ผมว่าผมก็แสดงท่าทีที่ดีกับเธอสุดๆ แล้วนะ

 

 

เพราะเห็นว่าผมสับสนกับท่าทางของเธอ ลูนามาเรียก็เลยเปิดปากพูดด้วยสีหน้าที่ดูมุ่งมั่น

 

 

 

「มาสเตอร์ ฉันมีเรื่องจะขอร้องค่ะ」

 

 

 

「อื้อ」

 

 

 

พอลูนามาเรียจริงจัง ผมก็เลยต้องจริงจังด้วย

 

 

จากนั้นคำพูดที่ออกมาจากปากของเธอก็เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง

 

 

 

 

 

「ช่วยเป็นคนฝึกให้กับฉันทีค่ะ」

 

 

 

「…………ฝึกเหรอ? 」

 

 

 

ผมถามก่อนจะเอียงหัวสงสัย

 

การฝึกงั้นเหรอ? ผมคิดก่อนจะถามเธออีกครั้ง

 

 

 

 

「ขอถามหน่อย ว่าเธอจะให้ฉันฝึกอะไรให้เธอกันล่ะ? 」

 

 

「การฝึกทักษะดาบค่ะ…ที่สำคัญ อยากจะให้คุณฝึกฉันในการรับมือกับมายาดาบเดียวค่ะ」

 

 

 

 

ลูนามาเรียขอร้องผมด้วยท่าทางที่จริงจัง

 

การฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับมายาดาบเดียวงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าเอลฟ์คนนี้กำลังจะประกาศสงครามว่าเธอจะโค่นผมให้ได้ในสักวันหนึ่งน่ะ――ไม่สิๆ เป็นไปไม่ได้หรอก

 

 

ผมมองไปยังดวงตาของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น เพื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของผมกับตระกูลมิตสึรุกิแล้ว ลูนามาเรียมองว่าพวกธงแห่งผืนป่าอาจจะเคลื่อนไหวอีกก็ได้ เธอเลยไม่อยากจะมีจุดจบเหมือนกับคราวก่อน

 

 

 

แต่ไม่ว่าเธอจะฝึกกับผมมากขนาดไหน เธอก็ไม่สามารถต้านทานพวกนั้นที่เอาจริงได้แน่ ตอนที่เธอได้สู้กับคลิมเธอก็คงเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ถึงมันจะน่าสิ้นหวังขนาดไหนเธอก็ยังพยายามดิ้นรนต่อไปอย่างการขอผมฝึกฝนให้เธอ

 

 

 

นี่สินะความตั้งใจของลูนามาเรีย ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้ว

 

 

เธอแพ้อย่างหมดรูปให้กับคลิม สุดท้ายความไร้ประโยชน์ของเธอก็ทำให้เธอรู้สึกละอายใจและพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น

 

 

ผมก็พยายามบอกลูนามาเรียไปแล้วว่าเธอไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ เพราะพวกที่ไร้ประโยชน์จริงๆ คือพวกที่ไม่ยอมดิ้นรนต่างหาก ――แต่ในมุมของเธอมันก็สามารถจับใจความได้ว่า ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเธอตั้งแต่แรก ดังนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมาหรอก สำหรับผู้ที่พยายามช่วยเหลือผมเท่าที่ตัวเองจะทำได้ก็ย่อมรู้สึกโมโหและกัดฟันทน

 

 

….ผมคงจะสื่อสารได้แย่จริงๆ จนทำให้เธอต้องกำหมัดแน่นเบอร์นั้น

 

 

แน่นอนว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอเลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะต้องพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรม

 

 

แต่สุดท้าย ผมก็ไม่ควรจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของลูนามาเรียที่อ่อนแอกว่าได้ง่ายๆ เพราะหากผมทำแบบนั้น ผมก็ไม่ต่างอะไรเลยกับพวกที่คอยดูถูกผมก่อนที่ผมจะได้อาภรณ์วิญญาณมา

 

พอคิดได้แบบนี้ เหงื่อที่เย็นยะเยือกจะไหลผ่านไปตามสันหลังของผม เป็นเพราะเธอเลยทำให้ผมพอตระหนักได้ว่าตัวเองเริ่มทำตัวเย่อหยิ่งขึ้นในฐานะผู้แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวผมในอดีตเกลียดชังยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

 

 

 

「……เกือบจะแย่แล้วสิ」

 

 

 

「อ-เอ่อ มาสเตอร์คะ? 」

 

 

「ขอบใจเธอมากเลยนะลูน่า เป็นเพราะเธอแท้ๆ ――――นั่นสินะ ส่วนเรื่องการฝึก ไว้เดี๋ยวมาลองกันดู หากเธอพอจะคุ้นเคยวิธีการรับมือกับฉันแล้ว บางทีเธออาจจะพอจับจังหวะของพวกธงแห่งผืนป่าด้วยก็ได้」

 

 

 

「ข-ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ฟังคำขอร้องของฉัน!」

 

 

 

เธอกล่าวออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขออกมาเป็นครั้งแรกในค่ำคืน

 

 

 

ปราชญ์ผู้รอบรู้โค้งตัวคำนับผมรอบหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง

 

 

 

「แล้วที่ขอบคุณฉัน มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ? 」

 

 

 

「ไม่มีอะไรมากหรอกน่า ก็ประมาณว่าฉันดีใจนะที่เธออยู่ตรงนี้นะ ลูน่า」

 

 

 

「อ-เอ๋…เอ่อ…คือว่า….ขอบพระคุณค่ะ…? 」

 

 

 

ลูนามาเรียเหมือนจะพูดขอบคุณผมกลับโดยแสดงท่าทีแปลกๆออกมา

 

 

เมื่อมองไปที่ลูนามาเรียแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

—–

ลูน่า

 

ในตอนนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเธอได้เรียกเธอเช่นนั้น กว่าที่เธอจะได้สติมันก็ผ่านไปแล้วประมาณสิบวินาที

 

การประมวนผลในสมองของเธอเกิดการปั่นป่วน เพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของเขามันทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก

 

ครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป แต่นี่มันสองครั้งเลยนะ มันไม่ใช่แค่ภาพหลอนแล้วเธอมั่นใจนั่นทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้ส่องกระจกเธอก็รู้ได้ทันทีว่า ใบหน้าของเธอคงแดงแจ๋ไปหมดแล้ว

 

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โซระเคยเรียกชื่อเธอว่า ลูน่า ก็ตอนที่พวกเธออยู่ในปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะด้วยกัน แต่หลังจากเกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่าง เขาก็เรียกตัวเธอว่า “เธอ” เพียงเท่านั้น และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้ว่าเธอจะมาอยู่ที่ดาบควันโลหิตแล้วก็ตาม

 

นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่น

 

ลูนามาเรียก็รู้ดีว่าเขาคงไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง บางทีโซระอาจจะแค่คิดอะไรหลายๆอย่างอยู่ในหัว ก็เลยเผลอพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ทำให้เธอมีความสุขเป็นอย่างมาก ลูนามาเรียจึงอดประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าอกก่อนจะกำมันไว้แน่นไม่ได้จริงๆ

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+